CRUSH ON YOU
ตอนที่ 7
TAI TALKS
23.00 น.
ช่วงนี้ผมต้องย้ายกลับมาอยู่บ้าน เพราะว่าก่อนหน้านี้ทำตัวเสเพลเกินไปหน่อย ทำให้พ่อกับแม่ถึงกับอดรนทนไม่ได้ขู่ว่าจะริบบัตรเครดิตทุกใบถ้าเกิดว่ายังไม่ยอมทำตามที่พวกท่านบอก ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่ากลับมาอยู่บ้านตัวเองได้หลายวันแล้ว และอย่างน้อยก็คงต้องรอจนเรียนจบปีสุดท้ายที่ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะจบรึเปล่า
แต่ถึงยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ได้สั่งห้ามสักหน่อยว่าไม่ให้ออกไปเที่ยว…
และใช่… ต่อให้กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเป็นส่วนใหญ่แล้ว
ตอนกลางคืนผมก็ออกไปเจอเพื่อนเจอฝูงอยู่ดี ขับรถแค่ครึ่งชั่วโมงมันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว แถมช่วงนี้พวกท่านไม่อยู่ แอบหนีไปสวีตกันสองต่อสองแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งทางสะดวก ก็ถ้าแม่อยู่ผมคงไม่สามารถเดินตัวปลิวไปขึ้นรถแบบนี้ได้ง่าย ๆ หรอก
ทันทีที่เดินออกจากบ้านมาผมก็ชำเลืองมองไปยังห้องนอนห้องหนึ่งของบ้านแฝดหลังข้างกันที่ปิดไฟเงียบทั้งตัวบ้าน ถ้าจะมีไฟเปิดอยู่ก็คงเป็นห้องของเจ๊นา หรือที่ผมชอบเรียกติดปากว่า ‘นา’ มาตั้งแต่เด็ก ๆ
แทนที่ผมจะขึ้นรถแล้วรีบบึ่งออกไป ผมกลับเดินเลยไปที่รั้วบ้านข้าง ๆ ตรวจเช็กความเรียบร้อยของแม่กุญแจตัวใหญ่ที่ถูกล็อกเอาไว้แน่นหนา ไฟห้องนอนของนายังคงเปิดสว่างอยู่ เจ้าตัวคงจะยังไม่นอน
หลังจากดูดีแล้วผมก็เดินผละมาขึ้นรถ ประตูบ้านตัวเองไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป…
นาเป็นพี่สาวข้างบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะพ่อแม่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน เราสามคน หมายถึงผม นา และไนน์น้องชายของนา เลยสนิทกันมายาวนานสิบกว่าปี จนกระทั่งเมื่อหลายปีก่อนผมกับไอ้ไนน์มีปัญหากันเลยขาดการติดต่อไป แม้ว่าบ้านจะอยู่ข้าง ๆ กันก็ตาม แต่เพราะไม่อยากเจอหน้ามันผมเลยเลือกที่จะหนีไปอยู่คอนโดแทน และก็เห็นได้ชัดว่าตัวมันเองต่อให้มีบ้านให้กลับมันก็ไม่กลับเหมือนกัน
เท่าที่ถามแม่มาก็ได้ข้อมูลว่าพ่อแม่ของนาตอนนี้กำลังไปปลีกวิเวกธรรมชาติบำบัดอยู่ที่เชียงใหม่ เพราะคุณป้าอร แม่ของนามีโรคประจำตัวหลายอย่าง พวกท่านก็เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นู่นกัน ก็ถ้าผมรู้ว่านาต้องอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ บางทีผมอาจจะกลับมาให้มันเร็วกว่าเดิม
ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไรมาก… ถ้าว่ากันตามจริงคนที่เป็นรักแรกของผมก็คือพี่สาวข้างบ้านคนนี้ แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวหรอก ยิ่งระยะหลังเราห่างกันมากเรียกว่าไม่ได้เจอหน้ากันร่วมสามสี่ปี พอกลับมาเจออีกทีนาจะทำตัวไม่เหมือนเดิมก็ไม่แปลกเท่าไร
ก่อนหน้าที่ไม่ได้อยู่บ้านมานาน เพราะเอาเวลาไปอยู่กับเพื่อนผมก็ทำใจเรื่องของนาได้ ถึงจะมีแอบคิดถึงบ้าง แต่มันก็อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง แต่พอได้กลับมาเจอ… มันแปลกก็ตรงนี้… ผมกลับรู้สึกเหมือนเดิมกับเมื่อหลายปีก่อน ราวกับว่าระยะเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่ผมมีลดน้อยลงเลย
แต่ที่มันแย่ก็คือ… นามีแฟนแล้ว…
ผมต้องทำใจ เพราะถึงตัวผมเองในตอนก่อนนู้นก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องระหว่างเราจะเป็นไปได้ ว่ากันตามจริงเราสนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ ด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะระยะห่างแบบไม่ตั้งใจ ทำให้ตอนนี้ผมกับนาเหมือนเป็นแค่ผู้หญิงผู้ชายที่เคยสนิทกัน
จะว่าดีมันก็ดี เพราะว่าผมไม่ใช่น้องชายข้างบ้านคนนั้นอีกแล้ว
นาก็เหมือนเดิม… น่าประหลาดที่เหมือนพระเจ้าจะหยุดเวลาไว้ หลายปีก่อนนาเป็นยังไงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ตัวเล็ก ๆ ผิวขาว ๆ ใบหน้าแค่ฝ่ามือ ปากนิด จมูกหน่อย ดวงตากลมโตเหมือนเด็กน้อย ถ้าไม่บอกว่าอายุเท่าไร ให้โกหกว่าเรียนมัธยมยังเชื่อเลย
ไหนจะนิสัยใจดีแบบนั้น… มันเหมือนกับว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้งเลย ก็ถ้าจะให้บอกว่าผมตกหลุมรักอีกครั้งก็ไม่เถียงหรอก แต่เขาเสือกมีเจ้าของแล้วไง ทำไรไม่ได้…
แต่แค่นึกถึงหน้าไอ้เวรนั่นขึ้นมาก็หงุดหงิดฉิบหายแล้ว…
ผมรู้จักมัน ถึงจะไม่ใช่เพื่อนกัน แต่ก็เคยเจอกันบ่อย ๆ เพราะเรียนที่เดียวกัน ซ้ำยังชอบเที่ยวที่เดียวกัน ต่อให้ไม่ใช่เพื่อนกันโดยตรง แต่ผมก็เห็นพฤติกรรมบางอย่างของมันมาตลอด และยิ่งนาบอกว่าคบกับมันมาเกือบปี ผมก็ยิ่งเห็นใจนาที่คงไม่เคยรู้อะไรเลยว่าเวลามันไปเที่ยวหรืออยู่ที่มหา’ลัยเป็นยังไง
ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไรที่จะไปว่าคนอื่นได้… ก่อนหน้านี้ผมก็คั่วสาวอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่มันมี… และผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านาคือผู้หญิงคนนั้น
และต่อให้อยากจะบอกนาแค่ไหนว่าแฟนเจ้าตัวเป็นคนยังไง แต่ผมก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้โดยตรง เพราะจะกลายเป็นว่าเสือกเรื่องชาวบ้านเปล่า ๆ แต่ถ้า… มีหลักฐานมากพอ… ก็อาจจะ…
สองชั่วโมงต่อมา
“มึงเป็นอะไร?”
“เปล่า”
“ไม่เอาสาว?”
“ไม่”
“โห… ช่วงนี้มาแปลก”
“เรื่องของกู”
ผมทำเป็นไม่สนใจเสียงแซวของ ‘ไอ้ต้น’ หรือกระทั่งสายตาจับผิดของ ‘ไอ้ก้าน’ เพื่อนสนิทชนิดที่ว่ารู้ไส้รู้พุง รู้แม้เรื่องบนเตียง พวกมันเอาแต่พูดแบบนี้มาได้หลายวันแล้วตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน แค่เห็นว่าผมไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นเหมือนอย่างเคย
มันแค่เบื่อ…
แค่เห็นพวกมันได้สาวสวย ๆ แต่งตัวเซ็กซี่ ดูยั่วยวนเหมือนทุกครั้ง
ผมก็ต้องเบนสายตาหนีแล้ว… ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก อย่างที่บอกว่ามันเอียน… ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมาตอนนี้จวนจะเรียนจบผมเจอแบบนี้มาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ก็อย่างว่า… เจอกันในผับจะเอาอะไรมาเรียบร้อย…
มันก็แปลกอยู่อย่าง ผู้ชายอย่างเรา ๆ ชอบมองอะไรประเภทนี้อยู่แล้ว นมเป็นเต้า ก้นเป็นลูก แต่งตัวเผ็ด ๆ เซ็กซี่ถึงใจ แต่ลึก ๆ แล้วอาจจะเป็นแค่ผมที่ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้ขนาดนั้น แน่นอนว่าชอบ แต่มันไม่ได้ทำให้ใจเต้นเหมือนแต่ก่อน…
ผมกลับไปใจเต้นกับผู้หญิงที่โคตรจะเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ตัวเล็ก ๆ ใส่เสื้อปกปิดมิดชิดแทบจะไม่เคยเห็นอะไรเกินจากแขนขาเลย
ซ้ำนิสัยยังต่างกันสุดขั้วกับสาว ๆ พวกนี้ นาเป็นคนประเภทนั้น… อ่อนโยน ใจดี ถึงบางทีจะขี้กลัวไปหน่อย แต่ก็เป็นอะไรในแบบที่น่าทะนุถนอม
และใช่… หลัง ๆ มาผมไม่มีอารมณ์กับใครทั้งนั้น ในหัวมันเอาแต่วนเวียนคิดถึงแต่หน้านาที่ตอนนี้เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว เออ…
ก็แอบชอบแฟนชาวบ้านไง…
แถมไอ้เหี้ยนั่นก็เหี้ยด้วย…
และเหมือนโชคจะเข้าข้างผมอยู่ไม่น้อย จากตอนแรกที่นั่งพิงโซฟาอย่างเซ็ง ๆ ตอนนี้ผมกลับขยับตัวนั่งหลังตรงเมื่อได้เห็นอะไรแบบที่เคยเห็นเข้าอีกครั้ง แต่แค่ไม่ได้เห็นมาสักพักแล้ว อาจจะเพราะไม่ได้สนใจมัน
แต่ตอนนี้จำเป็นต้องสนใจ
คนที่ผมมองหาตั้งแต่ชั่วโมงก่อนดูเหมือนเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน
มันกำลังโอบเอวผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ เพื่อน ๆ รอบตัวมันก็ไม่ได้ดูแปลกใจอะไรกับภาพที่เห็น ทั้งที่วันก่อนนายังไปร่วมวงสังสรรค์กับพวกแม่งอยู่เลย
แค่มองก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้มีนาคนเดียว อาจจะคบซ้อน ไม่ก็ควงสาวไปเรื่อย แต่นั่นก็ไม่ต่างกันเท่าไร เพราะยังไงนาก็ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ขี้เสือกขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีผมก็ผุดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปหามันที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไร ได้ยินเสียงไอ้ต้นกับไอ้ก้านร้องตามหลังมา แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจอะไร
“ไง…”
“!!!”
คนที่เมื่อครู่ยังหัวร่อต่อกระซิกกับผู้หญิงในอ้อมแขนตอนนี้กลับรีบดึงตัวออกห่างจากผู้หญิงคนเดิม สีหน้าดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดที่ได้เห็นผมเดินเข้ามาทักทาย ทั้งที่เมื่อก่อนไม่… ก็แค่เจอหน้ารู้จักกันเฉย ๆ
ผมทำทีเป็นเดินเข้ามาชนแก้วกับพวกเพื่อน ๆ ของมันโดยที่ไม่มีใครแปลกใจอะไร เพราะเวลาเมา ๆ ก็ชนกันมั่ว ๆ อยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่กับคนที่เพิ่งจะมาถึง และสติสมบูรณ์ครบร้อยเปอร์เซ็นต์แบบไอ้บาสหรอก
ผมยกยิ้มให้มันเล็กน้อยแล้วเลื่อนสายตามองผู้หญิงข้าง ๆ ก็ดูเป็นผู้หญิงแบบที่ผู้ชายคงจะชอบ สวย เซ็กซี่ แน่นอนว่าไม่ใช่ไทป์เรียบร้อยแบบนาหรอก
ดูเหมือนมันพอจะรู้ตัวว่าผมกำลังคิดอะไร นาทีถัดมาผู้หญิงคนนั้นที่ถูกกระซิบคุยด้วยก็ทำหน้าตาตื่นแล้วรีบเดินผละจากโต๊ะไป ผมบิดยิ้มนิด ๆ มองตามเรือนร่างที่เต็มไปด้วยสัดส่วนโค้งเว้าน่าประทับใจแล้วหันกลับมามองไอ้บาสอีกรอบด้วยท่าทีเหมือนเดิม
“แค่… เพื่อน”
“…”
ผมหัวเราะเบา ๆ กับคำแก้ตัวที่ไม่ได้โดนคาดคั้นถามด้วยซ้ำ มันดูหนักใจกับสถานการณ์นี้ชนิดที่เรียกได้ว่าลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข นัยน์ตากลอกไปมาพยายามจะไม่สบตากัน แม้ว่าปากจะยังยิ้มอยู่ก็ตาม
มันก็เป็นคนหล่อที่ฮอตในหมู่สาว ๆ ไม่ต่างจากคนอื่น ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมนาถึงได้มาคบกับคนแบบมันได้ แต่ก็อย่างว่า… เรามันคนนอก ยุ่งแค่ที่ยุ่งได้ก็พอ แม้ว่าจะอยากหาเรื่องมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่คงทำงั้นไม่ได้เพราะคนที่เสียก็จะเป็นตัวนาเอง
ถ้าผมออกตัวแรง… ทั้งที่เป็นแค่น้องชายข้างบ้าน… มันก็ยังไง ๆ อยู่… และนาคงไม่ชอบใจแน่ถ้าผมทำแบบนั้น
ผมยืนยิ้มมองมันอยู่นานพอสมควรโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป…
ก็ดูเหมือนมาหาเรื่องนั่นแหละ… แต่แค่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้…
และมันก็ดูเหมือนจะมองอาการผมออกว่าไม่ชอบใจที่มันทำแบบนี้กับนา ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงต่างคนต่างอยู่ไม่มายุ่งกันให้เสียเวลา ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ตอนนี้ยอมรับตรง ๆ ว่าผมพร้อมเสือกมาก ถ้าไม่กลัวว่านาจะโกรธหรือเสียหายอะไร คงมีตีกันไปแล้ว…
แต่ทำได้อย่างมากก็แค่มากวนส้นตีนมันเล่น ๆ แล้วเดินออกมาพร้อมอารมณ์ที่ขุ่นมัวหนักกว่าเดิม ไม่รู้จริง ๆ ว่าผมควรจะทำยังไง ใจจริงก็อยากจะบอกนาไปตามตรง แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะคนโต ๆ กันแล้ว ผมจะกลายเป็นคนเข้าไปยุแยงให้เขาแตกกันอีก แต่จะไม่ให้บอกเลยมันก็…
โคตรจะหงุดหงิดฉิบหายเลย!
เอาเป็นว่าอาจจะต้องสร้างสถานการณ์ให้เจ้าตัวมาเห็นเองจัง ๆ คงจะดีกว่าคาบข่าวเอาไปบอกเหมือนตุ๊ดก็แล้วกัน
ผมไม่ได้เดินกลับไปที่โต๊ะ แต่เลือกที่จะกลับบ้านเลยเพราะก็คงทนมองหน้าไอ้เวรนั่นไม่ได้ ขณะที่มันกำลังอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แต่นากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย…
แค่คิดว่านาจะเสียครั้งแรกที่อุตส่าห์รักษาอย่างดีมาทั้งชีวิตให้คนแบบมัน ผมก็โมโหแล้ว และใช่… เมื่อตอนเย็นไอ้โบ้มันไม่ได้เป็นห่าเป็นเหวอะไรทั้งนั้น ผมแค่เสนอหน้าเดินเข้าบ้านนาไปเอง จะว่าเสือกก็ได้ แต่เพราะรู้ว่านายังไม่เคยแน่ ๆ เลยอดจะกังวลขึ้นมาไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็เสร่อเดินเข้าไปแล้ว
แค่คิดถึงมือสั่น ๆ ของนาผมก็อยากจะต่อยมันให้สักที… ก็ถ้าแม่งไม่ใช่แฟน และตัวผมเองไม่ได้เป็นแค่น้อง ก็คงมีเรื่องกันไปแล้ว…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ผมกลับมาถึงบ้านแล้วด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ไม่น้อย พยายามทำใจให้สงบด้วยการท่องไว้ว่า ‘เราไม่ได้เป็นอะไรกัน’ ไฟห้องนอนนายังเปิดอยู่เจ้าของห้องคงจะยังไม่นอน ผมถอดเสื้อออกคว้าบุหรี่เดินออกไปที่ระเบียง นั่งหมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบระเบียงเหมือนที่ชอบทำ เพราะรอบด้านเงียบสงบผมเลยชอบมานั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงนี้ ก็อาจจะรวมไปถึงว่ามีใครบางคนอยู่ด้านหลังประตูบานเลื่อนของบ้านตรงข้ามก็ด้วย
วันแรกที่กลับมาเจอนา มันก็ค่อนข้างชัดว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่สาวข้างบ้านมันไม่เคยเปลี่ยนไป แต่แค่เอ่ยปากถามว่านามีแฟนหรือยัง… แค่นั้นก็หมดสิทธิ์แล้ว… ถึงจะชอบนาแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อาจจะทำตัวเป็นคนเหี้ยไปแย่งแฟนชาวบ้านได้ ก็คง… ต้องรอให้เขาเลิกกันเอง
แสงไฟบ้านข้าง ๆ ดับลงแล้ว แต่ผมยังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เดิมพยายามทำใจให้ผ่อนคลาย แต่นั่งไปสักพักก็ต้องเลื่อนคิ้วเข้าหากัน เพราะดูเหมือนจะมีคนเปิดม่านแล้วปิดไปราวกับกำลังแอบดูกัน แสงไฟดวงเล็ก ๆ สาดส่องไปมาเห็นได้ตามชายขอบผ้าม่านอยู่นานหลายนาที
รู้ตัวอีกทีผมก็โยนก้นบุหรี่ทิ้งไปแล้วกระโดดข้ามระหว่างระเบียงบ้านไปหานา เพราะตัวระเบียงมันไม่ได้อยู่ห่างกันเกินไปนัก บวกกับผมเป็นคนตัวสูงมาก การปีนหรือการไต่อะไรพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ผมเคาะประตูทันทีไม่รอช้า และดูเหมือนกับว่าคนด้านในจะอยู่ตรงหน้านี่เอง แค่ไม่ถึงเสี้ยวนาทีก็ได้เห็นร่างเล็กรูดผ้าม่านเปิดออก ในมือถือโทรศัพท์ซึ่งกำลังสาดแสงส่องไปส่องมาอยู่อย่างนั้น และหลังจากจ้องกันจนพอใจเจ้าของห้องก็เลื่อนประตูเปิดออก
“มีอะไร?” ผมถามทันทีเพราะดูเหมือนกับว่านาจะต้องการความช่วยเหลือ ไม่งั้นคงไม่แอบเปิดม่านดูกันหรอก… นาไม่ใช่ผมสักหน่อย…
“ไทว่างไหม?” เสียงตะกุกตะกักเอ่ยถาม สีหน้าดูเกรงใจจนผมหัวเราะออกมา
“มีไร?”
“เหมือนไฟห้องเจ๊มันจะเสีย…” คนตรงหน้าไม่พูดเปล่า แต่ชี้นิ้วไปที่หลอดไฟแอลอีดีกลางห้องซึ่งตอนนี้ดับอยู่ ผมถือวิสาสะเดินแทรกตัวเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต มีนาเดินส่องไฟตามหลังมาติด ๆ
ก็คงเพราะว่าตำแหน่งของไฟมันอยู่ตรงกลางของเตียงสีชมพูหวานแหววลายลูกหมูสามตัว เดาได้ไม่ยากว่าต่อให้เจ้าของห้องปีนขึ้นไปดูเองก็คงจะเอื้อมไม่ถึง ผมยืนเท้าสะเอวเงยหน้ามองแล้วหันกลับไปหานาที่ยืนเข้าประชิดมุมห้องตรงประตูระเบียงอยู่ในชุดนอนลายเดียวกันกับผ้าปูที่นอนแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเจ๊มันดูเป็นกังวลแค่ไหนที่เราตกอยู่ในสถานที่ปิดแค่สองคนอีกแล้ว
“ไฟน่าจะขาด… เดี๋ยวไทไปดูที่บ้านก่อน เดี๋ยวมาเปลี่ยนให้”
“อะ… โอเค”
ผมพยายามกลั้นยิ้มตอนเดินผ่านหน้านาแล้วเจ้าตัวถอยหลังหนีไปก้าวหนึ่งอย่างเป็นกังวล และใช้เวลาไม่นานผมก็กระโดดกลับมาฝั่งบ้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือพร้อมหลอดไฟกล่องใหม่ในมือ ตอนนี้นาเปลี่ยนจากยืนอยู่ตรงหน้าประตู เดินไปหยุดลงที่ข้างเตียงแทน
“เดี๋ยวไทล้างเท้าก่อน” ผมโยนกล่องหลอดไฟไว้บนที่นอนแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอกห้องนอนโดยที่นาเองก็ไม่ได้ตามออกมา
และก็ต้องรู้สึกหูอื้อตาลายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นกางเกงชั้นในสีครีมตัวเล็กพาดอยู่บนราวแขวน มันเล็กแค่ฝ่ามือผมกางออกเท่านั้น ผมพยายามละสายตากลับมา ไม่อยากจะหาเรื่องฟุ้งซ่านให้ตัวเอง แต่มันก็อดจะจินตนาการถึงขนาด รวมไปถึงความคับแน่นของเจ้าของมันขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
ฉิบหายจริง ๆ กู…
ผมเดินกลับมาจัดการเปลี่ยนไฟดวงใหม่ให้นาเงียบ ๆ โดยไม่มองหน้าเจ้าของห้องเลย ถ้ามองตอนนี้คิดว่าใจผมต้องเตลิดไปไกลแน่ ๆ แต่พอเปลี่ยนหลอดไฟเสร็จแล้วลงมายืนด้านล่างก็ต้องใจสั่น เพราะยังไงก็ต้องสบตากันอยู่ดี
ไฟในห้องกลับมาสว่างไสวเหมือนเดิม นาคงจะกำลังทำงานอยู่เพราะมีโน้ตบุ๊กเปิดทิ้งเอาไว้ ด้านข้างมีกองเอกสารวางอยู่บนโต๊ะทำงาน เจ้าตัวยิ้มให้กันแล้วรีบเอ่ยปาก
“ขอบคุณไทมาก เจ๊ยังทำงานไม่เสร็จเลยต้องใช้ไฟ”
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย” ผมยกยิ้มเล็กน้อยแล้วก็ต้องรีบเบนสายตาหนี แม้ว่าคนตรงหน้าจะอยู่ในชุดนอนเด็กแบบเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้น แต่ผมก็อดคิดทะลึ่งไม่ได้อยู่ดี
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ๊จะทำข้าวเย็นให้กินนะ” เสียงเกรงใจยังเอ่ยต่อไป
ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วรีบพยักหน้า
“เอาดิ”
“อือ… งั้น…”
“…”
ไม่ต้องพูดออกมาก็พอจะรู้ได้ว่าเราไม่สมควรมาอยู่กันสองต่อสองแบบนี้ แม้จะยืนห่างกันเป็นโยชน์ก็ตาม ผมพยักหน้ารับรู้แล้วรีบเดินออกจากห้อง นาเดินตามมาที่ประตูแล้วยิ้มให้กันอีกที เป็นผมเองที่ชะงักไปกับรอยยิ้มหวานบนใบหน้าใจดีจนแทบจะเสียอาการ
“ฝันดีนะไท” คนที่ยังไม่รู้ว่าผมกำลังใจสั่นเพราะรอยยิ้ม กลับคลี่ยิ้มกว้างขึ้น พร้อมกันประตูบานเลื่อนก็ปิดลง
นาปิดม่านไปแล้ว ผมถึงได้พ่นลมหายใจหนักหน่วงของตัวเองออกมา รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปตอนเรียนมัธยมอีกครั้ง แค่เห็นนายิ้มใจมันก็สั่นจนแทบจะคุมไม่อยู่ ขนาดโตแล้ว เวลาก็ผ่านไปหลายปี ทั้งผมเองก็มีผู้หญิงเข้ามาเยอะ
แต่ยัง… ไม่มีใครทำให้ใจเต้นแรงได้เหมือนนาเลย…
TAI END