CRUSH ON YOU
ตอนที่ 6
วันต่อมา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้ฉันต้องลืมตาตื่นขึ้น แสงสว่างจากด้านนอกทำให้ต้องหรี่ตาลง ความรู้สึกคลื่นเหียนเวียนกลับมาอีกครั้งจนต้องยกมือขึ้นปิดปากไว้ ไวเท่าความคิดก็รีบกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปเปิดประตู แล้วเบียดตัวผ่านคนที่กำลังยืนรออยู่เพื่อไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ถัดออกไปหน้าห้องนอน
“อ้วก!”
“นา”
ฉันยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ไทเดินเข้ามา แต่ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ฟังเดินเข้ามาช่วยลูบหลังให้พร้อมทั้งยังช่วยรวบผมยาว ๆ ของฉันขึ้นเพื่อที่จะได้อาเจียนได้ถนัด
“ทะ… ไทออกไป… เจ๊อาย” ฉันพยายามร้องบอก แต่คนที่ยืนมองอยู่กลับหัวเราะ
“อายอะไร? ไทไม่ล้อนาหรอกน่า”
“อ้วก!”
และเช้านี้ก็เป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจจริง ๆ ที่ฉันซึ่งเป็นสาวเรียบร้อยมาทั้งชีวิตกำลังกอดคอห่านส่งเสียงโอ้กอ้ากให้คนเป็นน้องดู
หลังจากอาเจียนเสร็จจนแทบไม่มีอะไรเหลืออยู่ในท้องแล้วเราสองคนก็เดินออกมา ไทมองมาเงียบ ๆ ตอนที่ฉันคว้าเอาเสื้อผ้าที่ถอดวางไว้เมื่อคืนมาถือ พร้อมทั้งเดินไปคว้าโทรศัพท์ที่แบตฯ หมดไปตอนไหนไม่อาจทราบได้มาถือไว้
“เจ๊จะไปทำงานแล้ว” ฉันเอ่ยบอกร่างสูงที่ยังคงยืนพิงประตูมองมา
กล้ามหน้าท้องสวย ๆ ทำให้รู้สึกหูอื้อตาลายอีกครั้ง
“ไม่ทันแล้วมั้งนา… นี่บ่ายโมงแล้ว”
“หา?” ฉันเบิกตาโตอย่างตกใจ รีบมองไปนอกระเบียงที่ตอนนี้แสงแดดกำลังสาดส่อง ถึงงั้นก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นเวลากี่โมง
“จริง”
ไทไม่พูดเปล่าแต่ยกโทรศัพท์ตัวเองให้ดูมันบ่งบอกว่าเป็นเวลา 13.45น. ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะอาเจียนออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพราะแฮ้ง แต่เป็นเพราะเครียดต่างหาก!
ตั้งแต่เริ่มทำงานมาฉันไม่เคยขาดงานโดยที่ไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้มาก่อน เป็นเพราะเมามากประกอบกับไอ้มือถือบ้านี่แบตฯ หมดแท้ ๆ ทำให้ตอนนี้ต้องยกมือขึ้นมากุมหัวที่เริ่มจะปวดตุบ ๆ ขึ้นมา
“ไม่ต้องเครียดหรอก ไทโทรไปลาให้แล้ว”
“หา?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองไทอีกครั้งอย่างตกใจ แต่เจ้าตัวกลับยักไหล่แค่เล็กน้อย
“ก็แม่เคยบอกว่านาทำงานให้ลุงไกรสร แค่โทรไปขอเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“…” ฉันเม้มปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง มองหน้าหล่อ ๆ ด้วยความรู้สึกทึ่ง ๆ ที่น้องมันจัดการให้ได้ขนาดนี้
“และไทก็ขึ้นมาปลุกหลายรอบแล้วด้วย” ริมฝีปากสวยบิดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่นาก็ไม่ตื่นเอง”
“…” โอเค… ฉันพลาดเองแหละที่นอนหลับจนพระอาทิตย์อยู่กลางหัวแบบนี้
“นา…”
“อือ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองไทอีกครั้ง แต่คราวนี้น้องมันดูอึกอักเล็กน้อย
“...นาใส่ชุดชั้นในก่อนเดินออกไปด้วยนะ”
“!!!”
และคงเป็นอีกครั้งที่ฉันเบิกตาโตกว่าครั้งไหน ๆ ไทมองกันอยู่อึดใจก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ ฉันรู้สึกใจเต้นแรงก้มลงมองตัวเองในเสื้อยืดสีขาวบาง ๆ ของเจ้าของห้อง เพิ่งจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้ทั้งบนทั้งล่างกำลังล่อนจ้อน ความแหลมของอะไรบางอย่างดันร่มผ้าออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนต้องรีบหันหลังให้แม้ตอนนี้ไทจะไม่ได้มองอยู่ก็ตาม
และมันก็น่าทุเรศที่ฉันเพิ่งเห็นว่าเมื่อคืนตัวเองโยนชุดชั้นในไว้ที่ปลายเตียงแบบแผ่หลาเลยด้วย!
นะ… น่าอายจริง ๆ ฮือ!
วันต่อมา
เพราะเหตุการณ์น่าขายขี้หน้าเมื่อวานทำให้ฉันไม่อยากจะเจอหน้าไทตลอดทั้งวัน แม้ว่าเด็กนั่นจะมาเรียกตรงระเบียง หรือจะทักแชตมาฉันก็อายเกินกว่าที่จะทนมองหน้าได้ ขอเวลาทำใจสักวันหนึ่งก็ยังดี
ก็นมฉันทิ่มตาน้องมันขนาดนั้น! มัน… มันน่าอายจะตายไป!
ออด!
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ตอนแรกก็คิดว่าคงจะเป็นไทนั่นแหละที่อาจจะกวนประสาทกันที่เห็นว่าฉันไม่ยอมเปิดประตูระเบียงคุยด้วย ตอนนี้พอจะทำใจได้บ้างแล้วก็เลยเดินออกมา แต่กลับไม่ใช่คนที่คิด เป็นอีกคนที่ทิ้งฉันไว้ที่โต๊ะเมื่อคืนคนเดียวต่างหาก
บาสยืนเกาะขอบรั้วมองมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเหมือนทุกครั้ง ในมือถือกระเป๋าฉันซึ่งลืมทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงจะไม่อยากคุย แต่ฉันก็พยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวแล้วเดินออกไปหา กระนั้นก็ไม่ได้เปิดรั้วให้คนตรงหน้าได้เข้ามา
“เจ๊… ผมขอโทษจริง ๆ เพื่อนมันชวนไปชนโต๊ะนู้นโต๊ะนี้…”
“ไม่ต้องหรอก เอากระเป๋าเจ๊มาแล้วกลับไปเถอะ”
ฉันตัดบทขึ้น แม้จะพยายามใจเย็นแต่ก็ช่วยไม่ได้ที่มันน่าโมโห ปกติแล้วฉันเป็นคนนิ่งมาก ไม่ค่อยจะอะไรกับใครหรอก แต่เหตุการณ์เมื่อคืนมันก็ออกจะเกินไปหน่อย เป็นคนชวนไปแท้ ๆ แต่กลับปล่อยให้ฉันนั่งอยู่คนเดียวแบบนั้น
“เจ๊โกรธเหรอ? ขอโทษจริง ๆ” คนตรงหน้าไม่ยอมส่งต่อกระเป๋ามา
แต่พยายามที่จะขอเข้าบ้าน “ไปคุยข้างในได้ไหม?”
“วันนี้เจ๊ไม่สะดวก”
“เจ๊นา…”
“…” ฉันหลุบตาลงต่ำเพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน แค่น้องมันง้อนิด ๆ หน่อย ๆ ฉันก็ไปไม่เป็นทุกรอบ เพราะงั้นไม่คุยคงดีกว่า อย่างน้อยก็ลองแสดงออกว่าโกรธให้จริงจังกว่าทุกครั้ง
“ถ้าเจ๊ไม่ยอมคุย ผมก็ไม่กลับ” ร่างสูงผละออกไปจากการเกาะขอบรั้ว ดับเครื่องยนต์รถลงดื้อ ๆ ก่อนจะหันมองมาอีกครั้ง
“งะ… งั้นเจ๊จะเข้าบ้าน จะกลับเมื่อไรก็กลับแล้วกัน” ฉันพยายามจะแข็งใจแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้าน แต่จังหวะเดียวกันก็มองขึ้นไปเห็นว่าที่ระเบียงบ้านข้าง ๆ ไทกำลังยืนพิงระเบียงสูบบุหรี่มองลงมา
สายตาไม่ได้บ่งบอกอะไรมากไปกว่าแค่มอง และบาสเองก็คงจะไม่เห็น เพราะมีต้นไม้บังสายตาอยู่ ยิ่งคิดถึงคำพูดไทรวมทั้งอาการข้องใจของไท ฉันก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ถึงเราจะไม่ได้สนิทกันเท่าเมื่อก่อน แต่ไทก็ดูจะไม่พอใจที่ฉันถูกเทถึงสองรอบติด ๆ กัน
เท้าสองข้างที่กำลังจะเดินกลับเข้าบ้านเป็นอันต้องหยุดชะงักลง
เพราะเกิดจะกังวลใจขึ้นมา รู้ตัวอีกทีฉันก็หมุนตัวกลับไปเปิดประตูรั้วให้
บาสเข้ามา ถึงเขาจะทำหน้างงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร และตัวฉันก็ถูกร่างสูงของคนตรงหน้ากอดต่อหน้าต่อตาอีกคน
“จะคุยก็ไปคุยในบ้าน” และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องอายเด็กข้างบ้านขนาดนี้ ถึงขั้นรีบดันตัวบาสออกไป รู้สึกหน้าแดงขึ้นมาแค่เพราะรู้ว่าไทกำลังมองอยู่
ยี่สิบนาทีต่อมา
“หายโกรธเถอะนะ”
“…”
“เมื่อคืนเมาจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ๊ไว้แบบนั้นเลย”
“…”
“นะ…”
คนตัวโตกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้าฉันที่นั่งนิ่ง พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่ที่โซฟา มือสองข้างถูกดึงไปกุม
บาสทำหน้ารู้สึกผิดจนใจฉันอ่อนยวบ และเพราะเป็นคนที่โกรธยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซ้ำยังใจอ่อนมาตลอด รอบนี้ก็เลยลงเอยเหมือนเดิม
จบลงที่ฉันถอนหายใจเบา ๆ แล้วยอมให้อภัยง่าย ๆ จนคนที่นั่งง้อกันอยู่รีบกระโดดขึ้นมานั่งเบียดกันบนโซฟา ก่อนจะกอดเอวฉันเข้าหาตัวแล้วสบตามองมาเงียบ ๆ รอยยิ้มกว้างหุบลงช้า ๆ ฉันถึงกับต้องกลืนน้ำลายหันหน้าหนี เพราะดูเหมือนกำลังจะโดนจู่โจม
“เจ๊…”
“อือ”
คางฉันถูกดึงให้หันกลับไปแล้วก็ถูกช่วงชิงลมหายใจไปโดยไม่ทันได้เตรียมตัว ร่างกายถูกรวบเข้าไปหาอ้อมแขนคนข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว มือหนาสอดเข้ามาใต้สาบเสื้ออย่างอุกอาจจนฉันต้องรีบตะครุบมือนั้นไว้
“จะ… ใจเย็น ๆ” ฉันเบี่ยงหน้าหนีหอบหายใจ เพราะโดนรุกรุนแรง
“เจ๊… นี่มันจะปีแล้วนะ” เสียงทอดถอนหายใจของบาสทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง
มันก็ใช่ที่เราคบกันมานานแล้ว และฉันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เรากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ถึงถามตัวฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องตกใจตื่นกลัวแทบจะตลอด โอเค… เราคบกันมานานก็จริง ๆ แต่ลึก ๆ แล้วก็อย่างที่บอกว่าฉันแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เจอกันก็แค่ระยะเวลาหนึ่ง แถมบางทีไม่เจอกันเป็นสัปดาห์ก็เคยมาแล้ว
อีกอย่าง… เขาก็ไม่เคยอ่อนโยนต่อกันเลย… ก็ถ้ามันจะมีสักครั้งที่เข้าหากันในรูปแบบที่ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปมากกว่านี้ มันก็คงทำให้คนขี้กลัวแบบฉันอาจจะยอมเสียครั้งแรกไปก็ได้
แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้นเลย บาสเป็นพวกดิบเถื่อนจนฉันกังวลทุกครั้ง
“ผมขอไม่ได้เหรอเจ๊?” น้ำเสียงหนักใจเอ่ยต่อ เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนิด ๆ จนฉันรู้สึกแย่ที่ตัวเองเอาแต่เป็นแบบนี้
“คือว่า…”
“นะ…”
คนตรงหน้าไม่พูดเปล่าแต่ขยับเข้ามาล็อกเอวกันไว้อีกครั้ง ริมฝีปากทาบลงมาอย่างหิวกระหาย และมันก็ช่วยไม่ได้เลยที่ฉันสั่นหนักจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้สนใจปฏิกิริยาพวกนี้เลย…
บาสเป็นแบบนี้อีกแล้ว แบบที่ไม่คิดจะสนใจความรู้สึกกัน... ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะขัดขืนขึ้นอีกครั้ง เพราะทนไม่ไหว… แต่แล้ว…
แกร๊ก!
“!!!”
เพราะเสียงประตูดังขึ้นทำให้เราสองคนถึงกับสะดุ้งผละตัวออกห่างจากกัน ฉันรู้สึกใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มตอนที่เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นคนเดียวกับที่นั่งมองเราอยู่ที่ชั้นสองของระเบียงด้านบนก่อนหน้านี้
ไทเดินตัวปลิวเข้ามาราวกับเป็นบ้านตัวเอง ขายาว ๆ หยุดยืนลงตรงหน้าเราสองคน สายตาจ้องนิ่งมาที่ฉันซึ่งยังคงตัวสั่นเป็นลูกนก ก่อนจะเบนสายตาไปที่อีกคนซึ่งก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“มึงเข้ามาได้ไง? แล้วนี่รู้จัก?” บาสทำหน้างง มองเราสองคนสลับกันไปมา เพราะสถานการณ์มันดูราวกับว่าฉันมีผู้ชายอีกคนก็เลยรีบแก้ตัว
“ไทเป็นน้องชายอยู่บ้านข้าง ๆ นี่ไง”
“…” คนที่เพิ่งจะรู้พยักหน้าเล็กน้อย และไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่าที่เห็นว่าบาสดูเหมือนจะกังวลใจที่เจอกับบุคคลที่สามในตอนนี้ สายตาหลุกหลิกพิกลเสมองไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ
“นาไปดูไอ้โบ้ให้หน่อย แม่บอกว่ามันน่าจะต้องกินยา” เสียงเรื่อย ๆ
ของคนที่กำลังยืนทิ้งขาข้างหนึ่งอย่างสบายอารมณ์เอ่ยบอกเรียบ ๆ สายตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ฉันแล้ว แต่กำลังมองไปที่อีกคนแทน
มันก็แปลกตรงที่บาสรีบผุดตัวลุกขึ้นยืน สีหน้าดูกังวลใจหนักขึ้นหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็หันมายิ้มให้ฉันนิด ๆ พร้อมกันก็คว้ากุญแจรถไปถือไว้ในมือ
“งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะเจ๊”
“อะ… โอเค” ฉันพยักหน้ารับ รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
แล้วบรรยากาศในบ้านก็เงียบลงอีกครั้งในจังหวะที่บาสเดินออกไป
ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยปากอะไรกันอีก มีก็แค่สายตาที่มองกันเงียบ ๆ โดยปราศจากคำพูด ถึงไทจะดูนิ่งมาก แต่บาสดูออกได้ชัดว่ากำลังกลัวอะไรบางอย่างจึงไม่ยอมสบตาอีกคนด้วยซ้ำ
และหลังจากบาสเดินออกไป กระทั่งเสียงเครื่องยนต์รถเคลื่อนตัวห่างออกไป ในบ้านก็ยังคงเงียบเชียบทั้งฉันทั้งไทไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคำ บรรยากาศมันชักจะอึดอัดหนักขึ้นทุกที และเพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้ไทเห็นอะไรไปบ้าง ฉันเลยรีบลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะออกไปดูไอ้โบ้ให้ตามที่เจ้าตัวเดินมาเรียก แต่กลับโดนคว้าแขนไว้
“นา”
“…”
คนตัวสูงกว่าทอดสายตามองมา ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปยังมือสั่น ๆ
ของฉันที่เขายังจับอยู่ เพราะไม่อยากจะให้คนเป็นน้องเห็นว่าฉันที่แก่กว่าหลายปีอยู่ในสภาวะไหนเลยต้องรีบชักมือกลับ แล้วหันหน้าหนี แต่ไทก็ก้าวเดินมาหยุดลงตรงหน้าอีกครั้ง
“ก็ถ้าไม่อยากให้ ก็ไม่เห็นต้องให้” น้ำเสียงตึงเครียดเอ่ยขึ้น และนั่นก็ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นสบตา ไทเองก็จ้องรออยู่ก่อนแล้ว
“มันเรื่องของเจ๊” ฉันอึกอักพูดออกไปได้แค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องมานั่งแก้ตัว
“นาตัวสั่นขนาดนี้…”
“ไท…”
“ถ้ามันยังไม่เข้าใจความรู้สึก คิดจะแดกกันอย่างเดียวก็ต้องเลิกคบแล้วไหม?”
“…”
“นาไม่ต้องทำตามที่คนอื่นต้องการหรอก”
“…”
“อีกอย่าง… มันก็ไม่ใช่คนแบบที่นาควรจะไปเสียให้”
“…”
มาถึงตรงนี้ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่พอเงยหน้ามองคนพูดอีกรอบ ไทก็ดูเหมือนคิดขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดออกมา ร่างสูงก้าวยาว ๆ เดินหนีกันดื้อ ๆ แต่ก่อนที่จะได้เดินตามออกไปดูอาการไอ้โบ้ คนที่หยุดยืนลงตรงหน้าประตูก็หันเหลียวตากลับมามอง พึมพำออกมาเบา ๆ
“ไอ้โบ้ไม่ได้เป็นอะไร… นาจัดการกับตัวเองเถอะ”
“…”
เสียงประตูบ้านปิดลงแล้ว ในขณะที่ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ยกมือสั่นไหวของตัวเองขึ้นมาดูพบว่าตอนนี้มันกำลังทุเลาลงทีละน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…