(เคมี)
แปดวันหลังจากที่ผมกับเขามีการติดต่อกัน ทักหาผมทุกวันทั้งที่บางครั้งก็ไม่มีอะไรจะโต้ตอบ ตอนนี้ตามตัวผมเริ่มเห็นรอยเขียวช้ำกว่าเดิม มีอาการปวดแทบลุกไม่ไหว มีเขาคอยมาดูแลและอยู่เป็นเพื่อน แต่วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ข้อความทักทายที่ชอบส่งมาในยามเช้าก็ยังไม่มี ผมคอยมองไปยังหน้าจอมือถือ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเฝ้ารอ อาจเพราะเริ่มชิน?
“น่าเบื่อจัง”
ตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้ากลับบ้าน ได้แต่โทรบอกพ่อกับแม่ว่าติดธุระแก้ต่างเพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง ผมเลือกที่จะปิดทีวีแล้วหยิบมือถือมาเล่น เลื่อนไปเลื่อนมาก็ดันมาเจอโพสต์ของแฟนเก่า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ เมื่อภาพที่ผมเห็นมันคือภาพที่บ่งบอกว่าเธอกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตกับคนที่เธอแต่งงานด้วย
“นับเดือน”
ผมมองภาพบนหน้าจอมือถือ แล้วเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ผมรักพร้อมน้ำตาที่มันเริ่มเอ่อขอบตา ยิ่งมองผมก็ยิ่งเสียใจ เสียใจไม่สามารถปกป้องเธอได้ ต้องปล่อยมือเธอทั้งที่เคยสัญญา ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเราสองคนจะเผชิญมันไปด้วยกัน และนั่นก็ดันเป็นเพียงน้ำลายที่ไร้ราคา ผมไม่สามารถทำได้อย่างที่สัญญา
“ยินดีด้วยนะ” ผมพิมพ์คอมเมนต์ไป ต่อท้ายประโยคด้วยอิโมจิรอยยิ้ม แต่จริงแล้วผมอวยพรเธอทั้งน้ำตา
“เราสองคนต้องจบแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม?”
ไม่ไหวที่จะมอง ผมวางมือถือลงข้างตัวแล้วฟุบหน้าลงเข่า ปล่อยเสียงร้องไห้โฮ ไม่อาจเก็บกลั้นน้ำตาได้แล้วจริง ๆ สิ่งที่บีบหัวใจผมแทบแหลกสลาย ผมไม่อาจรักษาเธอไว้ข้างกายได้ สุดท้ายต้องยอมปล่อย...แต่ผมจะทำได้ไหมในเมื่อตอนนี้ทุกครั้งที่หลับตา มันยังมีความทรงจำเก่า ๆ ผุดเข้ามาภาพจำของผมตลอดเลย
📳 เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้น ทำให้ผมรีบคืนสติกลับมา
(ทำไรอยู่อะ)
“กินไก่ทอด”
(อย่ากินไก่หมดนะ)
“?”
(ก็ถ้าไก่หมดจานคือการหมดใจอะดิ)
“กูจะกินยันจานด้วยเลย เพราะกูรำคาญมึงมาก”
(โห เดี๋ยวนี้ขึ้นกูมึง?)
“แล้วจะทำไม”
(ก็ไม่ทำไม รำคาญแปลว่ารัก)
“แล้วแต่จะเข้าใจตามสันดานเถอะ”
(เริ่มหยาบคายละ)
“พอดีมีเพื่อนใหม่เป็นคนหยาบกระด้างอะครับ ศีลจะได้เสมอกัน”
(อ้อ ๆ เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพื่อนใหม่ท่าทางจะหน้าตาดีมากแน่ ๆ)
ผมตอบแชตด้วยการโกหกตั้งแต่ประโยคแรก น้ำตาที่ล้นขอบตาเริ่มเหือดหายไป เมื่อได้คุยกับเขาที่แม้จะไม่เห็นเงาแต่ข้อความของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ความยียวนที่สร้างความรำคาญ แต่ดันสร้างรอยยิ้มให้ผมได้เช่นกัน ผมไม่ตอบกลับประโยคสุดท้าย ปิดมือถือหนีเลยครับ ขี้เกียจตอบโต้ให้ยืดยาว จากนั้นผมจึงทิ้งตัวลงนอนจนหลับไป
ไม่รู้หลับไปนานแค่ไหนผมสะดุ้งตื่น เพราะเสียงที่ดังโครมครามตรงประตู พร้อมกับเสียงเรียกที่แว่วเข้าหูทำให้ผมต้องพรวดพราดลงจากเตียงอย่างลืมเจ็บ
“เฮ้อ...นึกว่าอะไร” เสียงเรียกชัดเจนว่าเป็นใคร ทำให้ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตู
“ทำบ้าอะไรอยู่วะเรียกตั้งนาน ไม่รู้หรือไงว่าคนเขาเป็นห่วง” โวยวายใส่หน้าผมทันที สีหน้าจริงจังคิ้วขมวด
“แล้วจะโวยวายเสียงดังทำไมวะ” ผมตอบโต้เสียงแข็ง
“กูเป็นห่วงมึงไง แชตไม่ตอบ มือถือแถมปิดเครื่องอีก”
“ก็นอนหลับ”
“ไอ้ควาย!”
“เอ้า บ้าปะเนี่ยจู่ ๆ ก็มาด่า”
“มึงมันสมควรโดนกูด่า”
เขาชี้หน้าด่าผมตั้งแต่เข้ามาในห้อง ท่าทางตอนนี้ยังคงโมโหไม่หาย ทำไมต้องดูโกรธขนาดนั้นก็ไม่รู้ คำด่าของเขาบางทีผมก็ควรจะชินได้แล้ว แต่บางครั้งมันก็รู้สึกว่าเขาด่าผมเกินไป ทั้งที่ไม่มีอะไรให้น่าด่าขนาดนั้น เขามันคนปากหมา!
“แล้วนั่นแขนไปโดนอะไรมา ทำไมมีผ้าพันแผล”
“มันก็ต้องมีแผลสิถามแปลก”
“ถามดี ๆ ทำไมต้องกวนตีนตลอด”
“กูก็เป็นคนแบบนี้แหละ หรือรับไม่ได้ก็ไม่ต้องมาคบ”
“ไปกันใหญ่ละ หัดมีเหตุผลบ้างดิ”
“เออกูมันคนไม่มีเหตุผล”
“จริง”
“ไอ้เคมี!”
“ไม่เถียงด้วยละ กินน้ำเย็น ๆ ดับความหัวร้อนซะ”
ผมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสายตาจะมองเห็นผ้าพันแผลที่อยู่บนแขนจึงถามขึ้น แต่ดันไม่ได้คำตอบตามที่คาดหวัง ได้แต่คำด่ามาแทน เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบปาก เดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาให้แทน
“ใจเย็นลงบ้างหรือยัง”
“อืม”
“ตอบมาดี ๆ ว่าไปทำอะไรมาถึงได้มีแผลบนแขน”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยที่ไซต์งานก่อสร้าง”
“ก็ตอบดี ๆ ได้นี่นา ทำไมต้องชอบเสียงดัง”
“ไม่รู้”
ผมเดินไปนั่งตรงข้ามแล้วถามเขาอีกครั้ง เขาตอบผมไม่มองหน้า ชักสีหน้างอน ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร ตัวโตเป็นควายแต่นิสัยบางครั้งก็เป็นเด็กสามขวบ แต่บทจะห่ามก็ห่ามสุด ๆ หลายบุคลิกจริงคนนี้ ที่ผมถามก็ไม่อะไรมากคือจากลักษณะของการพันแผลดูแล้วไม่น่าจะเป็นบาดแผลเล็ก ๆ ห่วงเขานั่นแหละ
“ไฟฟ้าอายุสามขวบ” ผมแซว
“ใครสามขวบเดี๋ยวตบปากแตก” เก่งเหลือเกินครับเรื่องใช้กำลัง แต่ท่าทางคงจะเขินที่โดนผมแซว
“ก็มันจริง ดูท่าทางนายตอนนี้ดิ เหมือนคนอายุใกล้เข้าเลขสามหรือไง ก็ใกล้แหละเนอะสามขวบ”
“ยังจะพูดมากอีก”
“นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานไม่ใช่ไง ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”
“เจ็บแขน”
“แล้วทำไมไม่กลับบ้านไปพักผ่อน”
“เรื่อง ของ กูครับ”
“เฮ้อ ปวดหัวกับนายจริง ๆ ไปนอนต่อละ”
“นอนด้วย!”
พูดจบผมก็เดินไปยังเตียงนอน แต่ก็มีม้าไวกระโดนขึ้นเตียงตัดหน้าผมก่อน ก็ได้แต่ส่ายหัวเอือมระอา ก่อนจะเอนตัวนอนข้างเขาที่หันหลังให้ ความเป็นเพื่อนที่ผมรู้สึกว่าสนิทกันไวมาก เวลาที่ผมอยู่กับเขาก็รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งผิดจากแต่ก่อน
(ไฟฟ้า)ผมตีมึนรีบกระโดดขึ้นเตียง ทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่อนุญาต แกล้งทำทีว่าผมนอนหลับได้ยินเขาบ่นอะไรสักอย่างผมได้ยินไม่ชัด ถ้าหากผมช้าก็กลัวว่าเขาจะไล่ตะเพิดกลับบ้าน เลยต้องอาศัยความหน้ามึนหน้าด้านที่มีเป็นเอกลักษณ์ เข้าใจผมใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ผ่านไปราวยี่สิบนาทีผมก็พลิกตัวด้วยความเบาที่สุด มองหน้าคนที่นอนหลับสนิท แล้วเริ่มใช้ความคิดว่าหลังจากนี้ผมจะได้รับสถานะที่มากกว่าคำว่าเพื่อนนี้ไหม“เมื่อไหร่จะเป็นได้มากกว่านี้”“.....”จ้องมองใบหน้าที่ขาวเนียนเหมือนผิวผู้หญิงของคนตรงหน้าที่ยังมีรอยช้ำ แล้วพูดขึ้นมาลอย ๆ ภายในใจหวังลึก ๆ ว่าผมจะได้รับโอกาสนั้นสักครั้ง“ได้สักครั้งจะไม่ยอมพลาดเลย”“.....”ผมก็ยังคงพูดคนเดียวพร้อมสายตาที่มองนายเคมี เปลือกตาที่ปิดสนิท ใบหน้าที่ดูสมส่วน เหมือนกับพระเจ้าตั้งใจปั้นขึ้นมา ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตามองไปทางอื่น มันคือสิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ คอยแต่จินตนาการด้วยความหวังว่าจะสักวันเขาจะเปลี่ยนใจ แม้จะดูยากเหลือเกินกับการพลิกหัวใจของใครสักคนที่มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว ให้มาเดินบนเส้นทางเดียวกันสายตาที่จ้องมองไม่กะพริบ กับความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมเก็บกลั้นเอาไว้ในก้นบ
(เคมี)“นี่”“อะไร”ไฟฟ้าเอ่ยขึ้นทำให้ผมที่นั่งเล่นเกมต้องตอบรับ แต่สายตาก็ยังคงจ้องโทรศัพท์อย่างจดจ่อ คลาดสายตาไม่ได้ครับไม่งั้นเดี๋ยวผมจะแพ้“คือแบบว่าเรียกนาย ๆ เรา ๆ ไม่ชินรู้สึก จะว่าอะไรไหมถ้าจะเป็นตัวของตัวเอง”“ก็เป็นอยู่แล้วไม่ใช่ไง? ทั้งสัสทั้งกู”“จริงดิ”“ชนะ!”หูฟังเขาพูดแต่สายตาผมก็ยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ตลอดเวลาเล่นเกม เขานี่ก็ถามผมอย่างกับตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาผมแทบไม่ได้ยินอะไรเสนาะหูจากปากของเขาสักครั้ง เขายังมีน่ามาถามอีกว่าจริงไหม แต่ผมก็ไม่สนใจเล่นเกมจนชนะ“หิวข้าวว่ะ”“มีมาม่าในครัว”“ทำให้หน่อยดิ...นะ”เขาพูดขึ้นและมองหน้าผมตาปริบ ๆ สิ่งที่ผมมองเห็นนี่ไม่ผิดใช่ไหม ไฟฟ้าอายุใกล้เลขสามที่หมายถึงสามขวบจริง ๆ ใช่ไหม ทำไมเขาดูเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ แต่บางครั้งทำไมก็ดูเป็นผู้ใหญ่ใจกล้าเกินไป“อย่าหาทำแบบนี้อีกนะ เห็นแล้วจะอ้วกทำอะไรหัดดูตัวเองบ้าง”“ไอ้!!”“อะ อะ พูดดี ๆ นะไม่งั้นก็ไปทำกินเอง”“น้องเคมีครับ ต้มมาม่าให้พี่ไฟฟ้าแดก เอ๊ย! รับประทานสักชามสิครับ พลีส”“อันนี้ก็ดูตอแหลไป”“สรุปมึงจะให้กูพูดยังไงไอ้เคมี ไหนมึงว่ามาสิครับ”
“กูอยากจะทุบมือถือแม่งให้พัง เสียงดังน่ารำคาญ...ที่เดิมของเรา แหวะ”ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี มันน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกทั้งผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวเคมีสักนิด จนมาถึงข้อความสุดท้ายที่มีคำว่า ที่เดิมของเรา ยิ่งสะกิดต่อความน้อยใจของผมหนักกว่าเดิม จนทนไม่ได้เลยบอกลาแบบห้วน ๆ แล้วเดินออกจากห้องหนีมา ไม่กล้าจะหันกลับไปมองซึ่งหน้าเพราะกลัวว่าความรู้สึกที่กำลังเป็นจะพานหัวร้อน จนเผลอเสียงดังใส่เจ้าของมือถือ เลยต้องข่มอารมณ์น้อยใจเดินจากมา“รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ปะวะ น้อยใจฉิบหายเลยว่ะ หงุดหงิดรมณ์เสียโว้ย!”ปัง! “โอ๊ย ไอ้ประตูใจร้าย ขนาดมึงจะทำกูเจ็บได้เนอะ”ความน้อยใจปนหงุดหงิดทำให้ผมเตะประตูห้องใครก็ไม่รู้จนเสียงดัง เจ็บตีนฉิบหายเลยครับจนร้องโอดโอย ยกเท้าขึ้นมาลูบ ๆ ถูก ๆ ให้มันบรรเทาความเจ็บลง(ตัวเห้ที่ไหนมาก่อกวนวะ! คนจะหลับจะนอน)“เวรแล้วไงกู เห้พ่องเด้หล่อขนาดนี้”เสียงตะโกนจากด้านในทำให้ผมต้องรีบเผ่น แต่ปากก็ยังไม่วายอ้อนตีน ตะโกนด่าตอบ ถามว่ากลัวไหมก็กลัวครับ กลัวมันมีพวกมากกว่าผม มันติดเป็นสันดานไปแล้วล่ะครับ ขาก็รีบวิ่งกลัวว่าเจ้าของห้องจะออกมาเจอ แต่รอดครับผมใส่เกีย
"พอได้แล้วไฟฟ้า” นี่เสียงใครผมพยายามใช้สายตาที่แสนพร่ามัวจ้องมอง อ๋อ...ไอ้กลาสนี่เองที่พูดกับผม“นานทีน่าเพื่อนรัก” ผมตอบเพื่อน“ระวังจะปวดแผล” กลาสมันสวนขึ้นอีกรอบ ไอ้นี่ก็ห่วงผมจัง ขนาดผมยังไม่ค่อยห่วงตัวเองเลย ก็ไม่รู้มันจะห่วงอะไรนักหนา“กูไม่ถึกเหมือนควายเว้ยเพื่อนกลาส...มาดื่มเป็นเพื่อนกูนี่มา”“ไม่ดื่ม”“อะไรวะดื่มดิ”“แล้วมึงก็หยุดดื่มด้วย”“แล้วจะโมโหใส่กูทำไมเนี่ย เอาแก้วกูมากลาส โอ๊ยแม่ง!”กลาสมันพูดเสียงแข็ง และแย่งแก้วเหล้าผมไป ทำให้ผมต้องโวยวายใส่มัน จะคว้าเอาแก้วเหล้าแต่ดันคว้าอากาศมาแทน จนเสียหลักล้มหน้ากระแทกกับโต๊ะ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงเว้ยวันนี้“กิตมึงดูมันดิ มันแย่งแก้วกูกิต มันแย่งแก้วกู มึงต้องช่วยกูนะกิต” ไม่รู้ว่าผมมีอาการเป็นยังไง เมาครับแต่ว่ายังสามารถพูดได้ แต่ฟังรู้เรื่องไหมผมก็ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าลิ้นมันเริ่มจะพันกัน“ไอ้ไฟทำมึงเรื้อนได้ขนาดนี้” เสียงใครไม่รู้ด่าผม“มึงเป็นใครมาด่ากูวะ” ผมเลยพยายามจะมองหน้ามัน แต่ไอ้นี่ดันเป็นพ่อมดครับ มันแยกร่างได้เหมือนโต๊ะสนุ๊กเลย“เฮ้อกูจะบ้าตาย” แล้วมันก็ถอนหายใจ แถมยังผลักผมอีก“กูต้องทำยังไงดี ทำไมเป็นกูไม่ได้ เป็นกูไ
แสงแดดอ่อนรำไรแยงเข้าตา ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น นอนนิ่งมองเพดานสักพักก่อนจะหยัดตัวนั่ง หันไปมองไอ้ขี้เมาที่นอนเอาขามาหนุนหมอนแทนหัว เจริญจริง ๆ ครับเมื่อคืนผมนอนฝันร้ายเพราะแบบนี้สินะ“มึงนะมึง ดีไม่ยัดตีนทาบหน้ากู”ผมบ่นให้คนที่ยังนอนไม่รู้เรื่อง แล้วลงจากเตียงไปจัดการธุระส่วนตัว แล้วเข้าครัวไปดูว่าพอจะทำอะไรกินได้บ้าง ซึ่งคิดแล้วไม่น่าจะมี ถามวิถีชายโสดกินง่ายอยู่ง่าย ใช้เงินซื้อกินเอาครับ ผมเลยออกไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋สาย ๆ ค่อยหากินใหม่อีกที“ตื่นไวจังวะ”“กูตกเตียง...แม่งปวดหัวฉิบหายเลยว่ะ”กลับจากซื้อมื้อเช้าเข้ามาในห้องเจอไอ้เพื่อนขี้เมานั่งเกาหัวฟูฟ่องอยู่บนพื้น ผมกะจะเข้าไปดูว่ามันตื่นหรือยัง แต่ต้องพบกับสภาพที่โคตรจะรุงรังซกมกจนต้องส่ายหัว“สมควร พระคงลงโทษมึงที่เอาตีนมาให้กูดมทั้งคืน” ผมด่ามัน“เว่อ กูทำแบบนั้นซะที่ไหน” ยังไม่รู้ตัวอีกว่าสร้างภาระให้ผมมากแค่ไหน“ก็ที่นี่ไง” ผมบอกย้ำ“กูทำงั้นจริงดิกลาส” ยังไม่คิดเชื่ออีกครับ“สันดานตัวเองไม่รู้ไง ต้องให้กูอธิบายเพิ่ม?” “ไม่ต้อง ๆ แค่นี้กูก็รับตัวเองไม่ค่อยจะได้ละ ไปล้างหน้าก่อนนะ”“อืม”จากนั้นไฟฟ้ามันก็เดินไปล้างหน้า
(ไฟฟ้า)"หายไปไหนกันหมดเงียบกริบ" ผมมาถึงบ้านที่มีแต่ความว่างเปล่า พ่อกับแม่ที่มักนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีก็ไม่เห็นสักคน"พ่อ...แม่" ผมเดินวนหาพร้อมแหกปากเรียกเสียงดังก็ไม่มีใครขานรับ เลยเดินวกกลับมาหน้าบ้าน เผื่อพวกท่านจะไปเดินเล่นในสวน"ที่นี่ก็ไม่มี ไปไหนกันหมด" บ่น ๆ ไปก็นึกได้ว่าผมควรโทรหาดีกว่าต่อสายไปนานก็ไม่มีการตอบรับ พวกท่านไม่รับสาย ผมจึงลองกดโทรอีกครั้งซ้ำหลาย ๆ รอบ บางทีอาจจะไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า และในที่สุด..."พ่อกับแม่ไปไหนกัน ผมมาบ้านไม่เห็นเจอใคร?"("ไฟฟ้า ฮึก ฮือ") เสียงแม่รับสายทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี"แม่ร้องไห้เหรอ มันเกิดอะไรขึ้น"("พ่อลื่นล้มตอนนี้แม่อยู่โรงพยาบาล zz ไฟฟ้า ฮือ พ่อ พ่อจะเป็นอะไรไหม")"ผมจะรีบไปหาแม่รอผมอยู่ที่นั่น ใจเย็น ๆ นะแม่ พ่อต้องไม่เป็นอะไร แม่อย่าไปไหนผมขับรถแป๊บเดียว"("ขับรถระวังนะลูก")"ครับ"สิ่งที่แม่บอกทำให้ผมตกใจ รีบวิ่งไปที่รถแล้วขับออกจากบ้านไป พ่อล้มตอนไหนทำไมไม่มีใครบอกผม หัวใจของผมมันเหมือนจะหลุดลงปลายเท้า เมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น เมื่อคืนผมไม่น่าออกไปเที่ยวเลย ผมน่าจะอยู่บ้านกับพ่อแม่คอยดูแลพวกท่าน ผมมันเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง!ม
ผมกลับมาบ้านเพื่อเอาของใช้ไปให้แม่ ผมต้องคุยกับหมอดอมนี่ให้ยอมช่วยพ่อของผม ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ต่อให้ใช้ต้องพยายามแค่ไหนต้องช่วยพ่อให้ได้“พ่อยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ”“ยังเลยลูก”“ผมขอโทษนะแม่ที่เป็นลูกที่แย่มาก ๆ ดูแลพ่อกับแม่ได้ไม่ดีพอ”ผมเดินเข้ามาใกล้แม่แล้วถาม สีหน้าของแม่ยังคงมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ น้ำตาของแม่ทำให้ผมรู้สึกผิด หากเมื่อคืนผมไม่ออกไปเที่ยวกินเหล้าจนเมา บางทีพ่อคงจะไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้ก็ได้ แม่ก็คงไม่ต้องลำบากพาพ่อมาโรงพยาบาลเองเพียงลำพัง ทั้งที่แม่ก็อายุมากแล้ว“มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าโทษตัวเองแบบนั้น พ่อเขาก็ไม่ได้โทษไฟฟ้าหรอกนะลูก...อย่าคิดมากนะ”“ผมจะดูพ่อกับแม่ให้ดีกว่าเดิม ผมสัญญาว่าจะต้องหาหมอมารักษาพ่อให้ได้”เป็นแม่ที่กอดปลอบผม มือของแม่ลูบหัวของผมเบา ๆ มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน ผมกอดแม่แน่นด้วยความรู้สึกผิด แม้แม่จะบอกว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ถึงยังไงมันก็สะท้อนความเป็นลูกแย่ ๆ ของผมอยู่ดี พ่อแม่เพียงคนเดียวผมยังดูแลได้ไม่ดีเลย...“แม่ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมเดี๋ยวผมออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” ผมผละกอดออกแล้วบอกแม่“อืม”“แม่รอผมแป๊บเดียวนะ”“ระวังด้วยนะไฟฟ้า แ
“ผมมาหาหมอดอม” วิ่งมาถึงอย่างกับหมาหอบ ผมรีบบอกกับพยาบาลประจำเคาน์เตอร์ทันที“คุณหมอตรวจคนไข้อยู่ค่ะ มีอะไรหรือนัดคุณหมอไว้ไหมคะ?” พยาบาลบอกและถามผมต่อ“ไม่ได้นัด แต่ผมมีธุระจะคุยกับหมอดอมด่วน” ผมรีบบอกพยาบาล“ต้องรอก่อนค่ะ หมอดอมยังไม่ว่าง” พยาบาลนี่ไม่ได้ดั่งใจผมเอาซะเลย“นานแค่ไหน?” ผมเลยข่มอารมณ์ไว้ สูดหายใจเข้าปอดให้ลึก แล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม“ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่ตอนนี้หมอดอมไม่ว่างยังไงก็ต้องรอก่อน”“โอเครอก็รอ”สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายรอด้วยความใจเย็น ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ข้างในผมร้อนเหมือนไฟ อยากจะคุยกับหมอดอมนั่นไว ๆ ให้รู้เรื่อง ...ผมนั่งตรงเก้าอี้มองนาฬิกาไม่รู้ต่อกี่รอบ ก็ยังไม่เห็นหมอดอมจะโผล่หัวมา แต่ผมก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เตือนตัวเองย้ำ ๆ ว่านี่คือโรงพยาบาล มีคนไข้ที่รอการรักษามากมาย“แม่งไม่มาสักทีวะ” ผมบ่นอยู่คนเดียว ผมต้องรออีกนานแค่ไหนกัน จนผมจะเริ่มข่มตาไว้ไม่อยู่แล้ว อ้าปากสามหาวแล้วก็ยังไม่มาสักที ล้าจนเปลือกตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้วตอนนี้เสียงของคนคุยกันอยู่ไกล ๆ ทำให้ผมตื่นตัวและรีบหันไปมอง เป็นหมอในชุดกาวน์สีขาวสามคนและพยาบาลเดินออกมาจากห้องคนไข้
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่
(เคมี)สองวันต่อมาผมกับพี่ไฟฟ้านัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอย แต่เขาดันติดงานด่วน ที่นัดกันไว้เลยถูกยกเลิก ตอนนี้ผมก็เลยได้แต่นั่งรอพี่ไฟฟ้าเลิกงานเพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อเย็นผมนั่งรถมาหากะว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอยพร้อมกัน แต่ดันโดนเท เลยได้แต่นั่งเหงาอยู่คนเดียวในรถ สิ่งที่พอช่วยแก้เหงาได้ก็คือโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ผมเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา แต่ว่าดันเจอกับภาพด้านหลังของคนที่คุ้นตา ผมขยายภาพนั้นดูและทำให้มั่นใจว่าคนในภาพคือคนที่ผมรู้จัก ผมรีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวทันที ทำให้ผมเบิกตาโตตกใจ เพราะมันเป็นภาพแอบถ่ายจากด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง แม้ภาพจะเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมก็จดจำรูปร่างเค้าโครงหน้านี้ได้แม่นยำ เธอคือพี่เพชรพลอยแน่นอน เขาอุ้มพี่เพชรพลอยเข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง และผมก็เดาทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่กลาส เพราะล่าสุดพวกเขาสองคนยังเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาล"ทำไมพี่กลาสต้องอุ้มพี่เพชรพลอย แค่แกล้งกลบข่าวหรือว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกนะ?" ผมอ่านข่าวก็ได้แต่คิดสงสัย และผมต้องหยุดความคิดเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถ เป็นคนที่ผมรอ"ทำอะไรอะ หน้ามุ่ยเชียว" พี่ไฟฟ้าถาม"พี่เห
“แล้วนั่นจะไปไหน”“เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บนึง”“กูไปเป็นเพื่อนไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกผมไปแค่แป๊บเดียว”“โอเค”ผมถามเมื่อเห็นเคมีลุกขึ้นยืน รีบจับมือมันรั้งไว้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นอันเข้าใจ ด้วยความที่ผมนึกห่วงจึงอาสาพาไป แต่น้องมันดันปฏิเสธผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเคมีก็เดินออกไปจากโต๊ะ ผมมองตามหลังจนเคมีเดินลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าของตัวเอง“พี่ไฟฟ้าคะ”“หื้ม?”เสียงของน้องเพชรพลอยเรียก ทำให้ผมหันไปสนใจ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดไม่ปกติ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นเม็ดเหงื่อเริ่มชุ่มตามใบหน้าของเธอ“เพชรพลอยเป็นอะไรมากไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย” ไอ้ไม้เดินมาดูอีกคนแล้วถามขึ้น“หนูอยากไปห้องน้ำค่ะ” เธอพยายามเปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูไม่สู้ดีเลยครับ“น้องเพชรพลอยโอเคไหม?” ผมถามแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกยืน“ไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ หนูปวดท้องมาก”“พี่ช่วยนะ”ผมกับไอ้ไม้เลยช่วยกันประคองน้องเพชรพลอยคนละข้างให้ลุกยืน สองมือของเธอกุมตรงหน้าท้องเอาไว้ สีหน้าเหลืองซีดอย่างกับคนกำลังเจ็บปวดทรมาน เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ ครับ แต่พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อเรื่องราวของพวกเขา ผมก็ไม่อาจจะเข้าไปแ
“งุ้ย! พี่ไฟฟ้าทำไมน่ารักจังแกะกุ้งให้เคมีด้วย” น้องเพชรพลอยเธอพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยวางใส่จานให้เคมี“พูดเพื่อ!?” แล้วไอ้กลาสก็พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง แล้วมองหน้าน้องเพชรพลอย ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้จ้องคู่นี้เป็นสายตาเดียวด้วยความลุ้นระทึก ว่ามันจะตีกันไหม?“สามีก็แกะให้เมียบ้างสิคะ😚”((ง่อวววว)) พวกผมเลยประสานเสียงแซวพร้อมกัน แต่ไอ้กลาสดันจ้องพวกผมตาเป็นมันอย่างเอาเรื่อง“ใครผัวมึง” แล้วมันก็หันไปกระแทกเสียงใส่น้องเพชรพลอย“พี่ไงคะ” แต่เหมือนว่าน้องจะไม่ใส่ใจคำพูดไอ้กลาสเท่าไหร่ เธอตอบโต้และฉีกยิ้มจนตาหยี“มึงก็พูดกับน้องมันเพราะ ๆ หน่อยไอ้กลาส...นั่นเมียมึงนะ” ผมก็เลยพูดแซว“เมียพ่อง!” แล้วไอ้กลาสก็ด่าผมเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับปากับแกล้มใส่หน้าผม“เขินจังเลยค่ะ” ไอ้กลาสพูดจบน้องเพชรพลอยเธอก็ทำท่าทางเขินอาย บิดซ้ายบิดขวาเหมือนกับว่ากำลังยั่วประสาท ส่วนไอ้กลาสผมเห็นถอนหายใจออกมาก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก น้องเพชรพลอยนี่เธอตีมึนได้ดีจริง ๆ“ยัยประสาท”“ขอบคุณนะคะที่ชม แล้วไม่แกะกุ้งให้หนูบ้างเหรอคะ หนูรอพี่กลาสแกะให้อยู่นะ”“ไม่มีมือหรือไง”“มีค่ะ แต่อยากให้สามีแกะให้