#เคมี
"ร้านขายยาเคมีสวัสดีครับ" ผมเอ่ยทักทายลูกค้า เมื่อเสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูดังขึ้น โดยไม่ได้เงยหน้ามอง เพราะต้องจิ้มแป้นบนมือถือตอบแชตรุ่นน้อง ที่มาขอคำปรึกษาเรื่องเรียน
"อืม หวัดดีคุณเภสัชฯ"
และเสียงนี้ทำให้ผมที่จดจ่อหน้าจอมือถือต้องเงยมอง ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะคนตรงหน้าตอนนี้คือไอ้คนปากหมาที่เจอเมื่อคืน และเจอหน้าแทบทุกวันตอนเย็น ก็เล่นมาร้านผมประจำ ไม่รู้จะมาซื้อยาอะไรนักหนา ประหนึ่งว่าป่วยกำลังใกล้ตาย
"คุณอีกละ แล้วมาซื้อยาอะไรทุกวี่ทุกวัน" ผมถามออกไป
"ซื้อยาอะไรก็ได้ ร..."
"ยาอะไรก็ได้ที่นี่ไม่มี เชิญร้านอื่นครับ"
ผมแทรกตัดบทขึ้นก่อนเพราะรู้ว่าเขาจะพูดยียวนกวนประสาทผม และนั่นมันทำให้เขาเงียบปาก
"กวน...." เขาพูดคำแรกออกมาชัดเจน แต่อีกคำเก็บงำเสียงไว้ ซึ่งผมก็พอเดาได้และอ่านปากออกมามันคือคำว่า ตีน
"จะซื้อยาไหม ถ้าไม่ก็อย่ามาเกะกะลูกค้าคนอื่น" ผมเริ่มเอือมและออกปากไล่ คิดว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพแล้วล่ะ
"นี่ไล่ลูกค้าเหรอ เดี๋ยวประจานลงโซเชียลนะ" เขาขู่ผมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา นี่ผมต้องกลัวเขาไหม?
"ตามสันดานเถอะ ถามจริงคุณมาทำไมบ่อย ๆ อย่าบอกนะว่าวันนี้มาซื้อยาคุมอีก" ผมพูดออกมาโดยไม่สบตาคนตรงหน้า เพราะคิดว่าไม่จำเป็นสักเท่าไหร่
"มาอ่อยอยากให้หลงมั้ง"
"ควรปลงแล้วก็เชิญครับ ประตูอยู่ทางนั้น"
"อย่ามาหลงรักทีหลังก็แล้วกัน...คุณเภสัชฯ"
"ไม่มีวัน!..." เขาตอบเสียงเข้ม
"นี่คุณคะฉันยืนรอนานแล้วนะ จะจ่ายเงินไหมถ้าไม่จ่ายฉันขอจ่ายก่อน"
"ยืนแค่แป๊บเดียวทำเป็นบ่น เป็นผู้หญิงไม่มีความอดทนเอาซะเลย" มีบ่นเบา ๆ นี่เขาเป็นคนประเภทไหนกันนะ บางทีก็กวนประสาทบางทีก็ดูตลกสิ้นดี
อยากจะก้มกราบคุณลูกค้าคนนี้ที่เป็นคนเอ่ยขึ้น ซึ่งมันทำให้คนตรงหน้าผมหน้าเหวอไปเลย ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปยืนด้านข้าง ทำปากขมุบขมิบล้อเลียนลูกค้าของผมที่ยืนจ่ายเงิน เธอหันไปมองแต่ไม่ได้พูดตอบโต้ คงจะรู้สึกระอาเหมือนผมละมั้ง
ผมยืนคิดเงินลูกค้าจนตอนนี้คนเริ่มออกจากร้านไป แต่นายคนนี้ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ผมออกปากไล่ยังไงก็หน้าด้านไม่ยอมไปสักที จนเป็นผมนี่แหละที่ต้องหุบปากแล้วทำหน้าที่ของตัวเอง เกะกะลูกตาฉิบหายเลย
"นี่คุณ ตกลงจะซื้อ..."
"เอายาคุมมาหนึ่งแผง เหมือนเดิม"
ผมชักสีหน้ากะว่าจะถามอีกครั้ง แต่เขาก็ดันพูดแทรกขึ้นมาก่อน ซื้อยาคุมทุกวันไม่รู้เอาไปให้ใครกิน
"อะ...ผมขอเสือกถามอะไรได้ไหม?" ผมยื่นแผงยาคุมที่เขาต้องการให้ พร้อมกับพูดขึ้นอยากรู้จริง ๆ เลยต้องหน้าด้านถาม มันหลายรอบแล้วไง บางทีเขาอาจจะเอาไปใช้ผิด ๆ เผื่อจะแนะนำอะไรได้บ้าง
"เสือกมา...ถ้าตอบได้ก็จะตอบ" เขารับแผงยาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อช็อป ย้อนผมด้วยท่าทางยียวน
"ยานี่คุณรู้วิธิใช้อยู่ใช่ไหม" ผมถามและมันทำให้เขาเงยหน้ามาขมวดคิ้วมองผม
"ร รู้สิซื้อไปก็ต้องรู้" เขาตอบผมตะกุกตะกัก มองไม่ออกเลยว่าตอแหล ยอมใจเขาจริง ๆ
"ถ้ารู้ไหนลองบอกสิกินยังไง?" ผมย้อนถามลองเชิง ดูสิว่าจะตอบผมแบบไหน
"ก็ ก็ เออ ยัด ๆ แม่งให้หมดนี่แหละจะได้หมดแผงไว ๆ ถามมากอยู่ได้ เอาไปเงินค่ายา"
"เห้ย!!! เดี๋ยวสิคุณ"
เขาพูดด้วยความลุกลี้ลุกลน ยัดเงินค่ายาใส่มือผม ก่อนจะรีบจ้ำเท้าเดินออกไป คำตอบของเขาทำเอาผมต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เรียกตามหลังยังไงก็ไม่หันกลับมา เขามันบ้าไปแล้วแน่ ๆ
#เคมี"เอ้าคุณ นี่มันเรื่องบังเอิญหรือว่าเวรกรรมของผมก็ไม่รู้เนาะที่เจอคุณบ่อย ๆ" ผมทักขึ้นเมื่อเจอคนที่มาอุดหนุนยาคุมแทบทุกวันในตลาดนัดตอนเย็น มองเห็นทางหางตากับรูปร่างคุ้น ๆ จึงได้หันไปมอง"พรหมลิขิตละมั้ง" เขาพูดขึ้นทีเล่นทีจริง แต่วันนี้มันรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดที่แสนสงบเสงี่ยมแบบนี้"เมื่อวานว่าจะถามแต่ก็ลืม" ผมพูดขึ้นก็มันเพิ่งจะนึกได้ แต่คงไม่สายเกินไปหรอกมั้ง"ถามอะไร?""หายเมายัง แต่คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ เพราะจากสภาพก็ดูโอเคดี" พูดและไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งเขาก็ดูปกติดีทุกอย่าง แต่ทำไมได้จ้องมองเขาจัง ๆ เต็มตาถึงได้รู้ว่าเขาดูมีเสน่ห์ดึงดูด ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกแบบนั้น แม้ปากของเขาจะเหมือนเลี้ยงสัตว์สี่ขาไว้เป็นฟาร์มก็เถอะ"ไม่รอถามชาติหน้าเลยล่ะ?" ดูความปากหมาของเขาสิ(เรียบร้อยจ้า) เสียงของแม่ค้าขายหม่าล่าดังขึ้น พร้อมกับยื่นถุงมาตรงหน้าของผม"นี่เงินขอบคุณครับป้า...ชาติหน้าผมคิดว่าคงไม่ได้เจอกับคุณอีก" ยื่นขึ้นให้ด้วยรอยยิ้มอ่อน ก่อนที่ผมจะหันไปให้คำตอบกับเขา กวนมากวนกลับไม่โกง จากนั้นผมจึงเดินออกจากร้านหนีมา(ของพ่อหนุ่มก็ได้แล้วจ้า)"ครับป้า...ผมจะตามตูดคุ
#ไฟฟ้า"ใครมันมาออกกำลังเท้าแถวนี้กันวะ?"ตุบ ตั๊บ พั๊ว พั๊ว เสียงชลมุนเหมือนคนกำลังมีเรื่องทำให้ผมที่กำลังเดินอยู่ริมถนนต้องหยุดฟัง ทำเอาต่อมเผือกของผมกระดิกเหมือนหางหมาเพราะอยากจะรู้ เลยค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปดูตามเสียง"นั่นมัน..." คนที่นอนรองรับฝ่าเท้า เบ้าหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ทำให้ผมตกใจมากรีบวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิดเกรงกลัว แม้จะมีตัวคนเดียวก็ตาม เรื่องแบบนี้ผมค่อนข้างจะชินตามประสาเด็กช่างในสมัยเรียน ผมมันโคตรจะเกรียนเลยช่วงวัยรุ่น"แม่งโคตรอ่อนเลยว่ะสามรุมหนึ่ง" ผมพูดขึ้นพร้อมสีหน้าที่ท้าทาย สายตามองต่ำไปยังคนที่นอนหมดสภาพไม่เป็นท่า ใบหน้ามีเลือดซึมและรอยแดงช้ำตรงปาก...ผมนึกสงสัยว่าคนอย่างนายหน้าขาวนี่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนมาจากไหน ทำไมถึงได้มาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้คือไอ้สามตัวนี่กำลังจะเลี้ยงไม่โต บังอาจมาแตะคนของผม ซึ่งเขาก็ยังไม่ยินยอมหรอก ผมคิดไปเองคนเดียวและยัดเยียดสถานะให้เองแหละ"แล้วมึงเสือกอะไรด้วยวะ!" หนึ่งในสามคนพูดขึ้น นี่ผมต้องกลัวพวกมันไหมอะ แสดงไม่ถูกเลยจริง ๆ"น นาย มาได้ยังไง" นายหน้าขาวเจ้าของร้านขายยาเงยหน้าแล้วพูดด้วยความทุลักทุเล ผมได้แต่มองไม่ได้พ
-เพื่อนกัน-(เคมี) “เลี้ยงข้าวผมวันนี้เลยไหม?” “หิวจริงหรือว่าแค่กวนตีนเล่น” “ไม่สะดวกสินะ” “ดูสภาพผมซิว่ามันน่าสะดวกตรงไหน?” “ก็ยังไม่ตายนะ ปากยังดีอยู่” ระหว่างที่เราสองคนเดินมา ผมต้องหยุดทั้งสองขาทันที เมื่อเขาพูดประโยคเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกอึ้งกับเขาคนนี้จริง ๆ ก็ทั้งที่พอเข้าใจแหละว่ามีลักษณะนิสัยแบบไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะห่ามได้ใจขนาดนี้ สภาพบวมช้ำปากแตกผมคงอ้าปากเคี้ยวข้าวได้มั้ง “คุณเห็นผมเป็นเทพเซียนจากสวรรค์หรือไง ที่จะรักษาตัวเองให้หายได้ภายในพริบตาอะ...ดูสภาพผมก่อนไหมคุณวิศวะ” “ผมชื่อไฟฟ้าไม่ใช่วิศวะ” “ชื่อไรก็ช่างเหอะ เลิกกวนผมสักวันจะตายไหมอะ” “ก็เห็นดูเครียด ๆ ไงเลยอยากช่วยให้อารมณ์ดี” “เฮ้อ...อยากด่าแต่เห็นว่าวันนี้คุณช่วยผมไว้หรอกนะ จะละเว้นไว้สักครั้งก็แล้วกัน” “รอด้วย!”ถ้าหากผมพูดต่อก็คงจะเถียงกันไม่จบสิ้น เลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ แล้วเดินนำหน้ามา นั่นจึงทำให้นายไฟฟ้านั่นวิ่งตามมาติด ๆ แ
“เริ่มดึกแล้วส่งแค่นี้ก็พอ” ผมบอกเขาเพราะเกรงใจ นี่ก็ทำให้เขาเสียเวลานานแล้ว“พักอยู่ห้องไหน?” ไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด ยังคงประคองผมเดินไปเรื่อย ๆ“แปดแปดหกสาม” ก็ตอบเขาทันที“อ่า ใกล้ถึงแล้วนี่” พูดและชี้ไปทางห้องของผมที่อยู่ไม่ไกล“ไม่สนใจสิ่งที่ผมบอกเลยว่างั้น” ผมถามทีเล่นทีจริง“บอกว่าไงนะไม่เห็นจะได้ยินสักนิด”“เออแล้วแต่เถอะ”และแล้วเราสองคนก็เดินมาถึงห้องพักของผม ห้องพักขนาดพอดีที่มันมีความทรงจำในอดีตระหว่างผมกับคนที่รัก มันเป็นสถานที่ที่ผมยากจะลืม แม้ว่าผมและเธอจะไม่ได้อยู่ห้องนี้ด้วยกันแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำที่แสนสวยงามในวันเก่า ๆ ยังเฝ้าติดตาของผมไม่รู้ลืม“ขอบใจนะที่มาส่ง” ผมพูดก่อนจะไขกุญแจประตู“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง เราเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนมุมปาก“อืม” โคตรซึ้งเลยครับก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับและพยักหน้าเบา ๆ และจากนั้นเขาก็พูดขึ้น“หิวน้ำว่ะ” ยกแขนผมออกแล้วเดินดุ่มนำหน้าเข้าห้องไป ประหนึ่งห้องของตัวเอง ผมได้แต่มองตามหลังตาปริบ ๆ พูดไม่ออกเลยครับ“ปกติเป็นคนหน้าด้านหน้ามึนแบบนี้ป้ะ?” ผมเดินตามหลังเข้ามาแล้วพูดขึ้นอย่างยียวน เดินไปยังตู้เย็นด้วยขาที่
(ไฟฟ้า)“ลืมเรื่องสำคัญไปได้ไงวะกู” ผมเดินมาได้สักพัก บางอย่างก็แว้บเข้ามาในหัว นั่นจึงทำให้ผมเดินวนกลับไปยังห้องเดิมที่เพิ่งออกมาก๊อก ก๊อก ก๊อก เคาะประตูไปสามทีแล้วยืนรอสักพัก แต่ก็ไม่ยักจะมาเปิดประตูให้ ผมเลยตั้งใจจะเคาะซ้ำอีกครั้ง แต่ประตูดันเปิดออกมาพอดี“ลืมอะไรถึงได้ย้อนกลับมา” เขาถามผม สภาพหัวเปียกชุ่ม คงเพิ่งจะอาบน้ำเตรียมพักผ่อน“ของสำคัญ” ผมบอกพร้อมกับสบตาเขาที่ยืนจับประตูอยู่ตรงหน้า ตัวเล็กกว่าผมแต่สายตาโคตรท้าทาย“ของสำคัญ?” เขาถามย้ำ“อืม” ผมก็ยืนยิ้มกริ่มแค่นเสียงตอบรับเบา ๆ“ผมไม่เห็นอะไรที่นอกเหนือจากของที่ผมมี” ไอ้หน้าขาวนี่แม่งจริง ๆ เลย ทำไมมันไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ กว่านี้นะ“เราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?” ย้อนถามประโยคใหม่เผื่อว่าจะเข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิม“ใช่” ตอบแบบอึน ๆ ผมเห็นแล้วก็อยากจะคว่ำกะบาลไปสักป้าบ ได้แต่กัดฟันอดทนเท่านั้นแหละครับ“ก็ต้องมีเบอร์โทรหรืออะไรไว้ติดต่อกันไง ทำไมต้องโชว์โง่ด้วยเล่า” แต่ฟิวขาดครับทนไม่ไหว หัวร้อนจนแหกปากด่าไอ้หน้าขาวนี่ปลดปล่อยอารมณ์ซะหน่อยป้าบ!!! หัวแทบหลุดจากบ่า เพราะว่าไอ้หน้าขาวมันตบหัวผมครับ มันกล้านักผมแค่คิดเองนะ แต่
(เคมี)แปดวันหลังจากที่ผมกับเขามีการติดต่อกัน ทักหาผมทุกวันทั้งที่บางครั้งก็ไม่มีอะไรจะโต้ตอบ ตอนนี้ตามตัวผมเริ่มเห็นรอยเขียวช้ำกว่าเดิม มีอาการปวดแทบลุกไม่ไหว มีเขาคอยมาดูแลและอยู่เป็นเพื่อน แต่วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ข้อความทักทายที่ชอบส่งมาในยามเช้าก็ยังไม่มี ผมคอยมองไปยังหน้าจอมือถือ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเฝ้ารอ อาจเพราะเริ่มชิน?“น่าเบื่อจัง”ตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้ากลับบ้าน ได้แต่โทรบอกพ่อกับแม่ว่าติดธุระแก้ต่างเพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง ผมเลือกที่จะปิดทีวีแล้วหยิบมือถือมาเล่น เลื่อนไปเลื่อนมาก็ดันมาเจอโพสต์ของแฟนเก่า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ เมื่อภาพที่ผมเห็นมันคือภาพที่บ่งบอกว่าเธอกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตกับคนที่เธอแต่งงานด้วย“นับเดือน”ผมมองภาพบนหน้าจอมือถือ แล้วเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ผมรักพร้อมน้ำตาที่มันเริ่มเอ่อขอบตา ยิ่งมองผมก็ยิ่งเสียใจ เสียใจไม่สามารถปกป้องเธอได้ ต้องปล่อยมือเธอทั้งที่เคยสัญญา ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเราสองคนจะเผชิญมันไปด้วยกัน และนั่นก็ดันเป็นเพียงน้ำลายที่ไร้ราคา ผมไม่สามารถทำได้อย่างที่สัญญา“ยินดีด้วยนะ” ผมพิมพ์คอมเมนต์ไป ต่อท้ายประโยคด้วยอิโมจิรอยยิ้ม แต่จ
(ไฟฟ้า)ผมตีมึนรีบกระโดดขึ้นเตียง ทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่อนุญาต แกล้งทำทีว่าผมนอนหลับได้ยินเขาบ่นอะไรสักอย่างผมได้ยินไม่ชัด ถ้าหากผมช้าก็กลัวว่าเขาจะไล่ตะเพิดกลับบ้าน เลยต้องอาศัยความหน้ามึนหน้าด้านที่มีเป็นเอกลักษณ์ เข้าใจผมใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ผ่านไปราวยี่สิบนาทีผมก็พลิกตัวด้วยความเบาที่สุด มองหน้าคนที่นอนหลับสนิท แล้วเริ่มใช้ความคิดว่าหลังจากนี้ผมจะได้รับสถานะที่มากกว่าคำว่าเพื่อนนี้ไหม“เมื่อไหร่จะเป็นได้มากกว่านี้”“.....”จ้องมองใบหน้าที่ขาวเนียนเหมือนผิวผู้หญิงของคนตรงหน้าที่ยังมีรอยช้ำ แล้วพูดขึ้นมาลอย ๆ ภายในใจหวังลึก ๆ ว่าผมจะได้รับโอกาสนั้นสักครั้ง“ได้สักครั้งจะไม่ยอมพลาดเลย”“.....”ผมก็ยังคงพูดคนเดียวพร้อมสายตาที่มองนายเคมี เปลือกตาที่ปิดสนิท ใบหน้าที่ดูสมส่วน เหมือนกับพระเจ้าตั้งใจปั้นขึ้นมา ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตามองไปทางอื่น มันคือสิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ คอยแต่จินตนาการด้วยความหวังว่าจะสักวันเขาจะเปลี่ยนใจ แม้จะดูยากเหลือเกินกับการพลิกหัวใจของใครสักคนที่มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว ให้มาเดินบนเส้นทางเดียวกันสายตาที่จ้องมองไม่กะพริบ กับความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมเก็บกลั้นเอาไว้ในก้นบ
(เคมี)“นี่”“อะไร”ไฟฟ้าเอ่ยขึ้นทำให้ผมที่นั่งเล่นเกมต้องตอบรับ แต่สายตาก็ยังคงจ้องโทรศัพท์อย่างจดจ่อ คลาดสายตาไม่ได้ครับไม่งั้นเดี๋ยวผมจะแพ้“คือแบบว่าเรียกนาย ๆ เรา ๆ ไม่ชินรู้สึก จะว่าอะไรไหมถ้าจะเป็นตัวของตัวเอง”“ก็เป็นอยู่แล้วไม่ใช่ไง? ทั้งสัสทั้งกู”“จริงดิ”“ชนะ!”หูฟังเขาพูดแต่สายตาผมก็ยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ตลอดเวลาเล่นเกม เขานี่ก็ถามผมอย่างกับตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาผมแทบไม่ได้ยินอะไรเสนาะหูจากปากของเขาสักครั้ง เขายังมีน่ามาถามอีกว่าจริงไหม แต่ผมก็ไม่สนใจเล่นเกมจนชนะ“หิวข้าวว่ะ”“มีมาม่าในครัว”“ทำให้หน่อยดิ...นะ”เขาพูดขึ้นและมองหน้าผมตาปริบ ๆ สิ่งที่ผมมองเห็นนี่ไม่ผิดใช่ไหม ไฟฟ้าอายุใกล้เลขสามที่หมายถึงสามขวบจริง ๆ ใช่ไหม ทำไมเขาดูเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ แต่บางครั้งทำไมก็ดูเป็นผู้ใหญ่ใจกล้าเกินไป“อย่าหาทำแบบนี้อีกนะ เห็นแล้วจะอ้วกทำอะไรหัดดูตัวเองบ้าง”“ไอ้!!”“อะ อะ พูดดี ๆ นะไม่งั้นก็ไปทำกินเอง”“น้องเคมีครับ ต้มมาม่าให้พี่ไฟฟ้าแดก เอ๊ย! รับประทานสักชามสิครับ พลีส”“อันนี้ก็ดูตอแหลไป”“สรุปมึงจะให้กูพูดยังไงไอ้เคมี ไหนมึงว่ามาสิครับ”
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่
(เคมี)สองวันต่อมาผมกับพี่ไฟฟ้านัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอย แต่เขาดันติดงานด่วน ที่นัดกันไว้เลยถูกยกเลิก ตอนนี้ผมก็เลยได้แต่นั่งรอพี่ไฟฟ้าเลิกงานเพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อเย็นผมนั่งรถมาหากะว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอยพร้อมกัน แต่ดันโดนเท เลยได้แต่นั่งเหงาอยู่คนเดียวในรถ สิ่งที่พอช่วยแก้เหงาได้ก็คือโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ผมเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา แต่ว่าดันเจอกับภาพด้านหลังของคนที่คุ้นตา ผมขยายภาพนั้นดูและทำให้มั่นใจว่าคนในภาพคือคนที่ผมรู้จัก ผมรีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวทันที ทำให้ผมเบิกตาโตตกใจ เพราะมันเป็นภาพแอบถ่ายจากด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง แม้ภาพจะเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมก็จดจำรูปร่างเค้าโครงหน้านี้ได้แม่นยำ เธอคือพี่เพชรพลอยแน่นอน เขาอุ้มพี่เพชรพลอยเข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง และผมก็เดาทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่กลาส เพราะล่าสุดพวกเขาสองคนยังเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาล"ทำไมพี่กลาสต้องอุ้มพี่เพชรพลอย แค่แกล้งกลบข่าวหรือว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกนะ?" ผมอ่านข่าวก็ได้แต่คิดสงสัย และผมต้องหยุดความคิดเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถ เป็นคนที่ผมรอ"ทำอะไรอะ หน้ามุ่ยเชียว" พี่ไฟฟ้าถาม"พี่เห
“แล้วนั่นจะไปไหน”“เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บนึง”“กูไปเป็นเพื่อนไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกผมไปแค่แป๊บเดียว”“โอเค”ผมถามเมื่อเห็นเคมีลุกขึ้นยืน รีบจับมือมันรั้งไว้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นอันเข้าใจ ด้วยความที่ผมนึกห่วงจึงอาสาพาไป แต่น้องมันดันปฏิเสธผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเคมีก็เดินออกไปจากโต๊ะ ผมมองตามหลังจนเคมีเดินลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าของตัวเอง“พี่ไฟฟ้าคะ”“หื้ม?”เสียงของน้องเพชรพลอยเรียก ทำให้ผมหันไปสนใจ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดไม่ปกติ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นเม็ดเหงื่อเริ่มชุ่มตามใบหน้าของเธอ“เพชรพลอยเป็นอะไรมากไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย” ไอ้ไม้เดินมาดูอีกคนแล้วถามขึ้น“หนูอยากไปห้องน้ำค่ะ” เธอพยายามเปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูไม่สู้ดีเลยครับ“น้องเพชรพลอยโอเคไหม?” ผมถามแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกยืน“ไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ หนูปวดท้องมาก”“พี่ช่วยนะ”ผมกับไอ้ไม้เลยช่วยกันประคองน้องเพชรพลอยคนละข้างให้ลุกยืน สองมือของเธอกุมตรงหน้าท้องเอาไว้ สีหน้าเหลืองซีดอย่างกับคนกำลังเจ็บปวดทรมาน เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ ครับ แต่พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อเรื่องราวของพวกเขา ผมก็ไม่อาจจะเข้าไปแ
“งุ้ย! พี่ไฟฟ้าทำไมน่ารักจังแกะกุ้งให้เคมีด้วย” น้องเพชรพลอยเธอพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยวางใส่จานให้เคมี“พูดเพื่อ!?” แล้วไอ้กลาสก็พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง แล้วมองหน้าน้องเพชรพลอย ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้จ้องคู่นี้เป็นสายตาเดียวด้วยความลุ้นระทึก ว่ามันจะตีกันไหม?“สามีก็แกะให้เมียบ้างสิคะ😚”((ง่อวววว)) พวกผมเลยประสานเสียงแซวพร้อมกัน แต่ไอ้กลาสดันจ้องพวกผมตาเป็นมันอย่างเอาเรื่อง“ใครผัวมึง” แล้วมันก็หันไปกระแทกเสียงใส่น้องเพชรพลอย“พี่ไงคะ” แต่เหมือนว่าน้องจะไม่ใส่ใจคำพูดไอ้กลาสเท่าไหร่ เธอตอบโต้และฉีกยิ้มจนตาหยี“มึงก็พูดกับน้องมันเพราะ ๆ หน่อยไอ้กลาส...นั่นเมียมึงนะ” ผมก็เลยพูดแซว“เมียพ่อง!” แล้วไอ้กลาสก็ด่าผมเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับปากับแกล้มใส่หน้าผม“เขินจังเลยค่ะ” ไอ้กลาสพูดจบน้องเพชรพลอยเธอก็ทำท่าทางเขินอาย บิดซ้ายบิดขวาเหมือนกับว่ากำลังยั่วประสาท ส่วนไอ้กลาสผมเห็นถอนหายใจออกมาก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก น้องเพชรพลอยนี่เธอตีมึนได้ดีจริง ๆ“ยัยประสาท”“ขอบคุณนะคะที่ชม แล้วไม่แกะกุ้งให้หนูบ้างเหรอคะ หนูรอพี่กลาสแกะให้อยู่นะ”“ไม่มีมือหรือไง”“มีค่ะ แต่อยากให้สามีแกะให้