Chapter 4
“พี่ไม่ไป ?” “ฉันไม่ชอบ ถ้าไปเท่ากับใส่ใจ” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ราวกับไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนชวนสักนิด แต่ที่พูดมาก็มีเหตุผล จิ้นฝูรู้ดีว่าซูลี่คิดยังไงกับเฟยหลง แม้จะหลายปีมาแล้วแต่ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด “แล้วจะให้ผมไปแทน ?” จิ้นฝูถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะทุกคืนก็ออกไปเที่ยวที่ผับประจำหรือไม่ก็จัดปาร์ตี้ที่คอนโด ฯ แต่ถ้าทำแบบนี้เท่ากับหักน้ำใจของซูลี่เป็นอย่างมาก “แบบนี้เธอจะเสียใจนะ” “เธอโทรมาชวนแต่ฉันบอกซูลี่ไปแล้วว่าไม่ไป ก่อนที่จะได้บัตรเชิญอีก” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟา จิ้นฝูลุกขึ้นตาม “แล้วถ้าผมไม่ไปล่ะ” “ก็แล้วแต่นาย ยังไงฉันก็ไม่ไปอยู่แล้ว” ประธานหนุ่มตอบโดยที่ไม่คิดมากสักนิด เล่นทำจิ้นฝูทึ่งเหมือนกัน “โอเค ผมจะไปให้แล้วกัน และจะบอกเธอว่าพี่ติดงานด่วน อย่างน้อยก็รักษาน้ำใจเธอหน่อย” จิ้นฝูพูดก่อนที่เอื้อมมือไปหยิบซองการ์ดเชิญแล้วเปิดออกอ่าน “แล้วพี่ไม่คิดมองผู้หญิงคนไหนบ้างหรือ” เฟยหลงหันมามองจิ้นฝูพร้อมกับส่ายหน้า “นายไม่จำเป็นต้องยุ่ง” หนุ่มเจ้าสำราญหัวเราะ “งั้นผมไปทำงานต่อก่อนนะ” เฟยหลงเพียงแค่พยักรับเท่านั้น ก่อนเดินมานั่งที่ทำงานต่อ ทว่าคำถามของจิ้นฝูยังคงวนอยู่ในหัว ทำให้เขาหัวเราะขึ้นมา... ความรักน่ะเหรอ…จะไปสนทำไมกัน ? เหนื่อย ! ! เหม่ยอี้ถอนหายใจพร้อมเอนแผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้เพื่อพักสายตา เธอบิดตัวซ้ายขวาขจัดความเมื่อยล้าทางกาย ก่อนที่จะเหลือบมองฮุ่ยลี่ที่นั่งเท้าคางบนโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเซ็งๆ “ใกล้ปีใหม่แล้ว” ฮุ่ยลี่บ่นพึมพำพลางถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ! ปีนี้ก็จะผ่านไปแล้วเร็วจัง นี่เหม่ยอี้ เธอเคยมีแฟนบ้างมั้ย” หญิงสาวมองเพื่อนร่วมงานก่อนที่จะส่ายหน้าเป็นคำตอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดจริง ๆ อย่าว่าแต่แฟนเลย เธอไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาจีบเลยสักครั้ง ฮุ่ยลี่ขยับตัวเข้ามาใกล้ “จริงๆ น่ะหรือ ?” เหม่ยอี้พยักหน้าเป็นคำตอบ “ไม่เห็นต้องสนใจเลย !” นั่นเป็นคำพูดปลอบตัวเองมากกว่าปลอบฮุ่ยลี่เสียอีก ก็ในเมื่อเธอสนใจสิ...แต่เมื่อไม่มีความรักเดินเข้ามาหาจะให้เธอทำยังไง นอกเสียจากทำใจให้กับโชคชะตา “เหงาแย่เลย” เพื่อนร่วมงานสาวพูดเบา ๆ “เธอรู้มั้ย อีกไม่กี่เดือนก็ถึงฤดูความรักแล้ว ฉันอยากมีวันวาเลนไทน์ที่โรแมนติก !” เหม่ยอี้ยิ้มเจื่อนๆ แน่นอนว่าเธอไม่ค่อยอยากจะได้ยินสักเท่าไหร่ “เอ่อ...ฮุ่ยลี่ นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีมั้ย” “ไปสิ” เมื่อพูดฮุ่ยลี่จึงเอื้อมมือไปบันทึกงานในคอมพร้อมกับกดปิดพักหน้าจอ ในขณะที่เหม่ยอี้จัดกองเอกสารบนโต๊ะของเธอให้เรียบร้อย “พี่จะไปด้วยกันมั้ย” เสียงของฮุ่ยลี่เอ่ยถามรุ่นพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเธอ “เธอไปก่อนเลย” เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นเหม่ยอี้จึงเดินออกจากห้องทำงานไปพร้อมกับฮุ่ยลี่ ซึ่งระหว่างทางเดินเจ้าตัวนั้นเอาแต่บ่นเรื่องความรักในสมัยเรียนให้ฟัง ส่วนเธอเองไม่เคยสัมผัสว่ามีความรักสุขใจยังไง...บางครั้งเธอคิดจะปลงแล้วด้วยซ้ำไป ความรักน่ะเหรอ...อีกนานมั้ยจะมาหาเธอ! หลังจากที่ทานอาหารมื้อเย็นกับเพื่อนร่วมงานเสร็จ กว่าจะกลับถึงห้องก็สี่ทุ่ม เหม่ยอี้เดินเข้ามาพร้อมกับทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า พลางถอนหายใจออกมาอย่างหนัก หนิงเหอนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วปิดหนังสือลง ก่อนจะหันมองเพื่อนสาวแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “เฮ้อ...” “เป็นอะไร นี่แค่วันแรกเองนะ เธอก็ถอนหายใจขนาดนี้” หญิงสาวหันไปมองหนิงเหอที่ยิ้มขำ ๆ ก่อนที่จะเด้งตัวขึ้นและเอื้อมมือหยิบหมอนขึ้นกอดด้วยท่าทางงอแง “งานหนักก็จริงนะ แต่ฉันกำลังหนักใจ...โอ๊ยยยย...ทำไมชีวิตฉันถึงไม่มีความรักกับเขาบ้างเลย ! !” เธอยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีน้ำตาลพร้อมสีหน้าแสดงถึงอารมณ์บูดบึ้ง แต่คนที่มองได้เพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น “หนิงเหอรู้มั้ย ! ไปที่ทำงานทุกคนก็พูดเรื่องความรักกัน ฉันเนี่ยได้แค่ฟัง...ฟัง และฟัง ! อิจฉาที่สุดเลย ! !” เมื่อได้ยินหนิงเหอถึงกับต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง นั่นไม่แปลกเลยเพราะเรื่องความรักเป็นเรื่องปกติที่เวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันมักพูดกันบ่อยรองจากเรื่องความสวยความงาม คงจะมีเหม่ยอี้เท่านั้นล่ะมั้งที่ไม่อยากจะฟังทั้งสองเรื่องนี้ “เหม่ยอี้...ฉันว่าเธอคิดมากเกินไปนะ” หนิงเหอกล่าว “คิดมาก ?” เหม่ยอี้ทวนคำพูดก่อนที่จะหันมาสบตาเพื่อนสาว “ใช่แล้ว” “เฮ้อ...” หญิงสาวถอนหายใจออกมา ในใจยอมรับว่าคิดมากและเริ่มอยากที่จะสัมผัสความรักสักครั้งในชีวิต เธออิจฉาผู้หญิงที่มีความรักกันแต่กับตัวเองไม่เคยมีสักนิด “ฉันคิดว่า ฉันทำใจกับเรื่องนี้ดีกว่า !” “ทำใจ ?” หนิงเหอหัวเราะส่ายหน้า จำได้ว่าตั้งแต่รู้จักกับเหม่ยอี้มา เจ้าตัวนั้นพูดทำใจหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ยังหวังอยู่ดีว่าตัวเองอยากจะมีความรักกับคนอื่นเข้าบ้าง เธอพยักหน้าแทนคำตอบทั้งที่ใจยังแอบหวังอยู่ หากถามว่าตอนนี้มีใครในใจก็คงต้องเป็นจิ้นฝู ! ! เขาดูหล่อและอัธยาศัยดีมาก ๆ “พรุ่งนี้เธอก็เปลี่ยนใจ” หนิงเหอพูดก่อนที่จะเอื้อมมือหยิบหนังสือแล้วลุกขึ้น “ฉันไปนอนก่อนนะ ฝันดี” เหม่ยอี้พยักหน้า “อืม ฝันดี” หลังจากที่หนิงเหอเข้าห้องไปแล้ว คราวนี้เธอก็ได้แค่เดินหยิบกระเป๋าและเดินเข้าห้องของตัวเองไป ทิ้งตัวลงเตียงก่อนที่จะดิ้น ๆ และ ร้องโวยวายออกมา “ความรัก ! น่าเบื่อที่สุด !” ปากบอกแบบนั้นแต่ใจของเธอกลับโหยหายิ่งเสียกว่าอะไร... พระเจ้า ! ได้โปรดส่งเจ้าชายมารักฉันทีเถอะ ! เสียงพูดคุยของเพื่อนพนักงานในช่วงเช้าดังเช่นทุกวันซึ่งแต่ละเวลามีเรื่องให้คุยกันไม่ซ้ำ เหม่ยอี้ถอนหายใจกับเรื่องที่อยู่ในหัวตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ จนกระทั่งเสียงของผู้จัดการเย่วดังขึ้น ทุกคนก็ต่างรีบขยับตัวเข้านั่งประจำที่ทันที “เหม่ยอี้คุณเอาเอกสารตรงนี้ ไปถ่ายเอกสารให้ผมที” เมื่อได้ยินเสียงเรียกหญิงสาวเงยหน้าพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหา ก่อนที่จะเอื้อมมือรับแฟ้มพลาสติกเอสี่มา “ค่ะ” ขานรับในขณะที่ผู้จัดการเย่วเดินออกไป เธอจึงเดินกอดเอกสารที่ตัวไปยังจุดถ่ายเอกสาร มือเรียวเล็กเริ่มงมกับเครื่องตรงหน้าที่ไม่เคยใช้มาก่อน มันใช้ยังไง ! ! แม้ว่าเธอจะเคยฝึกงานมาแต่เธอไม่เคยเดินมาถ่ายเอกสารมีเพียงแค่ถูกสั่งให้คีย์ข้อมูลหรือเดินส่งเอกสารตามห้องประชุมของแผนกต่าง ๆ “ให้สอนดีกว่ามั้ย?” เสียงทุ้มของใครบางคนทำให้เธอหันไปมอง ผอ. จิ้นฝู เจ้าชายของเธอนั่นเอง ! ! เหม่ยอี้ยิ้มหวานให้พร้อมกับสบตามองชายหนุ่ม “ให้ผมสอนดีกว่า ดูท่าวันนี้คุณคงถ่ายเอกสารไม่เสร็จ” จิ้นฝูเดินเข้ามาก่อนที่จะเริ่มสอนโดยการบอกว่าเมื่อเริ่มถ่ายเธอควรกดปุ่มไหนและทำอย่างไรบ้าง ดูเหมือนประโยคที่เขาพูดหลัง ๆ จะไม่เข้าหูของเหม่ยอี้เสียแล้ว เมื่อเธอเอาแต่จ้องหน้าของเขาด้วยความหลงใหล คนอะไรหล่อเว่อร์ ! แถมยังใจดีอีกด้วย ! “เหม่ยอี้ !” ชายหนุ่มเรียก ทำให้เธอสะดุ้งขึ้นพร้อมกับมองด้วยท่าทางงุนงงเล็กน้อย “เสร็จแล้วละ” เขาส่งเอกสารที่ออกมาจากเครื่องและต้นฉบับให้กับเธอ หญิงสาวเอื้อมมือรับพร้อมยิ้มหวานรับด้วยท่าทางดีใจ “ขอบคุณค่ะ” “ทีนี้ก็ต้องฝึกใช้ให้คล่องละ อย่าช้าล่ะ เอกสารในที่ประชุมช้าไม่ได้” จิ้นฝูกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ผมไปละ” “อ่า...ค่ะ” มองชายหนุ่มเดินใจไปด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แค่นี้เธอก็ยิ้มจนหุบไม่ลงแล้ว ! ! เหม่ยอี้เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างที่กลม ๆ ของเธอเปล่งออกมาได้ชัด เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่จะส่งเอกสารให้ผู้จัดการเย่วแล้วกลับมานั่งลงที่ตามเดิม ยิ้มไม่หุบจนฮุ่ยลี่ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ สังเกตขึ้นมา “เหม่ยอี้เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมแก้มเธอแดงขนาดนั้น” Desire of love เพียงรักที่ปรารถนาChapter 5เหม่ยอี้เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างที่กลม ๆ ของเธอเปล่งออกมาได้ชัด เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่จะส่งเอกสารให้ผู้จัดการเย่วแล้วกลับมานั่งลงที่ตามเดิมยิ้มไม่หุบจนฮุ่ยลี่ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ สังเกตขึ้นมา “เหม่ยอี้เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมแก้มเธอแดงขนาดนั้น”“ไม่ ๆ...ไม่มีอะไร” เธอปัดบอกก่อนที่จะก้มหน้าลงมองเอกสารตรงหน้า โดยซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ที่ใบหน้านิ่งของเธอ ทั้งที่จริงแล้วอยากจะกระโดดและร้องตะโกนออกมาดัง ๆความรัก...แบบนี้คือความรักใช่มั้ย !“พี่ทำร้ายฉัน !” นักดนตรีสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อหลังจากที่งานเมื่อคืนตั้งใจไว้ว่าเขาจะมาตามคำเชิญ แต่สุดท้ายเเล้วกลับเป็นจิ้นฝูที่มาเเทน วันนี้เธอจึงมาหาเฟยหลงเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะเขาทำให้ต้องเสียหน้ากับเพื่อน ๆ มากมาย อุตส่าห์คุยไว้อย่างดีว่าถังเฟยหลงจะมางานเลี้ยง...เเต่สุดท้ายเขาก็ไม่มา ! !เฟยหลงทำท่าทางนิ่ง ๆ ราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังอยู่นั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่เดือดร้อนหรือสำคัญอะไร เเม้ท่าทางของซูลี่จะไม่พอใจมากนักก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องเเคร์ความรู้สึกของซูลี่มากมายขนาดนั้น เพราะอีกฝ่ายก็เป็นเพียงรุ่นน้องท
Chapter 6“เข้ามาสิ” เขาเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นเมื่อเห็นพนักงานสาวไม่กล้าเดินเข้ามา เมื่อได้ยินเหม่ยอี้จึงรีบก้าวเข้ามาในลิฟต์ เธอยืนห่างจากประธานหนุ่มในระยะที่พอสมควร ช่างเงียบเละอึดอัดดีจังเลย นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกกดดันตัวเอง คงเป็นเพราะบอสเงียบขรึมมากเกินไปเเบบที่ฮุ่ยลี่พูดให้ฟัง จริง ๆ นั่นแหละจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิด ชายหนุ่มก้าวออกไปโดยที่เธอก้าวตามพร้อมกับถอนหายใจออกมา แต่เหม่ยอี้ไม่ใช่คนคิดมากกังวลเรื่องไร้สาระที่เล็ก ๆ น้อย ๆ หญิงสาวยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างป่องขึ้นเมื่อนึกถึงอาหารมื้อเย็นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหม่ยอี้หยุดเดินแล้วกดรับ“ฮัลโหล”[เหม่ยอี้! เธอจะไม่มาจริงๆ เหรอ คนขาดนะ!]นั่นเป็นคำชวนของฮุ่ยลี่ที่ชวนเธอไปทานอาหารมื้อเย็นกับหนุ่ม ๆ ที่นัดบอดด้วยกัน“ไม่ ๆ” ปฏิเสธเช่นเดิม[อ่า...งั้นโอเค เจอกันวันจันทร์นะ]“อืม” เหม่ยอี้กดวางสายลงก่อนที่จะเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่ก็เดินได้ไม่นานนักหนิงเหอโทร. เข้ามาหาพร้อมกับบอกให้เธอกินมื้อเย็นมาเลยเพราะวันนี้จะกลับดึก แน่นอนว่าเป็นที่เปลี่ยวเหงาหัวใจเมื่อต้องรับประทานอาหารมื้อเย็นคนเดียวอีกเช่นเคย ใครว่าเธอไม่เห
Chapter 7จนกระทั่งโทรศัพท์ที่กระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขาจึงสะดุ้งจากภวังค์ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแล้วกดรับ“ว่าไง” เฟยหลงเอ่ยถามปลายสาย[เป็นยังไงบ้างพี่ กินอิ่มมั้ย ?] น้ำเสียงของจิ้นฝูดูอารมณ์ดีผิดปกติ จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้“หมายความว่ายังไง”[เปล่า ผมแค่ถามเพราะคงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พี่กินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้หญิงไง]เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบเฟยหลงจึงเงียบลง อาจจะใช่เพราะเป็นรอบหลายปีเลยทีเดียวที่เขาไม่เคยทานข้าวหรือออกเดทกับผู้หญิงคนไหน และเหม่ยอี้เองเขาก็ไม่ได้เป็นคนชวนด้วย“แล้วยังไง ?” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ[เปล๊า]“มีอะไรอีกมั้ย ? ถ้าไม่มีฉันวางสายแล้วนะ”เฟยหลงถามและรอคำตอบก่อนจะวางสายลงในขณะที่เดินไปตามทางถนนจนกระทั่งถึงที่จอดรถหลังจากทานอาหารอีกชามเสร็จเหม่ยอี้จึงขึ้นรถแท็กซี่ไปที่ซุปเปอร์—มาร์เก็ตเพื่อชื้อของสดรวมถึงเครื่องใช้กลับมา เธอใช้เวลาซื้อของทั้งหมดไม่นานเกินสามชั่วโมง ก่อนที่จะถึงอาพาร์ทเม้นท์ตอนบ่ายสี่โมงนิด ๆ และเริ่มเก็บของรวมถึงเตรียมทำอาหารมื
Chapter 8“ฉันแค่มาดูความเรียบร้อยเฉย ๆ” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ทำไมยังไม่กลับ ?”เหม่ยอี้ยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกับตอบว่า “งานเพิ่งเสร็จค่ะ”เฟยหลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขารู้สึกว่า เหม่ยอี้ดูน่าสนใจและอยากจะทำความรู้จักกับเธอ ชายหนุ่มหัวเราะให้ตัวเองในใจ ราวกับว่าความคิดของตนนั้นตลกสิ้นดี อย่างเขาเนี่ยนะจะเดินเข้าไปทักผู้หญิงก่อน ! ! แต่ก็ทักไปแล้วนี่...“กินอะไรหรือยัง ?” จู่ ๆ ปากของเขาก็ถามไปโดยสมองยังไม่ทันตรอง จนรู้ตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้ว เหม่ยอี้ยืนอึ้งแต่ก็ยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม“อ่า...ยังค่ะ”เหม่ยอี้ตอบสั้น ๆ และรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ในใจ“ไปสิ” เขาพูดขึ้น“คะ ?” เหม่ยอี้ยังงุนงงกับคำพูดของเขาว่าหมายถึงอะไร“ผมก็หิวอยู่ว่าจะไปทานอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันสิ”เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เฟยหลงเป็นฝ่ายชวนผู้หญิงไปทานข้าวด้วย เพราะก่อนหน้านั้นมีแต่สาว ๆ เข้ามาชวนเขาและโดนปฏิเสธไปทุกราย อาจเป็นเพราะยังอยากเห็นรอยยิ้ม
Chapter 9เหม่ยอี้สนใจกับเอกสารตรงหน้าที่กำลังคีย์ข้อมูลใส่จอคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งเกือบเที่ยงหญิงสาวจึงบิดคลายเมื่อยพร้อมทั้งบันทึกงานก่อนที่จะลุกขึ้นสั่งปริ๊นต์เอกสารแล้วเก็บใส่แฟ้มแล้วนำไปให้ฮุ่ยลี่ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมมองเวลาอีกครั้งพร้อมกับเตรียมท่าได้เวลาทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว“ฮุ่ยลี่ ไปกินข้าวเที่ยงกัน” เหม่ยอี้เอ่ยปากชวนเพื่อนร่วมงานสาวแต่...ทว่าทุกคนกลับหยุดลงเมื่อผอ. จิ้นฝูเดินเข้ามาในแผนก“เหม่ยอี้” ชายหนุ่มเรียกหญิงสาว พร้อมกับเดินเข้ามาหา “มานี่ หน่อย ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”สายตามองชายหนุ่มด้วยความหลงใหลพร้อมกับที่มองเหม่ยอี้ด้วยความอิจฉา หญิงสาวเดินออกมาข้างนอกห้องในระยะที่ห่างพอสมควร แม้เพื่อนร่วมงานในห้องจะต่างเดินออกมาแนบที่ประตูเอียงหูฟัง“เอ่อ...มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มจิ้นฝูยิ้มออกมาเพราะเขาคิดว่าสิ่งที่ได้ยินจากรปภ. ไม่ผิดแน่ ๆ ดีที่สั่งให้ปิดปากเงียบ เพราะไม่อย่างงั้นแล้วเหม่ยอี้อาจจะทนต่อแรงกดดันจากพนักงานไม่ได้“จริงหรือที่เฟยหลงไปส่งคุณที่บ้าน”เ
Desire of love เพียงรักที่ปรารถนาChapter 0‘ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ชอบเธอ’กี่ครั้งแล้ว ! ! ที่โดนปฏิเสธ บางทีอาจจะจำไม่ด้วยซ้ำไปเพราะว่าเยอะเกินที่จะนับ ทุกครั้งที่เดินเข้าไปหาผู้ชายที่แอบชอบหรือว่าหลงใหล แต่ก็ต้องเจอคำนี้ตอบกลับมาทุกที เธอ..ไม่สวยอย่างนั้นเหรอเหม่ยอี้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาส่องกระจกดูตัวเอง บางทีเธอก็คิดว่าควรเลิกโหยหาความรักเสียที“โอ๊ย!! ทำไมนะ!!” หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองพลางส่งสายตามองในกระจกทรงยาวแล้วหมุนซ้ายขวามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง“ความรัก มันหายากนักหรือไง!”หญิงสาวบ่นพร้อมกับเดินมานั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง สีหน้าบูดบึ้งมองไปที่โต๊ะ กองหนังสือนิตยสารเสริมความงามที่อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางแบบดัง ๆ ถึงมีชายหนุ่มหลงใหลกันมากมาย เธอก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด(ใช่มั้ย ?) แต่...ไม่เคยมีความรักสักครั้ง อาภัพแท้ที่สุด ! !ประตูห้องเปิดออก หนิงเหอรูมเมตที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานเดินเข้ามาแล้วหันไปประตูปิด ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวข้าง ๆ พลางถอนหายใจออกมา สายตาหันไปมองเหม่ยอี้ที่ทำหน้าราวกับหมดสิ้นทุกอย่างก็ไม่ปาน“เป็นอะไรไปน่ะ” หนิงเหอเอ่ยถามขึ้นเหม
Chapter 1 ความเงียบครอบคลุมภายในห้องประชุมของตึกสูงใจกลางเมืองปักกิ่งของบริษัทหลวนเฉินกรุ๊ป ผู้ผลิตเสื้อผ้าและส่งออกจนได้รับการยอมรับเป็นแนวหน้าของวงการแฟชั่น “คุณคิดว่าควรทำยังไง ?” เสียงเข้มของประธานหนุ่มถังเฟยหลงอายุราว ๆ สามสิบปีเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ดูข้อมูลการตลาดเมื่อเดือนที่ผ่านมา เมื่อเสื้อผ้าแบบใหม่จากแบรนด์ deluxe (ดีลักซ์) ที่เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนก่อน ปรากฏว่าความชอบของผู้ซื้อยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งยังไม่สามารถตีตลาดออกนอกประเทศได้อีกด้วย นับเป็นความล้มเหลวอย่างหนึ่งของบริษัท เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้จัดการจากทุกแผนกที่ประสานกันทำงาน เว้นกระทั่งเฉินจิ้นฝูผู้อำนวยการของบริษัทและเป็น ญาติผู้น้องของเฟยหลงกล่าวขึ้น “ผมคิดว่าบางทีอาจเพราะผู้บริโภคอาจไม่ได้รับแหล่งข่าวสาร อีกอย่างเราเพิ่งวางจำหน่ายได้แค่เดือนเดียวด้วย” “นายคิดว่าอย่างนั้นเหรอ ?” เฟยหลงหรี่ตามองก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วเอื้อมมือปิดแฟ้มสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ “เอาเป็นว่า ฉันจะรอดูยอดขายเดือนนี้” จิ้นฝูยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้น “เอาเป็นว่าการประชุมวันนี้แค่นี้ ผมอยากให้พวกคุณทำงานอย่างเต็มที่เพื่
Chapter 2“ผู้จัดการเย่วหาพนักงานที่จะมาทำงานแทนหลิ่งฟางหรือยัง” ผอ. จิ้นฝูเอ่ยถามผู้จัดการแผนกฝ่ายบัญชีขึ้นหลังจากที่คุยงานกันเสร็จ เพราะหลิ่งฟางลาออกไป จึงต้องหาพนักงานใหม่เข้ามาเพิ่ม เพื่อไม่ให้งานของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล่าช้าไป“ผมให้เธอเข้ามาสัมภาษณ์ในวันนี้ตอนสิบโมงเช้า” ซือเหลินตอบจิ้นฝูพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะพูดขึ้น “งั้นให้มาสัมภาษณ์งานกับผมละกัน ผมมีเรื่องที่อยากลองถามพนักงานเข้าใหม่หน่อย”“ครับ” เมื่อคุยตกลงกันเสร็จแล้วผู้จัดการเย่วจึงเดินออกจากห้องของผอ. ไป ชายหนุ่มเอนตัวลงพิงพนัก พร้อมกับหันไปมองนาฬิกาที่เป็นเวลาเก้าโมงสามสิบห้านาที อีกเพียงยี่สิบห้านาทีเขาต้องสัมภาษณ์งานพนักงานใหม่ที่จะมาแทนหลิ่งฟางด้วยจิ้นฝูก้มหน้าสนใจกับเอกสารตรงหน้ารวมถึงฝ่ายออกแบบที่เสนอแบบสินค้าชุดใหม่มาให้เขาตามหัวข้อที่สั่งไป ชายหนุ่มมองอย่างครุ่นคิดราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ถูกใจพอ แต่ก็ต้องดูคำตัดสินจากเฟยหลงอีกครั้ง ว่าจะสั่งแก้หรือให้ทำใหม่ทั้งหมดไปเลยเมื่อมองเวลาอีกเพียงแค่สิบห้านาทีเขาคงไม่ทันที่จะเดินไปคุยงานกับเฟยหลงแล้ว จึงต่อสายโทรหาเลขาที่หน้าห้องทันที“ชิงเซียน เข้ามาพบผมหน่