-เพื่อนกัน-
(เคมี)
“เลี้ยงข้าวผมวันนี้เลยไหม?”
“หิวจริงหรือว่าแค่กวนตีนเล่น”
“ไม่สะดวกสินะ”
“ดูสภาพผมซิว่ามันน่าสะดวกตรงไหน?”
“ก็ยังไม่ตายนะ ปากยังดีอยู่”
ระหว่างที่เราสองคนเดินมา ผมต้องหยุดทั้งสองขาทันที เมื่อเขาพูดประโยคเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกอึ้งกับเขาคนนี้จริง ๆ ก็ทั้งที่พอเข้าใจแหละว่ามีลักษณะนิสัยแบบไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะห่ามได้ใจขนาดนี้ สภาพบวมช้ำปากแตกผมคงอ้าปากเคี้ยวข้าวได้มั้ง
“คุณเห็นผมเป็นเทพเซียนจากสวรรค์หรือไง ที่จะรักษาตัวเองให้หายได้ภายในพริบตาอะ...ดูสภาพผมก่อนไหมคุณวิศวะ”
“ผมชื่อไฟฟ้าไม่ใช่วิศวะ”
“ชื่อไรก็ช่างเหอะ เลิกกวนผมสักวันจะตายไหมอะ”
“ก็เห็นดูเครียด ๆ ไงเลยอยากช่วยให้อารมณ์ดี”
“เฮ้อ...อยากด่าแต่เห็นว่าวันนี้คุณช่วยผมไว้หรอกนะ จะละเว้นไว้สักครั้งก็แล้วกัน”
“รอด้วย!”
ถ้าหากผมพูดต่อก็คงจะเถียงกันไม่จบสิ้น เลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ แล้วเดินนำหน้ามา นั่นจึงทำให้นายไฟฟ้านั่นวิ่งตามมาติด ๆ แถมยังเอาแขนมาพาดไหล่ของผมอีก
“เคมี” เดินมาสักพักเขาก็เรียกชื่อของผม
“ว่า?” ผมส่งเสียงสั้น ๆ บ่งบอกว่าผมได้ยินที่เขาเรียก
“คุณจะว่าอะไรไหมถ้าหากผมบอกว่าขอเป็นเพื่อนกับคุณ” เขาพูดขึ้น
“ผมควรดีใจหรือเปล่าที่ได้ยินแบบนี้” ผมพูดแซวพร้อมกันหันไปมองหน้าเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันมองเส้นทาง
“ต้องดีใจดิ มีเพื่อนแบบผมมันไม่ดีตรงไหน”
“ดูแล้วน่าจะทุกตรง”
“เนรคุณไวฉิบหายเลยว่ะ นี่ผมเพิ่งจะช่วยคุณมาแท้ ๆ นะพูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้ได้เหรอ”
“ล้อเล่นน่า...ปกติในชีวิตผมเพื่อนน้อยอยู่แล้ว มีเพื่อนแบบคุณมาเพิ่มชีวิตคงมีสีสันน่าดู”
“ตกลงแล้วนะ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางแสนดีใจ
“อืม” ผมจึงพยักหน้าตอบรับ
ตอนแรกผมก็รู้สึกรำคาญเขานะ แต่พอได้เจอบ่อย ๆ ได้พูดคุยก็เริ่มคุ้นเคยและสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนใจดี แม้จะปากหมาไปบ้างก็ตาม ผมก็รู้สึกว่าเขาคือคนดีและคงเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ สังเกตจากชุดฟอร์มทำงานที่เขาส่งมาให้ผมเห็นบ่อย ๆ ยิ่งวันนี้ที่เราสองคนเจอกันโดยบังเอิญ ในสภาพของผมที่แสนจะยับเยินเขาก็ยังพุ่งเข้าช่วยเหลืออย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า มันเลยทำให้ผมตอบรับการเป็นเพื่อนอย่างไม่มีข้อแม้
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ...ห้ามเปลี่ยนห้ามยกเลิกคำตอบรับ” เขาพูดขึ้นและชี้หน้าผม ดูน้ำเสียงและท่าทางจริงจังมาก
“ผมไม่ใช่คนกลับกลอก”
“สัญญา” เขาพูดพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าของผม ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น
“สัญญา” แม้จะดูไม่เข้าท่า แต่ว่าผมก็ตอบรับการเชื้อเชิญแบบเด็ก ๆ อย่างว่าง่าย และผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตามน้ำอยู่เรื่อย มันคงเริ่มเป็นมิตรภาพที่ดีละมั้ง
“ว่าแต่จะกลับบ้านด้วยสภาพแบบนี้เหรอ?” เขาถามขึ้นในขณะที่เราสองคนเดินมาถึงร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง
"ผมไม่กลับบ้าน กลับไปมีหวังแม่ลมจับพอดี” สภาพแบบนี้ผมคงให้ที่บ้านเห็นไม่ได้ แม่ผมยิ่งเป็นคนอ่อนไหว เจอสภาพเละเทะเข้ามีหวังเป็นลมแน่ ๆ
"แล้วจะไปไหนล่ะเดี๋ยวไปส่ง"
"หอพัก"
"อืม งั้นนั่งรอตรงนี้เดี๋ยวผมจะกลับไปเอารถที่บ้านแป๊บเดียว"
"อืม ระ..."
ประคองผมนั่งพูดจบก็รีบวิ่งจากไปทันที ทั้งที่ผมจะบอกว่าให้ระวังตัวด้วย ก็ได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหัวเบา ๆ กับท่าทีของเขาที่มันร้อนรน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมา จากนั้นก็พาผมไปส่งยังหอพักตามเส้นทางที่ผมเป็นคนบอก
“เดินไหวหรือเปล่า” เขาถามเมื่อรถจอดนิ่งหน้าตึกหอพักที่ผมอาศัย
“ไหว...ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่างในวันนี้ ผมไปล่ะ” ผมบอกเขาพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัย บอกลาแล้วเปิดประตูลงมาจากรถทันที
“ดูสภาพแล้วไม่ไหวหรอก ผมเดินไปส่งดีกว่า”
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิคุณ”
ผมยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็จับแขนผมพาดคอเดินเข้าไปด้านในทันที ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ไม่ได้สนใจคำพูดผมเลยสักนิด สุดท้ายเขาก็ดื้อรั้นขึ้นมาส่งที่ห้องจนได้ ผมทำอะไรได้ล่ะนอกจากปล่อยให้เขาทำตามใจต้องการ
“เริ่มดึกแล้วส่งแค่นี้ก็พอ” ผมบอกเขาเพราะเกรงใจ นี่ก็ทำให้เขาเสียเวลานานแล้ว“พักอยู่ห้องไหน?” ไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด ยังคงประคองผมเดินไปเรื่อย ๆ“แปดแปดหกสาม” ก็ตอบเขาทันที“อ่า ใกล้ถึงแล้วนี่” พูดและชี้ไปทางห้องของผมที่อยู่ไม่ไกล“ไม่สนใจสิ่งที่ผมบอกเลยว่างั้น” ผมถามทีเล่นทีจริง“บอกว่าไงนะไม่เห็นจะได้ยินสักนิด”“เออแล้วแต่เถอะ”และแล้วเราสองคนก็เดินมาถึงห้องพักของผม ห้องพักขนาดพอดีที่มันมีความทรงจำในอดีตระหว่างผมกับคนที่รัก มันเป็นสถานที่ที่ผมยากจะลืม แม้ว่าผมและเธอจะไม่ได้อยู่ห้องนี้ด้วยกันแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำที่แสนสวยงามในวันเก่า ๆ ยังเฝ้าติดตาของผมไม่รู้ลืม“ขอบใจนะที่มาส่ง” ผมพูดก่อนจะไขกุญแจประตู“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง เราเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนมุมปาก“อืม” โคตรซึ้งเลยครับก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับและพยักหน้าเบา ๆ และจากนั้นเขาก็พูดขึ้น“หิวน้ำว่ะ” ยกแขนผมออกแล้วเดินดุ่มนำหน้าเข้าห้องไป ประหนึ่งห้องของตัวเอง ผมได้แต่มองตามหลังตาปริบ ๆ พูดไม่ออกเลยครับ“ปกติเป็นคนหน้าด้านหน้ามึนแบบนี้ป้ะ?” ผมเดินตามหลังเข้ามาแล้วพูดขึ้นอย่างยียวน เดินไปยังตู้เย็นด้วยขาที่
(ไฟฟ้า)“ลืมเรื่องสำคัญไปได้ไงวะกู” ผมเดินมาได้สักพัก บางอย่างก็แว้บเข้ามาในหัว นั่นจึงทำให้ผมเดินวนกลับไปยังห้องเดิมที่เพิ่งออกมาก๊อก ก๊อก ก๊อก เคาะประตูไปสามทีแล้วยืนรอสักพัก แต่ก็ไม่ยักจะมาเปิดประตูให้ ผมเลยตั้งใจจะเคาะซ้ำอีกครั้ง แต่ประตูดันเปิดออกมาพอดี“ลืมอะไรถึงได้ย้อนกลับมา” เขาถามผม สภาพหัวเปียกชุ่ม คงเพิ่งจะอาบน้ำเตรียมพักผ่อน“ของสำคัญ” ผมบอกพร้อมกับสบตาเขาที่ยืนจับประตูอยู่ตรงหน้า ตัวเล็กกว่าผมแต่สายตาโคตรท้าทาย“ของสำคัญ?” เขาถามย้ำ“อืม” ผมก็ยืนยิ้มกริ่มแค่นเสียงตอบรับเบา ๆ“ผมไม่เห็นอะไรที่นอกเหนือจากของที่ผมมี” ไอ้หน้าขาวนี่แม่งจริง ๆ เลย ทำไมมันไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ กว่านี้นะ“เราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?” ย้อนถามประโยคใหม่เผื่อว่าจะเข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิม“ใช่” ตอบแบบอึน ๆ ผมเห็นแล้วก็อยากจะคว่ำกะบาลไปสักป้าบ ได้แต่กัดฟันอดทนเท่านั้นแหละครับ“ก็ต้องมีเบอร์โทรหรืออะไรไว้ติดต่อกันไง ทำไมต้องโชว์โง่ด้วยเล่า” แต่ฟิวขาดครับทนไม่ไหว หัวร้อนจนแหกปากด่าไอ้หน้าขาวนี่ปลดปล่อยอารมณ์ซะหน่อยป้าบ!!! หัวแทบหลุดจากบ่า เพราะว่าไอ้หน้าขาวมันตบหัวผมครับ มันกล้านักผมแค่คิดเองนะ แต่
(เคมี)แปดวันหลังจากที่ผมกับเขามีการติดต่อกัน ทักหาผมทุกวันทั้งที่บางครั้งก็ไม่มีอะไรจะโต้ตอบ ตอนนี้ตามตัวผมเริ่มเห็นรอยเขียวช้ำกว่าเดิม มีอาการปวดแทบลุกไม่ไหว มีเขาคอยมาดูแลและอยู่เป็นเพื่อน แต่วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ข้อความทักทายที่ชอบส่งมาในยามเช้าก็ยังไม่มี ผมคอยมองไปยังหน้าจอมือถือ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเฝ้ารอ อาจเพราะเริ่มชิน?“น่าเบื่อจัง”ตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้ากลับบ้าน ได้แต่โทรบอกพ่อกับแม่ว่าติดธุระแก้ต่างเพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง ผมเลือกที่จะปิดทีวีแล้วหยิบมือถือมาเล่น เลื่อนไปเลื่อนมาก็ดันมาเจอโพสต์ของแฟนเก่า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ เมื่อภาพที่ผมเห็นมันคือภาพที่บ่งบอกว่าเธอกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตกับคนที่เธอแต่งงานด้วย“นับเดือน”ผมมองภาพบนหน้าจอมือถือ แล้วเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ผมรักพร้อมน้ำตาที่มันเริ่มเอ่อขอบตา ยิ่งมองผมก็ยิ่งเสียใจ เสียใจไม่สามารถปกป้องเธอได้ ต้องปล่อยมือเธอทั้งที่เคยสัญญา ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเราสองคนจะเผชิญมันไปด้วยกัน และนั่นก็ดันเป็นเพียงน้ำลายที่ไร้ราคา ผมไม่สามารถทำได้อย่างที่สัญญา“ยินดีด้วยนะ” ผมพิมพ์คอมเมนต์ไป ต่อท้ายประโยคด้วยอิโมจิรอยยิ้ม แต่จ
(ไฟฟ้า)ผมตีมึนรีบกระโดดขึ้นเตียง ทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่อนุญาต แกล้งทำทีว่าผมนอนหลับได้ยินเขาบ่นอะไรสักอย่างผมได้ยินไม่ชัด ถ้าหากผมช้าก็กลัวว่าเขาจะไล่ตะเพิดกลับบ้าน เลยต้องอาศัยความหน้ามึนหน้าด้านที่มีเป็นเอกลักษณ์ เข้าใจผมใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ผ่านไปราวยี่สิบนาทีผมก็พลิกตัวด้วยความเบาที่สุด มองหน้าคนที่นอนหลับสนิท แล้วเริ่มใช้ความคิดว่าหลังจากนี้ผมจะได้รับสถานะที่มากกว่าคำว่าเพื่อนนี้ไหม“เมื่อไหร่จะเป็นได้มากกว่านี้”“.....”จ้องมองใบหน้าที่ขาวเนียนเหมือนผิวผู้หญิงของคนตรงหน้าที่ยังมีรอยช้ำ แล้วพูดขึ้นมาลอย ๆ ภายในใจหวังลึก ๆ ว่าผมจะได้รับโอกาสนั้นสักครั้ง“ได้สักครั้งจะไม่ยอมพลาดเลย”“.....”ผมก็ยังคงพูดคนเดียวพร้อมสายตาที่มองนายเคมี เปลือกตาที่ปิดสนิท ใบหน้าที่ดูสมส่วน เหมือนกับพระเจ้าตั้งใจปั้นขึ้นมา ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตามองไปทางอื่น มันคือสิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ คอยแต่จินตนาการด้วยความหวังว่าจะสักวันเขาจะเปลี่ยนใจ แม้จะดูยากเหลือเกินกับการพลิกหัวใจของใครสักคนที่มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว ให้มาเดินบนเส้นทางเดียวกันสายตาที่จ้องมองไม่กะพริบ กับความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมเก็บกลั้นเอาไว้ในก้นบ
(เคมี)“นี่”“อะไร”ไฟฟ้าเอ่ยขึ้นทำให้ผมที่นั่งเล่นเกมต้องตอบรับ แต่สายตาก็ยังคงจ้องโทรศัพท์อย่างจดจ่อ คลาดสายตาไม่ได้ครับไม่งั้นเดี๋ยวผมจะแพ้“คือแบบว่าเรียกนาย ๆ เรา ๆ ไม่ชินรู้สึก จะว่าอะไรไหมถ้าจะเป็นตัวของตัวเอง”“ก็เป็นอยู่แล้วไม่ใช่ไง? ทั้งสัสทั้งกู”“จริงดิ”“ชนะ!”หูฟังเขาพูดแต่สายตาผมก็ยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ตลอดเวลาเล่นเกม เขานี่ก็ถามผมอย่างกับตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาผมแทบไม่ได้ยินอะไรเสนาะหูจากปากของเขาสักครั้ง เขายังมีน่ามาถามอีกว่าจริงไหม แต่ผมก็ไม่สนใจเล่นเกมจนชนะ“หิวข้าวว่ะ”“มีมาม่าในครัว”“ทำให้หน่อยดิ...นะ”เขาพูดขึ้นและมองหน้าผมตาปริบ ๆ สิ่งที่ผมมองเห็นนี่ไม่ผิดใช่ไหม ไฟฟ้าอายุใกล้เลขสามที่หมายถึงสามขวบจริง ๆ ใช่ไหม ทำไมเขาดูเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ แต่บางครั้งทำไมก็ดูเป็นผู้ใหญ่ใจกล้าเกินไป“อย่าหาทำแบบนี้อีกนะ เห็นแล้วจะอ้วกทำอะไรหัดดูตัวเองบ้าง”“ไอ้!!”“อะ อะ พูดดี ๆ นะไม่งั้นก็ไปทำกินเอง”“น้องเคมีครับ ต้มมาม่าให้พี่ไฟฟ้าแดก เอ๊ย! รับประทานสักชามสิครับ พลีส”“อันนี้ก็ดูตอแหลไป”“สรุปมึงจะให้กูพูดยังไงไอ้เคมี ไหนมึงว่ามาสิครับ”
“กูอยากจะทุบมือถือแม่งให้พัง เสียงดังน่ารำคาญ...ที่เดิมของเรา แหวะ”ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี มันน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกทั้งผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวเคมีสักนิด จนมาถึงข้อความสุดท้ายที่มีคำว่า ที่เดิมของเรา ยิ่งสะกิดต่อความน้อยใจของผมหนักกว่าเดิม จนทนไม่ได้เลยบอกลาแบบห้วน ๆ แล้วเดินออกจากห้องหนีมา ไม่กล้าจะหันกลับไปมองซึ่งหน้าเพราะกลัวว่าความรู้สึกที่กำลังเป็นจะพานหัวร้อน จนเผลอเสียงดังใส่เจ้าของมือถือ เลยต้องข่มอารมณ์น้อยใจเดินจากมา“รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ปะวะ น้อยใจฉิบหายเลยว่ะ หงุดหงิดรมณ์เสียโว้ย!”ปัง! “โอ๊ย ไอ้ประตูใจร้าย ขนาดมึงจะทำกูเจ็บได้เนอะ”ความน้อยใจปนหงุดหงิดทำให้ผมเตะประตูห้องใครก็ไม่รู้จนเสียงดัง เจ็บตีนฉิบหายเลยครับจนร้องโอดโอย ยกเท้าขึ้นมาลูบ ๆ ถูก ๆ ให้มันบรรเทาความเจ็บลง(ตัวเห้ที่ไหนมาก่อกวนวะ! คนจะหลับจะนอน)“เวรแล้วไงกู เห้พ่องเด้หล่อขนาดนี้”เสียงตะโกนจากด้านในทำให้ผมต้องรีบเผ่น แต่ปากก็ยังไม่วายอ้อนตีน ตะโกนด่าตอบ ถามว่ากลัวไหมก็กลัวครับ กลัวมันมีพวกมากกว่าผม มันติดเป็นสันดานไปแล้วล่ะครับ ขาก็รีบวิ่งกลัวว่าเจ้าของห้องจะออกมาเจอ แต่รอดครับผมใส่เกีย
"พอได้แล้วไฟฟ้า” นี่เสียงใครผมพยายามใช้สายตาที่แสนพร่ามัวจ้องมอง อ๋อ...ไอ้กลาสนี่เองที่พูดกับผม“นานทีน่าเพื่อนรัก” ผมตอบเพื่อน“ระวังจะปวดแผล” กลาสมันสวนขึ้นอีกรอบ ไอ้นี่ก็ห่วงผมจัง ขนาดผมยังไม่ค่อยห่วงตัวเองเลย ก็ไม่รู้มันจะห่วงอะไรนักหนา“กูไม่ถึกเหมือนควายเว้ยเพื่อนกลาส...มาดื่มเป็นเพื่อนกูนี่มา”“ไม่ดื่ม”“อะไรวะดื่มดิ”“แล้วมึงก็หยุดดื่มด้วย”“แล้วจะโมโหใส่กูทำไมเนี่ย เอาแก้วกูมากลาส โอ๊ยแม่ง!”กลาสมันพูดเสียงแข็ง และแย่งแก้วเหล้าผมไป ทำให้ผมต้องโวยวายใส่มัน จะคว้าเอาแก้วเหล้าแต่ดันคว้าอากาศมาแทน จนเสียหลักล้มหน้ากระแทกกับโต๊ะ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงเว้ยวันนี้“กิตมึงดูมันดิ มันแย่งแก้วกูกิต มันแย่งแก้วกู มึงต้องช่วยกูนะกิต” ไม่รู้ว่าผมมีอาการเป็นยังไง เมาครับแต่ว่ายังสามารถพูดได้ แต่ฟังรู้เรื่องไหมผมก็ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าลิ้นมันเริ่มจะพันกัน“ไอ้ไฟทำมึงเรื้อนได้ขนาดนี้” เสียงใครไม่รู้ด่าผม“มึงเป็นใครมาด่ากูวะ” ผมเลยพยายามจะมองหน้ามัน แต่ไอ้นี่ดันเป็นพ่อมดครับ มันแยกร่างได้เหมือนโต๊ะสนุ๊กเลย“เฮ้อกูจะบ้าตาย” แล้วมันก็ถอนหายใจ แถมยังผลักผมอีก“กูต้องทำยังไงดี ทำไมเป็นกูไม่ได้ เป็นกูไ
แสงแดดอ่อนรำไรแยงเข้าตา ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น นอนนิ่งมองเพดานสักพักก่อนจะหยัดตัวนั่ง หันไปมองไอ้ขี้เมาที่นอนเอาขามาหนุนหมอนแทนหัว เจริญจริง ๆ ครับเมื่อคืนผมนอนฝันร้ายเพราะแบบนี้สินะ“มึงนะมึง ดีไม่ยัดตีนทาบหน้ากู”ผมบ่นให้คนที่ยังนอนไม่รู้เรื่อง แล้วลงจากเตียงไปจัดการธุระส่วนตัว แล้วเข้าครัวไปดูว่าพอจะทำอะไรกินได้บ้าง ซึ่งคิดแล้วไม่น่าจะมี ถามวิถีชายโสดกินง่ายอยู่ง่าย ใช้เงินซื้อกินเอาครับ ผมเลยออกไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋สาย ๆ ค่อยหากินใหม่อีกที“ตื่นไวจังวะ”“กูตกเตียง...แม่งปวดหัวฉิบหายเลยว่ะ”กลับจากซื้อมื้อเช้าเข้ามาในห้องเจอไอ้เพื่อนขี้เมานั่งเกาหัวฟูฟ่องอยู่บนพื้น ผมกะจะเข้าไปดูว่ามันตื่นหรือยัง แต่ต้องพบกับสภาพที่โคตรจะรุงรังซกมกจนต้องส่ายหัว“สมควร พระคงลงโทษมึงที่เอาตีนมาให้กูดมทั้งคืน” ผมด่ามัน“เว่อ กูทำแบบนั้นซะที่ไหน” ยังไม่รู้ตัวอีกว่าสร้างภาระให้ผมมากแค่ไหน“ก็ที่นี่ไง” ผมบอกย้ำ“กูทำงั้นจริงดิกลาส” ยังไม่คิดเชื่ออีกครับ“สันดานตัวเองไม่รู้ไง ต้องให้กูอธิบายเพิ่ม?” “ไม่ต้อง ๆ แค่นี้กูก็รับตัวเองไม่ค่อยจะได้ละ ไปล้างหน้าก่อนนะ”“อืม”จากนั้นไฟฟ้ามันก็เดินไปล้างหน้า
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่
(เคมี)สองวันต่อมาผมกับพี่ไฟฟ้านัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอย แต่เขาดันติดงานด่วน ที่นัดกันไว้เลยถูกยกเลิก ตอนนี้ผมก็เลยได้แต่นั่งรอพี่ไฟฟ้าเลิกงานเพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อเย็นผมนั่งรถมาหากะว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอยพร้อมกัน แต่ดันโดนเท เลยได้แต่นั่งเหงาอยู่คนเดียวในรถ สิ่งที่พอช่วยแก้เหงาได้ก็คือโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ผมเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา แต่ว่าดันเจอกับภาพด้านหลังของคนที่คุ้นตา ผมขยายภาพนั้นดูและทำให้มั่นใจว่าคนในภาพคือคนที่ผมรู้จัก ผมรีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวทันที ทำให้ผมเบิกตาโตตกใจ เพราะมันเป็นภาพแอบถ่ายจากด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง แม้ภาพจะเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมก็จดจำรูปร่างเค้าโครงหน้านี้ได้แม่นยำ เธอคือพี่เพชรพลอยแน่นอน เขาอุ้มพี่เพชรพลอยเข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง และผมก็เดาทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่กลาส เพราะล่าสุดพวกเขาสองคนยังเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาล"ทำไมพี่กลาสต้องอุ้มพี่เพชรพลอย แค่แกล้งกลบข่าวหรือว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกนะ?" ผมอ่านข่าวก็ได้แต่คิดสงสัย และผมต้องหยุดความคิดเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถ เป็นคนที่ผมรอ"ทำอะไรอะ หน้ามุ่ยเชียว" พี่ไฟฟ้าถาม"พี่เห
“แล้วนั่นจะไปไหน”“เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บนึง”“กูไปเป็นเพื่อนไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกผมไปแค่แป๊บเดียว”“โอเค”ผมถามเมื่อเห็นเคมีลุกขึ้นยืน รีบจับมือมันรั้งไว้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นอันเข้าใจ ด้วยความที่ผมนึกห่วงจึงอาสาพาไป แต่น้องมันดันปฏิเสธผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเคมีก็เดินออกไปจากโต๊ะ ผมมองตามหลังจนเคมีเดินลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าของตัวเอง“พี่ไฟฟ้าคะ”“หื้ม?”เสียงของน้องเพชรพลอยเรียก ทำให้ผมหันไปสนใจ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดไม่ปกติ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นเม็ดเหงื่อเริ่มชุ่มตามใบหน้าของเธอ“เพชรพลอยเป็นอะไรมากไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย” ไอ้ไม้เดินมาดูอีกคนแล้วถามขึ้น“หนูอยากไปห้องน้ำค่ะ” เธอพยายามเปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูไม่สู้ดีเลยครับ“น้องเพชรพลอยโอเคไหม?” ผมถามแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกยืน“ไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ หนูปวดท้องมาก”“พี่ช่วยนะ”ผมกับไอ้ไม้เลยช่วยกันประคองน้องเพชรพลอยคนละข้างให้ลุกยืน สองมือของเธอกุมตรงหน้าท้องเอาไว้ สีหน้าเหลืองซีดอย่างกับคนกำลังเจ็บปวดทรมาน เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ ครับ แต่พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อเรื่องราวของพวกเขา ผมก็ไม่อาจจะเข้าไปแ
“งุ้ย! พี่ไฟฟ้าทำไมน่ารักจังแกะกุ้งให้เคมีด้วย” น้องเพชรพลอยเธอพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยวางใส่จานให้เคมี“พูดเพื่อ!?” แล้วไอ้กลาสก็พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง แล้วมองหน้าน้องเพชรพลอย ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้จ้องคู่นี้เป็นสายตาเดียวด้วยความลุ้นระทึก ว่ามันจะตีกันไหม?“สามีก็แกะให้เมียบ้างสิคะ😚”((ง่อวววว)) พวกผมเลยประสานเสียงแซวพร้อมกัน แต่ไอ้กลาสดันจ้องพวกผมตาเป็นมันอย่างเอาเรื่อง“ใครผัวมึง” แล้วมันก็หันไปกระแทกเสียงใส่น้องเพชรพลอย“พี่ไงคะ” แต่เหมือนว่าน้องจะไม่ใส่ใจคำพูดไอ้กลาสเท่าไหร่ เธอตอบโต้และฉีกยิ้มจนตาหยี“มึงก็พูดกับน้องมันเพราะ ๆ หน่อยไอ้กลาส...นั่นเมียมึงนะ” ผมก็เลยพูดแซว“เมียพ่อง!” แล้วไอ้กลาสก็ด่าผมเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับปากับแกล้มใส่หน้าผม“เขินจังเลยค่ะ” ไอ้กลาสพูดจบน้องเพชรพลอยเธอก็ทำท่าทางเขินอาย บิดซ้ายบิดขวาเหมือนกับว่ากำลังยั่วประสาท ส่วนไอ้กลาสผมเห็นถอนหายใจออกมาก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก น้องเพชรพลอยนี่เธอตีมึนได้ดีจริง ๆ“ยัยประสาท”“ขอบคุณนะคะที่ชม แล้วไม่แกะกุ้งให้หนูบ้างเหรอคะ หนูรอพี่กลาสแกะให้อยู่นะ”“ไม่มีมือหรือไง”“มีค่ะ แต่อยากให้สามีแกะให้