#ไฟฟ้า
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มันแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากทุก ๆ วัน จะว่าไปมันก็ไม่เชิงอย่างที่ผมพูดไป ผมนัดกับเพื่อนเพื่อไปหาอะไรสนุกทำในยามเย็น วันหยุดที่ร้านขายยาที่ผมต้องแวะประจำ แต่วันนี้ไม่เปิดผมเลยไม่มีใครให้เตาะเล่น รู้สึกเหงาเหมือนขาดอะไรไป ไม่ได้คุยเล่นกับเขาคนนั้น มันก็เหมือนผมไม่ได้แปรงฟัน ที่เป็นกิจวัตรประจำวันที่จำเป็นต้องทำ
"ไงวะไฟฟ้า มาพอดีพวกกูก็เพิ่งเริ่ม" กิตเพื่อนของผมทัก เมื่อเดินหน้าเหี่ยวเข้ามานั่งข้างมัน
"ขอเข้ม ๆ เว้ยวันนี้" ผมบอกเพื่อน
"จัดให้ไอ้คุณไฟฟ้าสักหน่อยดิ"
"อารมณ์ไหนวะไอ้ไฟฟ้า มึงดูไม่ปกติเท่าไหร่เลยนะ" เพื่อนอีกคนก็ทักผม ไอ้นี่ชื่อไม้บ้านอยู่ใกล้กับไอ้กิต และมันสองคนก็ตัวแทบติดกันเป็นปาท่องโก๋ มีกิตที่ไหนก็มีไม้ที่นั่น จนบางทีผมก็คิดว่ามันเป็นผัวเมียกัน แต่ไม่ใช่หรอกพวกมันแค่เพื่อนรักเพื่อนสนิทเท่านั้น
"ไม่ปกติตรงไหน ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ แค่วันนี้กูรู้สึกเบื่อนิดหน่อย" ผมพูดพร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่ม
"เออปกติก็ปกติ" ได้กิตพูดตัดรำคาญ ซึ่งผมก็ไม่ตอบโต้ต่อ
"ปกติเท่ากับไม่ปกติ" ไอ้ไม้ว่าขึ้น ซึ่งมันสองคนก็ช่างเข้ากันดีเป็นปีเป็นขลุ่ย
"อะไรของมึงเนี่ยไม้ ตรรกะอะไรของมึงแบบนี้" กลาสพูดขึ้นจากที่เงียบอยู่นาน ก็ตั้งแต่ผมมานั่งตรงนี้มันเพิ่งจะพูดขึ้นนี่แหละ
กลาสกับกิตเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่ช่างนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง กลาสเกิดก่อนกิตไม่กี่วินาที มีนิสัยเงียบขรึมดูเป็นผู้ใหญ่ แต่กิตมันโคตรจัญไรแถมยังพูดเก่งอีกต่างหาก ต่างจากพี่ของมันโดยสิ้นเชิง นี่แหละครับเพื่อนของผมที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน
"สรุปพวกมึงสามตัวจะมาเถียงกันเรื่องปัญญาอ่อนหรือจะมาดื่มมาผ่อนคลาย ถ้าจะเถียงกูจะได้กลับ" ผมแทรกขึ้นเพราะเริ่มจะรำคาญพวกมันต่อปากกันเต็มที
((("ครับ ๆ คุณไฟฟ้า พวกกระผมขอโทษครับ"))) แล้วไอ้สามตัวเพื่อนรักก็พูดขึ้นพร้อมกันด้วยความประชดประชัน
"กวนตีน" ผมพูดขึ้น จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากระดกเหล้าเข้าปาก ไม่รู้ทำไมวันนี้มันอยากจะดื่มเหลือเกิน มันเซ็ง มันเบื่อกว่าทุก ๆ วัน
"ดูแลตัวเองด้วยนะกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย...เป็นห่วง" กลาสมันบอกก่อนที่ผมกับเพื่อนจะแยกทางกันกลับบ้าน
"ไม่ต้องมาเป็นฮงเป็นห่วงหรอก ตื่นเช้ามากูคิดถึงข้าวก่อนคิดถึงมึงอีก" แล้วความกวนตีนของผมก็เริ่มทำงาน ทั้งที่เพื่อนก็ถามดี ๆ ก็นี่มันนิสัยของผมไง แก้ยาก!
"กูขอให้มึงเดินตกท่ออีกหนไอ้ไฟฟ้า" ดูมันแช่งผม แล้วใครมันจะบ้าเดินไปตกท่อซ้ำสองกันจริงไหม?
"ไม่ได้แดกกูหรอกรอบนี้บอกเลย" ผมแหกปากตามหลังพวกมัน จากนั้นก็หันหลังให้เดินมุ่งตรงไปที่รถด้วยสายตาที่พล่ามัว...และมึนหัวนิด ๆ แต่ผมไม่ได้เมานะแค่ไม่เหมือนเดิมเท่านั้นเอง
"กูขออวยพรมึงไฟฟ้า" กลาสมันก็ยังหันหน้ากลับมาด่าผมต่อ ซึ่งผมก็ได้แต่หันกลับไปโบกมือลาด้วยรอยยิ้มที่อ้อนตีนเพื่อน
ปึก!!!
"เวรเอ๊ย!" ความไม่เหมือนเดิมทำให้ผมเดินชนใครก็ไม่รู้เข้าจัง ๆ จนเซยืนทรงตัวไม่อยู่ สุดท้ายก็ต้องลงไปกองกับพื้น
(ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ) เสียงปริศนาดังขึ้น ซึ่งผมก็มองไม่ชัดว่าเป็นใครหน้าตาแบบไหน แต่เสียงมันช่างคุ้นหูเหลือเกิน น้ำเสียงดูลุกลี้ลุกลน
"วิ่งหนีผีมาหรือไงวะไม่มองทาง" ผมก็พูดออกไปอย่างไพเราะด้วยความหงุดหงิด คือจะถึงรถอยู่แล้วไง แต่ต้องมาเจออะไรที่โคตรซวย
(คุณยาคุม!) ไอ้คนตรงหน้ามันพยุงผมขึ้น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตูม ใครมันบ้าบอชื่อยาคุมวะ!? ผมก็ได้แต่สงสัย
"ยาคุมเชี่ยไร ไม่เอากูไม่ซื้อ ให้กูซื้อแดกเองไง?" ผมสวนทันที ฟังแล้วโคตรแสลงหู เตะปากไอ้นี่สักทีดีไหม
"ไม่ใช่...ก็คุณไม่ใช่หรือไงที่ชอบซื้อยาคุมที่ร้านผมแทบทุกวัน"
"!?"
เริ่มละ เริ่มละ ภาพเริ่มฉายในหัวอันชาญฉลาดของผมแล้ว...นายเภสัชฯ หน้าขาวนี่เอง แล้วทำไมเสนอหน้ามาอยู่ตรงนี้ได้วะ ผมก็สงสัยอีกนั่นและ แต่สงสัยคนเดียวไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป
"อ๋อ...นายนี่เอง" ผมพยายามยืนทรงตัวให้ตรง แต่คงยากแล้วขนาดนายเภสัชฯ ที่ยืนใกล้ผม มันยังแยกร่างได้เลย
"อืม ผมเองอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ได้ไหม"
(นั่นมันอยู่ตรงนั้น)
"แล้วทำไมมะ...อือ"
"ชู่"
ผมยังไม่ทันได้อ้าปากกว้าง ๆ ถามเลย ก็รู้สึกว่าตัวปลิวซะก่อน ก็ไอ้เภสัชฯ หน้าขาวมันกระชากผมไปหลบตรงมุมมืดหลังรถยนต์ ที่ดูลับสายตาผู้คน พร้อมกับเอามือปิดปากผมจนสนิทแทบไม่มีช่องว่างได้พูดอะไรได้ นี่มันเรื่องมีอะไรกันอีกวะ
"พวกนั้นไล่ตามนายเหรอ" เห็นหน้านายนี่กลายเป็นคนดีพูดเพราะซะงั้น แล้วผู้ชายบ้าอะไรผิวเนียนฉิบหายเลย ขนาดผมมองใกล้ ๆ ในความมืดยังมองออก ต่างจากหนังหน้าผมเหลือเกินที่มองเผิน ๆ ยังเหมือนหลังกบยังไม่ถลกหนัง ที่จริงก็ไม่น่าจะขนาดนั้นผมก็พูดตามสันดานเว่อ ๆ ไปงั้นแหละ
"อืม" ตอบผมสั้นเกิน ซึ่งผมถามไปตั้งหลายคำ
"ไล่ตามทำไม นายไปแอบแดกเมียพวกมันหรือไง" ผมพูดขึ้นด้วยประโยคที่นายนั่นต้องกลอกตามองบน คงจะฟังแล้วเอือมระอาผมเต็มทนมั้ง
"ปากนี่ไม่หมาพอ ๆ กับหน้าเลยเนาะ" แล้วนายเภสัชฯ ก็สวนผมด้วยความเหน็บแนม แต่คนอย่างไฟฟ้าไม่ได้สะทกสะท้านกับคำแค่นี้หรอก
"ขอบคุณที่ชม...สร่างเมาเลยกู" ผมจึงตอบรับคำชมด้วยความยินดี และตอนนี้ตาผมก็เริ่มสว่างทันที "แล้วนั่นจะไปไหน?" ผมถามทันทีเมื่อนายนั่นลุกเดินหนี
"กลับสิถามแปลก" หันกลับมาพูดกับผมหน้าตาเฉย
"เอ้า! แล้วมึงก็ทิ้งกูไว้แบบนี้เนี่ยนะ"
"ก็ลุกสิ"
"ก็ลุกไม่ไหว เมาโว้ย!!!" ผมที่นั่งชิดพื้นถึงกับต้องแหกปากตะโกน ไม่ได้เรียกร้องความสนใจแต่ลุกไม่ไหวจริง ๆ ปากบอกไหวแต่ขามันไม่ไหวไง จนไอ้หน้าขาวมันรีบยกมือปิดปากผมอีกรอบ
"จะแหกปากทำไม เดี๋ยวพวกมันก็ตามมาถวายตีนให้กินมื้อดึกหรอก" มันพูดกระชิบใกล้ผม แล้วแม่งลมหายใจกระทบเข้าผิวหน้าผมเต็ม ๆ หัวใจก็เริ่มเต้นแรง...โอ๊ยกูไหวหวั่นแล้วนะ ใกล้กันมากกว่านี้ใจผมคงหลุดจากอกแน่ ๆ
"กลัวเชี่ยไรใส่เดี่ยวแม่ง"
"เก่งฉิบหาย ตายคนเดียวเลยนะ"
#เคมี"ร้านขายยาเคมีสวัสดีครับ" ผมเอ่ยทักทายลูกค้า เมื่อเสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูดังขึ้น โดยไม่ได้เงยหน้ามอง เพราะต้องจิ้มแป้นบนมือถือตอบแชตรุ่นน้อง ที่มาขอคำปรึกษาเรื่องเรียน"อืม หวัดดีคุณเภสัชฯ"และเสียงนี้ทำให้ผมที่จดจ่อหน้าจอมือถือต้องเงยมอง ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะคนตรงหน้าตอนนี้คือไอ้คนปากหมาที่เจอเมื่อคืน และเจอหน้าแทบทุกวันตอนเย็น ก็เล่นมาร้านผมประจำ ไม่รู้จะมาซื้อยาอะไรนักหนา ประหนึ่งว่าป่วยกำลังใกล้ตาย"คุณอีกละ แล้วมาซื้อยาอะไรทุกวี่ทุกวัน" ผมถามออกไป"ซื้อยาอะไรก็ได้ ร...""ยาอะไรก็ได้ที่นี่ไม่มี เชิญร้านอื่นครับ"ผมแทรกตัดบทขึ้นก่อนเพราะรู้ว่าเขาจะพูดยียวนกวนประสาทผม และนั่นมันทำให้เขาเงียบปาก"กวน...." เขาพูดคำแรกออกมาชัดเจน แต่อีกคำเก็บงำเสียงไว้ ซึ่งผมก็พอเดาได้และอ่านปากออกมามันคือคำว่า ตีน"จะซื้อยาไหม ถ้าไม่ก็อย่ามาเกะกะลูกค้าคนอื่น" ผมเริ่มเอือมและออกปากไล่ คิดว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพแล้วล่ะ"นี่ไล่ลูกค้าเหรอ เดี๋ยวประจานลงโซเชียลนะ" เขาขู่ผมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา นี่ผมต้องกลัวเขาไหม?"ตามสันดานเถอะ ถามจริงคุณมาทำไมบ่อย ๆ อย่าบอกนะว่าวันนี้มาซื้อยาคุมอีก" ผม
#เคมี"เอ้าคุณ นี่มันเรื่องบังเอิญหรือว่าเวรกรรมของผมก็ไม่รู้เนาะที่เจอคุณบ่อย ๆ" ผมทักขึ้นเมื่อเจอคนที่มาอุดหนุนยาคุมแทบทุกวันในตลาดนัดตอนเย็น มองเห็นทางหางตากับรูปร่างคุ้น ๆ จึงได้หันไปมอง"พรหมลิขิตละมั้ง" เขาพูดขึ้นทีเล่นทีจริง แต่วันนี้มันรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดที่แสนสงบเสงี่ยมแบบนี้"เมื่อวานว่าจะถามแต่ก็ลืม" ผมพูดขึ้นก็มันเพิ่งจะนึกได้ แต่คงไม่สายเกินไปหรอกมั้ง"ถามอะไร?""หายเมายัง แต่คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ เพราะจากสภาพก็ดูโอเคดี" พูดและไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งเขาก็ดูปกติดีทุกอย่าง แต่ทำไมได้จ้องมองเขาจัง ๆ เต็มตาถึงได้รู้ว่าเขาดูมีเสน่ห์ดึงดูด ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกแบบนั้น แม้ปากของเขาจะเหมือนเลี้ยงสัตว์สี่ขาไว้เป็นฟาร์มก็เถอะ"ไม่รอถามชาติหน้าเลยล่ะ?" ดูความปากหมาของเขาสิ(เรียบร้อยจ้า) เสียงของแม่ค้าขายหม่าล่าดังขึ้น พร้อมกับยื่นถุงมาตรงหน้าของผม"นี่เงินขอบคุณครับป้า...ชาติหน้าผมคิดว่าคงไม่ได้เจอกับคุณอีก" ยื่นขึ้นให้ด้วยรอยยิ้มอ่อน ก่อนที่ผมจะหันไปให้คำตอบกับเขา กวนมากวนกลับไม่โกง จากนั้นผมจึงเดินออกจากร้านหนีมา(ของพ่อหนุ่มก็ได้แล้วจ้า)"ครับป้า...ผมจะตามตูดคุ
#ไฟฟ้า"ใครมันมาออกกำลังเท้าแถวนี้กันวะ?"ตุบ ตั๊บ พั๊ว พั๊ว เสียงชลมุนเหมือนคนกำลังมีเรื่องทำให้ผมที่กำลังเดินอยู่ริมถนนต้องหยุดฟัง ทำเอาต่อมเผือกของผมกระดิกเหมือนหางหมาเพราะอยากจะรู้ เลยค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปดูตามเสียง"นั่นมัน..." คนที่นอนรองรับฝ่าเท้า เบ้าหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ทำให้ผมตกใจมากรีบวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิดเกรงกลัว แม้จะมีตัวคนเดียวก็ตาม เรื่องแบบนี้ผมค่อนข้างจะชินตามประสาเด็กช่างในสมัยเรียน ผมมันโคตรจะเกรียนเลยช่วงวัยรุ่น"แม่งโคตรอ่อนเลยว่ะสามรุมหนึ่ง" ผมพูดขึ้นพร้อมสีหน้าที่ท้าทาย สายตามองต่ำไปยังคนที่นอนหมดสภาพไม่เป็นท่า ใบหน้ามีเลือดซึมและรอยแดงช้ำตรงปาก...ผมนึกสงสัยว่าคนอย่างนายหน้าขาวนี่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนมาจากไหน ทำไมถึงได้มาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้คือไอ้สามตัวนี่กำลังจะเลี้ยงไม่โต บังอาจมาแตะคนของผม ซึ่งเขาก็ยังไม่ยินยอมหรอก ผมคิดไปเองคนเดียวและยัดเยียดสถานะให้เองแหละ"แล้วมึงเสือกอะไรด้วยวะ!" หนึ่งในสามคนพูดขึ้น นี่ผมต้องกลัวพวกมันไหมอะ แสดงไม่ถูกเลยจริง ๆ"น นาย มาได้ยังไง" นายหน้าขาวเจ้าของร้านขายยาเงยหน้าแล้วพูดด้วยความทุลักทุเล ผมได้แต่มองไม่ได้พ
-เพื่อนกัน-(เคมี) “เลี้ยงข้าวผมวันนี้เลยไหม?” “หิวจริงหรือว่าแค่กวนตีนเล่น” “ไม่สะดวกสินะ” “ดูสภาพผมซิว่ามันน่าสะดวกตรงไหน?” “ก็ยังไม่ตายนะ ปากยังดีอยู่” ระหว่างที่เราสองคนเดินมา ผมต้องหยุดทั้งสองขาทันที เมื่อเขาพูดประโยคเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกอึ้งกับเขาคนนี้จริง ๆ ก็ทั้งที่พอเข้าใจแหละว่ามีลักษณะนิสัยแบบไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะห่ามได้ใจขนาดนี้ สภาพบวมช้ำปากแตกผมคงอ้าปากเคี้ยวข้าวได้มั้ง “คุณเห็นผมเป็นเทพเซียนจากสวรรค์หรือไง ที่จะรักษาตัวเองให้หายได้ภายในพริบตาอะ...ดูสภาพผมก่อนไหมคุณวิศวะ” “ผมชื่อไฟฟ้าไม่ใช่วิศวะ” “ชื่อไรก็ช่างเหอะ เลิกกวนผมสักวันจะตายไหมอะ” “ก็เห็นดูเครียด ๆ ไงเลยอยากช่วยให้อารมณ์ดี” “เฮ้อ...อยากด่าแต่เห็นว่าวันนี้คุณช่วยผมไว้หรอกนะ จะละเว้นไว้สักครั้งก็แล้วกัน” “รอด้วย!”ถ้าหากผมพูดต่อก็คงจะเถียงกันไม่จบสิ้น เลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ แล้วเดินนำหน้ามา นั่นจึงทำให้นายไฟฟ้านั่นวิ่งตามมาติด ๆ แ
“เริ่มดึกแล้วส่งแค่นี้ก็พอ” ผมบอกเขาเพราะเกรงใจ นี่ก็ทำให้เขาเสียเวลานานแล้ว“พักอยู่ห้องไหน?” ไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด ยังคงประคองผมเดินไปเรื่อย ๆ“แปดแปดหกสาม” ก็ตอบเขาทันที“อ่า ใกล้ถึงแล้วนี่” พูดและชี้ไปทางห้องของผมที่อยู่ไม่ไกล“ไม่สนใจสิ่งที่ผมบอกเลยว่างั้น” ผมถามทีเล่นทีจริง“บอกว่าไงนะไม่เห็นจะได้ยินสักนิด”“เออแล้วแต่เถอะ”และแล้วเราสองคนก็เดินมาถึงห้องพักของผม ห้องพักขนาดพอดีที่มันมีความทรงจำในอดีตระหว่างผมกับคนที่รัก มันเป็นสถานที่ที่ผมยากจะลืม แม้ว่าผมและเธอจะไม่ได้อยู่ห้องนี้ด้วยกันแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำที่แสนสวยงามในวันเก่า ๆ ยังเฝ้าติดตาของผมไม่รู้ลืม“ขอบใจนะที่มาส่ง” ผมพูดก่อนจะไขกุญแจประตู“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง เราเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนมุมปาก“อืม” โคตรซึ้งเลยครับก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับและพยักหน้าเบา ๆ และจากนั้นเขาก็พูดขึ้น“หิวน้ำว่ะ” ยกแขนผมออกแล้วเดินดุ่มนำหน้าเข้าห้องไป ประหนึ่งห้องของตัวเอง ผมได้แต่มองตามหลังตาปริบ ๆ พูดไม่ออกเลยครับ“ปกติเป็นคนหน้าด้านหน้ามึนแบบนี้ป้ะ?” ผมเดินตามหลังเข้ามาแล้วพูดขึ้นอย่างยียวน เดินไปยังตู้เย็นด้วยขาที่
(ไฟฟ้า)“ลืมเรื่องสำคัญไปได้ไงวะกู” ผมเดินมาได้สักพัก บางอย่างก็แว้บเข้ามาในหัว นั่นจึงทำให้ผมเดินวนกลับไปยังห้องเดิมที่เพิ่งออกมาก๊อก ก๊อก ก๊อก เคาะประตูไปสามทีแล้วยืนรอสักพัก แต่ก็ไม่ยักจะมาเปิดประตูให้ ผมเลยตั้งใจจะเคาะซ้ำอีกครั้ง แต่ประตูดันเปิดออกมาพอดี“ลืมอะไรถึงได้ย้อนกลับมา” เขาถามผม สภาพหัวเปียกชุ่ม คงเพิ่งจะอาบน้ำเตรียมพักผ่อน“ของสำคัญ” ผมบอกพร้อมกับสบตาเขาที่ยืนจับประตูอยู่ตรงหน้า ตัวเล็กกว่าผมแต่สายตาโคตรท้าทาย“ของสำคัญ?” เขาถามย้ำ“อืม” ผมก็ยืนยิ้มกริ่มแค่นเสียงตอบรับเบา ๆ“ผมไม่เห็นอะไรที่นอกเหนือจากของที่ผมมี” ไอ้หน้าขาวนี่แม่งจริง ๆ เลย ทำไมมันไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ กว่านี้นะ“เราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?” ย้อนถามประโยคใหม่เผื่อว่าจะเข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิม“ใช่” ตอบแบบอึน ๆ ผมเห็นแล้วก็อยากจะคว่ำกะบาลไปสักป้าบ ได้แต่กัดฟันอดทนเท่านั้นแหละครับ“ก็ต้องมีเบอร์โทรหรืออะไรไว้ติดต่อกันไง ทำไมต้องโชว์โง่ด้วยเล่า” แต่ฟิวขาดครับทนไม่ไหว หัวร้อนจนแหกปากด่าไอ้หน้าขาวนี่ปลดปล่อยอารมณ์ซะหน่อยป้าบ!!! หัวแทบหลุดจากบ่า เพราะว่าไอ้หน้าขาวมันตบหัวผมครับ มันกล้านักผมแค่คิดเองนะ แต่
(เคมี)แปดวันหลังจากที่ผมกับเขามีการติดต่อกัน ทักหาผมทุกวันทั้งที่บางครั้งก็ไม่มีอะไรจะโต้ตอบ ตอนนี้ตามตัวผมเริ่มเห็นรอยเขียวช้ำกว่าเดิม มีอาการปวดแทบลุกไม่ไหว มีเขาคอยมาดูแลและอยู่เป็นเพื่อน แต่วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ข้อความทักทายที่ชอบส่งมาในยามเช้าก็ยังไม่มี ผมคอยมองไปยังหน้าจอมือถือ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเฝ้ารอ อาจเพราะเริ่มชิน?“น่าเบื่อจัง”ตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้ากลับบ้าน ได้แต่โทรบอกพ่อกับแม่ว่าติดธุระแก้ต่างเพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง ผมเลือกที่จะปิดทีวีแล้วหยิบมือถือมาเล่น เลื่อนไปเลื่อนมาก็ดันมาเจอโพสต์ของแฟนเก่า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ เมื่อภาพที่ผมเห็นมันคือภาพที่บ่งบอกว่าเธอกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตกับคนที่เธอแต่งงานด้วย“นับเดือน”ผมมองภาพบนหน้าจอมือถือ แล้วเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ผมรักพร้อมน้ำตาที่มันเริ่มเอ่อขอบตา ยิ่งมองผมก็ยิ่งเสียใจ เสียใจไม่สามารถปกป้องเธอได้ ต้องปล่อยมือเธอทั้งที่เคยสัญญา ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเราสองคนจะเผชิญมันไปด้วยกัน และนั่นก็ดันเป็นเพียงน้ำลายที่ไร้ราคา ผมไม่สามารถทำได้อย่างที่สัญญา“ยินดีด้วยนะ” ผมพิมพ์คอมเมนต์ไป ต่อท้ายประโยคด้วยอิโมจิรอยยิ้ม แต่จ
(ไฟฟ้า)ผมตีมึนรีบกระโดดขึ้นเตียง ทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่อนุญาต แกล้งทำทีว่าผมนอนหลับได้ยินเขาบ่นอะไรสักอย่างผมได้ยินไม่ชัด ถ้าหากผมช้าก็กลัวว่าเขาจะไล่ตะเพิดกลับบ้าน เลยต้องอาศัยความหน้ามึนหน้าด้านที่มีเป็นเอกลักษณ์ เข้าใจผมใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ผ่านไปราวยี่สิบนาทีผมก็พลิกตัวด้วยความเบาที่สุด มองหน้าคนที่นอนหลับสนิท แล้วเริ่มใช้ความคิดว่าหลังจากนี้ผมจะได้รับสถานะที่มากกว่าคำว่าเพื่อนนี้ไหม“เมื่อไหร่จะเป็นได้มากกว่านี้”“.....”จ้องมองใบหน้าที่ขาวเนียนเหมือนผิวผู้หญิงของคนตรงหน้าที่ยังมีรอยช้ำ แล้วพูดขึ้นมาลอย ๆ ภายในใจหวังลึก ๆ ว่าผมจะได้รับโอกาสนั้นสักครั้ง“ได้สักครั้งจะไม่ยอมพลาดเลย”“.....”ผมก็ยังคงพูดคนเดียวพร้อมสายตาที่มองนายเคมี เปลือกตาที่ปิดสนิท ใบหน้าที่ดูสมส่วน เหมือนกับพระเจ้าตั้งใจปั้นขึ้นมา ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตามองไปทางอื่น มันคือสิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ คอยแต่จินตนาการด้วยความหวังว่าจะสักวันเขาจะเปลี่ยนใจ แม้จะดูยากเหลือเกินกับการพลิกหัวใจของใครสักคนที่มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว ให้มาเดินบนเส้นทางเดียวกันสายตาที่จ้องมองไม่กะพริบ กับความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมเก็บกลั้นเอาไว้ในก้นบ
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่
(เคมี)สองวันต่อมาผมกับพี่ไฟฟ้านัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอย แต่เขาดันติดงานด่วน ที่นัดกันไว้เลยถูกยกเลิก ตอนนี้ผมก็เลยได้แต่นั่งรอพี่ไฟฟ้าเลิกงานเพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อเย็นผมนั่งรถมาหากะว่าจะไปเยี่ยมพี่เพชรพลอยพร้อมกัน แต่ดันโดนเท เลยได้แต่นั่งเหงาอยู่คนเดียวในรถ สิ่งที่พอช่วยแก้เหงาได้ก็คือโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ผมเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา แต่ว่าดันเจอกับภาพด้านหลังของคนที่คุ้นตา ผมขยายภาพนั้นดูและทำให้มั่นใจว่าคนในภาพคือคนที่ผมรู้จัก ผมรีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวทันที ทำให้ผมเบิกตาโตตกใจ เพราะมันเป็นภาพแอบถ่ายจากด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง แม้ภาพจะเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมก็จดจำรูปร่างเค้าโครงหน้านี้ได้แม่นยำ เธอคือพี่เพชรพลอยแน่นอน เขาอุ้มพี่เพชรพลอยเข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง และผมก็เดาทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่กลาส เพราะล่าสุดพวกเขาสองคนยังเฝ้ากันอยู่ที่โรงพยาบาล"ทำไมพี่กลาสต้องอุ้มพี่เพชรพลอย แค่แกล้งกลบข่าวหรือว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกนะ?" ผมอ่านข่าวก็ได้แต่คิดสงสัย และผมต้องหยุดความคิดเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถ เป็นคนที่ผมรอ"ทำอะไรอะ หน้ามุ่ยเชียว" พี่ไฟฟ้าถาม"พี่เห
“แล้วนั่นจะไปไหน”“เดี๋ยวขอไปห้องน้ำแป๊บนึง”“กูไปเป็นเพื่อนไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกผมไปแค่แป๊บเดียว”“โอเค”ผมถามเมื่อเห็นเคมีลุกขึ้นยืน รีบจับมือมันรั้งไว้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นอันเข้าใจ ด้วยความที่ผมนึกห่วงจึงอาสาพาไป แต่น้องมันดันปฏิเสธผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเคมีก็เดินออกไปจากโต๊ะ ผมมองตามหลังจนเคมีเดินลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าของตัวเอง“พี่ไฟฟ้าคะ”“หื้ม?”เสียงของน้องเพชรพลอยเรียก ทำให้ผมหันไปสนใจ ตอนนี้สีหน้าของเธอดูซีดไม่ปกติ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นเม็ดเหงื่อเริ่มชุ่มตามใบหน้าของเธอ“เพชรพลอยเป็นอะไรมากไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย” ไอ้ไม้เดินมาดูอีกคนแล้วถามขึ้น“หนูอยากไปห้องน้ำค่ะ” เธอพยายามเปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูไม่สู้ดีเลยครับ“น้องเพชรพลอยโอเคไหม?” ผมถามแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกยืน“ไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ หนูปวดท้องมาก”“พี่ช่วยนะ”ผมกับไอ้ไม้เลยช่วยกันประคองน้องเพชรพลอยคนละข้างให้ลุกยืน สองมือของเธอกุมตรงหน้าท้องเอาไว้ สีหน้าเหลืองซีดอย่างกับคนกำลังเจ็บปวดทรมาน เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ ครับ แต่พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อเรื่องราวของพวกเขา ผมก็ไม่อาจจะเข้าไปแ
“งุ้ย! พี่ไฟฟ้าทำไมน่ารักจังแกะกุ้งให้เคมีด้วย” น้องเพชรพลอยเธอพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยวางใส่จานให้เคมี“พูดเพื่อ!?” แล้วไอ้กลาสก็พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง แล้วมองหน้าน้องเพชรพลอย ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้จ้องคู่นี้เป็นสายตาเดียวด้วยความลุ้นระทึก ว่ามันจะตีกันไหม?“สามีก็แกะให้เมียบ้างสิคะ😚”((ง่อวววว)) พวกผมเลยประสานเสียงแซวพร้อมกัน แต่ไอ้กลาสดันจ้องพวกผมตาเป็นมันอย่างเอาเรื่อง“ใครผัวมึง” แล้วมันก็หันไปกระแทกเสียงใส่น้องเพชรพลอย“พี่ไงคะ” แต่เหมือนว่าน้องจะไม่ใส่ใจคำพูดไอ้กลาสเท่าไหร่ เธอตอบโต้และฉีกยิ้มจนตาหยี“มึงก็พูดกับน้องมันเพราะ ๆ หน่อยไอ้กลาส...นั่นเมียมึงนะ” ผมก็เลยพูดแซว“เมียพ่อง!” แล้วไอ้กลาสก็ด่าผมเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับปากับแกล้มใส่หน้าผม“เขินจังเลยค่ะ” ไอ้กลาสพูดจบน้องเพชรพลอยเธอก็ทำท่าทางเขินอาย บิดซ้ายบิดขวาเหมือนกับว่ากำลังยั่วประสาท ส่วนไอ้กลาสผมเห็นถอนหายใจออกมาก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก น้องเพชรพลอยนี่เธอตีมึนได้ดีจริง ๆ“ยัยประสาท”“ขอบคุณนะคะที่ชม แล้วไม่แกะกุ้งให้หนูบ้างเหรอคะ หนูรอพี่กลาสแกะให้อยู่นะ”“ไม่มีมือหรือไง”“มีค่ะ แต่อยากให้สามีแกะให้