สองวันที่ผมอยู่เป็นเพื่อนแม่เฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล และวันนี้ผมต้องทำงานเมื่อคืนเลยต้องกลับไปนอนบ้าน ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อแวะไปเยี่ยมพ่อ และต้องเอาของใช้ส่วนตัวให้แม่ สีหน้าของพ่อดีขึ้นกว่าเดิม รู้สึกใจชื้นเลยครับ“กินข้าวเยอะ ๆ นะพ่อจะได้กลับบ้านเร็ว ๆ” ผมพูดกับพ่อที่นอนอยู่บนเตียง ท่านพยักหน้าให้ว่ารับรู้“ไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่” พูดตอบผมเสียงเบา แต่ก็พอจะได้ยิน คงจะยังไม่มีแรงมากนัก“ฝืนหน่อยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่หาย ใครจะไปดูไอ้เสือให้ล่ะ ผมไม่เลี้ยงให้นานหรอกนะรู้เปล่า” ผมพูดแหย่อยากให้พ่อมีกำลัง ไอ้เสือคือหมาที่พ่อรักมาก รักกว่าผมที่เป็นลูกแท้ ๆ อีกละมั้ง“แกนี่” แค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตำหนิผมทางสายตา เห็นแบบนี้ผมก็รู้สึกดี รอยยิ้มเล็กน้อยของพ่อทำให้ผมมีแรงและกำลังใจ“เจ็ดโมงกว่าแล้วเดี๋ยวผมไปทำงานก่อนนะ เลิกงานเดี๋ยวผมมาหาใหม่” ผมบอกพ่อกับแม่“ขับรถดี ๆ นะไฟฟ้า อย่าใจร้อนให้มากรู้ไหม?” แม่อวยพรก่อนจะย้ำเตือน“ครับผม...ไปละนะไม่ต้องคิดถึงผมนะเดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกัน” ผมเดินไปกอดแม่ แล้วพูดแหย่พ่อทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วย“ญาติคุณมนตรีคะ?” แต่บังเอิญเจอกับหมอบีเข้าพอดี เ
“คิวคุยกับพ่อเขาไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ไปคุยธุระแป๊บเดียว” แม่พูดกับคิว“ครับแม่ เดี๋ยวผมดูแลพ่อให้” คิวมันก็ใจดี ตบปากรับคำของแม่ด้วยรอยยิ้ม“ฝากพ่อด้วยเดี๋ยวกูมา” ผมตบบ่าคิวเบา ๆ แล้วบอกก่อนจะเดินมากับแม่“เออไฟฟ้า เมื่อสายที่มาตรวจหมอบีบอกแม่ว่าให้ไฟฟ้าลองคุยกับหมอดอมอีกเป็นไงบ้างลูก ได้คุยกับหมอดอมบ้างหรือยัง”“ผมยังไม่ได้คุยเลย เมื่อเช้าผมรีบไปเข้างาน กะว่าจะหาเวลาไปคุยเย็นนี้แหละ”“ลูกต้องคุยใจเย็น ๆ เข้าใจไหม อย่าใจร้อน”“ครับ”“รับปากแม่แล้วทำให้ได้ล่ะ...แม่ห่วงพ่ออยากหาทางรักษาเร็ว ๆ”“ผมเหมือนกัน”แม่จับแขนผมออกมาจากห้อง ปล่อยให้คิวกับพ่ออยู่ด้วยกัน แล้วแม่ก็ถามผมในเรื่องเมื่อเช้า คงหมอบีนั่นแหละที่เล่าให้ฟัง เธอค่อนข้างใส่ใจคนไข้ดีมาก เฝ้าติดตามถามอาการของพ่อตลอด รู้สึกโชคดีที่เจอหมอแบบนี้“พ่อเป็นไงบ้าง”“ก็ดีแค่พ่อไม่กินข้าวไม่ค่อยลง”“ฝืนกินหน่อยนะพ่อจะได้กลับบ้านไปหาไอ้เสือไว ๆ ไง ผมกับมันจะฆ่ากันตายแล้วนะตอนนี้”“แกต้องดูแลเสือของพ่อดี ๆ นะ อย่าลืมอาบน้ำให้น้องด้วย”ผมกับแม่เดินกลับเข้ามาในห้อง ชวนพ่อคุยอยากให้ท่านผ่อนคลาย และพูดถึงไอ้หมาตัวแสบแสนรักของพ่อ ที่รักปานลูกแท
ผมลากคิวมาบนดาดฟ้า เพื่อที่ว่าจะให้มันสงบสติอารมณ์ที่ร้อนเป็นไฟ ผมทิ้งมันไว้ให้อยู่คนเดียวก่อนจะลงไปซื้อน้ำ แล้วไม่นานก็กลับขึ้นมาใหม่“ดื่มน้ำเย็น ๆ หน่อยไหม?” ผมยื่นน้ำให้ตรงหน้าคิว“.....” คิวรับน้ำจากมือของผมไป แต่สายตามองไกลออกไปด้านหน้า ผมไม่เคยเห็นคิวเป็นแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่รู้จักกันมา“ถ้ามึงไว้ใจแล้วมีอะไรอยากระบายกับกูได้นะคิว กูรับฟังมึงเสมอ”ผมจับบ่าคิวเบา ๆ แล้วพูดขึ้น สีหน้าของคิวเริ่มอ่อนลง แล้วหันมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“ผมขอโทษนะ”“มึงจะขอโทษกูทำไมล่ะ ไม่มีอะไรที่ต้องมาขอโทษกูหรอก”คิวมันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ผมเห็นน้องมันมีสีหน้าแบบนั้นก็ไม่รู้จะปลอบมันยังไง เลยพูดออกไปตามสไตล์ที่ผมเป็น“ที่ผมโกหกว่าไม่รู้จักหมอดอม”“เฮ้ย ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อยน่า กูไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้นหรอก มึงอาจจะมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ?”“ที่จริงผม...”“พร้อมค่อยพูด ถ้าพูดออกมาแล้วไม่สบายใจก็อย่าเพิ่ง”น้ำเสียงของคิวที่พูดกับผมเหมือนกับคนรู้สึกผิด มองหน้าผมแล้วก็หยุดคำพูดไป จึงพูดปลอบและยิ้มให้ ไม่อยากให้น้องมันคิดมาก อยากจะปลอบให้น้องมันรู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้นะ แต่ว่าผมปลอบคนไม่ค่อยเป็นทำได้เพียงแ
(เคมี)“หายไปไหนของเขานะ...แชตไม่อ่าน หรือจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า”หลายวันแล้วกับการที่ไฟฟ้าเงียบหายไป แชตไม่อ่านไลน์ไม่ตอบ ซึ่งมันค่อนข้างจะผิดปกติจากที่ผ่านมา ก่อนหน้าเขาต้องคอยแชตมากวนบ่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรถึงได้เงียบกริบแบบนี้ นึกห่วงกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บอีกหรือเปล่า เพราะแผลเก่าที่แขนเขาก็ยังไม่หายดีติ่ง เสียงเตือนข้อความไลน์ในมือถือดังขึ้น ผมตกใจจนรีบเปิดอ่าน เพราะคิดว่าเป็นการตอบกลับมาของไฟฟ้า แต่ว่า...(“มาเจอกันได้ไหม เดือนจะรอเคอยู่ที่ร้านเดิมนะ”)“ได้สิ...กี่โมง”(“เจอกันตอนเที่ยงนะ เราจะได้กินข้าวด้วยกัน”)“OK”ผมอ่านข้อความไลน์ของนับเดือน ก่อนหน้าเธอก็ทักหา แต่ว่าผมไม่ได้ออกไปเจอ บอกเธอว่าไม่ว่างซึ่งผมก็ไม่ว่างจริง ๆ ไม่อยากจะพบหน้าเธอด้วยสภาพที่มีรอยบาดแผล แต่ตอนนี้มันหายดีแล้วผมออกมาที่ร้านเดิมที่นับเดือนนัดพบ เธอโบกให้สัญญาณผมจึงส่งยิ้มบาง ๆ ให้แล้วเดินเข้าไปหา“เดือนสั่งของที่เคชอบมาให้เยอะเลย”“แล้วเขา...”“ไม่อยู่น่ะไปดูงานที่ต่างประเทศ”เดือนพูดกับผมด้วยรอยยิ้มดีใจ ผมถามไถ่ถึงสามีของเธอเพราะห่วงว่าเขาจะรู้ แล้วอาจจะทำร้ายเดือน แต่ก็เหมือนเราสองคนจะเข้าใจกัน
(ไฟฟ้า)วันนี้ผมมาไซต์งานกับคิวอีกตามเคย งานที่ยุ่งมากเพราะบริษัทมีโปรเจ็คใหม่เข้ามา ทำให้ผมหัวหมุนแทบเป็นเกลียว โอทีก็ต้องทำมากขึ้น ต้องการเงินไว้รักษาพ่อที่กำลังป่วย ผมเลยต้องขยันให้มากกว่าแต่ก่อน จนไม่มีเวลาไปหาเพื่อน“ไง” เสียงใครคนหนึ่งทำให้ผมต้องหันไปมอง ในขณะที่ยืนดูงานกับคิว“ไอ้กลาส มาได้ไงวะ” ผมหันไปต้องตกใจ กลาสมันมาได้ยังไง“ขับรถมา” ดูมันตอบผม“เออกูรู้ แล้วรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่นี่” ผมเอือมกับมันจริง ๆ เย็นชาไม่พอแถมกวนตีนอีก“กูเก่ง” ยอมมันเลยจริง ๆ ท่าทางนิ่งขรึมของกลาส ความเย็นชาที่ผมจะประสาทแดก“เออช่างแม่งเหอะ นี่คิวเพื่อนร่วมงานกู...คิวนี่กลาสเพื่อนสนิทกู” ผมปัดความอยากรู้จากกลาส แล้วแนะนำคิวให้รู้จัก“หวัดดีครับพี่”“อืม”คิวมันยกมือไหว้กลาสเป็นคนที่นอบน้อมมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไอ้เพื่อนของผมนี่สิ ตอบสั้นเหลือเกินจนคิวมันหน้าเจื่อนลง“มันนิ่งแบบนี้แหละ แต่นิสัยดี” ผมหันไปบอกคิว“เท่ดีพี่ งั้นเดี๋ยวผมไปดูตรงนั้นแป๊บนะพี่ไฟฟ้า”“อืม กูฝากด้วยนะ”“ครับ”คิวมันยิ้มแล้วชี้ไปยังหน้างาน ก่อนจะเดินออกไป ผมเลยหันกลับมามองไอ้กลาส ที่ยืนนิ่งเหมือนกับพระอิฐพระปูน มันก็เอาแต่จ้องหน้า
@โรงพยาบาลแห่งหนึ่งไอ้กลาสมันขับรถโคตรไว ผมว่าผมคงไม่ตายเพราะเลือดไหลหมดตัวแล้วล่ะ แต่จะตายเพราะใจวายก่อน แล้วไอ้เพื่อนรักก็ไม่ได้สนใจผมที่นั่งข้าง ๆ นะ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว ผมก็โคตรเสียวจนหยุดกลั้นหายใจเวลาที่กลาสมันแซง บางทีเผลอเหยียบเบรกช่วยมันอีก“เฮ้อ กูถึงโรงพยาบาลโดยที่ยังหายใจอยู่” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่ง“พูดมาก” ว่าผมตลอดไอ้ห่านี่ผมเปิดประตูลงจากรถ กลาสมันก็เดินมาประคองแขน แล้วพาเข้าไปด้านไหน กลาสมันส่งผมที่ห้องฉุกเฉินก่อนจะไปจัดการทำทะเบียนประวัติตามที่พยาบาลบอก ส่วนผมก็นั่งนิ่ง ๆ ให้พยาบาลทำแผลให้จนเสร็จ โดนเย็บไปสามเข็มเบา ๆ ครับงานนี้“เจ็บแล้วให้จำ” ผมทำแผลเสร็จเดินออกมา ก็โดนไอ้กลาสมันสวดเลยครับ สวดแบบสีหน้ายมทูตหน้าตายของมันนั่นแหละ แต่ผมไม่กลัวหรอก“ครับพ่อ” ผมตอบมันแบบประชดลากเสียงยาว“ไม่ได้อยากเป็นพ่อมึง”“แหมทำเป็น อยากเป็นเมียกูรึไง?”"ได้?"“!!”"....."ผมกับกลาสเดินเคียงกันมาจะไปเคาน์เตอร์รับยาแล้วจ่ายเงิน ระหว่างทางก็พูดคุยกันตามประสาเพื่อน แต่ก็ตกใจเมื่อกลาสมันย้อนถามสั้น ๆ กลาสมันก็ตอบผมด้วยท่าทางนิ่งขรึมตามแบบมันนั่นแหละ จนมีประโยคหนึ่งที่ผม
“สนิทกัน?” เดินออกมาจนเกือบจะถึงห้องพักของพ่อ กลาสมันก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากที่เงียบมาตั้งนาน“ไม่หรอก แต่กูต้องการให้เขารักษาพ่อ” ผมบอกเพื่อนตามความจริง“คนอื่นล่ะ?” กลาสมันย้อนถาม“ลองปรึกษากับหมอคนอื่นแล้วเนื้องอกจุดที่พ่อเป็นมันเสี่ยงเกินไป เขาเป็นหมอที่เก่งและชำนาญเรื่องระบบประสาทสมองที่สุดในโรงพยาบาลนี้ แต่เขาไม่ยอมผ่าตัด” ผมก็เลยอธิบายคร่าว ๆ เอาใจความสำคัญเล่าให้กลาสฟัง“ทำไม?” หยุดเดินแล้วหันมามอง จากนั้นมันย้อนถามสั้น ๆ“ไม่รู้สิ กูเลยจะลองขอร้องเขาอีกทีเผื่อเปลี่ยนใจ”“แล้วถ้าไม่?”“กูคิดว่าครั้งนี้เขาน่าจะยอม”“มีแผน?”“ไม่มีหรอก แต่กูจะลองพูดกับเขาแบบใจเย็นดู เผื่อว่าเขาใจยอมใจอ่อน”ผมตอบกลาสพร้อมกับถอนหายใจออกมา ไม่รู้หรอกว่าการคุยครั้งนี้มันจะสำเร็จไหม แต่ผมก็ภาวนาขอให้ทุกคำพูดของผมหมอดอมเห็นใจ และยอมช่วยผ่าตัดให้กับพ่อ เพราะหมอก้องก็บอกแล้วว่าเขากลัวมันเสี่ยง เนื่องจากเนื้องอกอยู่ช่วงจุดสำคัญ มีเพียงหมอดอมเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพ่อของผมได้“เข้าไปหาพ่อกันเถอะ”“อืม”ผมพูดจบและทำใจ ก่อนจะชวนกลาสเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เปิดประตูเข้าไปไม่พบพ่อกับแม่ มองหาแต่ว่าไม่ไ
(กลาส)“ขอบใจนะที่มาส่ง”“อืม”ไฟฟ้ามันปลดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับบอกผม ตอนนี้มาส่งเพื่อนที่หน้าไซต์งาน ตามที่ตกลงกันไว้เมื่อวาน พยักหน้ารับรู้ก่อนจะขับรถออกไป ที่จริงวันนี้ผมจะอยู่ที่โครงการ แต่พ่อดันโทรมาบอกว่าเรียกประชุมด่วนผู้ถือหุ้น ผมเลยต้องวนรถกลับเข้าบริษัทระหว่างทางขับรถผมก็ย้อนนึกถึงคำพูดตัวเองที่พูดไปเมื่อคืนกับไฟฟ้า การแอบรักมันก็เหมือนเราดึงเชือกที่ตึงยิ่งดึงก็ยิ่งเจ็บมือ ผมสามารถพูดแนะนำเพื่อนได้ แต่ทำไมกับตัวเองผมถึงรู้สึกว่ามันทำได้ยากมากเลยล่ะ สำหรับการตัดใจจากใครสักคน แล้วเราแอบรักเขามาตั้งนาน ผิดที่ผมเองแหละไม่กล้าบอกความรู้สึกจริง ๆ พอเขาเจอคนที่ชอบดันกลัวจะเสียเขาไปให้คนอื่น กลัวแม้จะไม่มีแม้กระทั่งคำว่าเพื่อนและที่ให้ผมยืนเอี๊ยด! โครม! ความคิดใจลอยทำให้ผมไม่ได้ตั้งใจมองทาง จึงชนเข้าอย่างจังกับรถคันข้างหน้าที่จอดรอไฟแดงจนท้ายบุบ...โคตรซวย!เห็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เหมือนหมากระเป๋าเดินมาทางผมด้วยสีหน้าโกรธจัด อย่างกับว่าเธอพร้อมจะปะทะใส่ผมมากในตอนนี้ และเธอกำลังเคาะกระจกรถของผมพร้อมกับยืนมือเท้าสะเอว“ลืมตาไว้ที่บ้านเหรอคะถึงได้ชนท้ายรถฉัน ทั้งที่จอดรอไฟแดงอยู่ ฉันจอดน
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่
(เคมี)สองวันต่อมาผมกับพี่ไฟฟ้านัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอย แต่เขาดันติดงานด่วน ที่นัดกันไว้เลยถูกยกเลิก ตอนนี้ผมก็เลยได้แต่นั่งรอพี่ไฟฟ้าเลิกงานเพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อเย็นผมนั่งรถมาหากะว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอยพร้อมกัน แต่ดันโดนเท เลยได้แต่นั่งเหงาอยู่คนเดียวในรถ สิ่งที่พอช่วยแก้เหงาได้ก็คือโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ผมเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา แต่ว่าดันเจอกับภาพด้านหลังของคนที่คุ้นตา ผมขยายภาพนั้นดูและทำให้มั่นใจว่าคนในภาพคือคนที่ผมรู้จัก ผมรีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวทันที ทำให้ผมเบิกตาโตตกใจ เพราะมันเป็นภาพแอบถ่ายจากด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง แม้ภาพจะเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมก็จดจำรูปร่างเค้าโครงหน้านี้ได้แม่นยำ เธอคือพี่เพชรพลอยแน่นอน เขาอุ้มพี่เพชรพลอยเข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง และผมก็เดาทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่กลาส เพราะล่าสุดพวกเขาสองคนยังเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาล"ทำไมพี่กลาสต้องอุ้มพี่เพชรพลอย แค่แกล้งกลบข่าวหรือว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกนะ?" ผมอ่านข่าวก็ได้แต่คิดสงสัย และผมต้องหยุดความคิดเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถ เป็นคนที่ผมรอ"ทำอะไรอะ หน้ามุ่ยเชียว" พี่ไฟฟ้าถาม"พี่เห
“แล้วนั่นจะไปไหน”“เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บนึง”“กูไปเป็นเพื่อนไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกผมไปแค่แป๊บเดียว”“โอเค”ผมถามเมื่อเห็นเคมีลุกขึ้นยืน รีบจับมือมันรั้งไว้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นอันเข้าใจ ด้วยความที่ผมนึกห่วงจึงอาสาพาไป แต่น้องมันดันปฏิเสธผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเคมีก็เดินออกไปจากโต๊ะ ผมมองตามหลังจนเคมีเดินลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าของตัวเอง“พี่ไฟฟ้าคะ”“หื้ม?”เสียงของน้องเพชรพลอยเรียก ทำให้ผมหันไปสนใจ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดไม่ปกติ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นเม็ดเหงื่อเริ่มชุ่มตามใบหน้าของเธอ“เพชรพลอยเป็นอะไรมากไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย” ไอ้ไม้เดินมาดูอีกคนแล้วถามขึ้น“หนูอยากไปห้องน้ำค่ะ” เธอพยายามเปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูไม่สู้ดีเลยครับ“น้องเพชรพลอยโอเคไหม?” ผมถามแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกยืน“ไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ หนูปวดท้องมาก”“พี่ช่วยนะ”ผมกับไอ้ไม้เลยช่วยกันประคองน้องเพชรพลอยคนละข้างให้ลุกยืน สองมือของเธอกุมตรงหน้าท้องเอาไว้ สีหน้าเหลืองซีดอย่างกับคนกำลังเจ็บปวดทรมาน เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ ครับ แต่พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อเรื่องราวของพวกเขา ผมก็ไม่อาจจะเข้าไปแ
“งุ้ย! พี่ไฟฟ้าทำไมน่ารักจังแกะกุ้งให้เคมีด้วย” น้องเพชรพลอยเธอพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยวางใส่จานให้เคมี“พูดเพื่อ!?” แล้วไอ้กลาสก็พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง แล้วมองหน้าน้องเพชรพลอย ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้จ้องคู่นี้เป็นสายตาเดียวด้วยความลุ้นระทึก ว่ามันจะตีกันไหม?“สามีก็แกะให้เมียบ้างสิคะ😚”((ง่อวววว)) พวกผมเลยประสานเสียงแซวพร้อมกัน แต่ไอ้กลาสดันจ้องพวกผมตาเป็นมันอย่างเอาเรื่อง“ใครผัวมึง” แล้วมันก็หันไปกระแทกเสียงใส่น้องเพชรพลอย“พี่ไงคะ” แต่เหมือนว่าน้องจะไม่ใส่ใจคำพูดไอ้กลาสเท่าไหร่ เธอตอบโต้และฉีกยิ้มจนตาหยี“มึงก็พูดกับน้องมันเพราะ ๆ หน่อยไอ้กลาส...นั่นเมียมึงนะ” ผมก็เลยพูดแซว“เมียพ่อง!” แล้วไอ้กลาสก็ด่าผมเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับปากับแกล้มใส่หน้าผม“เขินจังเลยค่ะ” ไอ้กลาสพูดจบน้องเพชรพลอยเธอก็ทำท่าทางเขินอาย บิดซ้ายบิดขวาเหมือนกับว่ากำลังยั่วประสาท ส่วนไอ้กลาสผมเห็นถอนหายใจออกมาก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก น้องเพชรพลอยนี่เธอตีมึนได้ดีจริง ๆ“ยัยประสาท”“ขอบคุณนะคะที่ชม แล้วไม่แกะกุ้งให้หนูบ้างเหรอคะ หนูรอพี่กลาสแกะให้อยู่นะ”“ไม่มีมือหรือไง”“มีค่ะ แต่อยากให้สามีแกะให้