[พาร์ท : ตะขวด]
ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าป้ายที่ขึ้นว่า ‘BTS สำโรง’
มือผมกำชับของแข็งที่เหน็บในกางเกงรุ่นเก๋าที่จิ๊กเงินพ่อมาซื้อประมาณตัวละสามพันไว้แน่น ใส่แบบไม่ซักจนแม่งเปื้อนฝุ่นในโรงรถเต็มไปหมด แต่นี่แหละคือความคลาสสิกของลูกผู้ชาย
ไม่ต้องถามว่าของแข็งที่ว่าคืออะไร มันไม่ใช่*วยแน่นอน
ก็แค่พกมีดยาวเท่าแขนเอง คิดอะไรกันมาก
“ไอ้เหี้ยเจ BTS ขึ้นไงวะ” ผมหันไปถามเพื่อนที่มาเป็นกลุ่ม เพราะแม่งเป็นครั้งแรกที่นั่ง BTS เอาจริงๆ พวกผมมันถนัดรถเมล์ไม่ก็วินมอไซค์หน้าปากซอยมากกว่า “มึงไม่นั่งรถเมล์ไปวะ กูไม่เคยขึ้น BTS”
“ไอ้ห่านั่นมันอยู่สยาม ป่านนี้รถติดจะตายห่า ถ้าจะขึ้นรถเมล์ไปมึงคงถึงตอนสามทุ่มอ่ะ เอามั้ยล่ะไอ้ขวด”
“แล้วถ้ายามแม่งตรวจจับมีดที่กูพกในกางเกงอ่ะ”
“เมียกูบอกมันขึ้น BTS บ่อย เดี๋ยวนี้ยามหละหลวม มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้เจเพื่อนรักตบบ่าผมหนักแน่น เพราะช่วงหลังๆ เหมือนน้องนิดหน่อยแฟนมันบอกว่ายามปล่อยปละละเลยไม่ค่อยได้สแกนตรวจโลหะแล้ว “ก่อนห่วงเรื่องมีดกูว่ามึงห่วงรองตีนส้นเหล็กที่มึงใส่มาก่อน”
อีกฝ่ายว่าพลางพยักเพยิดไปทางรองเท้าหนังประจำสายอาชีวะหัวร้อน ที่ทั้งหัวรองเท้าและส้นรองเท้าต่างทำด้วยโลหะแข็งชะงัดมันวาว ซึ่งมันจะมีผลเวลากระทืบคน
“ถ้ามึงอยากจะลองก็ได้นะ” ผมหยอกเพื่อนรักไปหนึ่งที แต่ไม่คิดจะมีปัญหากับรุ่นตัวเองหรอก ยิ่งกับเพื่อนรักแบบนี้ ก่อนที่จะกวักมือเรียกพวกน้องๆ ที่พกกันมาเป็นรุ่นๆ ให้เดินตามมา เห็นที่กดบัตรอยู่ไม่ไกล แต่ผมกดไม่เป็น ผมจะไปถามพนักงานทีเดียว “พวกมึงมากี่คน”
“ยี่สิบ” ไอ้เจกวาดสายตามองพวกรุ่นเราคร่าวๆ แล้วหันกลับมาพูดเรียบๆ “มึงกดทีเดียวเลย แล้วออกค่ารถให้ด้วย”
“ได้ วันนี้กูรวย” ผมพูดถึงเรื่องไถเงินที่ทำเป็นประจำกับเด็กสายอาชีพหัวอ่อน เด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ค่อนข้างรวย ไถคนละห้าร้อยก็ได้มาเป็นหมื่น ผมเลยเน้นไถวันละสองสามคน คนละสองพันสามพัน หักค่าเหล้าค่ายาก็เหลือหลายพันอยู่
เรียกได้ว่าเป็นตัวตึงตัวจี๊ดแห่งอาชีวะศึกษาแถวนี้ก็ย่อมได้ (เป็นพฤติกรรมที่ไม่วรเอาเยี่ยงอย่าง)
“สยาม ยี่สิบคน” ผมพูดกับพนักงานผู้ชายที่อยู่ในนั้น ที่ลางๆ ว่าจะเป็นกะเทยแก่ มันก้มหน้าก้มตาคิดเงินส่งบัตรยี่สิบใบให้พวกกูที่ยืนล้อมกันต่อหน้ามัน คนรอบข้างก็มองมาที่พวกกูอย่างไม่อยากจะยุ่งสักเท่าไหร่นัก
ผมไม่ใช่พวกเหยียดเพศ แค่เป็นคนคิดอะไรตรงๆ แล้วก็เลยพูดออกมาเลยตรงๆ
ลืมแนะนำตัวไปเลยว่ะ
ผมชื่อ ‘ตะขวด’ เป็นลูกชายคนรองของพ่อผมที่มีชื่อที่โคตรจี้ว่าตะเข้ (เพราะพ่อชื่อตลกแบบนี้ พอผมที่เป็นลูกชายคนสุดท้องเกิดมา แม่ผมเลยตั้งให้ชื่อผมคล้ายคลึงพ่อไปด้วย) ผมมีพี่น้องอีกสอง และแน่นอนว่าผมไม่ถูกกับพ่อ เพราะพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลยสักครั้ง ส่วนปู่นั้นผมเคารพรัก เพราะปู่ผมเคยเรียนอาชีวะแล้วเป็นตัวตึงมาก่อน ผมนับถือท่านมากเพราะท่านเข้าใจผม ปู่ผมมีชื่อโคตรจี๊ดว่าฉลามดุ
โอเค จบเรื่องวงศ์ตระกูลไว้แค่นี้ก็แล้วกัน เพราะเรื่องของผมแม่งน่าสนใจกว่าเยอะ
ผมเป็นคนแหวกแนวมาตั้งแต่เด็ก พ่อที่มองเห็นพรสวรรค์ในการทำชั่วเป็นนิจของผมเลยจับส่งสายอาชีพตั้งแต่จบประถม ผมที่ราวกับถูกบ่มเพาะด้วยสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เลือดร้อนตั้งแต่เยาว์วัยเลยกลายเป็นตัวตั้งตัวตีในวิทยาลัยจนได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้แหวนรุ่นจากรุ่นพี่มาแล้วรอจะส่งต่อกับรุ่นน้องที่มันโดนใจผมเป็นพิเศษ ในขณะที่ ‘ไอ้เจ’ ที่เป็นอีกคนที่ได้แหวนรุ่นเหมือนผม พวกเราจะจับมือกันแล้วจะสานฝันชายสายเถื่อนให้ได้ไปจนสุดทาง
ทุกๆ วันพวกผมจะมีเรื่องประจำ พวกผมโดนลงข่าวหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ ที่ว่าเด็กช่างกลยกพวกขึ้นตีกันกระหน่ำ โหนรถเมล์ยิงกันตายอะไรประมาณนั้น เข้าตารางเป็นบ้านหลังที่สอง ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกไอ้เด็กเปรต สังคมส่วนใหญ่หันหลังให้พวกเรา
แต่แล้วยังไง? ไม่ได้สนสักหน่อย
จนกระทั้งวันนี้เรื่องก็เกิดอีก เมื่อ ‘ไอ้เต้’ อริอีกวิทยาลัยนึงที่เขม่นกับวิทยาลัยผมอยู่เงียบๆ เริ่มเปรี้ยวตีน โพสต์ท้าทายอ้อนบาทาลงในเฟส และมีท่าทีเหมือนจะวางแผนกันไปถล่มวิทยาลัยผมอย่างโจ่งแจ้ง แต่ผมก็เพิกเฉยเพราะช่วงนี้เปื่อยๆ ไม่กระหายศึก จนวันหนึ่ง...
มันไปเอาเสื้อช็อปวิทยาลัยผมมาจากที่ไหนไม่รู้ แล้วจุดเผาโชว์ประจานลงเฟส
นั่นเท่ากับหยามหน้าวิทยาลัยผมแบบยอมไม่ได้
ช็อปคือศักดิ์ศรี สตรีคือรางวัล แหวนรุ่นคือของหมั้น ที่โจษจันต้องเป็นวิทยาลัยผมเท่านั้น
แล้วคิดว่าเผาช็อปวิทยาลัยผมไป แล้วตัวตั้งตัวตีอย่างผมจะทำยังไง?
ก็แค่แทงมันสักแผล ตะลุมบอนทั้งกลุ่มมันให้กระดูกหักสักซี่สองซี่ ให้ไปนอนโรงบาลเล่นๆ สักอาทิตย์นึง ส่วนผมก็จ่ายค่าปรับไปแบบเจ๋งๆ (เป็นวิธีคิดที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นที่สุด)
พวกผมขึ้นมาบน BTS แต่เพราะพวกมียี่สิบกว่าชีวิตก็เลยเหมือนเด็กช่างมายึดรถไฟ ผมยืนกำมีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วข้างกางเกงยีนส์ตัวโปรดพร้อมกับเดาะลิ้น ยืนอยู่หน้าประตูอย่างอ้อนตีน ผู้คนต่างมองพวกเราอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ผมเลยหันไปยักคิ้วให้ไอ้เจ
“กูมันสุดเท่ เห็นปะ” ผมชื่นชมตัวเองทั้งที่ความจริงพวกมันอาจมองมาเพราะรังเกียจก็ได้ ไอ้เจเลยยกนิ้วกลางให้
“เมียเก่ายังดูแลไม่ได้ นับประสาอะไรกับเสื้อช็อปที่โดนเผา”
“ไอ้ควาย” ผมสบถด่าเลย อย่ามาจี้ปมกันแบบนี้ “เพราะมีไอ้หน้าโง่ที่ไหนเข้าไปในถิ่นมันนั่นแหละว่ะ ไม่ก็ไอ้เหี้ยนั่นแม่งอ่อนด๋อยเกินไป เสื้อช็อปตัวเดียวยังดูแลไม่ได้”
“กูไม่เกี่ยว ไม่ต้องมาด่ากู”
“ไอ้ควาย” ผมด่ามันซ้ำอีกคำ ก่อนที่จะได้ยินเหมือนรถไฟถึงสถานีอะไรสักอย่าง พร้อมๆ กับที่สายตาสะดุดอยู่กับคู่รักในชุดนักเรียนคู่นึงที่เดินเข้ามาหลังจากที่ประตูเลื่อนฝั่งที่ผมยืนท้าวแขนอยู่เปิดออก
ไม่เชิงแฟน แต่เด็กผู้หญิงอ่ะ
น่ารักสัสๆ
“ไอ้เจ มึงดูเด็กคนนั้น” ผมเริ่มเบนความสนใจไปที่ผู้หญิง ตบหัวไอ้เจให้หันไปดูในจังหวะที่พวกนั้นก้าวเข้ามาในอีกชานชาลานึง “น่าจิ้ม”
“เอาเรื่องเมียเก่ามึงให้รอดก่อน” มันมองตามไปยังรูปร่างบอบบางและผมสวยๆ นั่น “แต่สวยจริง”
“กูไม่ใคร่มีเมียคนเดียวว่ะ” กูยักไหล่ “สองคนก็ไหว พอดีของกูมันร้อน”
“มึงมันเหี้ยเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” ไอ้เจผู้ที่อุทิศตัวให้เมียมันคนเดียวถึงกับรับไม่ได้ในความหน้าตัวเมียของผม ส่ายหน้าเป็นพัลวันอย่างชินชากับสันดานของเพื่อนตัวเอง แล้วเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง “แต่น้องมันมากับแฟน ดูแล้วอายุไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำมั้ง มึงแน่ใจ?”
กูแค่นหัวเราะ ตบบ่ามันแล้วบอกมันทางสายตาว่า ‘ถึงมีแฟนแล้ว แต่พอดีว่ากูชอบ กูก็จะเอาว่ะไอ้สัส’
เมื่อตั้งใจไว้แล้วต้องทำจริง ผมเดินกร่างเข้าไปใกล้คู่รักนักเรียน พวกน้องๆ จะเดินตามกันมา แต่ผมยกมือปรามไว้ เป็นสัญญาณว่า ไม่ต้องผมล้วงกระเป๋าเกงตอนที่ไปยืนด้านหลังเด็กผู้หญิง เธอมัดผมม้าผูกโบว์สีขาว ผมสีดำขลับยาวระเอวคอดกิ่ว ลุคดูเรียบร้อย มากับไอ้เด็กผู้ชายอีกคนที่มันไม่เจ๋งเท่าผม ไม่เท่ ไม่เฟี้ยวเท่า เอาเป็นว่าคนที่เหมาะกับเธอ คือผมดันตกหลุมรักเข้าอย่างจัง กับคนที่อายุน้อยกว่าไม่มากเท่าไหร่ (ผมอายุ 20)ผมจงใจยืนชิดกับเธออย่างตั้งใจ ไอ้เด็กผู้ชายข้างๆ จึงเริ่มส่งสายตาเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนน้องผู้หญิงกลายๆ ในขณะที่เจ้าของผมดำขลับยาวถึงเอว น้องหน้ามนเหล่มองมาทางผมที่ยืนเก๊กอยู่ด้านหลัง ก่อนที่เธอจะหันกลับไป ตัวเริ่มสั่นนิดๆ“เราว่าลงป้ายหน้าไหมมนต์ เราไปส่งเอง” ไอ้เด็กนั่นที่ดูเหมือนจะเป็นแฟนเธอจงใจโพล่งออกมาราวกับตั้งใจพูดให้ได้ยิน ผมคิ้วกระตุกนิดๆ จับมีดยาวที่อยู่ใต้กางเกงไว้แน่น แต่อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่ได้รู้ชื่อหญิงที่หมายตาชื่อมนต์เหรอ ชื่อน่าค้นหาดีนะ อารมณ์เหมือนสวยจนต้องมนต์อะไรแบบนั้น“อะ อื้ม” เสียงหวานครางรับเบาๆ ผมกระตุกยิ้ม เสียงโคตรน่ารักเลยครับ“ชื่อไรน้อง” เมื่อเห็น
“ขอสปาเดเห้ด้วยได้ปะ?”หนูเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก จนเพื่อนพี่เขาคนหนึ่งที่ตัวสูงๆ หน้าดุๆ ไม่แพ้กันต้องเดินมาตบศีรษะเขาอย่างแรงพลั่ก!“เฮ้ย!!” พี่ผู้ชายหน้าดุที่พยายามคุกคามหนูอยู่ตรงหน้าสบถออกมาเสียงดังลั่นจนหนูสะดุ้งสุดตัว ทันทีที่คืนสติเขารีบหันไปเอาเรื่องเพื่อนทันที “ไอ้เจ มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย!”“ตลกดีนะไอ้ขวด จะจีบนักเรียนแต่ไปขอเขาเ*ด” หนูตัวสั่นอีกครั้งเมื่อเขาหันมามอง ก่อนที่จะตบหัวพี่ที่ชื่อขวดคนนั้นไปอีกที “คุกคามงี้น้องเขาแจ้งตำรวจได้นะไอ้สัส”“เมียเก่าไม่พร้อมให้สปาร์ค แต่กูไม่แคร์ กูจะหาคนสปาร์คใหม่” พี่ผู้ชายที่ชื่อขวดมีแววตาหมายมาด เขาเหลือบมามองหนูที่ยืนตัวสั่นไม่หาย เพราะนอกจากเขาจะมองมาที่หนูด้วยสายตาจาบจ้วงไม่พักแล้ว พวกลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่อีกชานชาลาหนึ่งก็ยืนกะลิ้มกะเหลี่ยมองหนูที่ยืนตัวสั่นอย่างสนใจ “พอดีว่าสนใจคนนี้ จะเอาคนนี้อ่ะ”หยาบคายที่สุดเลย“ถามความสมัครใจเด็กก่อนไหม” เพื่อนของเขาคลึงขมับตอนที่พูดอย่างมีเหตุผล หนูเลยคิดว่าพี่ที่ชื่อเจดูน่าจะคุยง่ายกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อย“นะ... หนูมีเงินค่ะ” หนูโพล่งขึ้นมาเพราะคิดเอาเองว่าที่เขาเข้ามาคุกคามแบบ
“ห้าชั่วโมง”“สามร้อยบาทค่ะ ขอพร้อมบัตรประชาชนนะคะ” ผมล้วงแบงค์ร้อยสามใบวางลงบนเคาน์เตอร์อย่างลวกๆ ถูมือไปมาอย่างหมายมาดตอนที่ล้วงบัตรประชาชนในกระเป๋ากางเกงส่งให้พนักงานหญิงแก่ที่ยืนหน้าตึงอยู่ตรงเคาน์เตอร์เก่าๆป้าพนักงานผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ คนนั้นให้ผมเขียนชื่อตัวเองลงไปในใบเอกสารอะไรสักอย่าง ในขณะที่จะเหลือบมองไปทางน้องมนต์คนสวยที่ยืนสะอื้นซิกๆ ทำตาปริบๆ อยู่ข้างหลังผมสัมผัสได้ว่าน้องส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางป้าด้วย ผมเลยหันกลับไปมอง แล้วน้องก็สะดุ้งโหยง เพราะสายตาผมเตือนครั้งที่หนึ่ง ประมาณว่าอย่าขอความช่วยเหลือ ไม่งั้นจะไม่จบที่น้ำเดียว!“ไม่ทราบว่า...” ป้าอ้าปากพูดขึ้นมา ผมรีบเปลี่ยนสายตาหันไปมองด้วยสีหน้าใสซื่อ “น้องผู้หญิงอายุถึงสิบแปดหรือยังคะ เห็นใส่ชุดนักเรียน ถ้าไม่ถึงไม่สามารถเปิดห้องให้ได้นะคะ”ชิบหายผมก็ลืมว่าน้องอายุเท่าไหร่เลยไง“ถึงครับ” พูดไปแบบขายผ้าเอาหน้ารอด แต่น้องบอกว่าสิบแปด ก็ถึงจริงๆ “พอดีแฟนผมชอบแต่งชุดนักเรียนย้อนวันวาน จริงๆ ถึงแล้วครับ”“อ๋อค่ะ” พนักงานมองหน้าน้องมนต์ที่ทำหน้าตื่นกับคำแก้ตัวของผม “พอดีช่วงนี้มีพวกโรคจิตลักพาตัวเด็กนักเรียน ม.ปลาย มาข
“แต่งงานกับพี่ดีไหม” อีกฝ่ายเบิกตาโตเมื่อกูพูดออกมาโต้งๆ “พอดีพี่ชอบหนูมาก เห็นครั้งแรกก็แบบตกหลุมรักเลยอะ แบบรอได้ ถ้าจะได้สปาร์คจอยด้วย”“...”“ถือว่าวันนี้เราเข้าม่านรูดด้วยกัน เป็นแฟนกันแล้วนะ” ผมทึกทักเอาเอง เพราะผมชอบแล้วผมต้องได้อะ อีกอย่างก็ไม่เคยมีแฟนเป็นจริงเป็นจัง ผมยังซิงแถมไร้เดียงสารู้จักแค่โลกต่อยตี เลยไม่รู้ว่าควรต้องจีบผู้หญิงยังไง “ฝากไปบอกแม่ด้วย”“...!!”ก็ผมสปาร์คกับน้องตั้งแต่แรกพบอะ แล้วผมก็ต้องได้น้องมาเป็นแฟนด้วย[จบพาร์ท : ตะขวด]หนูนั่งกำมือที่สั่นเทาอยู่บนหน้าตัก ระหว่างที่พี่ขวดคนนั้นเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำโรงแรมอาจจะดูไม่ฉลาดเลยที่เขาเข้าไปอาบน้ำแล้วปล่อยหนูอยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้ แต่หนูกลับไม่กล้าที่จะลุกเดินออกไปเปิดประตูเพื่อหนีออกไปจากที่นี่ละ... แล้วจะลุกไปได้ยังไงล่ะคะก็พี่ขวดเขาเปิดประตูห้องน้ำเอาไว้นี่“ไม่มาอาบด้วยกันจริงดิ” เสียงทุ้มดังออกมาจากภายในห้องน้ำในนาทีนั้น หนูสะดุ้งโหยง พาให้ขนลุกซู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “สบู่ที่นี่หอมสลัด แถมมีน้ำอุ่นด้วยนะ”“มะ ไม่ค่ะ” เสียงหนูค่อยมากจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“*วยพี่แข็งด้วย มาช่วยหน่อยดิ”“มะ... ไม่ค่
[พาร์ท : ตะขวด]ผมนั่งดูทีวีในม่านรูดจนง่อยกินไปได้ไม่ถึงห้าชั่วโมง น้องมนต์ก็มีสายเรียกเข้า ตอนแรกผมเหลือบตามองว่าเป็นใครเพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหวงขึ้นมาซะดื้อๆ ทั้งๆ ที่น้องมนต์ไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อเธอผมก็ยิ้มกริ่มน้องมนต์ที่หน้าซีดเซียวเดินหนีไปคุยกับพ่อที่หน้าประตู น้องคุยเสียงค่อยมาก แต่ได้ยินลางๆ ว่าพ่อมาตามกลับบ้านอะไรทำนองนั้นพอวางสาย เธอก็แทบจะร้องไห้ออกมา ตอนที่ละล่ำละลั่กบอกผมว่า“ถะ... ถ้าไม่กลับบ้านก่อนหกโมงเย็นพ่อจะตีหนูนะคะ”ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้อง เข็มนาฬิกาตีขึ้นที่ 5.30 นาที ก่อนที่จะไหวไหล่ พ่อท่าทางจะดุ แต่คงสู้กูไม่ได้หรอกครับ“เค๊” ผมมันเป็นผู้ชายที่ทั้งเฟี้ยวและว่าง่ายสุดๆ “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”หน้าน้องมนต์เหมือนจะขาดใจตายตรงนั้น“มะ ไม่ได้นะคะ ถ้าพ่อรู้พ่อต้องตีหนูแน่ๆ”“กลัวไรอ่ะ เดี๋ยวให้พ่อเธอตีพี่แทนก็ได้” พูดไปงั้น ลองตีผมดิผมจะสวนให้ แก่ๆ ก็ไม่เว้นหรอก “บ้วนปากแปป”“... พี่คะ” คนตัวเล็กน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาตอนที่ผมเดินผ่านตัวเธอจะเข้าไปบ้วนปากถ่มน้ำลายทิ้งในห้องน้ำโรงแรม “ขอร้องนะคะ อย่าไปส่งหนูเลยนะ”ผมเลิกคิ้ว อะไรที่ทำให้น้อ
“ถามว่าเข้าใจไหม?” เขาย้ำอีกทีตอนที่เขยิบเอาไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยสักมาชนหน้าอกหนู หนูสะดุ้งโหยงเลย แทบจะร้องไห้ออกมาด้วย“ขะ เข้าใจค่ะ” สุดท้ายก็ลงเอยต้องตอบกลับไปแบบนี้ทั้งที่ในใจไม่เต็มใจเลยสักนิดแต่ยังไม่ทันที่พี่ขวดจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้พลั่ก!ไม้หวายของพ่อก็พุ่งเข้ากระแทกศีรษะของเขาอย่างแรงจนพี่ขวดที่ไม่ทันตั้งตัวทำรถคว่ำเซเกือบล้มตึงไป หนูที่แทบจะล้มลงไปด้วยเกิดอาการตกใจเลยกรี๊ดออกมา พอๆ กับที่ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่พ่อดังก้องอยู่หน้าบ้าน“มึงเป็นใคร ทำไมมากับลูกสาวกู!!”“ไอ้เชี่ย!” พี่ขวดสบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังลั่นตอนที่แฮนด์รถกระแทกพื้น เขาขยับรถกลับมาตั้งตรงตามเดิม ในขณะที่หนูที่เผลอดึงชายเสื้อช็อปสีเทาของเขาเอาไว้ต้องรีบชักมือออกอย่างตกใจ เลิ่กลั่กมองไปทางพ่อที่กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาที หันไปมองร่างสูงข้างหน้าที่กุมศีรษะตัวเองที “โยนมาทำเหี้ยไรวะไอ้แก่!!”หนูอ้าปากค้าง พอๆ กับที่พ่อที่เข้ามาประชิดตัวได้กระชากคอเสื้อของเขามาชิดใบหน้าทันที“... มึงเรียกใครว่าไอ้แก่ฮะ?”[พาร์ท : ตะขวด]ผมเหลือบมองผู้ชายวัยกลางคนเบ้าหน้าดุดันที่กระชากคอเสื้อผมไว้จนตัวแทบลอย รอยตีนกาบนหน้าทำเอ
หนูนั่งหลบสายตาพ่อระหว่างที่กินข้าวด้วยกันจะทำยังไงดีล่ะ พี่ขวดเล่นพูดกับพ่อไปแบบนั้นแล้วด้วยพ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกินข้าวโดยไม่พูดไม่จาอะไรกับหนูเลยสักคำเดียว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหนูเลยด้วยซ้ำ หนูเม้มปากแน่น ในขณะที่จะยื่นช้อนมาตักผัดผักใส่กุ้งใส่จานข้าวให้พ่ออย่างเกร็งๆพ่อนิ่งไป แต่ก็ยอมตักผัดผักที่หนูตักให้เข้าปากหนูคลี่ยิ้ม ถึงพ่อจะดุ ตีหนูบ่อยๆ แต่พ่อก็รักหนูเสมอ“ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ” พ่อโพล่งขึ้นมา หนูสะดุ้งเมื่อได้ยินว่าพ่อพูดถึงพี่ขวด แทบสำลักข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากเลย “มันเป็นแฟนแกจริงเหรอมนต์?”หนูกระแอมไอเพราะข้าวไหลลงคอไปด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะก้มหน้างุด“... ก็” หนูอึกอัก ต้องตอบไปว่ายังไงดีนะ เพราะพี่ขวดคงไม่ยอมเลิกราวีหนูแน่ๆ “ก็น่าจะใช่ค่ะ”“คบกันตั้งแต่ตอนไหน”“วะ... วันนี้ค่ะ”“คุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว ถึงตกลงไปคบกับมัน” คราวนี้หนูอึกอักไปพักใหญ่เลย จะตอบกลับยังไงดี“กะ... ก็หลายเดือน... ค่ะ” สุดท้ายหนูก็เลือกที่จะโกหกพ่อออกไป เพราะกลัวพี่ขวดมากจนขึ้นสมอง หนูคงรู้ล่ะมั้งคะว่าพี่ขวดจะตามมายุ่งวุ่นวายอีกเรื่อยๆ เพราะเขารู้ที่อยู่ของหนูแล้วด้วยพ่อรวบช้อนทันที เงยหน
“กินเหล้ามาอะ ค่อนข้างเมา ขอหอมดับเมาหน่อยได้ปะ”“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวพ่อมาเห็น” หนูห้ามเขา ลุกลนจนปากสั่นไปหมด พออยู่ใกล้กันแบบนี้กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมด หัวใจหนูเต้นแรงมากๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฟังเลยพี่ขวดใช้ลิ้นปลดกระดุมหนูอีกเม็ดจนมันเผยไหปลาร้าของหนู หนูหน้าแดงก่ำ แต่อยู่ในท่าทางที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย พอขยับตัวพี่ขวดก็จะบีบเอวหนูจนรู้สึกเจ็บคนตัวใหญ่กว่าเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเราอยู่ห่างกันแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น พี่ขวดมองหนูด้วยแววตาหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก เขาใช้มือข้างที่ว่างดันหน้าท้องหนูจนหนูหงายหลังกระแทกลงกับเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ“หนูขาวอมชมพูมาก” เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าคลั่งไคล้แบบบอกไม่ถูก “ที่เคยคุยมามีแต่ดำๆ ไม่ขาวจัดแบบนี้เลยว่ะ”“พะ พี่ขวด” หนูเรียกชื่อเขาเสียงสั่นเพื่อเตือนสติเผื่อว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาจากอาการเมามายจนน่ากลัว แต่มันไม่เป็นผลเลยสักนิดพี่ขวดนั่งคุกเข่าตรงระหว่างขาของหนูด้วยท่าทางที่อันตรายมากๆ ดวงตาของเขาฉ่ำปรือ และใบหน้าของเขาก็ประจันหน้าอยู่ตรง ‘นั้น’ พอดี หน้าหนูร้อนจนชาเมื่อเขาเอานิ้วโป้งมาปาดลิ้นสากแล้วเริ่มปลดกระดุมหนูที่เหลือออกด้วยมือแทน
ตรงนั้นมัน...“เฮ้ย” ผมรีบผละออกทันที น้องมนต์ยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้นแบบอับอายสุดกู่ ผมที่ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์แบบนี้ถึงกับชี้นกชี้ฟ้า “นี่อะไรอะ”“อะ... ฮึก”“หนูฉี่ราดอ่อ?”น้องมนต์ร้องไห้ออกมาอย่างหนักทันที เธอคงขายหน้าจนหยุดไม่อยู่ ขาเรียวเล็กและขาวจัดสั่นระริก น้องเอามือปิดหน้าอยู่แบบนั้น ในขณะที่ผมจะผละออก วางขาน้องลงทันทีน้องฉี่ราดว่ะ เหมือนกลัวมากจนเผลอเล็ดออกมามันไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับผม แต่ออกจะเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกแย่ อาจจะดูเหมือนผู้ชายเหี้ยๆ คนนึงที่คิดแต่เรื่องกามๆ แต่ก็คงเป็นงั้นจริงๆ สงสัยผมรุกหนักเกินไป เด็กมันเลยกลัวจนเป็นแบบนี้รู้สึกละอายใจ แต่เพราะนิสัยเลวๆ ที่ติดเป็นนิสัย ผมทำทีเป็นยิ้มแห้งๆ ออกมา“อะ... ออกไปนะ” น้องไล่ผมด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่ากำลังหวาดกลัวสุดขีด “... ไม่เอาแล้ว”“เอาเป็นว่า” ผมเกาคางตัวเอง ท่ามกลางเสียงห่าฝนมันพาลทำให้นึกอะไรไม่ออก จะแก้ต่างอะไรให้ตัวเองงั้นเหรอ? ในเมื่อผมทำลงไปซะขนาดนี้แล้ว“...”“จะเก็บเป็นความลับระหว่างเราสองคนก็ได้”“...”“ไปก่อนนะคะ” ผมพูดกับน้องมนต์ที่นั่งน้ำตาร่วงเผาะหน้าแดงก่ำอยู่ที่เก้าอี้ ไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั
“กินเหล้ามาอะ ค่อนข้างเมา ขอหอมดับเมาหน่อยได้ปะ”“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวพ่อมาเห็น” หนูห้ามเขา ลุกลนจนปากสั่นไปหมด พออยู่ใกล้กันแบบนี้กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมด หัวใจหนูเต้นแรงมากๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฟังเลยพี่ขวดใช้ลิ้นปลดกระดุมหนูอีกเม็ดจนมันเผยไหปลาร้าของหนู หนูหน้าแดงก่ำ แต่อยู่ในท่าทางที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย พอขยับตัวพี่ขวดก็จะบีบเอวหนูจนรู้สึกเจ็บคนตัวใหญ่กว่าเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเราอยู่ห่างกันแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น พี่ขวดมองหนูด้วยแววตาหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก เขาใช้มือข้างที่ว่างดันหน้าท้องหนูจนหนูหงายหลังกระแทกลงกับเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ“หนูขาวอมชมพูมาก” เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าคลั่งไคล้แบบบอกไม่ถูก “ที่เคยคุยมามีแต่ดำๆ ไม่ขาวจัดแบบนี้เลยว่ะ”“พะ พี่ขวด” หนูเรียกชื่อเขาเสียงสั่นเพื่อเตือนสติเผื่อว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาจากอาการเมามายจนน่ากลัว แต่มันไม่เป็นผลเลยสักนิดพี่ขวดนั่งคุกเข่าตรงระหว่างขาของหนูด้วยท่าทางที่อันตรายมากๆ ดวงตาของเขาฉ่ำปรือ และใบหน้าของเขาก็ประจันหน้าอยู่ตรง ‘นั้น’ พอดี หน้าหนูร้อนจนชาเมื่อเขาเอานิ้วโป้งมาปาดลิ้นสากแล้วเริ่มปลดกระดุมหนูที่เหลือออกด้วยมือแทน
หนูนั่งหลบสายตาพ่อระหว่างที่กินข้าวด้วยกันจะทำยังไงดีล่ะ พี่ขวดเล่นพูดกับพ่อไปแบบนั้นแล้วด้วยพ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกินข้าวโดยไม่พูดไม่จาอะไรกับหนูเลยสักคำเดียว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหนูเลยด้วยซ้ำ หนูเม้มปากแน่น ในขณะที่จะยื่นช้อนมาตักผัดผักใส่กุ้งใส่จานข้าวให้พ่ออย่างเกร็งๆพ่อนิ่งไป แต่ก็ยอมตักผัดผักที่หนูตักให้เข้าปากหนูคลี่ยิ้ม ถึงพ่อจะดุ ตีหนูบ่อยๆ แต่พ่อก็รักหนูเสมอ“ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ” พ่อโพล่งขึ้นมา หนูสะดุ้งเมื่อได้ยินว่าพ่อพูดถึงพี่ขวด แทบสำลักข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากเลย “มันเป็นแฟนแกจริงเหรอมนต์?”หนูกระแอมไอเพราะข้าวไหลลงคอไปด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะก้มหน้างุด“... ก็” หนูอึกอัก ต้องตอบไปว่ายังไงดีนะ เพราะพี่ขวดคงไม่ยอมเลิกราวีหนูแน่ๆ “ก็น่าจะใช่ค่ะ”“คบกันตั้งแต่ตอนไหน”“วะ... วันนี้ค่ะ”“คุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว ถึงตกลงไปคบกับมัน” คราวนี้หนูอึกอักไปพักใหญ่เลย จะตอบกลับยังไงดี“กะ... ก็หลายเดือน... ค่ะ” สุดท้ายหนูก็เลือกที่จะโกหกพ่อออกไป เพราะกลัวพี่ขวดมากจนขึ้นสมอง หนูคงรู้ล่ะมั้งคะว่าพี่ขวดจะตามมายุ่งวุ่นวายอีกเรื่อยๆ เพราะเขารู้ที่อยู่ของหนูแล้วด้วยพ่อรวบช้อนทันที เงยหน
“ถามว่าเข้าใจไหม?” เขาย้ำอีกทีตอนที่เขยิบเอาไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยสักมาชนหน้าอกหนู หนูสะดุ้งโหยงเลย แทบจะร้องไห้ออกมาด้วย“ขะ เข้าใจค่ะ” สุดท้ายก็ลงเอยต้องตอบกลับไปแบบนี้ทั้งที่ในใจไม่เต็มใจเลยสักนิดแต่ยังไม่ทันที่พี่ขวดจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้พลั่ก!ไม้หวายของพ่อก็พุ่งเข้ากระแทกศีรษะของเขาอย่างแรงจนพี่ขวดที่ไม่ทันตั้งตัวทำรถคว่ำเซเกือบล้มตึงไป หนูที่แทบจะล้มลงไปด้วยเกิดอาการตกใจเลยกรี๊ดออกมา พอๆ กับที่ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่พ่อดังก้องอยู่หน้าบ้าน“มึงเป็นใคร ทำไมมากับลูกสาวกู!!”“ไอ้เชี่ย!” พี่ขวดสบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังลั่นตอนที่แฮนด์รถกระแทกพื้น เขาขยับรถกลับมาตั้งตรงตามเดิม ในขณะที่หนูที่เผลอดึงชายเสื้อช็อปสีเทาของเขาเอาไว้ต้องรีบชักมือออกอย่างตกใจ เลิ่กลั่กมองไปทางพ่อที่กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาที หันไปมองร่างสูงข้างหน้าที่กุมศีรษะตัวเองที “โยนมาทำเหี้ยไรวะไอ้แก่!!”หนูอ้าปากค้าง พอๆ กับที่พ่อที่เข้ามาประชิดตัวได้กระชากคอเสื้อของเขามาชิดใบหน้าทันที“... มึงเรียกใครว่าไอ้แก่ฮะ?”[พาร์ท : ตะขวด]ผมเหลือบมองผู้ชายวัยกลางคนเบ้าหน้าดุดันที่กระชากคอเสื้อผมไว้จนตัวแทบลอย รอยตีนกาบนหน้าทำเอ
[พาร์ท : ตะขวด]ผมนั่งดูทีวีในม่านรูดจนง่อยกินไปได้ไม่ถึงห้าชั่วโมง น้องมนต์ก็มีสายเรียกเข้า ตอนแรกผมเหลือบตามองว่าเป็นใครเพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหวงขึ้นมาซะดื้อๆ ทั้งๆ ที่น้องมนต์ไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อเธอผมก็ยิ้มกริ่มน้องมนต์ที่หน้าซีดเซียวเดินหนีไปคุยกับพ่อที่หน้าประตู น้องคุยเสียงค่อยมาก แต่ได้ยินลางๆ ว่าพ่อมาตามกลับบ้านอะไรทำนองนั้นพอวางสาย เธอก็แทบจะร้องไห้ออกมา ตอนที่ละล่ำละลั่กบอกผมว่า“ถะ... ถ้าไม่กลับบ้านก่อนหกโมงเย็นพ่อจะตีหนูนะคะ”ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้อง เข็มนาฬิกาตีขึ้นที่ 5.30 นาที ก่อนที่จะไหวไหล่ พ่อท่าทางจะดุ แต่คงสู้กูไม่ได้หรอกครับ“เค๊” ผมมันเป็นผู้ชายที่ทั้งเฟี้ยวและว่าง่ายสุดๆ “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”หน้าน้องมนต์เหมือนจะขาดใจตายตรงนั้น“มะ ไม่ได้นะคะ ถ้าพ่อรู้พ่อต้องตีหนูแน่ๆ”“กลัวไรอ่ะ เดี๋ยวให้พ่อเธอตีพี่แทนก็ได้” พูดไปงั้น ลองตีผมดิผมจะสวนให้ แก่ๆ ก็ไม่เว้นหรอก “บ้วนปากแปป”“... พี่คะ” คนตัวเล็กน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาตอนที่ผมเดินผ่านตัวเธอจะเข้าไปบ้วนปากถ่มน้ำลายทิ้งในห้องน้ำโรงแรม “ขอร้องนะคะ อย่าไปส่งหนูเลยนะ”ผมเลิกคิ้ว อะไรที่ทำให้น้อ
“แต่งงานกับพี่ดีไหม” อีกฝ่ายเบิกตาโตเมื่อกูพูดออกมาโต้งๆ “พอดีพี่ชอบหนูมาก เห็นครั้งแรกก็แบบตกหลุมรักเลยอะ แบบรอได้ ถ้าจะได้สปาร์คจอยด้วย”“...”“ถือว่าวันนี้เราเข้าม่านรูดด้วยกัน เป็นแฟนกันแล้วนะ” ผมทึกทักเอาเอง เพราะผมชอบแล้วผมต้องได้อะ อีกอย่างก็ไม่เคยมีแฟนเป็นจริงเป็นจัง ผมยังซิงแถมไร้เดียงสารู้จักแค่โลกต่อยตี เลยไม่รู้ว่าควรต้องจีบผู้หญิงยังไง “ฝากไปบอกแม่ด้วย”“...!!”ก็ผมสปาร์คกับน้องตั้งแต่แรกพบอะ แล้วผมก็ต้องได้น้องมาเป็นแฟนด้วย[จบพาร์ท : ตะขวด]หนูนั่งกำมือที่สั่นเทาอยู่บนหน้าตัก ระหว่างที่พี่ขวดคนนั้นเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำโรงแรมอาจจะดูไม่ฉลาดเลยที่เขาเข้าไปอาบน้ำแล้วปล่อยหนูอยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้ แต่หนูกลับไม่กล้าที่จะลุกเดินออกไปเปิดประตูเพื่อหนีออกไปจากที่นี่ละ... แล้วจะลุกไปได้ยังไงล่ะคะก็พี่ขวดเขาเปิดประตูห้องน้ำเอาไว้นี่“ไม่มาอาบด้วยกันจริงดิ” เสียงทุ้มดังออกมาจากภายในห้องน้ำในนาทีนั้น หนูสะดุ้งโหยง พาให้ขนลุกซู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “สบู่ที่นี่หอมสลัด แถมมีน้ำอุ่นด้วยนะ”“มะ ไม่ค่ะ” เสียงหนูค่อยมากจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“*วยพี่แข็งด้วย มาช่วยหน่อยดิ”“มะ... ไม่ค่
“ห้าชั่วโมง”“สามร้อยบาทค่ะ ขอพร้อมบัตรประชาชนนะคะ” ผมล้วงแบงค์ร้อยสามใบวางลงบนเคาน์เตอร์อย่างลวกๆ ถูมือไปมาอย่างหมายมาดตอนที่ล้วงบัตรประชาชนในกระเป๋ากางเกงส่งให้พนักงานหญิงแก่ที่ยืนหน้าตึงอยู่ตรงเคาน์เตอร์เก่าๆป้าพนักงานผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ คนนั้นให้ผมเขียนชื่อตัวเองลงไปในใบเอกสารอะไรสักอย่าง ในขณะที่จะเหลือบมองไปทางน้องมนต์คนสวยที่ยืนสะอื้นซิกๆ ทำตาปริบๆ อยู่ข้างหลังผมสัมผัสได้ว่าน้องส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางป้าด้วย ผมเลยหันกลับไปมอง แล้วน้องก็สะดุ้งโหยง เพราะสายตาผมเตือนครั้งที่หนึ่ง ประมาณว่าอย่าขอความช่วยเหลือ ไม่งั้นจะไม่จบที่น้ำเดียว!“ไม่ทราบว่า...” ป้าอ้าปากพูดขึ้นมา ผมรีบเปลี่ยนสายตาหันไปมองด้วยสีหน้าใสซื่อ “น้องผู้หญิงอายุถึงสิบแปดหรือยังคะ เห็นใส่ชุดนักเรียน ถ้าไม่ถึงไม่สามารถเปิดห้องให้ได้นะคะ”ชิบหายผมก็ลืมว่าน้องอายุเท่าไหร่เลยไง“ถึงครับ” พูดไปแบบขายผ้าเอาหน้ารอด แต่น้องบอกว่าสิบแปด ก็ถึงจริงๆ “พอดีแฟนผมชอบแต่งชุดนักเรียนย้อนวันวาน จริงๆ ถึงแล้วครับ”“อ๋อค่ะ” พนักงานมองหน้าน้องมนต์ที่ทำหน้าตื่นกับคำแก้ตัวของผม “พอดีช่วงนี้มีพวกโรคจิตลักพาตัวเด็กนักเรียน ม.ปลาย มาข
“ขอสปาเดเห้ด้วยได้ปะ?”หนูเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก จนเพื่อนพี่เขาคนหนึ่งที่ตัวสูงๆ หน้าดุๆ ไม่แพ้กันต้องเดินมาตบศีรษะเขาอย่างแรงพลั่ก!“เฮ้ย!!” พี่ผู้ชายหน้าดุที่พยายามคุกคามหนูอยู่ตรงหน้าสบถออกมาเสียงดังลั่นจนหนูสะดุ้งสุดตัว ทันทีที่คืนสติเขารีบหันไปเอาเรื่องเพื่อนทันที “ไอ้เจ มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย!”“ตลกดีนะไอ้ขวด จะจีบนักเรียนแต่ไปขอเขาเ*ด” หนูตัวสั่นอีกครั้งเมื่อเขาหันมามอง ก่อนที่จะตบหัวพี่ที่ชื่อขวดคนนั้นไปอีกที “คุกคามงี้น้องเขาแจ้งตำรวจได้นะไอ้สัส”“เมียเก่าไม่พร้อมให้สปาร์ค แต่กูไม่แคร์ กูจะหาคนสปาร์คใหม่” พี่ผู้ชายที่ชื่อขวดมีแววตาหมายมาด เขาเหลือบมามองหนูที่ยืนตัวสั่นไม่หาย เพราะนอกจากเขาจะมองมาที่หนูด้วยสายตาจาบจ้วงไม่พักแล้ว พวกลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่อีกชานชาลาหนึ่งก็ยืนกะลิ้มกะเหลี่ยมองหนูที่ยืนตัวสั่นอย่างสนใจ “พอดีว่าสนใจคนนี้ จะเอาคนนี้อ่ะ”หยาบคายที่สุดเลย“ถามความสมัครใจเด็กก่อนไหม” เพื่อนของเขาคลึงขมับตอนที่พูดอย่างมีเหตุผล หนูเลยคิดว่าพี่ที่ชื่อเจดูน่าจะคุยง่ายกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อย“นะ... หนูมีเงินค่ะ” หนูโพล่งขึ้นมาเพราะคิดเอาเองว่าที่เขาเข้ามาคุกคามแบบ
เมื่อตั้งใจไว้แล้วต้องทำจริง ผมเดินกร่างเข้าไปใกล้คู่รักนักเรียน พวกน้องๆ จะเดินตามกันมา แต่ผมยกมือปรามไว้ เป็นสัญญาณว่า ไม่ต้องผมล้วงกระเป๋าเกงตอนที่ไปยืนด้านหลังเด็กผู้หญิง เธอมัดผมม้าผูกโบว์สีขาว ผมสีดำขลับยาวระเอวคอดกิ่ว ลุคดูเรียบร้อย มากับไอ้เด็กผู้ชายอีกคนที่มันไม่เจ๋งเท่าผม ไม่เท่ ไม่เฟี้ยวเท่า เอาเป็นว่าคนที่เหมาะกับเธอ คือผมดันตกหลุมรักเข้าอย่างจัง กับคนที่อายุน้อยกว่าไม่มากเท่าไหร่ (ผมอายุ 20)ผมจงใจยืนชิดกับเธออย่างตั้งใจ ไอ้เด็กผู้ชายข้างๆ จึงเริ่มส่งสายตาเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนน้องผู้หญิงกลายๆ ในขณะที่เจ้าของผมดำขลับยาวถึงเอว น้องหน้ามนเหล่มองมาทางผมที่ยืนเก๊กอยู่ด้านหลัง ก่อนที่เธอจะหันกลับไป ตัวเริ่มสั่นนิดๆ“เราว่าลงป้ายหน้าไหมมนต์ เราไปส่งเอง” ไอ้เด็กนั่นที่ดูเหมือนจะเป็นแฟนเธอจงใจโพล่งออกมาราวกับตั้งใจพูดให้ได้ยิน ผมคิ้วกระตุกนิดๆ จับมีดยาวที่อยู่ใต้กางเกงไว้แน่น แต่อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่ได้รู้ชื่อหญิงที่หมายตาชื่อมนต์เหรอ ชื่อน่าค้นหาดีนะ อารมณ์เหมือนสวยจนต้องมนต์อะไรแบบนั้น“อะ อื้ม” เสียงหวานครางรับเบาๆ ผมกระตุกยิ้ม เสียงโคตรน่ารักเลยครับ“ชื่อไรน้อง” เมื่อเห็น