“กูอยากจะทุบมือถือแม่งให้พัง เสียงดังน่ารำคาญ...ที่เดิมของเรา แหวะ”
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี มันน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกทั้งผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวเคมีสักนิด จนมาถึงข้อความสุดท้ายที่มีคำว่า ที่เดิมของเรา ยิ่งสะกิดต่อความน้อยใจของผมหนักกว่าเดิม จนทนไม่ได้เลยบอกลาแบบห้วน ๆ แล้วเดินออกจากห้องหนีมา ไม่กล้าจะหันกลับไปมองซึ่งหน้าเพราะกลัวว่าความรู้สึกที่กำลังเป็นจะพานหัวร้อน จนเผลอเสียงดังใส่เจ้าของมือถือ เลยต้องข่มอารมณ์น้อยใจเดินจากมา
“รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ปะวะ น้อยใจฉิบหายเลยว่ะ หงุดหงิดรมณ์เสียโว้ย!”
ปัง!
“โอ๊ย ไอ้ประตูใจร้าย ขนาดมึงจะทำกูเจ็บได้เนอะ”
ความน้อยใจปนหงุดหงิดทำให้ผมเตะประตูห้องใครก็ไม่รู้จนเสียงดัง เจ็บตีนฉิบหายเลยครับจนร้องโอดโอย ยกเท้าขึ้นมาลูบ ๆ ถูก ๆ ให้มันบรรเทาความเจ็บลง
(ตัวเห้ที่ไหนมาก่อกวนวะ! คนจะหลับจะนอน)
“เวรแล้วไงกู เห้พ่องเด้หล่อขนาดนี้”
เสียงตะโกนจากด้านในทำให้ผมต้องรีบเผ่น แต่ปากก็ยังไม่วายอ้อนตีน ตะโกนด่าตอบ ถามว่ากลัวไหมก็กลัวครับ กลัวมันมีพวกมากกว่าผม มันติดเป็นสันดานไปแล้วล่ะครับ ขาก็รีบวิ่งกลัวว่าเจ้าของห้องจะออกมาเจอ แต่รอดครับผมใส่เกียร์หมาวิ่งอย่างไว ตามให้ตายก็ไม่มีทางทัน
“เสียใจแล้วยังต่อมาเจ็บตีนฟรี ๆ อีก เฮ้อ ไฟฟ้านะไฟฟ้ามึงมันหน้าตาดีแต่ไม่มีใครรัก”
ผมเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้ทำแค่ต้องการผ่อนคลายจากความรู้สึกที่แสนหนักอึ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าผมจะตกอยู่ในสภาพนี้
“สติเว้ยไฟฟ้า มึงต้องตั้งสติไอ้ฟาย ไม่ใช่ว่ามึงไม่เคยเสียใจสักหน่อย มึงก็เคยโดนทิ้งมาก่อนยังผ่านมาได้เลย แค่นี้เล็กน้อยปะวะ ยังไงมึงก็ยังได้เป็นเพื่อนกับเขา...เฮ้อ ใกล้บ้าหนักแล้วกู” ผมชี้หน้าว่าตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมายาว เสียงที่ดังพร้อมการสั่นถี่ของโทรศัพท์มือถือมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะแอบมอง ผมจ้องอ่านทีละข้อความที่แสดงบนหน้าจอมือถือของเคมี ชื่อที่ผมไม่รู้จักแต่ข้อความที่เห็นทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าเธอคนนี้เป็นใคร ผู้หญิงที่เคมีรักและคงลืมไม่ลง
ๆ
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ทำให้สติที่กำลังล่องลอยไปกับสายลม ต้องย้อนกลับคืนมา ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามองดูตรงหน้าจอ เป็นไอ้ไม้ที่โทรเข้ามาจึงกดรับสาย
📳
“โทรมาหาแป๊ะมึงเหรอ กูไม่ว่างกำลังเสียใจอยู่ไม่รู้ไง”
(ไอ้งั่งกูจะรู้ไหมเล่า แค่จะชวนมาแดกเหล้าเฉย ๆ)
“ที่ไหน?”
(ทีงี้ตอบไวเชียวมึง ตะกี้ยังแหกปากด่ากูอยู่เลย)
“กูถามว่าที่ไหน?”
(จะมา?)
“เออ”
(เป็นไรวะทำไมถึงเสียใจ ปกติมึงออกจะเฮฮาบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนคนไม่เต็มแถมเป็นประสาท)
“กูจะกระทืบมึงไม้ รอแป๊บเดี๋ยวกูไป”
(อย่างกับรู้ว่าพวกกูอยู่ที่ไหนงั้นแหละ)
“โต๊ะสนุ๊กเฮียปอนด์”
(โคตรเทพ)
“กูมันระดับปรมาจารย์เทพอีก แล้วเจอกัน”
พูดจบผมก็วางสายทันที ดีเหมือนกันอยากจะปลดปล่อยจากความรู้สึกหงอย ๆ นี้พอดี จังหวะเดียวกันกับที่วางสายจากไอ้ไม้ แชตไลน์ของเคมีก็เด้งมาพอดี ผมอ่านผ่านหน้าจอแจ้งเตือนเท่านั้น ยังไม่อยากจะเปิดเข้าไปแล้วกระแทกความรู้สึกให้เจ็บหน่วงหัวใจ
(มีอะไรหรือเปล่า เห็นรีบออกไปไหนบอกว่าหิว)
(ใกล้ถึงบ้านหรือยัง)
นี่แหละครับข้อความที่เคมีมันส่งมา แค่เพียงสองประโยคเท่านั้นที่ผมอ่าน จากนั้นก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง แล้วรีบบึ่งไปหาเพื่อนที่กำลังรอผมอย่างใจจดใจจ่อ
ไม่ถึงชั่วโมงผมก็ขับรถมาถึงที่หมาย เดินเข้าไปหาเพื่อนสายตามองไปที่โต๊ะประจำที่เคยมา เจอไอ้สามตัวโบกมือให้ จึงพยักหน้าตอบรับ
“ไงมึง” ไอ้ไม้ทักทายคนแรก
“ก็ไม่ไง” ผมตอบแบบขอทีไปที ก็ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับใคร
“ไหนบอกกูว่าเสียใจ เรื่องอะไรเล่ามาซิ” ไอ้ไม้ถามต่อ ไอ้ห่านี่ขี้เสือก
“.....” ผมเงียบไม่ตอบ กระดกเหล้าลงคอให้มันบาดลึกเข้าไป เผื่อว่าจะหายเศร้า
“เงียบอีกไอ้กูก็รอฟังด้วยความตั้งใจ” ไอ้กิตเพื่อนผู้แสนจัญไรพูดขึ้น
“มึงมันขี้เสือก” ไอ้กลาสที่เงียบอยู่นาน ก็พูดขึ้นตกหน้าไอ้ไม้ไปเต็ม ๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชม” กิตมันย้อนด้วยหน้าด้าน ๆ ของมันที่ด้านพอกับผมนี่แหละ ก็เพื่อนกันไงศีลต้องเสมอ
“เล่าดิรอฟัง เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้” กลาสมันพูดนิ่ม ๆ ไอ้นี่พูดน่าฟังสุดในกลุ่มแล้วครับ
ผมฟังที่เพื่อนพูดคุย แต่มันไม่อยากจะอ้าปากพูด ได้แต่กระดกเหล้าลงคอแก้วต่อแก้วติดกัน เอาให้มันหนำใจเผื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้นบ้าง
“แล้วแขนไปโดนอะไรมา” กิตถามนั่นจึงทำให้สายตาของเพื่อนเพ่งมาที่แขนของผม
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” ตอบเพื่อนก่อนจะยกแก้วเหล้าดื่มต่อ
“เพิ่งเกิด?” กลาสถามอีกรอบ
“อืม”
“งั้นก็ไม่ควรดื่มเหล้า” กลาสบอกพร้อมกับสายตาที่จ้องผม ไอ้นี่มันกำลังข่มขู่ด้วยสายตา ถามว่ากลัวไหมไม่มีทางหรอกครับ
“อย่าห่วงเลยน่าไม่เป็นอะไรหรอกแค่นี้เอง” ผมพูดปัดเพราะขี้เกียจฟังกลาสบ่น
“พูดไม่ยอมฟัง” แต่มันก็บ่นอยู่ดี บ่นด้วยท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาตามประสามันนั่นแหละ
“กลาสมันเป็นห่วงมึงไงไฟฟ้า มึงก็ฟัง ๆ มันบ้าง” กิตมันตบบ่าผมแล้วพูด
“นั่นดิ เดี๋ยวแผลไม่หายสักที มึงไปเสียใจอะไรนักหนาอย่างกับโดนทิ้งมางั้นแหละ” ไม้ก็พูดต่อ แถมยังกระแทกใจผมอีก
ซึ่งผมก็เข้าใจแหละว่าเพื่อนห่วง แต่ตอนนี้ผมอยากคลายความเสียใจที่ไม่มีสิทธิ์นั้นให้มันหายไป ไม่อยากเป็นแบบนี้แต่นึกทีไรก็น้อยใจไม่หาย บอกตัวเองนะว่าไม่มีสิทธิ์อะไรกับเคมี นอกจากคำว่าเพื่อนเท่านั้น แต่ความรู้สึกของผมมันถลำลึกจนห้ามไม่ได้ไง ผมคิดเกินกว่าคำว่าเพื่อนไปไกลแล้ว เพียงแต่ต้องรักษาสถานะเอาไว้
“จะว่างั้นก็ใช่ จะไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ผมตอบ
“อะไรของมึงเนี่ยไฟฟ้า” ไอ้ไม้พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ช่างหัวกูเหอะ...มาดื่มเป็นเพื่อนกูนี่มา” ผมเลยพูดต่อไม่อยากให้เสียบรรยากาศไปมากกว่านี้
“กูล่ะปวดหัวกับมึงมากไอ้ไฟ” กิตมันพูดต่อ ไอ้นี่ก็คงเอือมระอาผมเกินต้าน
“อย่าว่าแต่มึงเลยขนาดกูยังปวดหัวกับตัวเองฉิบหาย” อย่าว่าแต่เพื่อนปวดหัวกับผม ขนาดตัวผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน โคตรเก่งทำให้ตัวเองปวดประสาทได้เอง นักเลงไหมล่ะครับ...เริ่มจะอึนมองไปเห็นโต๊ะสนุ๊กแยกร่างได้อีกต่างหาก
"พอได้แล้วไฟฟ้า” นี่เสียงใครผมพยายามใช้สายตาที่แสนพร่ามัวจ้องมอง อ๋อ...ไอ้กลาสนี่เองที่พูดกับผม“นานทีน่าเพื่อนรัก” ผมตอบเพื่อน“ระวังจะปวดแผล” กลาสมันสวนขึ้นอีกรอบ ไอ้นี่ก็ห่วงผมจัง ขนาดผมยังไม่ค่อยห่วงตัวเองเลย ก็ไม่รู้มันจะห่วงอะไรนักหนา“กูไม่ถึกเหมือนควายเว้ยเพื่อนกลาส...มาดื่มเป็นเพื่อนกูนี่มา”“ไม่ดื่ม”“อะไรวะดื่มดิ”“แล้วมึงก็หยุดดื่มด้วย”“แล้วจะโมโหใส่กูทำไมเนี่ย เอาแก้วกูมากลาส โอ๊ยแม่ง!”กลาสมันพูดเสียงแข็ง และแย่งแก้วเหล้าผมไป ทำให้ผมต้องโวยวายใส่มัน จะคว้าเอาแก้วเหล้าแต่ดันคว้าอากาศมาแทน จนเสียหลักล้มหน้ากระแทกกับโต๊ะ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงเว้ยวันนี้“กิตมึงดูมันดิ มันแย่งแก้วกูกิต มันแย่งแก้วกู มึงต้องช่วยกูนะกิต” ไม่รู้ว่าผมมีอาการเป็นยังไง เมาครับแต่ว่ายังสามารถพูดได้ แต่ฟังรู้เรื่องไหมผมก็ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าลิ้นมันเริ่มจะพันกัน“ไอ้ไฟทำมึงเรื้อนได้ขนาดนี้” เสียงใครไม่รู้ด่าผม“มึงเป็นใครมาด่ากูวะ” ผมเลยพยายามจะมองหน้ามัน แต่ไอ้นี่ดันเป็นพ่อมดครับ มันแยกร่างได้เหมือนโต๊ะสนุ๊กเลย“เฮ้อกูจะบ้าตาย” แล้วมันก็ถอนหายใจ แถมยังผลักผมอีก“กูต้องทำยังไงดี ทำไมเป็นกูไม่ได้ เป็นกูไ
แสงแดดอ่อนรำไรแยงเข้าตา ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น นอนนิ่งมองเพดานสักพักก่อนจะหยัดตัวนั่ง หันไปมองไอ้ขี้เมาที่นอนเอาขามาหนุนหมอนแทนหัว เจริญจริง ๆ ครับเมื่อคืนผมนอนฝันร้ายเพราะแบบนี้สินะ“มึงนะมึง ดีไม่ยัดตีนทาบหน้ากู”ผมบ่นให้คนที่ยังนอนไม่รู้เรื่อง แล้วลงจากเตียงไปจัดการธุระส่วนตัว แล้วเข้าครัวไปดูว่าพอจะทำอะไรกินได้บ้าง ซึ่งคิดแล้วไม่น่าจะมี ถามวิถีชายโสดกินง่ายอยู่ง่าย ใช้เงินซื้อกินเอาครับ ผมเลยออกไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋สาย ๆ ค่อยหากินใหม่อีกที“ตื่นไวจังวะ”“กูตกเตียง...แม่งปวดหัวฉิบหายเลยว่ะ”กลับจากซื้อมื้อเช้าเข้ามาในห้องเจอไอ้เพื่อนขี้เมานั่งเกาหัวฟูฟ่องอยู่บนพื้น ผมกะจะเข้าไปดูว่ามันตื่นหรือยัง แต่ต้องพบกับสภาพที่โคตรจะรุงรังซกมกจนต้องส่ายหัว“สมควร พระคงลงโทษมึงที่เอาตีนมาให้กูดมทั้งคืน” ผมด่ามัน“เว่อ กูทำแบบนั้นซะที่ไหน” ยังไม่รู้ตัวอีกว่าสร้างภาระให้ผมมากแค่ไหน“ก็ที่นี่ไง” ผมบอกย้ำ“กูทำงั้นจริงดิกลาส” ยังไม่คิดเชื่ออีกครับ“สันดานตัวเองไม่รู้ไง ต้องให้กูอธิบายเพิ่ม?” “ไม่ต้อง ๆ แค่นี้กูก็รับตัวเองไม่ค่อยจะได้ละ ไปล้างหน้าก่อนนะ”“อืม”จากนั้นไฟฟ้ามันก็เดินไปล้างหน้า
(ไฟฟ้า)"หายไปไหนกันหมดเงียบกริบ" ผมมาถึงบ้านที่มีแต่ความว่างเปล่า พ่อกับแม่ที่มักนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีก็ไม่เห็นสักคน"พ่อ...แม่" ผมเดินวนหาพร้อมแหกปากเรียกเสียงดังก็ไม่มีใครขานรับ เลยเดินวกกลับมาหน้าบ้าน เผื่อพวกท่านจะไปเดินเล่นในสวน"ที่นี่ก็ไม่มี ไปไหนกันหมด" บ่น ๆ ไปก็นึกได้ว่าผมควรโทรหาดีกว่าต่อสายไปนานก็ไม่มีการตอบรับ พวกท่านไม่รับสาย ผมจึงลองกดโทรอีกครั้งซ้ำหลาย ๆ รอบ บางทีอาจจะไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า และในที่สุด..."พ่อกับแม่ไปไหนกัน ผมมาบ้านไม่เห็นเจอใคร?"("ไฟฟ้า ฮึก ฮือ") เสียงแม่รับสายทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี"แม่ร้องไห้เหรอ มันเกิดอะไรขึ้น"("พ่อลื่นล้มตอนนี้แม่อยู่โรงพยาบาล zz ไฟฟ้า ฮือ พ่อ พ่อจะเป็นอะไรไหม")"ผมจะรีบไปหาแม่รอผมอยู่ที่นั่น ใจเย็น ๆ นะแม่ พ่อต้องไม่เป็นอะไร แม่อย่าไปไหนผมขับรถแป๊บเดียว"("ขับรถระวังนะลูก")"ครับ"สิ่งที่แม่บอกทำให้ผมตกใจ รีบวิ่งไปที่รถแล้วขับออกจากบ้านไป พ่อล้มตอนไหนทำไมไม่มีใครบอกผม หัวใจของผมมันเหมือนจะหลุดลงปลายเท้า เมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น เมื่อคืนผมไม่น่าออกไปเที่ยวเลย ผมน่าจะอยู่บ้านกับพ่อแม่คอยดูแลพวกท่าน ผมมันเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง!ม
ผมกลับมาบ้านเพื่อเอาของใช้ไปให้แม่ ผมต้องคุยกับหมอดอมนี่ให้ยอมช่วยพ่อของผม ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ต่อให้ใช้ต้องพยายามแค่ไหนต้องช่วยพ่อให้ได้“พ่อยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ”“ยังเลยลูก”“ผมขอโทษนะแม่ที่เป็นลูกที่แย่มาก ๆ ดูแลพ่อกับแม่ได้ไม่ดีพอ”ผมเดินเข้ามาใกล้แม่แล้วถาม สีหน้าของแม่ยังคงมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ น้ำตาของแม่ทำให้ผมรู้สึกผิด หากเมื่อคืนผมไม่ออกไปเที่ยวกินเหล้าจนเมา บางทีพ่อคงจะไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้ก็ได้ แม่ก็คงไม่ต้องลำบากพาพ่อมาโรงพยาบาลเองเพียงลำพัง ทั้งที่แม่ก็อายุมากแล้ว“มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าโทษตัวเองแบบนั้น พ่อเขาก็ไม่ได้โทษไฟฟ้าหรอกนะลูก...อย่าคิดมากนะ”“ผมจะดูพ่อกับแม่ให้ดีกว่าเดิม ผมสัญญาว่าจะต้องหาหมอมารักษาพ่อให้ได้”เป็นแม่ที่กอดปลอบผม มือของแม่ลูบหัวของผมเบา ๆ มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน ผมกอดแม่แน่นด้วยความรู้สึกผิด แม้แม่จะบอกว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ถึงยังไงมันก็สะท้อนความเป็นลูกแย่ ๆ ของผมอยู่ดี พ่อแม่เพียงคนเดียวผมยังดูแลได้ไม่ดีเลย...“แม่ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมเดี๋ยวผมออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” ผมผละกอดออกแล้วบอกแม่“อืม”“แม่รอผมแป๊บเดียวนะ”“ระวังด้วยนะไฟฟ้า แ
“ผมมาหาหมอดอม” วิ่งมาถึงอย่างกับหมาหอบ ผมรีบบอกกับพยาบาลประจำเคาน์เตอร์ทันที“คุณหมอตรวจคนไข้อยู่ค่ะ มีอะไรหรือนัดคุณหมอไว้ไหมคะ?” พยาบาลบอกและถามผมต่อ“ไม่ได้นัด แต่ผมมีธุระจะคุยกับหมอดอมด่วน” ผมรีบบอกพยาบาล“ต้องรอก่อนค่ะ หมอดอมยังไม่ว่าง” พยาบาลนี่ไม่ได้ดั่งใจผมเอาซะเลย“นานแค่ไหน?” ผมเลยข่มอารมณ์ไว้ สูดหายใจเข้าปอดให้ลึก แล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม“ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่ตอนนี้หมอดอมไม่ว่างยังไงก็ต้องรอก่อน”“โอเครอก็รอ”สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายรอด้วยความใจเย็น ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ข้างในผมร้อนเหมือนไฟ อยากจะคุยกับหมอดอมนั่นไว ๆ ให้รู้เรื่อง ...ผมนั่งตรงเก้าอี้มองนาฬิกาไม่รู้ต่อกี่รอบ ก็ยังไม่เห็นหมอดอมจะโผล่หัวมา แต่ผมก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เตือนตัวเองย้ำ ๆ ว่านี่คือโรงพยาบาล มีคนไข้ที่รอการรักษามากมาย“แม่งไม่มาสักทีวะ” ผมบ่นอยู่คนเดียว ผมต้องรออีกนานแค่ไหนกัน จนผมจะเริ่มข่มตาไว้ไม่อยู่แล้ว อ้าปากสามหาวแล้วก็ยังไม่มาสักที ล้าจนเปลือกตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้วตอนนี้เสียงของคนคุยกันอยู่ไกล ๆ ทำให้ผมตื่นตัวและรีบหันไปมอง เป็นหมอในชุดกาวน์สีขาวสามคนและพยาบาลเดินออกมาจากห้องคนไข้
สองวันที่ผมอยู่เป็นเพื่อนแม่เฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล และวันนี้ผมต้องทำงานเมื่อคืนเลยต้องกลับไปนอนบ้าน ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อแวะไปเยี่ยมพ่อ และต้องเอาของใช้ส่วนตัวให้แม่ สีหน้าของพ่อดีขึ้นกว่าเดิม รู้สึกใจชื้นเลยครับ“กินข้าวเยอะ ๆ นะพ่อจะได้กลับบ้านเร็ว ๆ” ผมพูดกับพ่อที่นอนอยู่บนเตียง ท่านพยักหน้าให้ว่ารับรู้“ไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่” พูดตอบผมเสียงเบา แต่ก็พอจะได้ยิน คงจะยังไม่มีแรงมากนัก“ฝืนหน่อยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่หาย ใครจะไปดูไอ้เสือให้ล่ะ ผมไม่เลี้ยงให้นานหรอกนะรู้เปล่า” ผมพูดแหย่อยากให้พ่อมีกำลัง ไอ้เสือคือหมาที่พ่อรักมาก รักกว่าผมที่เป็นลูกแท้ ๆ อีกละมั้ง“แกนี่” แค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตำหนิผมทางสายตา เห็นแบบนี้ผมก็รู้สึกดี รอยยิ้มเล็กน้อยของพ่อทำให้ผมมีแรงและกำลังใจ“เจ็ดโมงกว่าแล้วเดี๋ยวผมไปทำงานก่อนนะ เลิกงานเดี๋ยวผมมาหาใหม่” ผมบอกพ่อกับแม่“ขับรถดี ๆ นะไฟฟ้า อย่าใจร้อนให้มากรู้ไหม?” แม่อวยพรก่อนจะย้ำเตือน“ครับผม...ไปละนะไม่ต้องคิดถึงผมนะเดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกัน” ผมเดินไปกอดแม่ แล้วพูดแหย่พ่อทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วย“ญาติคุณมนตรีคะ?” แต่บังเอิญเจอกับหมอบีเข้าพอดี เ
“คิวคุยกับพ่อเขาไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ไปคุยธุระแป๊บเดียว” แม่พูดกับคิว“ครับแม่ เดี๋ยวผมดูแลพ่อให้” คิวมันก็ใจดี ตบปากรับคำของแม่ด้วยรอยยิ้ม“ฝากพ่อด้วยเดี๋ยวกูมา” ผมตบบ่าคิวเบา ๆ แล้วบอกก่อนจะเดินมากับแม่“เออไฟฟ้า เมื่อสายที่มาตรวจหมอบีบอกแม่ว่าให้ไฟฟ้าลองคุยกับหมอดอมอีกเป็นไงบ้างลูก ได้คุยกับหมอดอมบ้างหรือยัง”“ผมยังไม่ได้คุยเลย เมื่อเช้าผมรีบไปเข้างาน กะว่าจะหาเวลาไปคุยเย็นนี้แหละ”“ลูกต้องคุยใจเย็น ๆ เข้าใจไหม อย่าใจร้อน”“ครับ”“รับปากแม่แล้วทำให้ได้ล่ะ...แม่ห่วงพ่ออยากหาทางรักษาเร็ว ๆ”“ผมเหมือนกัน”แม่จับแขนผมออกมาจากห้อง ปล่อยให้คิวกับพ่ออยู่ด้วยกัน แล้วแม่ก็ถามผมในเรื่องเมื่อเช้า คงหมอบีนั่นแหละที่เล่าให้ฟัง เธอค่อนข้างใส่ใจคนไข้ดีมาก เฝ้าติดตามถามอาการของพ่อตลอด รู้สึกโชคดีที่เจอหมอแบบนี้“พ่อเป็นไงบ้าง”“ก็ดีแค่พ่อไม่กินข้าวไม่ค่อยลง”“ฝืนกินหน่อยนะพ่อจะได้กลับบ้านไปหาไอ้เสือไว ๆ ไง ผมกับมันจะฆ่ากันตายแล้วนะตอนนี้”“แกต้องดูแลเสือของพ่อดี ๆ นะ อย่าลืมอาบน้ำให้น้องด้วย”ผมกับแม่เดินกลับเข้ามาในห้อง ชวนพ่อคุยอยากให้ท่านผ่อนคลาย และพูดถึงไอ้หมาตัวแสบแสนรักของพ่อ ที่รักปานลูกแท
ผมลากคิวมาบนดาดฟ้า เพื่อที่ว่าจะให้มันสงบสติอารมณ์ที่ร้อนเป็นไฟ ผมทิ้งมันไว้ให้อยู่คนเดียวก่อนจะลงไปซื้อน้ำ แล้วไม่นานก็กลับขึ้นมาใหม่“ดื่มน้ำเย็น ๆ หน่อยไหม?” ผมยื่นน้ำให้ตรงหน้าคิว“.....” คิวรับน้ำจากมือของผมไป แต่สายตามองไกลออกไปด้านหน้า ผมไม่เคยเห็นคิวเป็นแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่รู้จักกันมา“ถ้ามึงไว้ใจแล้วมีอะไรอยากระบายกับกูได้นะคิว กูรับฟังมึงเสมอ”ผมจับบ่าคิวเบา ๆ แล้วพูดขึ้น สีหน้าของคิวเริ่มอ่อนลง แล้วหันมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“ผมขอโทษนะ”“มึงจะขอโทษกูทำไมล่ะ ไม่มีอะไรที่ต้องมาขอโทษกูหรอก”คิวมันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ผมเห็นน้องมันมีสีหน้าแบบนั้นก็ไม่รู้จะปลอบมันยังไง เลยพูดออกไปตามสไตล์ที่ผมเป็น“ที่ผมโกหกว่าไม่รู้จักหมอดอม”“เฮ้ย ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อยน่า กูไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้นหรอก มึงอาจจะมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ?”“ที่จริงผม...”“พร้อมค่อยพูด ถ้าพูดออกมาแล้วไม่สบายใจก็อย่าเพิ่ง”น้ำเสียงของคิวที่พูดกับผมเหมือนกับคนรู้สึกผิด มองหน้าผมแล้วก็หยุดคำพูดไป จึงพูดปลอบและยิ้มให้ ไม่อยากให้น้องมันคิดมาก อยากจะปลอบให้น้องมันรู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้นะ แต่ว่าผมปลอบคนไม่ค่อยเป็นทำได้เพียงแ
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่
(เคมี)สองวันต่อมาผมกับพี่ไฟฟ้านัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอย แต่เขาดันติดงานด่วน ที่นัดกันไว้เลยถูกยกเลิก ตอนนี้ผมก็เลยได้แต่นั่งรอพี่ไฟฟ้าเลิกงานเพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อเย็นผมนั่งรถมาหากะว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอยพร้อมกัน แต่ดันโดนเท เลยได้แต่นั่งเหงาอยู่คนเดียวในรถ สิ่งที่พอช่วยแก้เหงาได้ก็คือโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ผมเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา แต่ว่าดันเจอกับภาพด้านหลังของคนที่คุ้นตา ผมขยายภาพนั้นดูและทำให้มั่นใจว่าคนในภาพคือคนที่ผมรู้จัก ผมรีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวทันที ทำให้ผมเบิกตาโตตกใจ เพราะมันเป็นภาพแอบถ่ายจากด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง แม้ภาพจะเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมก็จดจำรูปร่างเค้าโครงหน้านี้ได้แม่นยำ เธอคือพี่เพชรพลอยแน่นอน เขาอุ้มพี่เพชรพลอยเข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง และผมก็เดาทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่กลาส เพราะล่าสุดพวกเขาสองคนยังเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาล"ทำไมพี่กลาสต้องอุ้มพี่เพชรพลอย แค่แกล้งกลบข่าวหรือว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกนะ?" ผมอ่านข่าวก็ได้แต่คิดสงสัย และผมต้องหยุดความคิดเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถ เป็นคนที่ผมรอ"ทำอะไรอะ หน้ามุ่ยเชียว" พี่ไฟฟ้าถาม"พี่เห
“แล้วนั่นจะไปไหน”“เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บนึง”“กูไปเป็นเพื่อนไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกผมไปแค่แป๊บเดียว”“โอเค”ผมถามเมื่อเห็นเคมีลุกขึ้นยืน รีบจับมือมันรั้งไว้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นอันเข้าใจ ด้วยความที่ผมนึกห่วงจึงอาสาพาไป แต่น้องมันดันปฏิเสธผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเคมีก็เดินออกไปจากโต๊ะ ผมมองตามหลังจนเคมีเดินลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าของตัวเอง“พี่ไฟฟ้าคะ”“หื้ม?”เสียงของน้องเพชรพลอยเรียก ทำให้ผมหันไปสนใจ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดไม่ปกติ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นเม็ดเหงื่อเริ่มชุ่มตามใบหน้าของเธอ“เพชรพลอยเป็นอะไรมากไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย” ไอ้ไม้เดินมาดูอีกคนแล้วถามขึ้น“หนูอยากไปห้องน้ำค่ะ” เธอพยายามเปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูไม่สู้ดีเลยครับ“น้องเพชรพลอยโอเคไหม?” ผมถามแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกยืน“ไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ หนูปวดท้องมาก”“พี่ช่วยนะ”ผมกับไอ้ไม้เลยช่วยกันประคองน้องเพชรพลอยคนละข้างให้ลุกยืน สองมือของเธอกุมตรงหน้าท้องเอาไว้ สีหน้าเหลืองซีดอย่างกับคนกำลังเจ็บปวดทรมาน เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ ครับ แต่พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อเรื่องราวของพวกเขา ผมก็ไม่อาจจะเข้าไปแ
“งุ้ย! พี่ไฟฟ้าทำไมน่ารักจังแกะกุ้งให้เคมีด้วย” น้องเพชรพลอยเธอพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยวางใส่จานให้เคมี“พูดเพื่อ!?” แล้วไอ้กลาสก็พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง แล้วมองหน้าน้องเพชรพลอย ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้จ้องคู่นี้เป็นสายตาเดียวด้วยความลุ้นระทึก ว่ามันจะตีกันไหม?“สามีก็แกะให้เมียบ้างสิคะ😚”((ง่อวววว)) พวกผมเลยประสานเสียงแซวพร้อมกัน แต่ไอ้กลาสดันจ้องพวกผมตาเป็นมันอย่างเอาเรื่อง“ใครผัวมึง” แล้วมันก็หันไปกระแทกเสียงใส่น้องเพชรพลอย“พี่ไงคะ” แต่เหมือนว่าน้องจะไม่ใส่ใจคำพูดไอ้กลาสเท่าไหร่ เธอตอบโต้และฉีกยิ้มจนตาหยี“มึงก็พูดกับน้องมันเพราะ ๆ หน่อยไอ้กลาส...นั่นเมียมึงนะ” ผมก็เลยพูดแซว“เมียพ่อง!” แล้วไอ้กลาสก็ด่าผมเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับปากับแกล้มใส่หน้าผม“เขินจังเลยค่ะ” ไอ้กลาสพูดจบน้องเพชรพลอยเธอก็ทำท่าทางเขินอาย บิดซ้ายบิดขวาเหมือนกับว่ากำลังยั่วประสาท ส่วนไอ้กลาสผมเห็นถอนหายใจออกมาก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก น้องเพชรพลอยนี่เธอตีมึนได้ดีจริง ๆ“ยัยประสาท”“ขอบคุณนะคะที่ชม แล้วไม่แกะกุ้งให้หนูบ้างเหรอคะ หนูรอพี่กลาสแกะให้อยู่นะ”“ไม่มีมือหรือไง”“มีค่ะ แต่อยากให้สามีแกะให้