สี่ปีก่อน...
ปัง!! ปังๆ!!เสียงปืนดังสนั่นทั่วโกดังในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด และโกดังเป็นโกดังที่ใกล้กับชุมชนและตลาดแถบสลัมติดชายน้ำลำคลองชลประทานของหมู่บ้านแห่งนี้ ชายชุดดำกลุ่มใหญ่สองกลุ่มที่เต็มไปด้วยปืนผาหน้าไม้อาวุธครบมือต่างพากันสาดกระสุนฟาดฟันอาวุธใส่กันและกัน สองชายหนุ่มที่ดูเหมือนกันจะเป็นหัวหน้ายืนสูบบุหรี่มวนใหญ่จ้องหน้ากันไปมาท่ามกลางผู้คนที่ต่อยตีกันอย่างนิ่งๆ
เมื่อมวนบุหรี่ถูกเผาไหม้มาถึงก้านม้วนก็ถูกโยนถึงลงพื้นก่อนที่หัวหน้าทั้งสองจะเดินเข้าหากันพร้อมกับแลกหมัดมวยใส่กันไม่หยุดยั้ง อาวุธที่ซ่อนติดตัวมาถูกควักเอาออกมาใช้ มีดสั้นของทั้งสองฟาดฟันกันไปมาจนรอยเลือดติดที่คมมีด ทั้งหัวหน้าและลูกน้องต่างทุลักทุเลกับความต่อสู้กันไม่หยุด
“คนของกูเยอะกว่า...ยอมเถอะน่าไอ้แฟรงค์!”
“มึง..ทรยศกู!”
“ก็แค่ขายท่าเรือนิดๆ หน่อยๆ จะหวงอะไรนักวะ”
“กูไม่เคยให้อภัยคนทรยศ”
ทั้งสองพูดคุยกันทั้งๆ ที่คมมีดต่างจ่อไปที่คอของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าบรรเลงต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แฟรงค์ได้ทีก็พลิกตัวกลับรั้งชายผู้ที่ทรยศยอมเป็นปรปักษ์กับเขาลงกับพื้นพร้อมเอาปลายมีดคมจ่อที่คอคนผู้นั้นอย่างเหนื่อยหอบ สายตาคมจ้องมองคนที่นอนอยู่ข้างใต้อย่างดุดันน่ากลัว
“หึๆ ...พวกมึงน้อยกว่ากูนะไอ้แฟรงค์ มึงอย่าลืม”
ปัง!! เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นหลังจากชายผู้ทรยศที่นอนกองกับพื้นพูดจบ วิถีกระสุนแล่นไปยังร่างของแฟรงค์เข้าเต็มๆ จนเขาล้มลงไปกองกับพื้น มือหนากุมที่หน้าท้องของตนคิ้วขมวดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดร้าวแล่นไปทั่วร่าง
“นาย!! เฮ้ย!! ถอยก่อน!!”
ปัง!! เสียงปืนอีกนัดดังขึ้นเมื่อลูกน้องคนสนิทของแฟรงค์หันไปเห็นคนที่ยิงเจ้านายของตน ธาวินก็ชิงลั่นไกก่อนที่มือปืนคนนั้นจะลั่นไกซ้ำไปที่แฟรงค์อีกครั้ง พร้อมกับรีบเข้าไปพยุงผู้เป็นนายให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เมื่อแฟรงค์ลุกขึ้นได้ก็คว้าปืนจากมือของลูกน้องคนสนิทก่อนจะเป่ากระสุนเข้าที่หัวของชายผู้ทรยศอย่างเลือดเย็น เลือดสีแดงกระเด็นเลอเปอะเปื้อนตัวของเขาและลูกน้องหนุ่ม
“หนีก่อนเถอะครับนาย พวกมันพาพวกมาเพิ่ม...ลูกน้องเราก็เหลือไม่กี่คนแล้ว”
ลูกน้องคนสนิทพูดขึ้นก่อนที่แฟรงค์จะพยักหน้า เพราะเขาเองก็ใกล้จะหมดสติเต็มทน ก่อนที่ลูกน้องคนสนิทของเขาจะหันไปสั่งให้ลูกน้องคนอื่นๆ แยกย้ายกันหนี
“ไอ้ยีนส์! มาช่วยกูพยุงนายเร็ว!” ยีนส์หันมาตามเสียงเรียกของเพื่อนที่พยุงผู้เป็นนายอยู่ ก่อนที่สายตาของเขาจะหันไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังชี้กระบอกปืนมาทางหัวหน้าของเจ้านาย ร่างกายไปไวกว่าความคิดทันทีที่ชายคนนั้นลั่นไกปืนด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
ปัง!!!
“ไอ้ยีนส์!!!”
มือซ้ายของแฟรงค์ได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย ร่างของยีนส์ที่บังตัวเจ้านายของเขาให้รอดจากกระสุนนัดนั้นก็ทรุดลงต่อหน้าต่อตา ทั้งแฟรงค์และลูกน้องมือขวารีบคว้าร่างของยีนส์ที่กำลังจะล่วงลงพื้นไว้ ก่อนที่แฟรงค์จะยกปืนขึ้นยิงที่ชายคนนั้นซ้ำจนแน่นิ่งไป
“มึงทำใจดีๆ ไว้นะ”
“ไอ้...วิ..วิน...พานาย..ไป..”
ยีนส์พูดสั่งเสียเพื่อนเสียงสั่น ก่อนจะสิ้นใจไปในที่สุด ธาวินทำได้แค่กำมือเพื่อนของตนไว้แน่นก่อนจะยอมตัดใจทิ้งร่างของเขาไว้แล้วหันกลับไปพาแฟรงค์หนี เพราะทั้งตำรวจและคนของศัตรูเริ่มกรูเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
ทั้งสองเจ้านายลูกน้องกอดคอกันฝ่าวงล้อมของศัตรูออกไปอย่างทุลักทุเล ทั้งวิ่งทั้งหลบ...แม้พวกเขาจะไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นเพราะกลอุบายของสหายจึงได้พลาดท่าเสียทีจนผู้เป็นนายบาดเจ็บ
ทั้งสองวิ่งหนีเข้ามาในชุมชนตลาดร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเลือดล้มลุกคลุกคลานเข้ามาในตลาดที่ตอนนี้ทุกคนต่างปิดบ้านเงียบเชียบหมดแล้ว แฟรงค์เริ่มไม่ได้สติเพราะเสียเลือดมากบวกกับความเหนื่อยล้าที่วิ่งหนีมาทั้งที่โดนยิง เขาล้มลงหน้าบ้านของใครคนหนึ่งที่แม้จะปิดประตูเงียบแต่ก็ยังเปิดไฟอยู่
“หาพวกมันให้เจอ!!”
เสียงคนที่วิ่งตามพวกเขาดังอยู่ไกลๆ แฟรงค์พยายามประคองสติแล้วยันตัวลุกขึ้นโดยมีธาวินช่วยพยุง ก่อนที่ทั้งสองจะคลานเข้าไปหลบหลังเคาน์เตอร์หน้าบ้านหลังนั้นอย่างเงียบๆ เสียงฝีเท้าหลายเท้าวิ่งผ่านพวกเขาไป ทั้งสองนั่งหอบหายใจพิงประตูบ้านหลังนั้น
“มึง...หนีไป...ทิ้งกูไว้”
“ไม่ได้ครับนาย...ถึงผมจะเป็นลูกน้องแต่นายก็เป็นเพื่อนผม และยังเป็นผู้มีพระคุณ”
“กูบอกให้ไป...เอกสาร...มอบอำนาจอยู่ที่โต๊ะทำงาน...”
“ไม่ครับ...ครั้งนี้ผมขอขัดคำสั่ง...ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน”
แอ๊ดดด... เสียงประตูบ้านไม้เปิดออกมาก่อนจะมีเด็กสาววัยรุ่นโผล่หน้ามาดูพวกเขา ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้างมองทั้งสองคนที่นั่งจมกองเลือด เธอรีบเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วรีบวิ่งไปบอกผู้เป็นพ่อ
“พ่อๆ มีคนเจ็บหนักเลือดท่วมตัวเลย”
“ที่ไหน...ล้อพ่อเล่นหรือเปล่า?”
“หน้าบ้านค่ะพ่อ มีตั้งสองคน...เลือดเต็มเลย”
ชายวัยกลางคนรีบวิ่งออกมาดูตามที่ลูกสาวบอกก่อนจะตกใจเมื่อเห็นดังที่ลูกสาวตัวเองว่า เขารีบเข้าไปดูทั้งสองคนก็ถึงกับทำหน้าเครียด
“พวกคุณไปโดนอะไรมา”
“เฮ้ย!! กลับไปหาใหม่ มันต้องอยู่แถวนี้แน่! มันหนีไปได้ไม่ไกลหรอก!”
ชายวัยกลางคนชะเง้อมองตามเสียงจากไกลๆ ก่อนจะหันกลับมาหาทั้งสองคนที่นั่งหอบหายใจแรงใกล้จะหมดสติเต็มทน เขาจึงตัดสินใจช่วยพยุงทั้งสองโดยมีลูกสาวคอยช่วยเปิดประตูบ้านให้อีกแรง
“พวกคุณคงโดนตามมา เข้าไปข้างในก่อนเถอะ เพื่อนของคุณจะหมดสติอยู่แล้ว”
“แต่....”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แผลของคุณก็ใช่เล่น เร็วเข้า”
ธาวินยอมพยักหน้ารับแต่โดยดีก่อนจะรีบพากันเข้าบ้านไม้เก่าๆ นั้น ผู้เป็นลูกสาวรีบปิดประตูทันทีก่อนที่คนเหล่านั้นจะวิ่งมาทางหน้าบ้านของเธออีกครั้ง แต่เพราะความที่บ้านของเธอยังคงเปิดไฟในบ้านอยู่ คนพวกนั้นจึงได้เดินมาเคาะประตู ทำเอาทั้งสี่คนมองหน้ากันไปมา
ก๊อกๆ
“มีใครอยู่ไหม? เห็นเปิดไฟอยู่ เปิดประตู!”
เสียงพูดอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมเคาะประตูรัวๆ ชายวัยกลางคนจึงพาพวกเขาขึ้นไปหลบอยู่ที่มุมบันไดทางขึ้นชั้นสอง ก่อนจะรีบถอดเสื้อที่เลอะเลือดออกแล้วคลุมตัวเองด้วยผ้าขาวม้าเดินมาเปิดประตูกับลูกสาว
“มีอะไรหรือครับ?”
“มีใครมาขอความช่วยเหลือลุงไหม?”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถามขึ้นพร้อมกับมองชายวัยกลางคนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองลูกสาวของชายวัยกลางคนที่ยืนหลบและแอบมองอยู่ด้านหลัง ก่อนที่จะสอดส่องสายตาเข้าไปในบ้านของพวกเขา สายตาของชายฉกรรจ์มองไปยังพื้นที่มีรอยเลือดอย่างนึกสงสัย
“เลือดอะไร? อย่าบอกนะ...”
“อ๋อ เลือดหมูน่ะครับ ผมกำลังจะเตรียมของขายพรุ่งนี้ เอามันออกมาชำแหละแล้วเอากลับเข้าตู้เย็นน่าจะเลอะตอนนั้น”
“แน่นะ?”
“ทำไมหรือครับ? พวกคุณหาใครหรือครับ? แล้วหาทำไม?”
“ไม่ต้องอยากรู้เยอะ...ไปพวกเรา!”
พอชายวัยกลางคนถามสวนกกลับ พวกเขาถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะตอบแบบปัดๆ แล้วยอมเดินจากไปแต่โดยดีเพราะไม่อยากให้ชายวัยกลางคนถามอะไรมากมายอีก สองพ่อลูกมองคนเหล่านั้นวิ่งไปจนลับตาก็ถึงกับถอนหายใจแล้วรีบปิดประตูลงทันที ทั้งสองพ่อลูกเดินไปดูชายหนุ่มทั้งสองที่ยังคงนั่งเจ็บปวดอยู่ตรงบันได
“พวกคุณไปหาหมอดีกว่าไหมครับ?”
“ยังไปตอนนี้ไม่ได้ครับ...ยังก็ขอบคุณลุงมาก...พวกผมรอดไปได้จะกลับมาตอบแทน”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เพื่อนคุณน่าจะอาการหนักนะ ทำอะไรสักอย่างก่อน...พาเขาขึ้นไปข้างบนสิ”
ธาวินพยักหน้าก่อนจะพยุงแฟรงค์ขึ้นไปข้างบนตามที่ชายวัยกลางคนบอก ชายวัยกลางคนรีบเดินลงไปหาผ้าและกะละมังใส่น้ำขึ้นมาพร้อมกับบอกให้ลูกสาวไปเอากล่องยาตามมา
“อย่างน้อยก็ทำแผลก่อนเถอะ...น้ำหวานถอดเสื้อคนที่หมดสติแล้วห้ามเลือดเร็วลูก”
“ห้ามยังไงล่ะพ่อ หนูทำไม่เป็น”
“ถอดเสื้อเขาออกก่อนแล้วเช็ดเลือด”
ผู้เป็นลูกสาวพยักหน้าทั้งที่ยังคงทำหน้าเครียดก่อนจะรีบถอดเสื้อของแฟรงค์ออก ส่วนผู้เป็นพ่อหันไปทำแผลให้ธาวิน เมื่อน้ำหวานถอดเสื้อเขาออก็ถึงกับตกใจ แผลที่เหมือนกับโดนมีดบาดเต็มตัวไปหมด ซ้ำที่ท้องที่ที่เลือดออกเยอะก็เหมือนเป็นรู
เธอพยายามตั้งสติก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำเช็ดเลือดของเขาออก เมื่อผู้เป็นพ่อทำแผลให้ธาวินเสร็จก็หันมาทำแผลที่พอจะทำได้ให้แฟรงค์ อย่างน้อยก็อาจจะช่วยห้ามเลือดได้บ้าง
“เพื่อนคุณ...โดนยิงมาหรือครับ?”
“....ครับ”
“ผมไม่ใช่หมอช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่พอจะพันแผลได้...เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงพยาบาล ไม่งั้นเขาเสียเลือดตายแน่ๆ”
“...ได้ครับ”
“แต่รถที่ผมมีเป็นรถซาเล้งเก่าๆ อาจจะสะเทือนแผลไปบ้างก็อดทนนะครับ”
ธาวินพยักหน้ารับแล้วมองชายวัยกลางคนคนนั้นจะทำแผลให้เจ้านายของเขา เมื่อทำแผลเสร็จก็ได้พาพวกเขาลงไปยังชั้นล่าง และออกทางประตูหลังบ้านที่มีรถซาเล้งจอดอยู่
พวกเขาช่วยกันแบกร่างของแฟรงค์ที่ไม่ได้สติขึ้นไปนอนบนที่วางของรถพ่วงข้างโดยมีธาวินและลูกสาวของเขานั่งช่วยประคองอยู่ ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปโผล่อีกซอยด้านหลังตลาด
“ผมขอถามชื่อคุณได้ไหมครับ?”
“อ๋อ...ผมชื่อวินัยครับ...เคยเป็นตำรวจเก่าแต่ไม่มียศอะไรหรอกนะ”
“...ครับ...แล้วทำไมถึงไม่เป็นตำรวจต่อละครับ”
“ลูกสาวผมอยู่คนเดียวน่ะ ภรรยาผมเสียผมก็ออกมาขายกาแฟเพราะตอนนั้นลูกสาวยังเล็กมากไม่มีคนดูแล”
“อย่างนี้เองหรอครับ...ผมจะกลับมาตอบแทนแน่”
“ไม่เป็นไรๆ ชีวิตคนจะให้มองข้ามได้ยังไง ช่วยได้ก็ช่วย”
วินัยพูดอย่างยิ้มๆ ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ก่อนที่รถซาเล้งของเขาจะแล่นเข้าไปยังโรงพยาบาลที่ธาวินบอกให้เลี้ยวเข้าไป ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ถึงก่อนโรงพยาบาลของชุมชน วินัยจอดรถหน้าห้องฉุกเฉินก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปบอกบุรุษพยาบาลที่เข้าเวร
เหล่าพยาบาลและบุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงมายังรถซาเล้งเก่าๆ นั้นแล้วมองหน้ากันไปมาเมื่อเห็นหน้าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่พวกเขาจะรีบช่วยพยุงร่างของแฟรงค์ขึ้นไปนอนบนเตียงเข็นแล้วรีบเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป ธาวินหันกลับไปมองวินัยพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ มือยังคงกุมที่แผลของตนแล้วเดินเข้าไปหาเขา
“ขอบคุณมากนะครับ..ผมเป็นหนี้บุญคุณพวกคุณแล้ว”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ถึงมือหมอก็ดีแล้ว”
“พ่อเท่ห์มากเลย หวานรักพ่อที่สุด”
ผู้เป็นลูกสาวยิ้มให้พ่อพร้อมกับกอดพ่อของตนอย่างภาคภูมิใจ ผู้เป็นพ่อก็กอดตอบลูกสาวของตนพร้อมกับหัวเราะ ธาวินมองสองพ่อลูกอย่างยิ้มๆ ดูก็รู้ว่าวินัยรักลูกสาวของเขามากแค่ไหน
“ลูกสาวอายุเท่าไหร่หรือครับ?”
“16 ครับ กำลังเรียนม.ปลายอยู่เลย แต่เจ้าลูกคนนี้ไม่ดื้อเลย ไม่ติดเพื่อน ไปเที่ยวก็ไม่ไป”
“อ๋อ...ยังเด็กอยู่เลยนะครับ”
“ครับ...ผมถึงเป็นห่วง”
“คุณวินัยจะกลับก่อนก็ได้นะครับ รบกวนคุณสองพ่อลูกมามากแล้ว”
วินัยพยักหน้าอย่างยิ้มๆ ก่อนจะตบบ่าของธาวินเบาๆ น้ำหวานเองก็ละจากกอดแล้วยกมือไหว้ธาวินเพื่อเป็นการบอกลา เมื่อสองพ่อลูกกลับบ้านไปแล้วเขาก็เข้าไปรักษาแผลตามปกติ
โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลที่เจ้านายของเขาบริจาคเงินช่วยเหลือเยอะ จึงไม่แปลกที่เหล่าพยาบาลหรือหมอจะจำพวกเขาได้
พอผ่านพ้นคืนนั้นไป สองพ่อลูกก็มาเยี่ยมพวกเขาทุกวันซ้ำยังเอาของฝากมาให้ ผู้เป็นลูกสาวก็ช่วยดูแลแฟรงค์ป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดตัวตั้งแต่ที่เขายังไม่ฟื้นจนเขาฟื้น
พอพวกเขาดีขึ้นและเรื่องรู้ถึงหูของคุณหญิงผู้เป็นแม่ของแฟรงค์ก็มีคนมารับไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ โดยไม่ทันได้บอกลาพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ทิ้งแต่กระดาษโน้ตเล็กๆ ไว้ให้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยติดต่อมาเลย ทั้งที่ทิ้งเบอร์โทรที่อยู่ไว้ หลังจากหายดีแฟรงค์ก็ไปหาที่บ้านหลังเดิมของสองพ่อลูก แต่พวกเขาก็ย้ายออกไปเสียแล้ว...
...จนกระทั่ง...มาพบกับลูกสาวของเขา...ในงานประมูล...
.
.
.
“ไปสืบเรื่องเจ้าสัวลีมา ช่วงนี้ธุรกิจเงินกู้ที่กูให้ดูแลมันแปลกๆ สืบเรื่องลุงวินัยที่ส่งลูกสาวเข้าประมูลด้วย”“ครับนาย”ธาวินตอบรับก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อทำตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย แฟรงค์ยังคงนั่งคิดเรื่องของวินัยพักหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอย่างวินัยที่รักลูกสาวยิ่งกว่าอะไรดีจะยอมขายลูกสาวใช้หนี้ มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ๆตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะพาน้ำหวานมาทำมิดีมิร้ายอยู่แล้ว เพราะเขาก็ตกใจนิดหน่อยที่เด็กสาวในวันนั้นจะโตมาสวยสดงดงามขนาดนี้ทั้งที่ตอนเด็กเธอออกจะน่ารักสดใสแถมยังเรียกเขาว่าคุณอาอยู่เลย แต่กลับมาเจอในตลาดมืด ความสดใสในตอนนั้นมันหายไปหมดเสียแล้ว เหลือเพียงความก้าวร้าวดื้อด้าน...ไหนจะแววตาไม่ยอมใครตอนอยู่ในกรงทองนั้นอีก คุณอาที่เธอเรียกในตอนนั้น ปัจจุบันกลับโดนเธอเรียกคนสารเลวไปซะอย่างนั้น แน่นอนว่าเธออาจจะจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำแฟรงค์คิดอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานตรงไปยังห้องนอนของตน เพราะเขาสั่งให้ลูกน้องพาเธอไปรอที่ห้องของเขา และเธอคงคิดว่าเขาพาเธอมาเพื่อสนองตัณหา แต่เขาต
หมดช่วงเวลาเช้าที่น้ำหวานยอมกินข้าวต้มแต่โดยดี แถมยังยอมเรียกเขาว่าอาแฟรงค์อย่างไม่เต็มใจนัก แฟรงค์และธาวินก็ออกไปทำงานตามปกติ ถึงเขาจะเป็นมาเฟียที่มีเงินมากมายจนสบายไปทั้งชาติแต่แฟรงค์ก็ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างหนัก จะทิ้งให้บอดี้การ์ดไว้บางส่วนเพื่อเฝ้าที่บ้านเท่านั้นน้ำหวานมองเสื้อผ้าที่พวกลูกน้องของแฟรงค์เอามาให้ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงมีความเชื่อที่ว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่ตัวเธอเองตอนนี้ก็ไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชุดจึงต้องยอมรับเสื้อผ้าที่เขาซื้อมาให้ มันน่าแปลกที่เขาเลือกซื้อชุดชั้นในมาได้ตรงไซส์เธอพอดิบพอดี หรือว่าเพราะคืนนั้น...แค่เห็นก็รู้เลยงั้นหรือ“ตาแก่โรคจิตนั่น!!”น้ำหวานพูดออกมาอย่างนึกเคือง ถึงแม้เขาจะไม่ได้แตะต้องเธอแต่เขาก็จ้องมองเรือนร่างของเธออยู่ดี คงต้องมีสักคืนที่เธอไม่รอดเขาไปแน่ๆ เขาเป็นคนยังไง เธอไม่รู้นิสัยใจคอเลยสักนิด แล้วจะอยู่ร่วมบ้านกันได้ยังไง เมื่อคิดได้อย่างนั้น น้ำหวานก็อาบน้ำแต่งตัวพร้อมกับเลือกชุดที่ลูกน้องของเขาเอามาให้ ไม่ว่าจะหาเท่
สองเท้าเล็กๆ ใส่รองเท้าคัชชูสีดำเข้ากับชุดเดรสสีดำที่เลือกใส่เพื่อปิดพลางตนเองในความมืด ทุกก้าวที่ย่างเท้าอย่างไม่มั่นคงและทุลักทุเลด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งหลบทั้งวิ่งตามซอกตรอกซอยมานานหลายชั่วโมง มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดของตรอกซอยเล็กๆหญิงสาวที่ดูใกล้จะหมดแรงเต็มทน มือข้างหนึ่งค้ำยันผนังตึกเพื่อพยุงตัวเองให้เดินไปทางตรอกเล็กๆ เธอไม่เคยหยุดพักเลย เพราะความคิดที่ว่าจะต้องหนีให้พ้นมันเป็นแรงผลักดันอยู่เต็มอก เธอเลือกวิ่งมาทางมหาวิทยาลัยของตัวเองที่เคยเรียนอยู่ แต่ก็ต้องหยุดเรียนกลางคันเพราะโดนจับตัวไปประมูลเสียก่อน แม้มันจะไกลแต่มันเป็นทางเดียวที่เธอพอจะรู้ทางน้ำหวานกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างเหนื่อยหอบอ้อมไปหลังมหาวิทยาลัยของตน เธอจำไม่ผิดหลังมหาวิทยาลัยมีร้านเหล้าผับบาร์มากมาย เธอมั่นใจว่าตัวเองวิ่งมาเกินสิบกิโลเมื่อมาถึงที่นี่ ยังดีที่สมัยเรียนปีหนึ่งตอนรับน้องเขาบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งมาราธอนของมหาวิทยาลัยหญิงสาววิ่งมาหยุดหน้าผับใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งถ้าเธอจำไม่ผิดเพื่อนๆ ของเธอชอบชวนมาเที่ยวแล้วนัดกันที่นี่ในแชทกลุ่ม เธออ่านแต่ก็ไม่เคยคิดจะมาด้วยจึงพอจำได้คร่าว
ธาวินขมวดคิ้วหันไปมองน้ำหวานเล็กน้อยอย่างคิดช่างใจก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้าดังเดิม ภายในรถเริ่มเงียบสนิทเพราะสิ่งที่น้ำหวานพูด แฟรงค์เองก็ถึงกับเงียบไม่พูดอะไรต่อ จนรถแล่นเข้ามาถึงยังคฤหาสน์หลังเดิมที่เธอพึ่งหนีออกมาน้ำหวานเดินลงจากรถอย่างทุลักทุเล เธอเดินเซไปเซมาเข้าบ้านโดยไม่รอใคร แฟรงค์และธาวินมองหน้ากันก่อนที่แฟรงค์จะเดินตามเธอเข้าไปทีหลังน้ำหวานเดินเข้าห้องมาก็รีบปิดประตูล็อคกลอนก่อนที่เธอจะถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดว่ารอดพ้นเขาคนนั้นได้แล้ว เธอเดินไปยังเตียงด้วยสภาพที่ปกติไม่มีอาการคนเมาเลยสักนิด ตอนที่อยู่ในผับเธอใส่เพื่อนเธอใส่เหล้าแค่เล็กน้อยเท่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นน้ำอัดลมเสียมากกว่า หรือบางทีเพื่อนก็เปลี่ยนแก้วกับเธอตอนที่เขาเผลอเท่านั้นแกร๊ก.. เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น น้ำหวานรีบล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างไวไม่คิดว่าเขาจะเข้ามา เพราะปกติเขาจะไปนอนที่อื่นไม่ได้เข้ามาหาเธอเลยสักวัน แต่วันนี้กลับแปลก...หรือว่าเขาอาจจะเห็นว่าเธอเมาก็เลยจะฉวยโอกาสงั้นหรอแฟรงค์เดินเข้ามายังเตียงที่ที่น้ำหวานแสร้งทำเป็นนอนหลับอยู่ เขาหยุดอยู่ข้าง
เปลือกตาดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นรับแสงแดดที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ร่างบางเปลือยเปล่าที่มีเพียงผ้าห่มคลุมปิดบังร่างอยู่ใช้แขนเรียวเล็กหยัดกายลุกขึ้น สายตามองไปรอบๆ ห้องที่ตนตื่นขึ้นมากลับไม่พบใครนอกจากเธอ ในห้องว่างเปล่าเหมือนจิตใจของเธอตอนนี้ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่ร่างของเธอเมื่อขยับพลิกตัวนั่งตรงไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง สะโพก ข้อมือ...แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าจะน่าเป็น...หัวใจภาพเหตุการณ์ที่แสนรุนแรงและน่ารังเกียจแล่นผ่านมาในความทรงจำ ทุกฉากทุกตอนเด่นชัดขึ้นมาในหัว...เธอค่อยๆ ยกแขนกอดตัวเอง...น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งไหลลงมาอีกครั้ง...สิบมือจิกลงบนไหล่ทั้งสองข้างของตัวเองจนเป็นรอย...เกลียด...เกลียดร่างกายตัวเอง... เกลียดตัวเองที่ช่วงเวลาหนึ่งเธอรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา...เธอกลายเป็นเด็กเลี้ยงของเขาอย่างเต็มตัว เป็นเด็กเสี่ยที่เธอไม่คิดอยากจะเป็นมากที่สุดในชีวิตนี้ ไม่ว่าลำบากแค่ไหนเธอก็สู้ด้วยสองมือสองเท้ามาตลอดก๊อกๆ“คุณผู้หญิงคะ...นายโทรมาบอกให้ฉันเรียกคุณไปทานข้าวค่ะ”เสียงเรียกของสาวใช้ดังขึ้นจากที่ย
“ฉันเตือนเธอแล้วใช่ไหม? ว่าอย่าคิดจะหนีฉันอีก!”“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของคนอย่างนาย!”น้ำหวานตวาดเสียงแข็งตอบกลับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่นึกยำเกรงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสวยจ้องมองเขาตาแข็งนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและนึกรังเกียจชายหนุ่มตรงหน้าเสียเต็มปะดา ชายที่ซื้อเธอมาและยังย่ำยีกระชากพรากความบริสุทธิ์ของเธอไปอย่างป่าเถื่อน เพราะเหตุนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกนึกเกลียดขี้หน้าเขาสายตาคู่คมจ้องมองสายตาที่ดูรังเกียจเดียดฉันท์ก็พอจะรู้ความคิดของเธอ เขาแสยะยิ้มขึ้นจ้องมองใบหน้าสวยไม่วางตา ยิ่งเห็นเธอทำท่ารังเกียจและพยายามจะแกะมือหนาของเขาที่จับปลายคางอยู่ก็ยิ่งรู้สึกอยากจะเอาชนะความเกลียดชังของเธอ“รังเกียจฉันมากเหรอ?”“ใช่! น่าขยะแขยงที่สุด!!”“หึ...เก็บคำพูดนี้ของเธอไปพูดบนเตียงจะดีกว่า แล้วมาดูกันว่าเธอยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม?”สิ้นเสียงทุ้มของเขา แฟรงค์ก็เดินกลับขึ้นไปบนรถแต่ก็ยังไม่วายหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องคนสนิทที
ห้องทำงาน“ทำไมช้านัก”แฟรงค์พูดขึ้นหลังจากที่เห็นประตูห้องทำงานเปิดและลูกน้องคนสนิทโผล่หน้าเข้ามา แม้ว่ามือจะวุ่นวายกับเอกสารแต่ก็ยังไม่วายหันไปปรายตามองผู้มาเยือน ธาวินหันไปปิดประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นนาย“ขอโทษครับนาย...น้ำหวานเธอ....”“อืม พอรู้”แฟรงค์ตอบทันควันไม่ทันที่ลูกน้องของตนจะพูดจบ ดูจากท่าทางที่อยู่ข้างล่างเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ว่าเธอคงพยายามยื้อเวลาที่จะไม่เข้ามาเจอเขา หรือกลัวที่จะเจอเขานั่นเอง...ยัยเด็กนี่อ่านง่ายจะตาย...“แล้วนายจะไม่กลับห้องตอนนี้เหรอครับ”“ยัง”“หือ? ...ไม่ใช่ว่านายจะรีบไปทำโทษเธอหรือครับ?”ธาวินพูดอย่างยิ้มๆ เพราะเจ้านายของตอนพูดคาดโทษหญิงสาวไว้อย่างโจ่งแจ้ง แฟรงค์ตวัดสายตามองธาวินครู่หนึ่งทำเอาลูกน้องหนุ่มคนสนิทถึงกับรีบหุบยิ้มแล้วกระแอมเบาๆ“ฉันยุ่งอยู่”“คงยุ่งจริงๆ นั่นแหละครับ
ดวงตาสวยยังคงปิดอยู่ทั้งที่คิ้วเรียวสวยกลับขมวดแน่นเมื่อรู้สึกอึดอัดร่างเหมือนมีอะไรมารัดไว้ ก่อนจะค่อยๆ เปลือกตาขึ้นมา ใบหน้าหล่อที่หลับตาพริ้มปรากฏต่อสายตาหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาสวยเบิกกว้างก่อนจะหลุบตามองร่างกายของตัวเองที่ตอนนี้ถูกเจ้าของใบหน้าหล่อนั้นกอดอยู่“กะ...กรี๊ดดดดดดดด!!”คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแหลมเล็กหวีดร้องปะทะเข้าโสตประสาทจนแสบหู ร่างบางเด้งตัวลุกพรวดขึ้นหลังจากที่กรีดร้องอย่างตกใจพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของตัวเองมิดเหมือนดักแด้ แฟรงค์เองก็งัวเงียยันตัวเองลุกขึ้นนั่งคิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหัวเสียเพราะเขายังนอนไม่เต็มตื่นและกำลังหลับสบายอยู่แท้ๆ“ทำไมเธอชอบทำเสียงแสบแก้วหูตลอดเลยวะ”“ใครใช้ให้นายมานอนกอดฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะ!”“ฮะ? ยังต้องขออนุญาตอีกเหรอ? เธอเป็นคนมากอดฉันเองนะ”“อย่ามาพูดมั่วๆ นะ! ใครมันจะหันไปกอดคนอย่างนายกัน”“เหรอ เป็นคนหันมากอดฉันก่อนแท้ๆ ฉันไม่ปล้ำเธอตอนหลับอยู่ก็บุญ
น้ำหวานยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเขารับปากว่าจะไม่พรากชีวิตคนอื่นอีก แฟรงค์เองก็ยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับไปเท่านั้น ทั้งที่ภายในหัวของเขากำลังคิดวุ่นวายกับเรื่องพ่อของเธออยู่“งั้น...ฉันขอไปเข้าห้องน้ำสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนนะคะ”แฟรงค์พยักหน้ารับ น้ำหวานก็รีบลุกแล้วออกจากห้องไปสวนกับธาวินที่เดินเข้ามาพอดี“จัดการเรียบร้อยแล้วครับนาย”“อืม...มีอีกเรื่อง...”“เรื่องอะไรครับนาย”“เรื่องลุงวินัย”“อ๋อ...ครับ อีกไม่กี่วันก็จะครบร้อยวันแล้วนะครับนาย”“น้ำหวานเริ่มถามแล้ว...กูจะบอกเธอยังไงดีว่าพ่อของเธอโดนไอ้เจ้าสัวลีฆ่าตายแล้ว”“บอกไปตรงๆ สิครับ”“มึงคิดว่าเธอจะ....น้ำหวาน!!”น้ำหวานเดินเข้าห้องมาพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตามองเขาและธาวิน นั่นเดาไม่ยากเลยว่าเธอได้ยินที่เขากับธาวินพูดแล้ว น้ำหวานเดินโซซัดโซเซเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแฟรงค์อย่างหมดแรง...
แฟรงค์ไปรับไปส่งน้ำหวานทุกวันไม่เคยขาด ไม่มีวันไหนสักวันที่จะไม่ไปรับ แต่ถึงเขาจะไปรับไปส่งเองเขาก็ยังสั่งให้ลูกน้องของตนไปเฝ้าจนไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้หรือแม้แต่เข้าไปจีบ ชุดนักศึกษาที่เธอเลือกซื้อมาเขาก็เอาไปเผาทิ้งหมด เพราะเขาซื้อชุดใหม่ไว้เผื่อแล้วในทุกๆ วันที่มหาวิทยาลัยก็เหมือนเช่นเคยในทุกๆ วันมาเป็นเดือนๆ แฟรงค์คอยดูแลทุกอย่างและเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี และที่สำคัญ...เขา...ไม่พลาดเลยทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้าเป็นอาหารคงบอกว่าเขากินดุมาก แถมกินจุอีกต่างหาก...แต่เพราะมันเป็นเธอเนี่ยสิ กินเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอิ่มเสียที จนล้าร่างหมดแล้ว ยิ่งตอนนี้...ช่วงปิดเทอมของมหาลัยเสียด้วย...“วันศุกร์นี้เตรียมตัวให้ดีล่ะ”“เตรียมตัว? ไปไหนคะ?”“ฉันจะจัดงานหมั้น”“งานหมั้น? คุณอาจะหมั้นเหรอ? กับใคร?”แฟรงค์ที่กำลังขับรถพาเธอมายังบริษัทหลังจากพาเธอออกไปทานอาหารกลางวันที่ห้างทิ้งธาวินให้ทำงานที่บริษัท แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ซื้อข้าวและขนมไปฝากลูกน้องคนสนิทด้วยอยู่ดี วันนี้เขามาเธอมาที่บริษ
“อื้อ!! อ๊า อ๊า....”เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อท่อนยักษ์แทรกเข้าไปจนสุด ความเสียวซ่านแล่นเข้าร่างผ่านช่องท้องจนร่างบางสั่นสะท้าน หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงครางทุ้มต่ำร้องแผ่วข้างหู“ฮืมมมม....”ก่อนที่แฟรงค์จะหยัดตัวขึ้นจับไหล่เพรียวกดลงแล้วดึงรั้งเข้าหาตัว เป็นเหตุให้ร่างบางแอ่นบั้นท้ายงอนรับองศาแรงกระแทกได้พอดิบพอดี มือเล็กเกาะยึดกำแพงไว้เพื่อพยุงตัวรับแรงกระแทกกระทั้นของเขา“อ๊า อ๊ะ อ๊า!”“ครางอีกสิคะ...ครางดังๆ ให้สมใจเธอที่ต้องการมัน”“อ๊า อ๊า..อื้อ!”“ดี! เด็กดี...อืมมมม...ต้องอย่างนั้น”“อาคะ! อ๊ะ!! ลึก! อ๊า!!”“ลึกไปเหรอคะ...อา...ก็หนูตอดอาแน่นเลย”ยิ่งคำพูดหวานเข้าหูยิ่งทำให้น้ำหวานตื่นตัว...เขารู้ดีว่าเธอชอบให้เขาพูดแบบนี้ ภายในตอบรับรัดตัวตนใหญ่ยักษ์ของเขาแน่นกว่าเดิม สะโพกสวนตอบรับแรงตอดรัดนั้นอย่างหนักหน่วง ความเสียวซ่านแล
“ฮะ? จะลองทำไม?”“ถ้าใส่ไม่ได้จะได้ซื้อใหม่”“ทำไมจะใส่ไม่ได้ ฉันใส่ไซด์นี้ประจำอยู่แล้ว”“แน่ใจ?”น้ำหวานชะงักไป เพราะความจริงเธอใส่แต่เสื้อหลวมๆ กระโปรงพรีทเท่านั้น พึ่งจะมาซื้อเสื้อรัดรูปกระโปรงทรงเอใส่ก็ตอนตั้งใจจะกวนประสาทคุณอาหนุ่มเท่านั้น น้ำหวานหลบสายตาเล็กน้อย แฟรงค์เห็นอย่างนั้นก็ยกยิ้มขึ้น“เกิดเธอใส่ไม่ได้ ก็ไม่มีชุดใส่ไปเรียนวันจันทร์”“รู้แล้ว จะไปลองเดียวนี้แหละ!”พูดจบน้ำหวานก็หยิบชุดนักศึกษาเดินเข้าห้องน้ำไป เพื่อลองชุดที่เธอซื้อมา แฟรงค์หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟารอหญิงสาวอย่างเงียบๆ นึกจะขัดใจเขาต้องเตรียมรับมือให้ดี ไม่นานนักน้ำหวานก็ตะโกนออกมาจากห้องน้ำโดยที่ตัวเองไม่ยอมเดินออกมา“ใส่ได้ พอดีด้วย”น้ำหวานพูดพร้อมกับมองตัวเองในกระจก แต่มันจะขัดใจเธอไปเสียหน่อยเพระเสื้อมันรัดรูปพอดีตัวแต่หน้าอกหน้าใจแน่นจนกระดุมเกือบปริออกมา ส่วนกระโปรงแค่นั่งลงก็คงจะเลิกขึ้
น้ำหวานชะงักกับคำพูดของแฟรงค์ที่ถามเธอกลับ น้ำหวานดึงสติของตัวเองก่อนจะหลบสายตาของเขาก่อน พร้อมกับคิดว่า...นั่นสิ...เธอต้องการคำตอบอะไรเหรอ ในเมื่อเธอเป็นแค่คนที่เขาซื้อมาเป็นนางบำเรอ นั่นก็มีเหตุผลมากพอที่เขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดี เหมือนกับเด็กเสี่ยที่ใครๆ เขาพูดกันนั่นแหละ แล้วเธอกำลังหวังอะไร“ไม่ต้องตอบแล้ว”“หือ? ทำไม....”“ฉันหิวแล้ว”น้ำหวานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเดินนำเขาไปในทันที แฟรงค์ขมวดคิ้วอีกครั้งมองตามหลังของคนตัวเล็กไปอย่างไม่เข้าใจ“อะไรของเธอวะ”“แบบนี้เขาเรียกสาวงอนครับนาย”“มึงนี่รู้ดี รู้เยอะ เหมือนมีเมียซุกไว้”ธาวินยิ้มกริ่มลอบมองเจ้านายของตน แฟรงค์มองธาวินด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองลูกน้องที่ถือของพะรุงพะรังเพราะสาวเจ้าเลือกซื้อมาเหมือนจะไม่ได้ซื้ออีกแล้วทั้งชาติ“พวกมึงเอาของไปเก็บที่รถแล้วไปหาอะไรแดกซะ ค่อยมาเจอกูที่รถ”
จนแล้วจนรอดเขาก็เดินตามเธอเลือกชุดชั้นใน แถมยังเลือกซื้อแบบตามใจตัวเขาเองมาเป็นโหล กลายเป็นว่าคนที่เดินตามเขาและเขินเป็นเธอเอง เพราะพนักงานก็เชียร์ขายสุดโต่งกับชุดชั้นในวาบหวิวและยังหันมาแซวว่าเธอมีแฟนหล่อแถมยังนิสัยน่ารักเอาใจใส่อีก...ก็ใช่สิ พนักงานเหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไร้ปราณีและเป็นตาแก่โรคจิตแค่ไหน“พอใจหรือยังครับอีหนู”“อย่ามาเรียกแบบนั้นนะ”“เธอเรียกฉันว่าตาแก่โรคจิตเอง...เธอก็เป็นอีหนูของตาแก่คนนี้ไง”“ใครอยากเป็นอีหนูของคุณกัน”“ไม่อยากก็เป็นไปแล้วนี่ หรือจะให้ฉันรื้อฟื้นความจำอีกหลายๆ ครั้งถึงจะได้จำได้ขึ้นใจ”“ผู้ชายคิดแต่เรื่องทะลึ่งรึไง”“ใช่ ผู้ชายมันคิดแต่เรื่องทะลึ่งกับ...ผู้หญิงของตัวเอง”แฟรงค์พูดพร้อมยื่นใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้เธอ น้ำหวานผละศีรษะออกเล็กน้อยก่อนจะสบตากับเขาค้างอยู่นาน นัยน์ตาสีอ่อนของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แววตาดุดันน่ากลัวหายไปหมดแล้วเหลือแต่แววตาทะเล้นหยอกเย้าเธอ...รอยยิ้ม
น้ำหวานนั่งหน้ามุ่ยตลอดทางหลังจากที่นั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น เหมือนเขาต้องการที่จะปั่นหัวเธอเล่นอย่างนั้นหรือ แต่มันก็ดูจะลงทุนมากไปเสียหน่อย...จะให้เชื่อก็ดูเหมือนเด็กหลอกง่าย เพราะเขาและเธอเจอกันได้ไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างเขารู้สึกยังไงกับเธอก็ไม่รู้“ไปเรียนต้องมีกฎ”“หนูไม่ทำตามได้อยู่แล้วนี่ คุณอาเป็นคนส่งเรียน”“ก็ดี...ข้อแรก ฉันไปรับไปส่งทุกวัน”“ฮะ? ...แต่...”“ข้อสอง ไม่ว่าเธอจะไปทำอะไรที่ไหนต้องขออนุญาตฉัน”“...เจ้ากี้เจ้าการชะมัด.....”“ข้อสาม คำพูดของฉันถือเป็นที่สุด”“เผด็จการชัดๆ!”น้ำหวานกอดอกหันไปว่าคนที่นั่งข้างๆ แต่ดูเหมือเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของเธอเลย ไม่หนำซ้ำยังยกยิ้มอย่างสะใจเสียอีก การที่จะจัดการเด็กดื้อชอบหนีต้องทำแบบนี้แหละธาวินที่นั่งข้างๆ คนขับลอบมองแฟรงค์ผ่านกระจกหน้ารถก่อนจะยกยิ้มพลางคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เจ้านายข
ขบวนรถหรูสีดำแล่นเข้าสู่มหาวิทยาลัยNNA ก่อนจะไปจอดหน้าตึกคณะบดีของมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในเสื้อเชิ้ตสีดำเปิดแผงอกแกร่งให้เห็นเล็กน้อยเดินลงมาจากรถ พร้อมกับชายใส่สูทหน้าตาขึงขังที่เดินตามลงมาจากรถหรูคันอื่นๆ ก็รีบกรูเข้ามาหาชายในเสื้อเชิ้ตนั้นอย่างเคารพทุกสายตาจับจ้องไปที่แฟรงค์และธาวินที่ยืนตีคู่กันอยู่ข้างรถ สาวน้อยสาวใหญ่ในมหาวิทยาลัยต่างกรี๊ดกร๊าดกันเป็นแถวกับความหล่อแพ็คคู่และดูมีฐานะของพวกเขา ก่อนเสียงกรี๊ดนั้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบเมื่อน้ำหวานเดินลงมาจากรถด้วยทีท่าเก้ๆ กังๆ“ไปกันเถอะ”“อะ...เอ่อ...”“หืม? เป็นอะไรไป?”แฟรงค์หันกลับมามองน้ำหวานที่ก้มหน้าหงุด เธอเป็นเพียงหญิงสาวจากร้านขายกาแฟโบราณธรรมดาๆ ไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่ เพราะเธอไม่เคยทำตัวโดดเด่น ถึงจะมีรุ่นพี่มาทาบทามเป็นดาวคณะแต่เธอก็ไม่เคยสนใจเลย ด้วยใบหน้าที่สะสวยเหมือนช้างเผือกในตลาดสลัมจะมีคนเข้ามาจีบบ้างก็ไม่แปลก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยเปิดตัวโอ่อ่าเวอร์วังแบบนี้มาก่อน เลยไม่ชินกับสายตาคนร
“อยากได้มันหรือยัง? หืม?”เสียงกระซิบแหบพร่าข้างใบหูเล็กอย่างจงใจ น้ำหวานยังคงส่ายหน้าทั้งที่ตอนนี้ร่างกายร้อนจนแทบจะระเบิดออกมา สติอันน้อยนิดของเธอบอกว่าต้องไม่ใช่ที่นี่ แต่ร่างกายกับไม่ฟังดูต้องการเขาเสียเหลือเกินแฟรงค์ยกยิ้มเมื่อเห็นว่าความคิดกับหัวใจของน้ำหวานดูไม่ตรงกันเสียเท่าไหร่ การตอบสนองจากร่างกายของเธอมันแสดงออกอย่างชัดเจน ใบหน้าสวยที่แดงเรื่อไปถึงใบหูพร้อมกับลมหายใจที่หอบกระเส่า ทำให้แฟรงค์มองว่าเธอดูน่ารักน่าเอ็นดูจนแทบจะอดใจไม่ไหว“ฉันให้โอกาสเธอตอบออีกครั้ง”“อะ...อื้อ...แต่..ที่นี่มันห้องทำงาน...อ๊ะ”“ฉันไม่สน...ตอนนี้ฉันสนแค่เธอ”“ตะ...แต่....”“ว่ายังไง? คำตอบน่ะ..”แฟรงค์พูดไปทั้งที่ยังคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอขาวและเนียนอกอิ่ม อยากจะใส่ชุดมายั่วยวนเขาก็ต้องเจอดีกันหน่อย น้ำหวานก็ยังคงไม่ตอบและได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น และแฟรงค์ไม่ใช่คนใจเย็นเขาจึงยกตัวเธอลงให้มานั่งกึ่งหลางระหว่างขาของเขาก่อนที่เขา