Chapter 3
เดินมาถึงร้านอาหารไม่ห่างจากห้องพักของเหม่ยอี้มากนัก นั่นคือร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่โปรดมากที่สุด ตั้งอยู่ริมข้างทางในซอยแห่งหนึ่ง ผู้คนนั้นเดินผ่านไปมาวันนี้ก็คนเยอะอีกเช่นเคย “เหมือนเดิมเลยจ้ะป้า” หญิงสาวสั่งเหมือนทุกครั้งที่หนิงเหอไม่กลับมาทานข้าวมื้อเย็น ไม่นานนักเกินสิบนาทีก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามพิเศษได้วางลงบนโต๊ะตรงหน้า เหม่ยอี้ไม่รอช้าที่จะหยิบตะเกียบขึ้นทานทันที รสชาติอาหารยังถูกปากเสมอ หญิงสาวใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีอาหารจานพิเศษจนหมดเกลี้ยง เธอหันไปเรียกจ่ายเงิน ก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป เหม่ยอี้ยังไม่อยากกลับบ้าน เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินเล่นในสวนสาธารณะตอนกลางคืน ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาหัวใจแทรกซึมเข้ามา ทุกทีเมื่อเดินมองคู่รักจับมือกัน หญิงสาวจึงเลี่ยงเดินจากไปโดยเร็วที่จะไม่มอง ครั้นเมื่อหยุดเดินลงส่งสายตามองชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่ อ่า...สุดท้ายแล้วคบกันก็ต้องถูกทิ้งอยู่ดีสินะ ไม่ต่างจากตอนที่ขอคบกันเลย เรื่องแบบนี้ต้องใช้โชคช่วยชัด ๆ เหม่ยอี้มองอย่างทำใจก่อนที่จะเดินกลับมาที่ห้องพักซึ่งก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว แต่ไม่มีท่าทีที่หนิงเหอจะ กลับมา เธอจึงเข้านอนโดยไม่ได้รอเพื่อนสาวอีกต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้น... สายแล้ว ! ! เหม่ยอี้วิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าบริษัท พลางสูดลมหายใจเข้า เธอส่งสายตามองพนักงานหลายคนที่ทยอยเดินเข้ามาทำงานด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่นี่ก็แปดโมงสิบนาทีแล้ว ทำไมถึงยังไม่วิ่งอีก หญิงสาวยืนตัวตั้งมั่นก่อนที่จะก้าวผ่านประตูใหญ่เข้าไป สองเท้าก้าวยาวไปยังลิฟต์ที่กำลังจะปิดลงแต่ทว่า...เธอกลับตะโกนเสียงดังขึ้น “รอด้วยค่ะ ! รอด้วย !” ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง หญิงสาวก้าวเข้ามาก้มหน้าอย่างอาย ๆ ที่เผลอตะโกนเสียงดัง โชคดีที่คนในลิฟต์มีกันแค่สี่คนรวมเธอด้วย ไม่อย่างนั้นละก็เธอคงต้องอายทั้งวันแน่ เหม่ยอี้เอื้อมมือไปกดชั้นที่สิบห้า ก่อนที่จะยืนก้มหน้าอยู่เงียบๆ ในขณะที่ลิฟต์เคลื่อนตัวผ่านชั้นที่แปดก่อนจะหยุดลงในชั้นที่เก้า ทันทีที่ประตูเปิดออกชายหนุ่มก้าวเข้ามาข้างใน แค่เขายิ้มก็เรียกเสียงกรี๊ดของบรรดาพนักงานสาว ๆ ได้ หัวใจของเหม่ยอี้แทบหยุดเต้นชั่วขณะ เขา ! ! เจ้าชายที่สัมภาษณ์เธอเมื่อวานนี้ ดวงตากลมกะพริบมองชายหนุ่มที่ยิ้มให้กับเธอ “สวัสดี เหม่ยอี้” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทักเธอ “อ่า...สวัสดีค่ะ” เธอยิ้มให้เขาก่อนที่จะก้มหน้าลง เหม่ยอี้กำลังฝันไปใช่หรือไม่ ? ว่าผู้ชายคนนี้ยิ้มและทักเธอ..แบบนี้เรียกว่าความรักใช่มั้ย ? ติ๊ง ! ถึงชั้นสิบห้าแล้ว เหม่ยอี้ก้าวออกไปก่อนที่จะหันหลังไปมองเขาอีกครั้ง ในขณะที่ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิดลง เฮ้อ...ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ หญิงสาวเดินตรงไปยังแผนกฝ่ายบัญชี สายตาของเธอมองทุกคนที่กำลังสนทนากันเรื่องงานกันอย่างเคร่งเครียด เดินจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องใหญ่ เหม่ยอี้ใช้มือข้างหนึ่งดันประตูห้องเปิดออก สายตาของทุกคนหันมามองเธอเป็นทางเดียว เหม่ยอี้จึงรีบโค้งคำนับให้ก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ในขณะที่ผู้จัดการเย่วเดินเข้ามาหา “มาสิ ผมจะแนะนำคุณให้ทุกคนรู้จัก” เหม่ยอี้ก้าวเข้ามายืนกลางห้องพลางก้มหน้าลง แต่ก็ยังเหล่สายตามองสีหน้าของทุกคนเป็นระยะ ๆ “เอาละ ทุกคนฟังผมทางนี้” ซือเหลินกล่าวขึ้น “นี่คือฟางเหม่ยอี้ เธอจะมาทำงานแทนหลิ่งฟาง” ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ หญิงสาวจึงก้มหัวลงพร้อมกับพูดว่า “ฝากเนื้อ ฝากตัวด้วยนะคะ” “ที่นั่งของคุณมุมโน้น” ผู้จัดการเย่วพูดขึ้นก่อนที่จะเดินไป ในขณะที่เหม่ยอี้พยักหน้ารับแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของเธอ สายตาทุกคนจ้องมองเป็นตาเดียวจึงทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าจ้องเธอเรื่องอะไร “เอ่อ...” “ได้ข่าวว่าผอ. จิ้นฝูเป็นคนสัมภาษณ์เธอจริงมั้ย ?” ฮุ่ยลี่หนึ่งในพนักงานของแผนกเอ่ยถามขึ้น ซึ่งสีหน้าของทุกคนก็รอฟังคำตอบจากเธอ เหม่ยอี้กะพริบตามองเก็บข้อมูลอย่างงง ๆ หมายความว่าผู้ชายที่สัมภาษณ์เธอคือ ผอ. จิ้นฝู ! ! “อืม” หญิงสาวพยักหน้าตอบ “ว้าว ! น่าอิจฉาจังเลย” เสียงของฮุ่ยลี่พูดด้วยความเสียดาย “นั่นสิ” อีกคนจึงเริ่มเสริมขึ้น “ทำไมเหรอ ?” เธอถามอย่างสงสัย “เธอมาใหม่ยังไม่รู้สินะ ว่าผอ. จิ้นฝูเป็นขวัญใจของสาว ๆ ในบริษัทเราเลยละ และทุกคนก็ฝันที่อยากจะเดทกับเขาสักครั้งหนึ่ง !” เหม่ยอี้ยิ้มให้ก่อนที่จะหลบสายตาลง หมายความว่าความหวังของเธอแทบเป็นศูนย์เลยด้วยซ้ำ เมื่อผู้ชายคนนี้เป็นขวัญใจของทุกคน และเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้หญิงที่ดีกว่าเธอด้วยซ้ำ สวรรค์ไม่เข้าข้างเธอเลย ! “งั้นเหรอ” เหม่ยอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ใจเริ่มแผ่วและหมดหวังลง...ความรักหนอหายากที่สุด และ...ชีวิตนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันแล้วจริงๆ “ใช่น่ะสิ !” “อ่ะแฮ่ม !” เสียงกระแอมของผู้จัดการเย่วดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง “ทำงานกันได้แล้ว อยากให้ผมรายงานเบื้องบนมั้ย” เท่านั้นทุกคนที่ต่างลุกขึ้นยืนจ้องเหม่ยอี้รีบขยับตัวลงทำงานทันที เหม่ยอี้หันไปหาหญิงสาวข้าง ๆ ตัวเธอพร้อมกับพูดขึ้น “เอ่อ...นี่คือเอกสารที่ฉันต้องทำใช่มั้ย ?” ฮุ่ยลี่มองก่อนจะพยักหน้า “ใช่แล้ว งานตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนเลยละ นี่เหลือนิดเดียวแล้วเราต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้ ตั้งแต่หลิ่งฟางลาออกไปงานที่แผนกก็เสร็จช้าลงเลย” “อ้อ” หญิงสาวขานรับก่อนที่จะขยับตัวมานั่งทำงานต่อ นับว่าเป็นโชคดีตอนที่เธอฝึกงานในบริษัทแห่งหนึ่งได้มีพื้นฐานของการทำงานมาอยู่บ้าง เลยไม่ต้องรออะไรมา เหม่ยอี้ตั้งใจว่า เธอจะทำงานให้ดีที่สุด ! “นายตัดสินใจกับเรื่องนี้ยังไง” เฟยหลงเอ่ยถามขึ้นในขณะที่นั่งไขว่ข้างอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ ตรงข้ามหน้าเขาคือจิ้นฝู ที่ยังนิ่งเงียบไม่พูดแต่ยิ้มออกมา ประธานหนุ่มเลิกคิ้วมองญาติผู้น้องที่ถอนหายใจออกมา เขาจึงเป็นฝ่ายที่เกริ่นขึ้นเองอีกครั้งหนึ่ง “สินค้าที่ออกไปยังไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีมากนัก แล้วแบบใหม่นายคิดว่าผู้บริโภคจะสนใจอย่างนั้นเหรอ ?” นับว่าเป็นความเสี่ยงอย่างสูงที่จะเปิดตัวสินค้าชิ้นใหม่ในขณะที่ผลตอบแทนชุดเก่ายังไม่ดีพอ ทั้งที่ผ่านมาแบรนด์สินค้าจากบริษัทก็ขายดีมาตลอด “ผมคิดว่าสินค้าของเราไม่ใช่ทุกคนไม่ชอบ เพียงแต่ว่าราคาสูงเพิ่มมากขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว เลยทำให้ผู้ซื้อลดลงไปด้วย” จิ้นฝูกล่าว ทำให้เฟยหลงหยุดคิด นั่นเป็นความจริงเพราะราคาเสื้อผ้าแต่ละชุดที่ออกสู่ตลาดมีราคาสูงกว่าปีก่อน เนื่องจากต้นทุนที่สูงเป็นทุนเดิมทำให้ราคาขายจึงสูงเพิ่มขึ้นไปอีก “ผมคิดว่าเราต้องมาดูที่ต้นทุนการผลิต” จิ้นฝูเสนอ “งั้นเราต้องดูแบบเสื้อผ้าอีกที แล้วมาดูต้นทุนการผลิตว่าใช้วัสดุประเภทไหนบ้าง” เฟยหลงกล่าว “แล้วแบบชุดอันนี้...ฉันคิดว่ามันยังไม่ดูแปลกใหม่หรือสะดุดตาเท่าที่ควร และมันแทบไม่ต่างจากแบบเดิมเท่าไหร่เลย นายจัดการให้แผนกออกแบบนำกลับไปแก้ไขให้เรียบร้อยด้วย” จิ้นฝูคิดอยู่แล้วว่าเฟยหลงต้องพูดออกมาแบบนี้ “โอเค” “จริงสิ วันนี้นายจัดการไปงานเลี้ยงของซูลี่แทนฉันด้วยนะ” เฟยหลงพูดพร้อมกับหยิบการ์ดเชิญที่อยู่ในแฟ้มส่งให้จิ้นฝู หนุ่มเจ้าสำราญอึ้งนิดๆ เพราะหญิงสาวที่ชวนเฟยหลงใช่สาว ๆ ธรรมดาเสียที่ไหน แต่เป็น...ซูลี่เป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเป็นถึงนักเปียโนระดับประเทศที่หนุ่ม ๆ นั้นอยากจะออกเดทด้วย โอกาสดี ๆ แบบนี้หาได้ยากไม่น่าปฏิเสธไปเลย “พี่ไม่ไป ?” “ฉันไม่ชอบ ถ้าไปเท่ากับใส่ใจ” Desire of love เพียงรักที่ปรารถนาChapter 4“พี่ไม่ไป ?”“ฉันไม่ชอบ ถ้าไปเท่ากับใส่ใจ” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ราวกับไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนชวนสักนิด แต่ที่พูดมาก็มีเหตุผล จิ้นฝูรู้ดีว่าซูลี่คิดยังไงกับเฟยหลง แม้จะหลายปีมาแล้วแต่ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด“แล้วจะให้ผมไปแทน ?” จิ้นฝูถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะทุกคืนก็ออกไปเที่ยวที่ผับประจำหรือไม่ก็จัดปาร์ตี้ที่คอนโด ฯ แต่ถ้าทำแบบนี้เท่ากับหักน้ำใจของซูลี่เป็นอย่างมาก“แบบนี้เธอจะเสียใจนะ”“เธอโทรมาชวนแต่ฉันบอกซูลี่ไปแล้วว่าไม่ไป ก่อนที่จะได้บัตรเชิญอีก” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาจิ้นฝูลุกขึ้นตาม “แล้วถ้าผมไม่ไปล่ะ”“ก็แล้วแต่นาย ยังไงฉันก็ไม่ไปอยู่แล้ว” ประธานหนุ่มตอบโดยที่ไม่คิดมากสักนิด เล่นทำจิ้นฝูทึ่งเหมือนกัน“โอเค ผมจะไปให้แล้วกัน และจะบอกเธอว่าพี่ติดงานด่วน อย่างน้อยก็รักษาน้ำใจเธอหน่อย”จิ้นฝูพูดก่อนที่เอื้อมมือไปหยิบซองการ์ดเชิญแล้วเปิดออกอ่าน “แล้วพี่ไม่คิดมองผู้หญิงคนไหนบ้างหรือ”เฟยหลงหันมามองจิ้นฝูพร้อมกับส่ายหน้า“นายไม่จำเป็นต้องยุ่ง”หนุ่มเจ้าสำราญหัวเราะ “งั้นผมไปทำงานต่อก่อนนะ”เฟยหลงเพี
Chapter 5เหม่ยอี้เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างที่กลม ๆ ของเธอเปล่งออกมาได้ชัด เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่จะส่งเอกสารให้ผู้จัดการเย่วแล้วกลับมานั่งลงที่ตามเดิมยิ้มไม่หุบจนฮุ่ยลี่ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ สังเกตขึ้นมา “เหม่ยอี้เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมแก้มเธอแดงขนาดนั้น”“ไม่ ๆ...ไม่มีอะไร” เธอปัดบอกก่อนที่จะก้มหน้าลงมองเอกสารตรงหน้า โดยซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ที่ใบหน้านิ่งของเธอ ทั้งที่จริงแล้วอยากจะกระโดดและร้องตะโกนออกมาดัง ๆความรัก...แบบนี้คือความรักใช่มั้ย !“พี่ทำร้ายฉัน !” นักดนตรีสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อหลังจากที่งานเมื่อคืนตั้งใจไว้ว่าเขาจะมาตามคำเชิญ แต่สุดท้ายเเล้วกลับเป็นจิ้นฝูที่มาเเทน วันนี้เธอจึงมาหาเฟยหลงเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะเขาทำให้ต้องเสียหน้ากับเพื่อน ๆ มากมาย อุตส่าห์คุยไว้อย่างดีว่าถังเฟยหลงจะมางานเลี้ยง...เเต่สุดท้ายเขาก็ไม่มา ! !เฟยหลงทำท่าทางนิ่ง ๆ ราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังอยู่นั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่เดือดร้อนหรือสำคัญอะไร เเม้ท่าทางของซูลี่จะไม่พอใจมากนักก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องเเคร์ความรู้สึกของซูลี่มากมายขนาดนั้น เพราะอีกฝ่ายก็เป็นเพียงรุ่นน้องท
Chapter 6“เข้ามาสิ” เขาเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นเมื่อเห็นพนักงานสาวไม่กล้าเดินเข้ามา เมื่อได้ยินเหม่ยอี้จึงรีบก้าวเข้ามาในลิฟต์ เธอยืนห่างจากประธานหนุ่มในระยะที่พอสมควร ช่างเงียบเละอึดอัดดีจังเลย นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกกดดันตัวเอง คงเป็นเพราะบอสเงียบขรึมมากเกินไปเเบบที่ฮุ่ยลี่พูดให้ฟัง จริง ๆ นั่นแหละจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิด ชายหนุ่มก้าวออกไปโดยที่เธอก้าวตามพร้อมกับถอนหายใจออกมา แต่เหม่ยอี้ไม่ใช่คนคิดมากกังวลเรื่องไร้สาระที่เล็ก ๆ น้อย ๆ หญิงสาวยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างป่องขึ้นเมื่อนึกถึงอาหารมื้อเย็นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหม่ยอี้หยุดเดินแล้วกดรับ“ฮัลโหล”[เหม่ยอี้! เธอจะไม่มาจริงๆ เหรอ คนขาดนะ!]นั่นเป็นคำชวนของฮุ่ยลี่ที่ชวนเธอไปทานอาหารมื้อเย็นกับหนุ่ม ๆ ที่นัดบอดด้วยกัน“ไม่ ๆ” ปฏิเสธเช่นเดิม[อ่า...งั้นโอเค เจอกันวันจันทร์นะ]“อืม” เหม่ยอี้กดวางสายลงก่อนที่จะเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่ก็เดินได้ไม่นานนักหนิงเหอโทร. เข้ามาหาพร้อมกับบอกให้เธอกินมื้อเย็นมาเลยเพราะวันนี้จะกลับดึก แน่นอนว่าเป็นที่เปลี่ยวเหงาหัวใจเมื่อต้องรับประทานอาหารมื้อเย็นคนเดียวอีกเช่นเคย ใครว่าเธอไม่เห
Chapter 7จนกระทั่งโทรศัพท์ที่กระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขาจึงสะดุ้งจากภวังค์ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแล้วกดรับ“ว่าไง” เฟยหลงเอ่ยถามปลายสาย[เป็นยังไงบ้างพี่ กินอิ่มมั้ย ?] น้ำเสียงของจิ้นฝูดูอารมณ์ดีผิดปกติ จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้“หมายความว่ายังไง”[เปล่า ผมแค่ถามเพราะคงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พี่กินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้หญิงไง]เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบเฟยหลงจึงเงียบลง อาจจะใช่เพราะเป็นรอบหลายปีเลยทีเดียวที่เขาไม่เคยทานข้าวหรือออกเดทกับผู้หญิงคนไหน และเหม่ยอี้เองเขาก็ไม่ได้เป็นคนชวนด้วย“แล้วยังไง ?” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ[เปล๊า]“มีอะไรอีกมั้ย ? ถ้าไม่มีฉันวางสายแล้วนะ”เฟยหลงถามและรอคำตอบก่อนจะวางสายลงในขณะที่เดินไปตามทางถนนจนกระทั่งถึงที่จอดรถหลังจากทานอาหารอีกชามเสร็จเหม่ยอี้จึงขึ้นรถแท็กซี่ไปที่ซุปเปอร์—มาร์เก็ตเพื่อชื้อของสดรวมถึงเครื่องใช้กลับมา เธอใช้เวลาซื้อของทั้งหมดไม่นานเกินสามชั่วโมง ก่อนที่จะถึงอาพาร์ทเม้นท์ตอนบ่ายสี่โมงนิด ๆ และเริ่มเก็บของรวมถึงเตรียมทำอาหารมื
Chapter 8“ฉันแค่มาดูความเรียบร้อยเฉย ๆ” เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ทำไมยังไม่กลับ ?”เหม่ยอี้ยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกับตอบว่า “งานเพิ่งเสร็จค่ะ”เฟยหลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขารู้สึกว่า เหม่ยอี้ดูน่าสนใจและอยากจะทำความรู้จักกับเธอ ชายหนุ่มหัวเราะให้ตัวเองในใจ ราวกับว่าความคิดของตนนั้นตลกสิ้นดี อย่างเขาเนี่ยนะจะเดินเข้าไปทักผู้หญิงก่อน ! ! แต่ก็ทักไปแล้วนี่...“กินอะไรหรือยัง ?” จู่ ๆ ปากของเขาก็ถามไปโดยสมองยังไม่ทันตรอง จนรู้ตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้ว เหม่ยอี้ยืนอึ้งแต่ก็ยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม“อ่า...ยังค่ะ”เหม่ยอี้ตอบสั้น ๆ และรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ในใจ“ไปสิ” เขาพูดขึ้น“คะ ?” เหม่ยอี้ยังงุนงงกับคำพูดของเขาว่าหมายถึงอะไร“ผมก็หิวอยู่ว่าจะไปทานอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันสิ”เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เฟยหลงเป็นฝ่ายชวนผู้หญิงไปทานข้าวด้วย เพราะก่อนหน้านั้นมีแต่สาว ๆ เข้ามาชวนเขาและโดนปฏิเสธไปทุกราย อาจเป็นเพราะยังอยากเห็นรอยยิ้ม
Chapter 9เหม่ยอี้สนใจกับเอกสารตรงหน้าที่กำลังคีย์ข้อมูลใส่จอคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งเกือบเที่ยงหญิงสาวจึงบิดคลายเมื่อยพร้อมทั้งบันทึกงานก่อนที่จะลุกขึ้นสั่งปริ๊นต์เอกสารแล้วเก็บใส่แฟ้มแล้วนำไปให้ฮุ่ยลี่ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมมองเวลาอีกครั้งพร้อมกับเตรียมท่าได้เวลาทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว“ฮุ่ยลี่ ไปกินข้าวเที่ยงกัน” เหม่ยอี้เอ่ยปากชวนเพื่อนร่วมงานสาวแต่...ทว่าทุกคนกลับหยุดลงเมื่อผอ. จิ้นฝูเดินเข้ามาในแผนก“เหม่ยอี้” ชายหนุ่มเรียกหญิงสาว พร้อมกับเดินเข้ามาหา “มานี่ หน่อย ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”สายตามองชายหนุ่มด้วยความหลงใหลพร้อมกับที่มองเหม่ยอี้ด้วยความอิจฉา หญิงสาวเดินออกมาข้างนอกห้องในระยะที่ห่างพอสมควร แม้เพื่อนร่วมงานในห้องจะต่างเดินออกมาแนบที่ประตูเอียงหูฟัง“เอ่อ...มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มจิ้นฝูยิ้มออกมาเพราะเขาคิดว่าสิ่งที่ได้ยินจากรปภ. ไม่ผิดแน่ ๆ ดีที่สั่งให้ปิดปากเงียบ เพราะไม่อย่างงั้นแล้วเหม่ยอี้อาจจะทนต่อแรงกดดันจากพนักงานไม่ได้“จริงหรือที่เฟยหลงไปส่งคุณที่บ้าน”เ
Desire of love เพียงรักที่ปรารถนาChapter 0‘ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ชอบเธอ’กี่ครั้งแล้ว ! ! ที่โดนปฏิเสธ บางทีอาจจะจำไม่ด้วยซ้ำไปเพราะว่าเยอะเกินที่จะนับ ทุกครั้งที่เดินเข้าไปหาผู้ชายที่แอบชอบหรือว่าหลงใหล แต่ก็ต้องเจอคำนี้ตอบกลับมาทุกที เธอ..ไม่สวยอย่างนั้นเหรอเหม่ยอี้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาส่องกระจกดูตัวเอง บางทีเธอก็คิดว่าควรเลิกโหยหาความรักเสียที“โอ๊ย!! ทำไมนะ!!” หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองพลางส่งสายตามองในกระจกทรงยาวแล้วหมุนซ้ายขวามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง“ความรัก มันหายากนักหรือไง!”หญิงสาวบ่นพร้อมกับเดินมานั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง สีหน้าบูดบึ้งมองไปที่โต๊ะ กองหนังสือนิตยสารเสริมความงามที่อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางแบบดัง ๆ ถึงมีชายหนุ่มหลงใหลกันมากมาย เธอก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด(ใช่มั้ย ?) แต่...ไม่เคยมีความรักสักครั้ง อาภัพแท้ที่สุด ! !ประตูห้องเปิดออก หนิงเหอรูมเมตที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานเดินเข้ามาแล้วหันไปประตูปิด ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวข้าง ๆ พลางถอนหายใจออกมา สายตาหันไปมองเหม่ยอี้ที่ทำหน้าราวกับหมดสิ้นทุกอย่างก็ไม่ปาน“เป็นอะไรไปน่ะ” หนิงเหอเอ่ยถามขึ้นเหม
Chapter 1 ความเงียบครอบคลุมภายในห้องประชุมของตึกสูงใจกลางเมืองปักกิ่งของบริษัทหลวนเฉินกรุ๊ป ผู้ผลิตเสื้อผ้าและส่งออกจนได้รับการยอมรับเป็นแนวหน้าของวงการแฟชั่น “คุณคิดว่าควรทำยังไง ?” เสียงเข้มของประธานหนุ่มถังเฟยหลงอายุราว ๆ สามสิบปีเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ดูข้อมูลการตลาดเมื่อเดือนที่ผ่านมา เมื่อเสื้อผ้าแบบใหม่จากแบรนด์ deluxe (ดีลักซ์) ที่เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนก่อน ปรากฏว่าความชอบของผู้ซื้อยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งยังไม่สามารถตีตลาดออกนอกประเทศได้อีกด้วย นับเป็นความล้มเหลวอย่างหนึ่งของบริษัท เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้จัดการจากทุกแผนกที่ประสานกันทำงาน เว้นกระทั่งเฉินจิ้นฝูผู้อำนวยการของบริษัทและเป็น ญาติผู้น้องของเฟยหลงกล่าวขึ้น “ผมคิดว่าบางทีอาจเพราะผู้บริโภคอาจไม่ได้รับแหล่งข่าวสาร อีกอย่างเราเพิ่งวางจำหน่ายได้แค่เดือนเดียวด้วย” “นายคิดว่าอย่างนั้นเหรอ ?” เฟยหลงหรี่ตามองก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วเอื้อมมือปิดแฟ้มสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ “เอาเป็นว่า ฉันจะรอดูยอดขายเดือนนี้” จิ้นฝูยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้น “เอาเป็นว่าการประชุมวันนี้แค่นี้ ผมอยากให้พวกคุณทำงานอย่างเต็มที่เพื่