บทที่ 5
บังเอิญ
การทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้ว
ฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว
“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที
[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]
“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้งที่ฉันไม่ได้พูดคุยกับพี่สาวคนนี้เลย
ความจริงแล้วฉันเองก็ทั้งโทรหาและส่งข้อความไปทุกวันนั่นแหละ แต่พี่ด้ายไม่ตอบกลับอะไรมาเลยสักอย่าง นั่นจึงทำให้ฉันปล่อยคำถามมากมายออกไปกับคนปลายสายแบบนั้น
[พี่ยังทำงานอยู่เลย]
“อีกแล้วเหรอ...” เสียงของฉันอ่อนกำลังลงเมื่อรู้ว่าวันนี้ต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกตามเคย
มันคงเป็นความเคยชินไปแล้วที่เราสองคนพี่น้องไม่ได้อยู่ด้วยกัน ด้วยภาระหน้าที่ที่แตกต่าง รวมถึงโชคชะตาที่บีบคั้นให้เราสองคนต้องดิ้นรนสู้ชีวิต หากแต่การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตามันก็ย่อมดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้
[ทำไม มีอะไรหรือเปล่าป่าน]
“เมื่อวานป่านโชคร้ายมาก ๆ เลยพี่ด้าย ป่านเจอแต่อะไรก็ไม่รู้ นี่ป่านยังคิดเลยว่าถ้าป่านตายไปคงไม่ได้มาคุยโทรศัพท์กับพี่ด้ายแบบนี้” ความสั่นเครือแสดงออกชัดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอ
หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่พบเจอก็ทำให้ฉันหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ยอมรับเลยว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวสมองตอนนั้นก็คือความตายที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ไหนจะเหตุการณ์ฝ่าดงกระสุนกับคนแปลกหน้า ไหนจะกระบอกปืนที่เตรียมจ่อยิงเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นสายสืบ ทุกอย่างในค่ำคืนล้วนแต่เป็นภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิต
[เกิดอะไรขึ้นป่าน! แกเป็นอะไร บอกพี่มา!]
“เป็นห่วงป่านล่ะสิ คิก ๆ ไม่มีอะไรหรอกพี่ด้าย ป่านก็แค่โชคร้ายเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรน่ะ แต่ตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว ป่านแค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ ป่านเหงา” ฉันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะพยายามรีบปรับเปลี่ยนน้ำเสียงให้ร่าเริงและเป็นปกติมากที่สุด
ใจจริงอยากจะระบายและงอแงกับพี่สาวให้มากกว่านี้ แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่ดูร้อนรนกระวนกระวายก็อดที่จะทำให้ฉันเลือกโกหกไม่ได้
แค่งานที่ต้องรับผิดชอบก็นับว่าหนักมากพอแล้ว ฉันไม่อยากเพิ่มความกังวลให้พี่ด้ายต้องคิดมากเพิ่มไปอีก
[แน่ใจนะ อย่าโกหกพี่นะ]
“แน่ใจสิ แล้วนี่พี่ด้ายว่างอยู่เหรอ หรือป่านโทรมารบกวนอ่า”
[พี่คงต้องวางแล้วล่ะ ยังไงก็อย่าลืมปิดบ้านล็อกบ้านให้ดี ๆ ดูแลตัวเองด้วยนะรู้ไหม]
ฉันพูดคุยกับพี่สาวอีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไปเนื่องจากอีกฝ่ายต้องไปจัดการภาระงานของตัวเองต่อ ฉันจึงละโทรศัพท์ออกจากข้างแก้ม หากแต่ในจังหวะนั้นกลับมีสายที่โทรสวนเข้ามาพอดิบพอดี พลันเมื่อดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วก็ทำให้ฉันฉีกยิ้มและเบิกตากว้าง โดยที่นิ้วมือก็รีบกดรับสายด้วยความร้อนรน
“เจ๊สวย! ป่านคิดถึงเจ๊สวยที่สุดเลย! เหมือนนางฟ้ามาโปรดสุด ๆ ป่านรอสายจากเจ๊ทุกวินาทีเลยนะ!”
[โอ๊ย! หนวกหูมาก! แกช่วยลดเสียงหน่อยได้ไหมยะชะนี แก้วหูฉันแตกหมดแล้วมั้ง!]
“ก็ป่านดีใจอ่า” ฉันลดระดับน้ำเสียงลงตามที่คนปลายสายบอก แต่ก็ยังส่งเสียงขำขันพร้อมกับรอยยิ้มฉีกกว้างที่ปรากฏบนใบหน้าอยู่ไม่หาย
[เจ๊จะพูดเลยนะจะได้ไม่เสียเวลา นี่ก็ต้องโทรหาเด็กอีกหลายคน คืองี้ มันมีงานเปิดตัวรถใหม่...]
เจ๊สวยอธิบายถึงเนื้อหางานที่ฉันจะได้รับรวมไปถึงวันและเวลานัดหมาย ซึ่งแน่นอนว่าฉันเองก็ตอบตกลงไปทันที เพราะอย่างที่บอกไปว่าฉันรอสายจากเจ๊สวยมาตั้งแต่แรก
ฉันพูดคุยกับคนปลายสายในระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ทางม้าลายสำหรับการข้ามถนน สายตากวาดมองดูรถพร้อมกับสัญญาณไฟ ครั้นเห็นว่าปลอดภัยก็ตัดสินใจก้าวเดินหวังจะเดินข้ามไปยังทางฟุตพาทอีกฝั่ง โดยที่มือก็ยังคงถือโทรศัพท์ให้แนบกับหูไปด้วย
แต่ทว่า...
“ได้เลยค่ะเจ๊ ป่านจะตั้งใจทำงาน ป่านจะ...กรี๊ด!!!”
ปรี๊ด!
การตอบโต้บทสนทนายังไม่ทันจบประโยคมันถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องของฉัน เมื่อพบว่ามีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับแล่นพุ่งตรงมายังจุดที่ฉันยืนอยู่ด้วยความเร็วสูงสุด โดยไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนกำลังลงแม้แต่น้อย
ความตกใจโลดแล่นส่งผลให้ขาสองข้างชะงักงันราวกับถูกสาปไปดื้อ ๆ ในหัวขบคิดจินตนาการไปไกลแสนไกลว่าอีกเสี้ยววินาทีต่อจากนี้ ร่างกายของฉันคงไม่เหลือชิ้นดีจากการถูกรถชนประสานอย่างแน่นอน
“ถ้าอยากตายก็ไปตายที่อื่น อย่ามาทำให้คนเขาเดือดร้อน!”
เสียงตะคอกแผดลั่นทำให้สติที่เตลิดกระเจิงกู่กลับเข้าที่ จากดวงตาที่หลับแน่นรอคอยชะตาเป็นต้องที่เปิดออกและหันขวับไปองยังต้นเสียงทันที
ทว่าสิ่งแรกที่เห็นนั้นคือรถตู้สีขาวที่จอดประชิดร่างกายซึ่งมีระยะห่างเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ครั้นมองถัดไปยังเจ้าของเสียงที่อยู่ในความกรุ่นโกรธเป็นต้องเบิกตากว้างและรีบขยับเท้าหนีไปด้านหลังพัลวัน
“นี่เธอ!”
เสียงเข้มร้องขึ้นพร้อมกับนิ้วที่ชี้มาทางฉันด้วยท่าทางตกใจไม่ต่างกัน ร่างสูงที่ยืนอยู่ฝั่งประตูคนขับกำลังมองฉันด้วยดวงตาวาวโรจน์ ความจริงแล้วไม่น่าจะทำให้ฉันตกใจได้ขนาดนี้เลยถ้าหากเขาคนนั้นไม่ใช่คนที่เอาปืนเค้นถามความจริงจากฉันเมื่อคืน!
“เวรแล้ว!” ฉันสบถคำด่าออกมาสุดเสียงก่อนจะรีบสับฝีเท้าเพื่อหาหนทางหนีจากเขาคนนี้ให้เร็วที่สุด
แต่ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของฉันจะช้ากว่ามือใหญ่ของเขาไปมาก เพราะตอนนี้คอเสื้อกำลังถูกกระชากรั้งเอาไว้ ทั้งยังถูกดันร่างกายให้ชิดติดกับตัวรถที่จอดสนิทอีกต่างหาก
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเจออีกครั้งเธอจะไม่โชคดีอีกแน่!”
“อึก...มันบังเอิญนะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันก็ข้ามถนนของฉันมาดี ๆ แต่ทำไม...”
“ใครส่งเธอมาวะ!”
คนตรงหน้าไม่สนใจกับคำอธิบาย ทั้งยังตวาดเสียงคำรามตอกหน้าจนร่างกายของฉันสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น
“ไอ้รุต! ทำอะไรของมึง!”
ทว่าเสียงเข้มทรงพลังที่เอ่ยแทรกขึ้นกลับกลายเป็นเหมือนเสียงจากสรวงสวรรค์ที่เข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา แรงมือขยุ้มผ่อนคลายลงไปจากเดิมก่อนที่จะปล่อยให้เป็นอิสระ นั่นจึงทำให้ฉันรีบขยับตัวหนีก่อนจะหันสายตาไปมองยังต้นเสียง ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งเดินลงมาจากตัวรถคันที่เกือบชนฉันเมื่อครู่
และใช่...เขาคือคุณไตร คนที่ลวนลามและคนที่บาดเจ็บในเหตุการณ์เมื่อคืน!
“นายครับ ผมว่าเธอคนนี้จะต้องเป็นคนของพวกนั้นแน่นอนเลยครับ เมื่อคืนนี้เธออยู่กับนายในที่เกิดเหตุแต่คุณตุลย์สั่งให้ผมปล่อยตัวเธอไป แถมวันนี้ยังมาดักหน้ารถสร้างสถานการณ์อีก”
“บ้าไปกันใหญ่! ฉันไม่ใช่สายสืบ! ฉันกำลังจะเดินกลับบ้าน นี่ก็ข้ามถนนอยู่เนี่ย รถของคุณต่างหากที่ขับไม่ดูสัญญาณไฟ!” ฉันรีบแผดเสียงในระดับที่ค่อนข้างดังพอสมควรตอบกลับไป
พยายามข่มความกลัวให้อยู่ในส่วนลึก เพราะตอนนี้ฉันกำลังถูกกล่าวหาให้ตกอยู่ในสถานะเลวร้ายนั้นอีกครั้ง โดยที่ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย
“ให้จับตัวไปเลยไหมครับนาย มันคงไม่บังเอิญติดกันถึงสองครั้งหรอกครับ ผมมั่นใจ!” ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สนใจกับคำพูดของฉันเลยสักนิด เขาหันไปถามหาความเห็นจากผู้เป็นนาย โดยที่มือก็คว้าหมับบีบรัดที่ข้อมือของฉันเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหลบหนี
“เธอคือคนเมื่อคืนสินะ”
“คะ...คุณไตร ฉันไม่ใช่สายสืบอย่างที่ถูกกล่าวหา นี่ฉันกำลังจะเดินกลับบ้านจริง ๆ ส่วนเมื่อคืนคุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าฉันเป็นพนักงานที่ร้านของคุณเวย์ ฉันบังเอิญเปิดประตูไปเจอคุณเท่านั้น ทุกอย่างมันคือเรื่องบังเอิญ!”
สายตาคมดุดันกดมองฉันด้วยความเรียบนิ่งโดยไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา ในขณะนั้นมุมปากของเขาก็หยัดโค้งขึ้น หากแต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันคือรอยยิ้มอย่างที่ควรเป็นเลยสักนิด
มันเป็นเหมือนการกระทำที่กำลังเย้ยหยันกันมากกว่า!
“ไปไอ้รุต! อย่าเสียเวลา กูต้องเข้าประชุมสำคัญ”
ทว่าคำสั่งนั้นกลับทำให้ฉันเบิกตากว้างไปพร้อมกับลมหายใจที่ผ่อนออกมาเมื่อรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย ถึงสายตาของเขาจะไม่ดูเป็นมิตร แต่การที่ถูกปล่อยตัวอย่างง่ายดายก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับวันแย่ ๆ แบบนี้แล้ว
“แต่นายครับ ผมว่า...”
“ถ้าบังเอิญเจอกันครั้งที่สามมึงก็จัดการยัยนี่ได้เลย ไปได้แล้วกูรีบ!”
SAIPAN’ S PART ; END
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทนำจุดเริ่มต้นของวงจรมาเฟียเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น...กระสุนปืนโหมถล่มไม่ต่างจากหยาดฝนที่สาดเทชุ่มฉ่ำ หากมันไม่ใช่หยดน้ำ แต่กลับเป็นหยาดโลหิตสีแดงสดที่ไหลหลั่งราวกับสายธารปัง!ปัง!ปัง!ลำปืนจ่อยิงโดยเป้าหมายการเพ่งเล็งนั้นอยู่ที่ ‘ไตรพัฒน์’ เพียงจุดเดียว กลุ่มคนนับสิบเบนศูนย์หน้าปรี่มายังตัวมาเฟียหนุ่มหมายเอาชีวิต แต่ด้วยทักษะและประสบการณ์ที่เพียรพบกลับทำให้รอดพ้นดงลูกตะกั่วมาได้อย่างหวุดหวิดไตรพัฒน์วิ่งหนีไปตามตรอกซอยหลังจากที่ออกมานอกตัวร้านสังสรรค์ อาศัยความชำนาญพื้นที่และความคล่องแคล่วของร่างกายให้พาตัวเองเข้ามาหลบหลีกในตรอกแคบ ๆ มืดมิดไร้แสงไฟ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่ไม่ได้ประคองลำปืนก็คอยติดต่อหาลูกน้องคนสนิทที่รับหน้ากับศัตรูอีกกลุ่มไปด้วย“ฉิบ!” เสียงสบถด่ากร้าวดังเค้นลอดไรฟันที่มันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธมาเฟียหนุ่มทาบฝ่ามือลงบริเวณบาดแผลจากการถูกยิงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มันถูกทำแผลเป็นอย่างดีแต่ก็ปริแตกเนื่องจากใช้กำลังแรงในการหลบหนีศัตรูที่หวังพรากชีวิตให้สิ้นเขาทิ้งตัวลงสู่พื้นพลางผ่อนลมหายใจออกหนัก ๆ เพื่อหวังควบคุมสติของตัวเองที่ลดน้อยลงทุกที หากไม่มีบาดแผลการถูกย
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก