“ปวดฉิ่งฉ่องจังเลย ปวดเวอร์ ๆ จนจะราดกางเกงอยู่แล้ว” เด็กหญิงนั่งมือกุมเป้า เมื่อนั่งเล่นได้ไม่นานก็มีอาการอยากเข้าห้องน้ำ หล่อนมองไปเห็นผู้เป็นแม่นั่งคุยงาน คำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนมาว่าจะไม่ซนและไม่กวนแม่ทำงาน จึงทำให้เธอไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหา จึงส่องสายตามองหาห้องน้ำ ซึ่งเธอมองสัญลักษณ์ออกเพราะครูสอนที่โรงเรียนแล้วจดจำ
“ห้องนั้นแหละ คุณครูเรย์บอกว่าห้องน้ำผู้หญิงจะมีคนใส่กระโปรงอยู่ข้างหน้า” เด็กหญิงลุกออกมาแล้วเดินหาห้องน้ำด้วยตัวเอง จนเห็นป้ายสัญลักษ์ที่คุ้นตา จึงมุ่งหน้าเพื่อเข้าไปปลดทุกข์ เธอจดจำสิ่งที่ครูและแม่บอกได้ดี จนทำกิจวัตรประจำวันได้โดยไม่ต้องผู้เป็นแม่
“เกือบฉิ่งฉ่องแตกเลย” เด็กหญิงทำกิจวัตรเสร็จเรียบร้อย จึงเปิดก๊อกล้างมือ ส่วนสูงของเธอที่มีไม่มากพอ จนเธอเขย่งเท้าใช้พุงพาดกับขอบอ่างขาห้อยโตงเตง แล้วเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำ แต่...
“เอ้า!! แขนไม่ถึง...จะทำยังไงดี...ขา ขาน้องไม่ถึงพื้นลงไม่ได้ คุณแม่ช่วยน้องด้วย ฮือ คุณแม่ขาน้องเจ็บพุง ฮือ ใครก็ได้ช่วยน้องด้วย” เด็กหญิงเริ่มรู้สึกหวาดกลัว เมื่อทุกอย่างเธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย ขาก็ไม่สามารถเยียบพื้น หากจะกระโจนลงก็กลัวหงายหลังหัวแตก คนในห้องน้ำตอนนี้ก็ไม่มี มันทำให้เธอกลัวจนร้องไห้สะอื้นออกมา เรียกหาผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงติดขัดไม่ชัดเจน เพราะท้องพาดลงขอบข้างหายใจไม่ค่อยเต็มอิ่ม “ช่วยน้องด้วย” เธอพยายามตะเบ็งเสียงเรียกให้คนช่วย แต่ก็ไม่มีใครได้ยินสักคน จนตอนนี้ร้องไห้น้ำตาไหล ท้องที่พาดขอบอ่างก็เริ่มเจ็บขึ้นเรื่อย ๆ
(หนู) เสียงของใครคนหนึ่งแว่วเข้ามา ทำให้เด็กหญิงรีบหันหน้าไปมองทั้งน้ำตา เป็นผู้ชายตัวสูงซึ่งเธอไม่รู้จักกำลังเดินปรี่เข้ามาใกล้ จากนั้นก็อุ้มเธอลงมา เขานั่งยอง ๆ ลงเสมอตัวของเด็กหญิง แล้วลูบหัวปลอบใจ น้ำตาของเด็กหญิงที่ไหลรินอาบแก้มทำให้เขารู้สึกสงสาร
“หนูมากับใครครับ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้คนเดียว” ผู้ชายปริศนาเอ่ยถามน้องมะนาว ที่กำลังร้องไห้ยกมือปาดน้ำตา
“น้องมากับคุณแม่ อึก อึก น้องปวดฉิ่งฉ่องเลยมาเข้าห้องน้ำ จะล้างมือแต่ว่าน้องลงไม่ได้” เด็กหญิงบอกเล่าด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น คำพูดที่ช่างเจรจาทำให้คนฟังนั้นรู้สึกหลงรักและเอ็นดูเธอไม่น้อย “คุณอาเป็นใคร”
“อามาทำงานที่นี่ครับ”
“ไม่ได้เป็นโจรขโมยเด็กใช่ไหม?” เธอเอ่ยถาม เพราะแม่ของเธอจะบอกเสมอว่าอย่าพูดคุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่รู้จัก จึงทำให้เธอเอ่ยถามเขาออกไปแบบนั้นตามสิ่งที่คิดเหมือนเด็ก
“แน่นะคะ ฮึ ฮึก...”
“แน่ครับ...ไม่ใช่โจรขโมยเด็กแน่นอน”
“อึก อึก”
“เด็กดีไม่ร้องนะ” ชายปริศนาลูบหัวปลอบ พร้อมกับคำพูดแสนอบอุ่น จนทำให้เด็กหญิงรู้สึกปลอดภัย
“น้องกลัวตายบนอ่าง ลงไม่ได้และเจ็บตรงนี้เวอร์ ๆ เลยค่ะ” เด็กหญิงบอกเล่าทั้งน้ำตา พร้อมกับชี้นิ้วไปยังพุงแสนกลมที่มันยังรู้สึกเจ็บจากการกดทับ
“แล้วตอนนี้คุณแม่หนูอยู่ไหนเอ่ย” เขาถามด้วยน้ำเสียงละมุน
“คุณแม่ทำงานอยู่ในห้องนั้นค่ะ” เด็กหญิงชี้นิ้วบอกไปยังห้องเดิมที่เธอเดินออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอาไปส่งหาคุณแม่ เพราะอาก็มาทำงานที่ห้องนั้นเหมือนกัน” เขาหยัดตัวลุกยืน แล้วเอ่ยชวนเด็กหญิง จับมือป้อม ๆ ของเธอให้เดินตาม
“คุณอาเป็นเทวดาเหรอคะ?” เด็กหญิงมะนาวผู้เดียงสาเดินขนาบข้าง ระหว่างทางบางครั้งเธอก็เงยมองเขาที่ตัวสูงและคิดสงสัย รูปหน้าที่โดดเด่น ทำให้เด็กหญิงมะนาวต้องออกปากถามตามประสา
“หืม?” ทำให้ชายปริศนาก้มมองหน้าเธอ และขมวดคิ้วสงสัยในสิ่งที่เด็กหญิงมะนาวเอ่ยถาม
“คุณอาหล่อเวอร์ ๆ เลยค่ะ หล่อเหมือนกับคนที่คุณแม่ชอบเลย”
“อะ เอ่อ...อย่างนั้นเหรอครับ” คำชมอย่างเดียงสาของเด็กน้อย แต่ทำเอาผู้ใหญ่รู้สึกเขินได้ เพราะรอยยิ้มสดใสของเธอมันมีเสน่ห์ จนเขารู้สึกเอ็นดูเพียงแค่การพบเจอกันโดยบังเอิญครั้งแรก
“ค่ะคุณอาสุดหล่อ” เด็กหญิงก็ยังคงปากหวานร่ำไป จนเขารู้สึกเขินอายในคำชมของเด็กน้อยจนแก้มแดง แพ้ในความน่ารักช่างพูดของเธออย่างกับต้องมนตร์
“ไปกัน...เดี๋ยวอาพาไปส่งหาคุณแม่นะ”
“ค่ะ”
“มะนาว!! เป็นอะไรคะ แล้วทำไมหนูร้องไห้” เมื่อเห็นลูกสาวที่เดินเข้ามา ผู้เป็นแม่รีบวิ่งเข้าไปโอบกอดด้วยความห่วงใย เธอคุยงานเสร็จเรียบร้อย หันมามองยังที่นอนของลูกสาวแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา จึงกังวลและเป็นห่วง ตามหาในห้องแต่งตัวหรือบริเวณใกล้ ๆ ก็ไม่เห็นจนได้ออกตามหา ทำเอาทีมงานวุ่นวายไปด้วยผู้หญิงตรงหน้าทำให้เขานั้นถึงกับอึ้งไปถนัดตา เธอดูมีเสน่ห์และน่ารัก จนเขานั้นจ้องมองไม่อยากจะละสายตา ยิ่งสีหน้าที่ติดกังวลและมีความห่วงใย ยิ่งทำให้เขานั้นลุ่มหลงอย่างกับโดนมนสะกด แม้จะอยู่ในสังคมที่เปิดกว้าง พบเจอผู้หญิงมากมายก็ไม่ต้องตาถูกใจเท่าเธอคนนี้“น้องปวดฉิ่งฉ่องเลยไปห้องน้ำ พุงน้องติดบนอ่างล้างมือลงไม่ได้ น้องกลัว ฮือ” เด็กหญิงบอกเล่าแล้วร้องไห้อีกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา กอดคอของผู้เป็นแม่แน่นอย่างต้องการปกป้อง“ไม่ร้องนะคะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้วนะลูกปลอดภัยแล้วนะคะ” ผู้เป็นแม่พูดปลอบ เธอใจหายเกือบแทบไม่เป็นอันทำอะไร เมื่อไม่เห็นลูกสาวอยู่ในที่จัดหาให้“คุณอาสุดหล่อช่วยน้องค่ะคุณแม่” เด็กหญิงบอกกล่าว ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเงยหน้ามอง คนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งที่เขายืนอยู่นาน
"ขอบคุณทุก ๆ คนครับ...วันนี้ทำดีมาก ขอเดินทางกลับปลอดภัยทุกคนนะ พรุ่งนี้มาลุยกันต่อ" นักรบผู้เป็นเจ้าของกล่าวขอบคุณทีมงาน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นและราบรื่นในวันนี้ เขาเป็นมิตรกับลูกน้องจนพวกเขารักใคร่ ความไม่ถือตัวเป็นกันเองคือเสน่ห์ที่ทำให้คนใต้บัญชาเคารพ(ค่ะ/ครับ)ทีมงานทุกคนกล่าวลาและทยอยกันออกจากพื้นที่ทำงาน แต่ยังมีคุณแม่ลูกติดกับลูกสาวตัวน้อยที่ยังคงเก็บของอยู่ลำพัง ข้าวของเด็กที่มันเยอะกว่าปกติ เลยทำให้น้ำส้มยังคงง่วนอยู่ที่เดิม แถมลูกน้อยของเธอก็นอนหลับสนิท จึงทำให้ดูลำบากและล่าช้ากว่าคนอื่น ๆ เขายืนมองอยู่ห่าง ๆ พลางใช้ความคิดบางอย่าง สองจิตสองใจจะเข้าไปช่วยเหลือหรือให้เธอทำตามลำพัง"มึงยืนมองเฉย ๆ ได้หรือวะนักรบ...ดูใจดำเกินไปนะ" พลันความคิดฉุดขึ้น ความคิดด้านดีจึงต่อต้าน นั่นจึงทำให้เขาเดินเข้าไปหาเธอเพื่อยื่นมือช่วยเหลือ "ผมช่วยครับ""คุณนักรบ" น้ำส้มเงยหน้ามองตามเสียง และระบายยิ้มอ่อนให้คนตรงหน้า ที่อาสาช่วยเก็บของให้"ผมช่วยครับ" เขาตอบอย่างสุภาพ พร้อมกับหยิบจับของใส่กระเป๋าผ้า ทั้งที่เธอยังไม่ยินยอม"ไม่เป็นไรค่ะคุณนักรบ ฉันเกรงใจคุณเป็นถึงเจ้าของบริษัทฉันแค่ลูกจ้าง เดี
"แล้วโตขึ้นน้องมะนาวจะทำงานอะไรครับ ถึงจะมีเงินมาคืนอา" เขาถามเด็กหญิงเพื่อลองเชิง รอฟังคำตอบว่าจะมีไหวพริบเพียงใด"น้องก็จะเป็นคนสวยที่รวยเวอร์ ๆ ไงคะ" และแล้วก็แทบหงายหลัง เมื่อได้ฟังคำตอบที่โคตรสร้างสรรค์ของเด็กหญิงมะนาวตัวกลม ทำเอานักรบไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ก่อนดี"โอ๊ยตาย...เด็กน้อยเอ๊ย!" เขาอุทานออกมาพร้อมกับทาบมือลงหน้าผากอย่างหน่ายใจ...ช่างน่าสงสารซะจริง"อย่าเพิ่งตายสิคะ คุณอาสุดหล่อเวอร์ ๆ ยังไม่ได้ให้น้องยืมเงินเลย" น้องมะนาวเอื้อมมือจับแขนของนักรบ แล้วพูดออกมาตามความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้ความ"อาให้ยืมก็ได้ แต่น้องมะนาวต้องทำงานแลกนะ...โอเคไหม?" เขาตอบรับพร้อมกับยื่นข้อเสนอ เมื่อสมองผุดความคิดดี ๆ ออกมา"แล้วจะให้น้องทำงานอะไรล่ะคะ..." เด็กหญิงตัวน้อยถามขึ้น"น้องมะนาวทำอะไรได้บ้างล่ะ" และเขาก็ย้อนคืน"อืม~~ กินข้าว กินนม ไปโรงเรียนแล้วก็นอนกลางวันและกลางคืนได้ค่ะ" น้องมะนาวให้คำตอบอย่างไม่ติดขัด แต่สิ่งที่เธอพูดมาว่าทำได้มันกระตุ้นเส้นเลือดในสมองของนักรบจนเต้นตุบ ๆ"เอิ่ม~~" "คุณอาสุดหล่อเวอร์ ๆ ไม่โอเคเหรอคะ ก็น้องยังเป็นเด็กนี่นา เลยทำได้แค่นี้เอง" เด็กหญิงพูดเสียง
#เบาได้เบา"เตรียมตัวกลับบ้านกันนะคะ" ผู้เป็นแม่เอ่ยชวนลูกสาวตัวน้อย ที่ยืนกอดเอวแน่น"ค่ะ""ขอบคุณนะคะที่อยู่เป็นเพื่อนมะนาว...รบกวนคุณนักรบตลอดเลย" น้ำส้มเดินเข้ามาใกล้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณจากใจ"ไม่เป็นไรครับแค่นี้เอง...ไปครับเดี๋ยวผมถือของไปส่งที่รถ" เขายิ้มให้และออกตัวช่วยเหลือ พลางยกของมาถือ จับมือน้องมะนาวไว้อย่างเตรียมพร้อม"ขอบคุณค่ะ" "คุณอาสุดหล่อเวอร์ ๆ ขา" เด็กหญิงสะกิดที่ขาแล้วเงยหน้ามองเหมือนส่งสัญญาณบางอย่าง ทำให้นักรบต้องย่อตัวต่ำเสมอเด็กหญิง"มีอะไรครับ" เขาถามขึ้น"จับมือน้อง...แสดงว่าสัญญาจะให้น้องยืมเงินแล้วใช่ไหมคะ" คำตอบของน้องมะนาวทำเอานักรบยิ้มกริ่ม นับวันเขายิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้"ครับผม" เขาตอบรับอย่างไม่อิดออด"คุณอาใจดีเวอร์ ๆ เลยค่ะ...ห้ามเปลี่ยนใจนะคะ" ทำให้เด็กหญิงมะนาวฉีดหญิงกว้างจนตาหยีด้วยความดีใจ เธอยื่นไปจับมือมั่นสัญญา"อาสัญญาครับ" นักรบเออออตามน้ำ เขาไม่ขัดเด็กน้อยผู้น่ารักคนนี้อยู่แล้ว...แก้มกลมน่าชังขนาดนี้ใครจะปฏิเสธได้ลง"กวนอะไรคุณอานักรบคะมะนาว" ผู้เป็นแม่เดินกลับเข้ามา เห็นลูกสาวตัวกลมคุยหยอกล้อมีรอยยิ้มจนต้องทักท้วง เพราะห่วงว่าลูกสาวจะ
"แตงกวาเรียกจ๋าเข้ามาหาผมหน่อย" นักรบเข้ามาเคลียร์งานในตอนเช้า เขากดสายหาเลขาหน้าห้อง เมื่อนึกใคร่รู้บางอย่าง"ค่ะ" แตงกวาเลขาหน้าห้องตอบรับ จากนั้นเธอจึงจัดการประสานงานต่อไปยังจ๋าที่ผู้เป็นเจ้านายต้องการพบเจอ จ๋าใช้เวลาไม่นานก็มาถึง เธอเคาะประตูห้องทำงานของเจ้านายตามมารยาทที่ควรทำ แล้วจึงเดินเข้าไปหาเจ้านายที่นั่งรออยู่"คุณนักรบมีอะไรหรือเปล่าคะ" "นั่งก่อนสิผมมีเรื่องจะถาม""ค่ะ"จ๋าเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อมาถึง จึงทำให้ผู้เป็นนายตอบรับและผายมือเชื้อเชิญ เธอจึงนั่งลงเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม รอลุ้นว่าเจ้านายจะเสนองานอะไรให้ทำ"นางแบบคนเมื่อวานเธอสังกัดที่ไหนเหรอ""น้องน้ำส้มนะเหรอคะ""ครับ"นักรบถามขึ้นโดยที่เขายังคงง่วนอยู่กับการเซ็นเอกสารกองโตตรงหน้า ทำเอาจ๋าเกิดสงสัยแต่ก็ไม่แคลงใจอะไร "น้องไม่ได้สังกัดไหนค่ะ น้องเป็นนางแบบอิสระและบล็กเกอร์รีวิวสินค้าค่ะ จ๋าได้ยินว่าเป็นเพื่อนคุณเอมอร" เธอบอกเล่าแก่ผู้เป็นเจ้านายตามที่เธอรับรู้"เพื่อนเอมอร?" เขาเงยหน้าแล้วย้อนถาม เพื่อนของน้องสาวแต่เขาไม่เคยรู้จักเพื่อนคนนี้ได้ยังไง ทั้งที่คิดว่ารู้จักเพื่อนสนิทของน้องสาวแทบทุกคน"ค่ะ" จ๋าขานรับ"จำได้ว่
"มาทำไม" นักรบถามผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาวางท่าขรึมเมื่อ 'แอนนา' มาที่นี่โดยเขานั้นไม่ได้เชิญชวน"นี่คือการถามซุป'ตาร์แถวหน้าเหรอคะนักรบ" แอนนาพูดขึ้น แม้จะรู้สึกเสียหน้าแต่เธอก็ยังวางท่าให้นิ่ง"คุณไม่มีงานที่นี่หนิ" นักรบถามถึงจุดประสงค์เพราะคิวงานของแอนนามันคืออีกที่หนึ่ง"แอนนาสิต้องถามคุณมากกว่าว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่ปกติคุณไม่มาดูงานอื่นนอกจากงานถ่ายนางแบบระดับต้น ๆ แล้วก็แอนนา แต่ทำไมงานนี้ถึงได้มา" แอนนาประจันหน้าพูดกับนักรบเสียงเรียบ แต่ประโยคสุดท้ายเธอกับปรายสายตาไล่มองน้ำส้มอย่างดูแคลน"ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณ" นักรบว่าขึ้น คำพูดตอบโต้ของเขาทำเอาแอนนาต้องกัดฟันแน่นอย่างอดทน"อะ เอ่อ...ฉันขอตัวก่อนนะคะ" เห็นสถานการณ์ดูตึงเครียด น้ำส้มที่รู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินจึงเอ่ยขึ้นเพื่อหลบเลี่ยง ให้คนทั้งสองได้คุยกันเป็นการส่วนตัว เธอจึงจะเอี้ยวตัวเดินหนีออกมา"ผมยังคุยกับคุณไม่เสร็จนะครับน้ำส้ม" ทว่านักรบกลับคว้าข้อมือของเธอรั้งไว้ นั่นทำให้แอนนามองด้วยความไม่พอใจเธอกับนักธุรกิจไฟแรงเป็นคู่จิ้นที่สื่อจ้องมอง และแอนนาเองก็มีใจให้กับนักรบมานานตั้งแต่ที่เธอก้าวขาเข้ามาในวงการ
#ความรู้สึกที่เริ่มถลำลึก"คุณไม่เป็นไรนะน้ำส้ม" นักรบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย หลังจากที่แอนนาเดินไปจนพ้นสายตาแล้ว"ไม่เป็นไรมากค่ะ" น้ำส้มที่ยืนขากะเผกทรงตัว รีบตอบโต้เมื่อนักรบถามไถ่ แม้จะเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า ก็ตอบเพื่อให้เขาสบายใจเธอไม่อยากสร้างความกลัดกลุ้มให้ใครจนวุ่นวาย"แต่เหมือนข้อเท้าคุณจะบาดเจ็บนะครับ" เขาสังเกตการยืนของน้ำส้มจึงที่ดูไม่ปกติจึงเอ่ยขึ้น ล้วนเกิดจากความห่วงใยที่มีต่อเธอทั้งสิ้น "ประคบน้ำแข็งสักหน่อยก็คงดีขึ้นค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้" เธอพูดพลางพยายามเดินไปนั่งพักยังเก้าอี้ใกล้ตัว และมีนักรบที่ช่วยเหลือประคอง"เดี๋ยวจ๋าไปเอาน้ำแข็งกับผ้ามาให้นะคะ" จ๋าที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล เธอรีบอาสาเมื่อเห็นว่าน้ำส้มได้รับบาดเจ็บ ทุกคนเห็นเหตุการณ์ทว่าไม่กล้าเข้าไปห้าม เพราะรู้ฤทธิ์เดชของแอนนาเป็นอย่างดี เธอมีนิสัยอย่างไรจนทีมงานไม่อยากจะเข้าใกล้ ภายนอกที่สวยงามแต่เบื้องหลังนั้นร้ายกาจต่างจากเบื้องหน้าโดยสิ้นเชิง"ทำไมชอบตัดพ้อผมอยู่เรื่อยเลยนะ..." แต่คำพูดของน้ำส้มนั้นกลับทำให้นักรบรู้สึกใจเหี่ยว เมื่อมันเหมือนกับว่าเธอปิดกั้นไม่ให้เข้าใกล้ จนอดไม่ได้ที่ต้องพูดออกไปอย่างกับคนน้อยใจ"เปล
#รักไม่ได้มีแฟนแล้ว"ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ" น้ำส้มเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่นาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา ตอนนี้เกือบจะถึงเวลาที่ลูกสาวต้วน้อยของเธอเลิกเรียน และเธอต้องรีบไปรับให้ทัน ไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นฝ่ายรอสองมือสาระวนเก็บของใส่กระเป๋า ข้อเท้าที่มีอาการเจ็บก็เริ่มทุเลาแต่ก็ยังขยับมากไม่ได้ เธอวุ่นวายกับการจัดเก็บสิ่งของจนนักรบต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออีกครั้ง ล้วนทำด้วยความเต็มใจ"แล้วคุณจะรีบไปไหน" เขาถามพลางเอื้อมมือหยิบของยื่นให้น้ำส้มใส่กระเป๋า"ต้องรีบไปรับน้องมะนาวที่โรงเรียนค่ะ ฉันไม่อยากให้เธอรอนาน" เธอให้คำตอบแก่เขา"ผมขับรถให้ขาคุณเจ็บคงขับเองไม่ไหวหรอก" นักรบอาสาพร้อมกับถือวิสาสะสะพายกระเป๋าของเธอ ก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้แล้วเอื้อมมือไปโอบไหล่น้ำส้มพยุง"วันนี้ฉันรบกวนคุณนักรบเกินไปแล้วค่ะ ฉันเกรงใจคุณจริง ๆ นะคะ" น้ำส้มพูดขึ้นเธอส่งสายตามองผู้ขายที่ยืนอยู่ด้านข้าง พยายามขยับตัวออกห่าง แต่ด้วยแรงขาที่มีไม่มากพอจึงไม่สามารถทำได้ และทุกครั้งที่น้ำส้มออกแรงผลักไส เขาก็จะเพิ่มแรงรั้งไว้พร้อมสายตาจับจ้องข่มขู่เชิงคำสั่ง และนั่นทำให้เธอต้องเชื่อฟังอย่างกับโดนสะกดเพียงแ
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิครับว่าที่ภรรยา” นักรบแซวขึ้นในขณะที่น้ำส้มกำลังถูกรุมด้วยพนักงานร้านวิวาห์ ที่กำลังวัดสัดส่วนเพื่อเก็บรายละเอียดของชุดแต่งงานสีขาวระยิบ ประดับประดาด้วยเลื่อมและไข่มุกแท้ ที่นักรบวางแผนเลือกดีไซเนอร์ระดับแถวหน้าชื่อดัง“ยังจะมาพูดอีก ฉันผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จู่ ๆ ได้มาลองชุดเจ้าสาว คุณควรให้ฉันทำหน้าแบบไหนดีละคะ” น้ำส้มตอบกลับอย่างกระแนะกระแหน สีหน้าของเธอขุ่นเคืองกับการถูกบีบ แม้มันจะเป็นเรื่องราวที่ดี แต่เขาก็ควรให้เธอได้ตั้งหลักบ้าง“แต่งงานกับผมที่หล่อเหลาอย่างกับพระเจ้าปั้นมา แถมทั้งเก่ง หน้าที่การงานก็โคตรจะดี เพอร์เฟ็คแบบผมนี่หายากนะจะบอกให้ คุณก็ต้องทำหน้าดีใจสิครับถึงจะถูก มีผู้หญิงมากมายอยากจะได้ผมนะ คุณไม่อยากได้ผมหรือไง” เขาปั้นหน้าพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ เยินยอคุณลักษณะของตัวเองอย่างภาคภูมิ“เรื่องหลงตัวเองนี่เก่งเหลือเกิน” จากที่ยืนฟังคำเยินยอของนักรบ ทำให้น้ำส้มถึงกับกลอกตามองบนด้วยความระอา“หรือว่าไม่จริง...ไม่เชื่อคุณลองถามพวกเธอดูสิว่าผมเป็นอย่างที่พูดหรือเปล่า พวกคุณว่ายังไงครับ” เขายังคงตีสีหน้ามาดมั่น แถมยังหาแนวร่วมเอ่ยถามความเห็นเหล่าพ
หลายเดือนผ่านไป“นั่นไม่ใช่ทางกลับบ้านของฉันนี่คะ?” น้ำส้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองหน้านักรบที่กำลังขับรถบนท้องถนน ในเส้นทางไม่ใช่ทางกลับบ้านของตนเอง“แล้วใครบอกว่าผมจะพาคุณกลับบ้าน” นักรบพูดตอบกลับด้วยความทะเล้น นั่นยิ่งทำให้น้ำส้มรู้สึกฉงนใจ“แล้วจะพาฉันไปไหน?” เธอย้อนถามอีกครั้ง“ถึงก็รู้เองแหละ” เขาตอบเธอด้วยความยียวน“ไม่ได้พาไปขายใช่ไหม?” น้ำส้มเอ่ยทีเล่นทีจริง พร้อมกับรอยยิ้มกริ่มมุมปาก“มันจะได้ราคาเท่าไหร่กันเชียว” นักรบตอบสบประมาท พร้อมกับเลี้ยวซ้ายในซอยหนึ่งที่เป็นปลายทางของสถานที่จะไป“ก็ลองดูไหมล่ะ?” คำหยามที่ไม่จริงจังแต่ช่างปั่นอารมณ์ผู้หญิงให้หัวร้อนได้ จนน้ำส้มต้องเอ่ยประโยคนี้ออกไปด้วยความท้าทาย“ไม่!!!” ทำให้นักรบรีบตอบทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งและสีหน้าบึ้งตึง หันมองน้ำส้มตาเขม็ง เขาพูดแซวเล่นเพื่ออยากแกล้ง แต่เธอตลบคำปั่นอารมณ์เขาแทนเสียอย่างนั้น“หวงละสิ” เธอเย้ยเขาและพูดเข้าข้างตัวเอง สะบัดผมไปข้างหลังด้วยความเชิดมั่นใจ“..........” นักรบไม่ได้ตอบกลับเขาเลือกที่จะเงียบและเขารถนิ่ง ๆ ไปตามเส้นทาง เพราะหากพูดมากกว่านี้กลัวว่าน้ำส้มจะสวนคำจนทำให้เขาหน้าเสีย“ไม่ตอบซะด้
“เปรี้ยวจี๊ดแดดดี๊มาแล้วครับ” เสียงของนักรบดังมาแต่ไกล เรียกขานว่าที่ลูกเลี้ยงที่เขารักปานดวงใจ ข้าวของในมือที่เขาซื้อมาให้เธอ ทุกอย่างเป็นของโปรดปรานของน้องมะนาวทั้งนั้น“ว้าว...แดดดี๊ของน้องตัวจริงหล่อเวอร์ ๆ เลยค่ะ” น้องมะนาวที่อยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก เดินลงมาจากบันไดพร้อมแม่มองเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของนักรบ จนเบิกตาร้องว้าวด้วยความตื่นตา เขามาในมาดนักรบคนเดิมหล่อเหลาและมีเสน่ห์“เดี๋ยววันนี้คนหล่อเวอร์ ๆ ของน้องจะไปส่งที่โรงเรียนดีไหม?” เขาย่อตัวลงให้เสมอเด็กหญิง แล้วบอกในสิ่งที่จะทำหลังจากนี้ เธอจะมีรอยยิ้มแห่งความสุขทุกครั้งที่นักรบและน้ำส้มไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกัน และวันนี้ก็เป็นการไปโรงเรียนวันแรก หลังจากที่เรียนออนไลน์มาเป็นเดือน เขารู้เพราะน้องสาวบอกเล่า“เย่ เย่ ดีเวอร์ ๆ ไปเลยค่ะแดดดี๊...คอยดูนะวันนี้น้องจะเอาแดดดี๊ไปอวดกรีนเพื่อนที่มาใหม่ ชอบพูดอวดพ่อกับน้องตลอดเลย” น้องมะนาวชูสองมือท่วมหัว กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ การไปโรงเรียนของเธอไม่ได้มีความสุขเหมือนกับสีหน้าและท่าทาง บางวันเธอถูกเพื่อนล้อว่าไม่มีพ่อ จนทำให้เธอต้องแอบร้องไห้อยู่ในมุมอับที่ไม่มีใครเห็น เมื่อถึงเวลาที
“มะนาวเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันหรือเปล่าคะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยกับลูกสาวตัวกลมที่วิ่งเข้ามาในห้อง ทุกคนล้วนตามเธอขึ้นมาเพื่อรอจับพิรุธเด็กอ้วนผู้ปั่นป่วน“เรื่องอะไรเหรอคะคุณขา” น้องมะนาวแกล้งทำเหมือนไม่รู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่งเล่นตุ๊กตาวางท่านิ่งทั้งที่ตอนนี้เธอหัวใจเต้นตุบตุบด้วยความพะวงกลัวแม่จะดุ แม้เธอเป็นคนจุดประทัดจนเสียงดังลั่นบ้าน“ยังจะมาตีหน้าใสซื่ออีกนะเปรี้ยวจี๊ด” เป็นเอมอรที่ยืนมือกอดอกพิงขอบประตูพูดขึ้น ท่าทางของน้องมะนาวในตอนนี้ทำเอาผู้ใหญ่อยากจะขำลั่น แต่ต้องวางฟอร์มนิ่งไว้ไม่อยากให้เธอได้ใจ “ใครกันที่โทรบอกแม่อรว่า ‘แม่อรเกิดเรื่องแล้วค่ะกำลังจะกินหัวกันแล้วค่า’ ประโยคใครพูดน้าคิดสิคิด...ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก ใครนะใครที่เป็นคนพูดแบบนี้”“ใครเหรอคะแม่อร” น้องมะนาวก็ยังคงไม่ยอมรับ เธอจดจำประโยคพูดได้ดีว่าเป็นเธอ แต่ก็ยังไงเฉไฉตาใส เธอหันไปสบตากับนักรบแววตาเปล่งประกายระริกขยิบตาส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือจากแดดดี๊ของเธอ เพราะตอนนี้สายตาพิฆาตของผู้เป็นแม่กำลังจดจ้องอย่างจับผิด“ไม่รู้สิ สงสัยลูกหมูแถวนี้มั้ง” เอมอรตอบกลับอย่างเย้าแหย่“เอาล่ะ ๆ ผมว่าให้มันแล้วกันไปดีกว่า
“คุณใจร้ายกับผมมากเลยรู้ไหมส้ม ทำผมเกือบร้องไห้ ขอผมกอดอีกหน่อยให้หายคิดถึงแล้วกัน” เขาพูดกับเธอทันทีเมื่อเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน โอบกอดเธอแน่นด้วยความคิดถึง ดอมดมตามผิวกายและพวงแก้มจนมันแทบจะช้ำ(“ไม่นะไม่! จะกินหัวกันแล้ว น้องจะทำยังไงดีต้องหาคนมาช่วย”)“แม่อร แม่อร ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่เวอร์ ๆ แล้วค่า แดดดี๊กับคุณแม่ขาจะกินหัวกันแล้วค่า”((“อะไรกินหัวคะมะนาวแม่อรไม่เข้าใจ”) )“แดดดี๊ไง น้องบอกว่าแดดดี๊กับคุณแม่กินหัวกันแล้ว แม่อรรีบมาช่วยหน่อยสิคะ เร็ว ๆ นะคะมาตอนนี้เลย”((“แดดดี๊กลับมาแล้วเหรอ?”) )“ใช่นะสิคะตอนนี้อยู่บ้านของน้อง กำลังงาบหัวกันอยู่ข้างล่าง แม่อรต้องรีบมานะ”((“มันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอลูก”) )“ก็ใช่สิคะ น้องเห็นเต็มฉองตาเลยรีบโทรหาแม่อรนี่ไง แดดดี๊กัดคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็กัดคอแดดดี๊ขยุ้มผมแดดดี๊ด้วย มันรุนแรงเวอร์ ๆ เลยค่ะแม่อร”((“โอเค ๆ เดี๋ยวแม่อรรีบไปตอนนี้เลย”) )“โอเคค่ะ”พฤติกรรมระหว่างน้ำส้มและนักรบที่น้องมะนาวเห็น สร้างความเข้าใจผิดไปคนละทิศคนละทาง ความเดียงสาที่ยากจะเข้าใจทำให้เด็กหญิงคิดว่าการสัมผัสกันที่เหมือนรุนแรงเป็นการตบตีทะเลาะวิวาท ความคิดของเด็กน้อยท
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้การสนทนาที่กำลังสนุกสนานต้องหยุดชะงักลง(น้องลงมาล้างมือเตรียมทานข้าวได้แล้วค่ะ) เสียงบอกของผู้เป็นแม่ดังลอดผ่านเข้ามาในห้อง“ค่ะคุณแม่...ไปกันค่ะแดดดี๊ คุณแม่ขามาเรียกแล้ว” คำพูดแรกเธอตอบผู้เป็นแม่ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยปากชวนนักรบด้วยสีหน้าระรื่นสดใส(รีบลงมานะคะ เดี๋ยวคุณอาธันวาจะรอนาน)“ค่ะ...”(แม่ไปรอที่โต๊ะอาหารนะคะ)“ลุกสิคะแดดดี๊เราไปทานข้าวกัน”“น้องไปเถอะ แดดดี๊ว่าจะกลับแล้วล่ะ”“ทำไมละคะ?”คำเอ่ยชวนของน้องมะนาวแต่นักรบปฏิเสธ ทำเอาเด็กน้อยย้อนถามทันควัน แต่สำหรับนักรบนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า ไร้ตัวตนในสายตาของน้ำส้ม ก็ตั้งแต่ที่เขาก้าวขาเข้ามาเธอก็ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้ขับไล่ที่เข้ามาในบ้าน ความเมินเย็นชาทำให้นักรบเกิดประหม่าและสู้หน้าเธอไม่ไหว เขาคิดถึงแทบขาดใจ แต่พอได้อยู่ใกล้ตรงหน้าก็ไม่สามารถกอดเธอให้หายคิดถึง...มันท้อแท้ใจจนต้องบอกกับตัวเองว่าเขาควรพอแค่นี้“แดดดี๊แค่รู้สึกเหนื่อย ๆ น่ะ” เขาตอบเด็กหญิงพลางลูบหัวของเธอเบา ๆ คำพูดของเขาทำเอาเด็กหญิงหน้าเศร้าในทันที“อยู่กับน้องไม่ได้เหรอ น้องยังไม่หายคิดถึ
“น้ำค่ะ” น้ำส้มยื่นแก้วน้ำเย็นฉ่ำให้กับธันวา พร้อมกับระบายยิ้มอ่อนอันแสนหวาน“ขอบคุณครับ” ธันวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มอบอุ่น สายตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาหวานเยิ้มนักรบเดินเข้ามาพร้อมกับน้องมะนาว เขาก็ต้องได้เห็นรอยยิ้มแสนหวานของเธอเผยต่อหน้าชายคนอื่น เขารีบเดินเข้าไปพร้อมกับสายตาพิฆาตจดจ้องธันวาอย่างเอาเรื่อง รู้สึกขุ่นเคืองไม่ถูกชะตา“คุณแม่ขาแดดดี๊มาทำไมคุณแม่ไม่คุยกับแดดดี๊ละคะ?” เด็กหญิงสงสัยจึงได้เอ่ยถามผู้เป็นแม่ไปแบบนั้น“น้องสวัสดีคุณอาธันวาหรือยังคะ?” น้ำส้มแสร้งไม่สนใจคำถามของลูกสาว เธอบ่ายเบี่ยงด้วยการย้อนน้องมะนาวแทน“หรือว่ากูตายแล้วเหรอวะถึงมองไม่เห็น” นักรบที่นั่งชิดกับน้องมะนาว เขาบ่นกับตัวเองเบา ๆ ด้วยความสงสัย เพราะน้ำส้มไม่คุยกับเขาเลยตั้งแต่มาถึง เขาหายหน้าไปนานหลายสิบวันขนาดนี้ เธอไม่คิดถึงเขาเลยหรืออย่างไร ทั้งที่ข้อความก็บอกว่าคิดถึงและรักมากมาย แต่ไหนเลยพอมาหาถึงได้เมินเฉยอย่างกับมองไม่เห็น“สวัสดีค่ะ” น้องมะนาวยกมือไหว้ธันวาอย่างนอบน้อม สายตาก็มองหน้าของผู้เป็นแม่กับนักรบสลับกันไปมา ก็เธอสงสัยไม่หาย ทำไมแม่ถึงไม่ทักทายแดดดี๊ทั้งที่บ่นคิดถึงไม่ต่างกันในวันที่ผ
“ใครธันวา?” นักรบเอ่ยถามน้ำส้มด้วยแววตาขึงขังหลังจากที่น้องมะนาวเดินเข้าไปบ้านจนลับสายตา ชื่อผู้ชายมันแสลงหูทำให้เขาไม่ชอบใจเลยสักนิด“จะใครก็เรื่องของฉันค่ะ ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” น้ำส้มบอกปัดพร้อมกับดันหลังของนักรบเดินออกไปจนพ้นประตูบ้าน จากนั้นเธอก็รีบล็อกกลอนทันที“ส้มเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ บอกผมมาว่าไอ้ธันวานั่นมันเป็นใคร น้ำส้ม!” นักรบตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้าน พยายามงัดแงะประตูก็ไม่สามารถทำให้ประตูเปิดออกได้ ตอนนี้เขาหัวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ในใจร้อนรุ่มกระวนกระวายเหมือนไฟสุมอยู่ในอก เขาหวงเธอยิ่งกว่าอะไร ยิ่งมีผู้ชายเข้าใกล้ก็ยิ่งหัวร้อน“เข้าผิดบ้านก็อย่ามาโวยวาย เชิญค่ะ”“ผมไม่ไปบอกมาว่าไอ้นั่นมันเป็นใคร อย่าทำให้ผมหมดความอดทนนะ”“มีสิทธิ์อะไรมาขู่ฉันห๊ะไอ้โจรหนวดบ้า! อย่าไม่ไปฉันแจ้งตำรวจจริง ๆ ด้วย”“โจรบ้าบออะไรนี่ผมผัวคุณนะน้ำส้ม! น้ำส้ม!”น้ำส้มพูดขู่ทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังให้นักรบเดินเข้าบ้านอย่างไม่แยแส และไม่หันกลับมามองคนที่หัวร้อนอยู่ด้านหลังที่ยังโวยวายเหมือนหมาบ้า เธอนึกขำกับภาพของเขาตอนนี้ เดินยิ้มกริ่มเข้าบ้านเหมือนกับการแกล้งเขานั้นมันสนุกสนานอย่างกับเล่นเครื
“คุณคะ? คุณได้ยินฉันไหม” ความเงียบนิ่งทำให้น้ำส้มต้องเพิ่มน้ำหนักเสียงถามอีกครั้ง ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนกับคนไม่รู้จักกันจริง ๆ ล้วนเกิดจากการแสดงทั้งนั้น“..........” ยิ่งเหมือนจะยิ่งตอกย้ำความเสียใจแก่นักรบ เมื่อคำถามแสนห่างเหินแว่วเข้ามาให้ได้ยิน เขาน้ำตาเอ่อคลอไม่ต่างจากที่น้องมะนาวปฏิเสธก่อนหน้า เข่าอ่อนจนแทบทรุดลงกับพื้น แต่ก็ฝืนยืนต่อให้มั่น สมองเหมือนตันไปกับคำถามของเธอที่อยู่ตรงหน้า“เรารู้จักกันด้วยเหรอคะ?” น้ำส้มแสร้งถามย้ำ แม้สีหน้าของนักรบจะดูไม่สู้ดี แต่เธอก็ยังอยากจะพูดแกล้งต่อ นั่นก็เพราะเธออยากจะเอาคืนข้อหาทำให้เธอเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนแทบไม่หลับตลอดเวลาที่ผ่านมา“น้ำส้ม” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวและสั่นเครือ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปทันตากับคำถามนี้“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันขอตัวเข้าบ้านก่อนหากเราไม่ได้รู้จักกัน หรือไม่งั้นคุณก็อาจจะจำบ้านผิดหลัง...เข้าบ้านกันค่ะมะนาว” เธอพูดกับเขาก่อนจะก้มหน้าพูดกับลูกสาวที่ยืนเคียงข้าง คำพูดที่ห่างเหินมันตัดรอนหัวใจของนักรบจนแทบพูดไม่ออก ได้แต่มองผู้หญิงที่รักกับลูกสาวเดินเข้าบ้านไปจนลับสายตาด้วยใบหน้าเศร้าเสียใจ ปากขยับพูดรั้งเธอ