Chapter 2
“ผู้จัดการเย่วหาพนักงานที่จะมาทำงานแทนหลิ่งฟางหรือยัง” ผอ. จิ้นฝูเอ่ยถามผู้จัดการแผนกฝ่ายบัญชีขึ้นหลังจากที่คุยงานกันเสร็จ เพราะหลิ่งฟางลาออกไป จึงต้องหาพนักงานใหม่เข้ามาเพิ่ม เพื่อไม่ให้งานของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล่าช้าไป “ผมให้เธอเข้ามาสัมภาษณ์ในวันนี้ตอนสิบโมงเช้า” ซือเหลินตอบ จิ้นฝูพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะพูดขึ้น “งั้นให้มาสัมภาษณ์งานกับผมละกัน ผมมีเรื่องที่อยากลองถามพนักงานเข้าใหม่หน่อย” “ครับ” เมื่อคุยตกลงกันเสร็จแล้วผู้จัดการเย่วจึงเดินออกจากห้องของผอ. ไป ชายหนุ่มเอนตัวลงพิงพนัก พร้อมกับหันไปมองนาฬิกาที่เป็นเวลาเก้าโมงสามสิบห้านาที อีกเพียงยี่สิบห้านาทีเขาต้องสัมภาษณ์งานพนักงานใหม่ที่จะมาแทนหลิ่งฟางด้วย จิ้นฝูก้มหน้าสนใจกับเอกสารตรงหน้ารวมถึงฝ่ายออกแบบที่เสนอแบบสินค้าชุดใหม่มาให้เขาตามหัวข้อที่สั่งไป ชายหนุ่มมองอย่างครุ่นคิดราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ถูกใจพอ แต่ก็ต้องดูคำตัดสินจากเฟยหลงอีกครั้ง ว่าจะสั่งแก้หรือให้ทำใหม่ทั้งหมดไปเลย เมื่อมองเวลาอีกเพียงแค่สิบห้านาทีเขาคงไม่ทันที่จะเดินไปคุยงานกับเฟยหลงแล้ว จึงต่อสายโทรหาเลขาที่หน้าห้องทันที “ชิงเซียน เข้ามาพบผมหน่อย” ไม่นานนักร่างของเลขาสาวเดินเข้ามาหาเจ้านายหนุ่ม “คุณช่วยเอาเอกสารตรงนี้ส่งให้ที่ชั้นยี่สิบเก้าที” ชั้นยี่สิบเก้า เป็นที่รู้กันนั้นคือชั้นของท่านประธานบริษัทหลวนเฉินที่ทั้งเก่งและหล่อ แต่ทว่าใคร ๆ ก็ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปโปรยเสน่ห์ให้ ถ้าทำรับรองทางเดียว คือโดนไล่ออกทันที “ค่ะ” เลขาสาวขานรับก่อนที่จะพูดขึ้น “ผู้จัดการเย่วโทร. มาเมื่อครู่ ว่าพนักงานที่จะมาสัมภาษณ์ได้มาพบแล้ว ไม่ทราบว่าจะให้ผู้จัดการเย่วพามาที่ห้องหรือไม่คะ” จิ้นฝูเงียบครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น “พามาเลย แล้วส่งประวัติของเธอมาให้ผมด้วย” “ค่ะ” ชิงเซียนตอบก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป พร้อมทำตามคำสั่งคือต่อสายหาผู้จัดการแผนกบัญชีทันที เธอกำลังจะเข้าไปสัมภาษณ์แล้ว ! ! เหม่ยอี้ยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขอให้เธอทำใจ สักสิบวินาทีก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าไป “เธอทำได้เหม่ยอี้ ! ” บอกกับตัวเองก่อนที่จะค่อย ๆ เอื้อมมือไป บิดกลอนประตูแง้มออก ดวงตากลมกะพริบมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะ เท้าขวาก้าวนำเข้าไปในห้องอย่างสั่น ๆ จนกระทั่งปิดประตูลง หญิงสาวก็ยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับส่งสายตามองชายหนุ่มที่จะสัมภาษณ์เธอ ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเขา “นั่งลงสิ” จิ้นฝูพูดในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มโปรยเสน่ห์ของชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิมที่จะทำให้สาว ๆ ตกหลุมรัก ไม่ต่างจากเหม่ยอี้ในตอนนี้เลย เธอกำลังมองเขาตาค้าง ! ! คนอะไรหล่อจัง ! ! จิ้นฝูก้มหน้าลงอ่านชื่อของหญิงสาว “ฟางเหม่ยอี้” คนที่นั่งอยู่แทบจะได้ยินเสียงของชายหนุ่มเล็ดลอดผ่านหูน้อยมาก เพราะเธอกำลังหลงในความหล่อของคนตรงหน้าอย่างจังๆ “ทำไมคุณถึงมาสมัครงานที่นี่” คำถามแรกที่เขายิงมาเล่นทำให้เหม่ยอี้หยุดชะงักลง หญิงสาวอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก พลางคิดทวนคำถามของเขาในใจ ทำไมน่ะเหรอ...ก็เธอสมัครไปทุกที่น่ะสิ ที่ไหนรับก็เอาไว้ก่อน ! ! “ฉันคิดว่า....” “อยากทำงานที่บริษัทนี้ค่ะ” ตอบเหมือนจะไม่ค่อยตรงสักเท่าไหร่เลย จิ้นฝูยิ้มออกมา มองหญิงสาวแก้มป่องตรงหน้าก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้ “ผมขอถามอีกคุณข้อเดียว” เหม่ยอี้มองหน้าชายหนุ่มที่ยิ้มให้ แต่เธอกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ดูน่ากลัวที่สุด คำถามจะเป็นแบบไหนกันนะ ! หัวใจเต้นแรงสุดๆ ทั้งลุ้นกับคำถามและเต้นเพราะความหล่อของคนตรงหน้า “คุณเคยใช้เสื้อผ้าจากแบรนด์บริษัทของเรามั้ย ?” ฉึก ! เหม่ยอี้ทำหน้าหนักใจขึ้นทันที จะตอบโกหกว่า เคยใช้ค่ะ ! แต่เธอโกหกไม่เป็น ถึงโกหกก็โกหกไม่เนียน โดนจับได้ทุกครั้ง ! “เอ่อ...” หญิงสาวอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก แต่สีหน้าแสดงออกมาจนจิ้นฝูรู้ทันทีว่าแทนคำตอบว่าไม่เคยใช้...เขาจึงรอดูท่าทีของเธอ “ฉัน...ไม่เคยซื้อเลยค่ะ...สักครั้ง” ตอบไปแล้ว ! ตอบไปจนได้... เหม่ยอี้ก้มหน้าลงอย่างหมดหวังกับโอกาสที่จะได้งานทันที จิ้นฝูยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “เพราะอะไร ?” ไหนว่าคำถามสุดท้ายไงเล่า...คำถามนี้ตอบยากกว่าอีก เหม่ยอี้ฉีกยิ้มให้เขาพร้อมกับท่าทางของเธอยังหนักใจที่จะตอบอยู่ “เอ่อ...คือว่า...” “ตอบเลย ผมอยากรู้” จิ้นฝูยิ้มให้ แต่กลับไม่ได้ปลอบใจของ เหม่ยอี้เลยหนำซ้ำยังกลายเป็นแรงกดดันอย่างสูง “คำถามนี้ต้องตอบจริง ๆ ใช่มั้ยคะ” ดูยากสำหรับเธอไปเลย เหตุผลน่ะมีแน่ แต่ใครจะกล้าพูดออกไปล่ะว่าเพราะอะไร ?! เพียงแค่จิ้นฝูพยักหน้าเหม่ยอี้ก็ฉีกยิ้มหวานให้ แล้วเบี่ยงสายตาหันไปมองทางอื่น “ที่ไม่ใช้เพราะ” เธอกัดฟันตอบเขา “ฉันคิดว่า...”เหม่ยอี้มองหน้าของชายหนุ่มที่ยังรอฟังคำตอบจากเธอ หญิงสาวก้มหน้าลงก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันคิดว่า...ราคาแพงเกินไปค่ะ บางทีก็เสียดายเงินเลยไม่อยากซื้อ แต่อยากได้นะ...” “แพง ?” จิ้นฝูทวนคำทันทีโดยที่ไม่ถามอะไรต่อนอกเสียจาก เอื้อมมือหยิบปากกาเซ็นที่แฟ้มเอกสารแล้วปิดลงทันที เหม่ยอี้มองเขาที่ปิดแฟ้มประวัติของเธอ หญิงสาวก้มหน้าสลดทันที หมดแล้ว...งานของเธอ คงต้องหางานที่อื่นใหม่หรือรอบริษัทอื่นเรียกตัวมาสัมภาษณ์ แล้วจะเมื่อไหร่กัน ! รู้แบบนี้ไม่น่าตอบแต่แรกว่าไม่เคย โธ่! เหม่ยอี้เธอช่างโง่เสียจริง ! “คุณพร้อมเข้ามาทดลองงานใช่มั้ย ?” คำถามนี้หยุดความคิดไร้สาระของเหม่ยอี้ทันที เธอเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแล้วกะพริบตาอย่างงุนงงและตกใจ เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ ? “พร้อม ?” เหม่ยอี้ทวนถามอีกครั้ง จิ้นฝูพยักหน้า “ใช่” “จริงๆ ใช่มั้ยคะ ?” เหม่ยอี้ทวนคำอีกรอบ ชายหนุ่มจึงพยักหน้าแทนคำตอบ ดูท่าทีของหญิงสาวที่เหมือนจะเก็บความดีใจไม่อยู่ “พรุ่งนี้เริ่มงานแปดโมงเช้า” จิ้นฝูกล่าว “เอาละผมมีงานต้องทำต่อ พรุ่งนี้เจอกัน สาวน้อย” เหม่ยอี้ยิ้มรับอย่างมีความสุข วันนี้คือวันโชคดีของเธอที่สุด ได้ทั้งงานได้ทั้งมองคนหล่อใกล้ ๆ ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอฟินได้แบบนี้อีกแล้ว ! มีงานทำแล้ว ! ! เหม่ยอี้ตะโกนอยู่ในใจ ยิ้มออกมาราวกับว่าวันนี้สรรค์เป็นใจที่สุด พรุ่งนี้จะต้องเริ่มทำงานและเป็นวันแรกหลังจากที่นั่งว่างมานานหลายเดือน หญิงสาวเดินมานั่งลงที่โซฟาภายในห้องทั้งที่ยังยิ้มไม่หุบตั้งแต่ออกจากห้องตอนสัมภาษณ์ ในสมองของเธอนึกถึงภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่สัมภาษณ์ ซึ่งยังไม่รู้ชื่อด้วยซ้ำ วันพรุ่งนี้เธอจะต้องรู้ชื่อเขาให้ได้ ! ความสนใจของเธอหันไปมองนิตยสารที่วางอยู่ตรงหน้า เหมือนเป็นแผลใจอยู่ลึกที่ ๆ จะกลัวการบอกรักใครสักคนอีกครั้ง ไม่เอาแล้ว ! ! เธอจะไม่บอกความรู้สึกของตัวเองให้ผู้ชายคนไหนอีกเด็ดขาด บอกทีไรจำเป็นต้องพบกับความผิดหวังตลอดแค่เธออยู่ใกล้ ๆ เขาก็พอ เหม่ยอี้หยิบหมอนข้างที่อยู่ข้างตัวขึ้นกอด มีคนบอกเสมอเลยว่าเวลามีความรักจะมีความสุขที่สุด...แต่เธอไม่เคยมีและคงไม่หวังแล้ว หญิงสาวทำหน้าบึ้งพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหยิบน้ำดื่มในตู้เย็นออกมาพร้อมกับถุงขนม แล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิม การกินสามารถทำให้เธอหายเครียดลงได้ แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่..เพราะสักวันเธออาจจะกลิ้งได้ !เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหม่ยอี้เอื้อมไปหยิบพร้อมกับมองเบอร์ก่อนที่จะกดรับ “ฮัลโหล” [เหม่ยอี้วันนี้ฉันกลับดึกนะ เธอหาอะไรกินไปก่อนเลยไม่ต้องรอ] เสียงปลายสายของหนิงเหอบอกอย่างรีบร้อน หญิงสาวจึงถามต่อไปทันที “แล้วเธอล่ะ” [วันนี้ที่รานมีหนังสือเข้าใหม่ ฉันต้องตรวจของน่ะ] “อ้อ” เธอขานตอบ [งั้นแค่นี้ก่อนนะ] เมื่อพูดจบหนิงเหอวางสายไปทันที ขณะที่เหม่ยอี้ถอนหายใจออกมา เพราะวันนี้ต้องออกไปกินอาหารมื้อเย็นข้างนอกคนเดียว วางโทรศัพท์ลงที่บนโต๊ะก่อนที่จะเข้าห้องหยิบเงินจำนวนหนึ่งรวมถึงเดินไปส่องกระจกจัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย กลับมาที่โซฟาหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าขึ้นมา พลางคิดถึงเมนูอาหารมื้อเย็นที่ถึง Desire of love เพียงรักที่ปรารถนาChapter 3เดินมาถึงร้านอาหารไม่ห่างจากห้องพักของเหม่ยอี้มากนัก นั่นคือร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่โปรดมากที่สุด ตั้งอยู่ริมข้างทางในซอยแห่งหนึ่ง ผู้คนนั้นเดินผ่านไปมาวันนี้ก็คนเยอะอีกเช่นเคย“เหมือนเดิมเลยจ้ะป้า”หญิงสาวสั่งเหมือนทุกครั้งที่หนิงเหอไม่กลับมาทานข้าวมื้อเย็นไม่นานนักเกินสิบนาทีก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามพิเศษได้วางลงบนโต๊ะตรงหน้า เหม่ยอี้ไม่รอช้าที่จะหยิบตะเกียบขึ้นทานทันที รสชาติอาหารยังถูกปากเสมอ หญิงสาวใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีอาหารจานพิเศษจนหมดเกลี้ยงเธอหันไปเรียกจ่ายเงิน ก่อนที่จะเดินออกจากร้านไปเหม่ยอี้ยังไม่อยากกลับบ้าน เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินเล่นในสวนสาธารณะตอนกลางคืน ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาหัวใจแทรกซึมเข้ามา ทุกทีเมื่อเดินมองคู่รักจับมือกัน หญิงสาวจึงเลี่ยงเดินจากไปโดยเร็วที่จะไม่มอง ครั้นเมื่อหยุดเดินลงส่งสายตามองชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่อ่า...สุดท้ายแล้วคบกันก็ต้องถูกทิ้งอยู่ดีสินะ ไม่ต่างจากตอนที่ขอคบกันเลย เรื่องแบบนี้ต้องใช้โชคช่วยชัด ๆ เหม่ยอี้มองอย่างทำใจก่อนที่จะเดินกลับมาที่ห้องพักซึ่งก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว แต่ไม่มีท่าทีที่หนิงเหอจะ กลับมา เธอจึ
Chapter 4“พี่ไม่ไป ?”“ฉันไม่ชอบ ถ้าไปเท่ากับใส่ใจ” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ราวกับไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนชวนสักนิด แต่ที่พูดมาก็มีเหตุผล จิ้นฝูรู้ดีว่าซูลี่คิดยังไงกับเฟยหลง แม้จะหลายปีมาแล้วแต่ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด“แล้วจะให้ผมไปแทน ?” จิ้นฝูถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะทุกคืนก็ออกไปเที่ยวที่ผับประจำหรือไม่ก็จัดปาร์ตี้ที่คอนโด ฯ แต่ถ้าทำแบบนี้เท่ากับหักน้ำใจของซูลี่เป็นอย่างมาก“แบบนี้เธอจะเสียใจนะ”“เธอโทรมาชวนแต่ฉันบอกซูลี่ไปแล้วว่าไม่ไป ก่อนที่จะได้บัตรเชิญอีก” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาจิ้นฝูลุกขึ้นตาม “แล้วถ้าผมไม่ไปล่ะ”“ก็แล้วแต่นาย ยังไงฉันก็ไม่ไปอยู่แล้ว” ประธานหนุ่มตอบโดยที่ไม่คิดมากสักนิด เล่นทำจิ้นฝูทึ่งเหมือนกัน“โอเค ผมจะไปให้แล้วกัน และจะบอกเธอว่าพี่ติดงานด่วน อย่างน้อยก็รักษาน้ำใจเธอหน่อย”จิ้นฝูพูดก่อนที่เอื้อมมือไปหยิบซองการ์ดเชิญแล้วเปิดออกอ่าน “แล้วพี่ไม่คิดมองผู้หญิงคนไหนบ้างหรือ”เฟยหลงหันมามองจิ้นฝูพร้อมกับส่ายหน้า“นายไม่จำเป็นต้องยุ่ง”หนุ่มเจ้าสำราญหัวเราะ “งั้นผมไปทำงานต่อก่อนนะ”เฟยหลงเพี
Chapter 5เหม่ยอี้เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างที่กลม ๆ ของเธอเปล่งออกมาได้ชัด เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่จะส่งเอกสารให้ผู้จัดการเย่วแล้วกลับมานั่งลงที่ตามเดิมยิ้มไม่หุบจนฮุ่ยลี่ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ สังเกตขึ้นมา “เหม่ยอี้เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมแก้มเธอแดงขนาดนั้น”“ไม่ ๆ...ไม่มีอะไร” เธอปัดบอกก่อนที่จะก้มหน้าลงมองเอกสารตรงหน้า โดยซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ที่ใบหน้านิ่งของเธอ ทั้งที่จริงแล้วอยากจะกระโดดและร้องตะโกนออกมาดัง ๆความรัก...แบบนี้คือความรักใช่มั้ย !“พี่ทำร้ายฉัน !” นักดนตรีสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อหลังจากที่งานเมื่อคืนตั้งใจไว้ว่าเขาจะมาตามคำเชิญ แต่สุดท้ายเเล้วกลับเป็นจิ้นฝูที่มาเเทน วันนี้เธอจึงมาหาเฟยหลงเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะเขาทำให้ต้องเสียหน้ากับเพื่อน ๆ มากมาย อุตส่าห์คุยไว้อย่างดีว่าถังเฟยหลงจะมางานเลี้ยง...เเต่สุดท้ายเขาก็ไม่มา ! !เฟยหลงทำท่าทางนิ่ง ๆ ราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังอยู่นั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่เดือดร้อนหรือสำคัญอะไร เเม้ท่าทางของซูลี่จะไม่พอใจมากนักก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องเเคร์ความรู้สึกของซูลี่มากมายขนาดนั้น เพราะอีกฝ่ายก็เป็นเพียงรุ่นน้องท
Chapter 6“เข้ามาสิ” เขาเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นเมื่อเห็นพนักงานสาวไม่กล้าเดินเข้ามา เมื่อได้ยินเหม่ยอี้จึงรีบก้าวเข้ามาในลิฟต์ เธอยืนห่างจากประธานหนุ่มในระยะที่พอสมควร ช่างเงียบเละอึดอัดดีจังเลย นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกกดดันตัวเอง คงเป็นเพราะบอสเงียบขรึมมากเกินไปเเบบที่ฮุ่ยลี่พูดให้ฟัง จริง ๆ นั่นแหละจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิด ชายหนุ่มก้าวออกไปโดยที่เธอก้าวตามพร้อมกับถอนหายใจออกมา แต่เหม่ยอี้ไม่ใช่คนคิดมากกังวลเรื่องไร้สาระที่เล็ก ๆ น้อย ๆ หญิงสาวยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างป่องขึ้นเมื่อนึกถึงอาหารมื้อเย็นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหม่ยอี้หยุดเดินแล้วกดรับ“ฮัลโหล”[เหม่ยอี้! เธอจะไม่มาจริงๆ เหรอ คนขาดนะ!]นั่นเป็นคำชวนของฮุ่ยลี่ที่ชวนเธอไปทานอาหารมื้อเย็นกับหนุ่ม ๆ ที่นัดบอดด้วยกัน“ไม่ ๆ” ปฏิเสธเช่นเดิม[อ่า...งั้นโอเค เจอกันวันจันทร์นะ]“อืม” เหม่ยอี้กดวางสายลงก่อนที่จะเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่ก็เดินได้ไม่นานนักหนิงเหอโทร. เข้ามาหาพร้อมกับบอกให้เธอกินมื้อเย็นมาเลยเพราะวันนี้จะกลับดึก แน่นอนว่าเป็นที่เปลี่ยวเหงาหัวใจเมื่อต้องรับประทานอาหารมื้อเย็นคนเดียวอีกเช่นเคย ใครว่าเธอไม่เห
Chapter 7จนกระทั่งโทรศัพท์ที่กระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขาจึงสะดุ้งจากภวังค์ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแล้วกดรับ“ว่าไง” เฟยหลงเอ่ยถามปลายสาย[เป็นยังไงบ้างพี่ กินอิ่มมั้ย ?] น้ำเสียงของจิ้นฝูดูอารมณ์ดีผิดปกติ จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้“หมายความว่ายังไง”[เปล่า ผมแค่ถามเพราะคงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พี่กินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้หญิงไง]เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบเฟยหลงจึงเงียบลง อาจจะใช่เพราะเป็นรอบหลายปีเลยทีเดียวที่เขาไม่เคยทานข้าวหรือออกเดทกับผู้หญิงคนไหน และเหม่ยอี้เองเขาก็ไม่ได้เป็นคนชวนด้วย“แล้วยังไง ?” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ[เปล๊า]“มีอะไรอีกมั้ย ? ถ้าไม่มีฉันวางสายแล้วนะ”เฟยหลงถามและรอคำตอบก่อนจะวางสายลงในขณะที่เดินไปตามทางถนนจนกระทั่งถึงที่จอดรถหลังจากทานอาหารอีกชามเสร็จเหม่ยอี้จึงขึ้นรถแท็กซี่ไปที่ซุปเปอร์—มาร์เก็ตเพื่อชื้อของสดรวมถึงเครื่องใช้กลับมา เธอใช้เวลาซื้อของทั้งหมดไม่นานเกินสามชั่วโมง ก่อนที่จะถึงอาพาร์ทเม้นท์ตอนบ่ายสี่โมงนิด ๆ และเริ่มเก็บของรวมถึงเตรียมทำอาหารมื
Chapter 8“ฉันแค่มาดูความเรียบร้อยเฉย ๆ” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ทำไมยังไม่กลับ ?”เหม่ยอี้ยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกับตอบว่า “งานเพิ่งเสร็จค่ะ”เฟยหลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขารู้สึกว่า เหม่ยอี้ดูน่าสนใจและอยากจะทำความรู้จักกับเธอ ชายหนุ่มหัวเราะให้ตัวเองในใจ ราวกับว่าความคิดของตนนั้นตลกสิ้นดี อย่างเขาเนี่ยนะจะเดินเข้าไปทักผู้หญิงก่อน ! ! แต่ก็ทักไปแล้วนี่...“กินอะไรหรือยัง ?” จู่ ๆ ปากของเขาก็ถามไปโดยสมองยังไม่ทันตรอง จนรู้ตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้ว เหม่ยอี้ยืนอึ้งแต่ก็ยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม“อ่า...ยังค่ะ”เหม่ยอี้ตอบสั้น ๆ และรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ในใจ“ไปสิ” เขาพูดขึ้น“คะ ?” เหม่ยอี้ยังงุนงงกับคำพูดของเขาว่าหมายถึงอะไร“ผมก็หิวอยู่ว่าจะไปทานอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันสิ”เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เฟยหลงเป็นฝ่ายชวนผู้หญิงไปทานข้าวด้วย เพราะก่อนหน้านั้นมีแต่สาว ๆ เข้ามาชวนเขาและโดนปฏิเสธไปทุกราย อาจเป็นเพราะยังอยากเห็นรอยยิ้ม
Chapter 9เหม่ยอี้สนใจกับเอกสารตรงหน้าที่กำลังคีย์ข้อมูลใส่จอคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งเกือบเที่ยงหญิงสาวจึงบิดคลายเมื่อยพร้อมทั้งบันทึกงานก่อนที่จะลุกขึ้นสั่งปริ๊นต์เอกสารแล้วเก็บใส่แฟ้มแล้วนำไปให้ฮุ่ยลี่ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมมองเวลาอีกครั้งพร้อมกับเตรียมท่าได้เวลาทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว“ฮุ่ยลี่ ไปกินข้าวเที่ยงกัน” เหม่ยอี้เอ่ยปากชวนเพื่อนร่วมงานสาวแต่...ทว่าทุกคนกลับหยุดลงเมื่อผอ. จิ้นฝูเดินเข้ามาในแผนก“เหม่ยอี้” ชายหนุ่มเรียกหญิงสาว พร้อมกับเดินเข้ามาหา “มานี่ หน่อย ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”สายตามองชายหนุ่มด้วยความหลงใหลพร้อมกับที่มองเหม่ยอี้ด้วยความอิจฉา หญิงสาวเดินออกมาข้างนอกห้องในระยะที่ห่างพอสมควร แม้เพื่อนร่วมงานในห้องจะต่างเดินออกมาแนบที่ประตูเอียงหูฟัง“เอ่อ...มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มจิ้นฝูยิ้มออกมาเพราะเขาคิดว่าสิ่งที่ได้ยินจากรปภ. ไม่ผิดแน่ ๆ ดีที่สั่งให้ปิดปากเงียบ เพราะไม่อย่างงั้นแล้วเหม่ยอี้อาจจะทนต่อแรงกดดันจากพนักงานไม่ได้“จริงหรือที่เฟยหลงไปส่งคุณที่บ้าน”เ
Desire of love เพียงรักที่ปรารถนาChapter 0‘ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ชอบเธอ’กี่ครั้งแล้ว ! ! ที่โดนปฏิเสธ บางทีอาจจะจำไม่ด้วยซ้ำไปเพราะว่าเยอะเกินที่จะนับ ทุกครั้งที่เดินเข้าไปหาผู้ชายที่แอบชอบหรือว่าหลงใหล แต่ก็ต้องเจอคำนี้ตอบกลับมาทุกที เธอ..ไม่สวยอย่างนั้นเหรอเหม่ยอี้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาส่องกระจกดูตัวเอง บางทีเธอก็คิดว่าควรเลิกโหยหาความรักเสียที“โอ๊ย!! ทำไมนะ!!” หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองพลางส่งสายตามองในกระจกทรงยาวแล้วหมุนซ้ายขวามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง“ความรัก มันหายากนักหรือไง!”หญิงสาวบ่นพร้อมกับเดินมานั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง สีหน้าบูดบึ้งมองไปที่โต๊ะ กองหนังสือนิตยสารเสริมความงามที่อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางแบบดัง ๆ ถึงมีชายหนุ่มหลงใหลกันมากมาย เธอก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด(ใช่มั้ย ?) แต่...ไม่เคยมีความรักสักครั้ง อาภัพแท้ที่สุด ! !ประตูห้องเปิดออก หนิงเหอรูมเมตที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานเดินเข้ามาแล้วหันไปประตูปิด ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวข้าง ๆ พลางถอนหายใจออกมา สายตาหันไปมองเหม่ยอี้ที่ทำหน้าราวกับหมดสิ้นทุกอย่างก็ไม่ปาน“เป็นอะไรไปน่ะ” หนิงเหอเอ่ยถามขึ้นเหม