หมดช่วงเวลาเช้าที่น้ำหวานยอมกินข้าวต้มแต่โดยดี แถมยังยอมเรียกเขาว่าอาแฟรงค์อย่างไม่เต็มใจนัก แฟรงค์และธาวินก็ออกไปทำงานตามปกติ ถึงเขาจะเป็นมาเฟียที่มีเงินมากมายจนสบายไปทั้งชาติแต่แฟรงค์ก็ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างหนัก จะทิ้งให้บอดี้การ์ดไว้บางส่วนเพื่อเฝ้าที่บ้านเท่านั้น
น้ำหวานมองเสื้อผ้าที่พวกลูกน้องของแฟรงค์เอามาให้ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงมีความเชื่อที่ว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่ตัวเธอเองตอนนี้ก็ไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชุดจึงต้องยอมรับเสื้อผ้าที่เขาซื้อมาให้ มันน่าแปลกที่เขาเลือกซื้อชุดชั้นในมาได้ตรงไซส์เธอพอดิบพอดี หรือว่าเพราะคืนนั้น...แค่เห็นก็รู้เลยงั้นหรือ
“ตาแก่โรคจิตนั่น!!”
น้ำหวานพูดออกมาอย่างนึกเคือง ถึงแม้เขาจะไม่ได้แตะต้องเธอแต่เขาก็จ้องมองเรือนร่างของเธออยู่ดี คงต้องมีสักคืนที่เธอไม่รอดเขาไปแน่ๆ เขาเป็นคนยังไง เธอไม่รู้นิสัยใจคอเลยสักนิด แล้วจะอยู่ร่วมบ้านกันได้ยังไง เมื่อคิดได้อย่างนั้น น้ำหวานก็อาบน้ำแต่งตัวพร้อมกับเลือกชุดที่ลูกน้องของเขาเอามาให้ ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็มีแต่เพียงชุดเดรสเท่านั้น
“โอ๊ย! ไม่มีกางเกงเลยสักตัว! บ้าจริง!!”
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะใส่ชุดเดรสสีดำสายเดี่ยวจั๊มเอวกระโปรงไม่รัดรูปมากนักถึงจะสั้นไปหน่อยก็ตาม แต่ก็ไม่ได้สั้นมากขนาดนั้นแค่เลยเข่ามานิดหน่อย เมื่อแต่งตัวเสร็จเธอก็เริ่มเดินออกจากห้องท่ามกลางสายตาของบรรดาคนรับใช้และบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
“คุณผู้หญิงจะไปไหนครับ? ออกจากบ้านไม่ได้นะครับ เป็นคำสั่งของนาย”
บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าประตูคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเธอที่กำลังจะเดินจากตัวบ้าน น้ำหวานหันไปมองหน้าเขานิ่งพร้อมกับยืนกอดอก
“นายคิดว่าฉันเป็นใครถึงกล้ามาขวางทาง” น้ำ
หวานพูดอย่างมาดมั่น เธอคิดว่าจะทำให้มีพิรุธไม่ได้ต้องข่มไว้ก่อน เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจจะหนีตอนกลางวันแน่ เธอรู้ว่าแฟรงค์กลับดึกแค่ไหนหลังจากที่แอบรอดูมาหลายคืน ตอนนี้เธอต้องการจะเดินดูรอบๆ ตัวบ้านเพื่อดูลาดราวเท่านั้น
“คุณผู้หญิงคือผู้หญิงที่นายประมูลมา...”
“แค่นั้นหรอ? ไม่รู้หรอไงว่าฉันเลื่อนตำแหน่งเป็นคุณผู้หญิงเพราะอะไร?”
“เอ่อ...ถึงอย่างนั้นคุณก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ครับ ต้องรอให้นายกลับมาก่อน”
“ฉันแค่จะไปเดินเล่นรอบๆ บ้าน ไม่ได้หรือไง?”
“ได้ครับ...แต่พวกผมต้องติดตามไปด้วย”
“โอ๊ย! รำคาญจริง!”
น้ำหวานปล่อยมือจากการกอดอกอย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะเดินหน้ายู่ออกไปยังสวนโดยมีลูกน้องของแฟรงค์คอยเดินตามอยู่ไม่ห่าง จะตามก็ช่างประไรเพราะเธอไม่ได้จะหนีตอนนี้อยู่แล้ว ถึงเดินตามไปก็ไม่ได้เสียหายและไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว น้ำหวานพยายามคิดปลอบใจตัวเองก่อนจะเดินไปยังสวนรอบๆ บ้าน
เธอมองหาหน้าต่างห้องของตัวเองที่ทำสัญลักษณ์ไว้ ก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณก็เห็นว่ามีคนคอยเดินตรวจตราอยู่ไม่ไกลนัก ห้องที่เธออยู่มองเห็นสระน้ำและศาลาพักผ่อนกลางสระเธอพยักหน้ากับตัวเองอย่างยิ้มๆ เมื่อเห็นจุดอับสายตาคือประตูเหล็กหลังบ้าน ถึงจะมีคนยืนเฝ้าอยู่แต่มันก็ต้องมีเวลาที่ลูกน้องของเขาไปพักบ้างล่ะ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงพาตัวเองไปยังศาลาพักกลางสระในสวนแล้วหย่อนตัวนั่งพัก โทรศัพท์ก็ไม่มีสักเครื่องแย่จริงๆ เธอจึงทำได้แต่นั่งกอดอกหน้ามุ่ย หันไปมองบอดี้การ์ดที่เดินตามเธอมาซ้ำยังยืนเฝ้ารอบศาลาที่เธอนั่ง
“คุณผู้หญิงต้องการอะไรไหมครับ?”
“เบื่อ...ไม่มีโทรศัพท์เลย...ไม่มีหนังสือ...”
“งั้นผมจะไปเอาหนังสือกับของว่างมาให้ครับ”
“ขอบใจ”
น้ำหวานหันไปพูดสั้นๆ ก่อนที่บอดี้การ์ดคนนั้นจะเดินตรงไปยังตัวบ้าน แต่ก็ยังเหลือบอดี้การ์ดอีกตั้งสามคนที่ยืนเฝ้าเธออย่างเงียบๆ เธอคิดว่าอย่างน้อยก็นั่งตรงนี้จนกว่าจะมืดแล้วกัน ...
.
(คุณผู้หญิงเดินเล่นรอบๆ บ้านครับนาย ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่ศาลาในสวน)
“อืม...ดูให้ดีๆ”
(ครับ เธอยังบ่นอีกว่าไม่มีโทรศัพท์ให้เล่น ผมเลยเข้ามาเอาหนังสือและของว่างให้ครับ ยังมีคนเฝ้าอีกสามคนที่อยู่กับคุณผู้หญิง...)
“เออ เดี๋ยวกูจะรีบกลับ..ไม่เกินเที่ยงคืน”
(ครับนาย)
“เฝ้าให้ดีๆ อย่าให้หายไปไหน...ไม่งั้นพวกมึงทุกตัวได้ลงไปคุยกับรากมะม่วงแน่”
(ทราบแล้วครับนาย)
เมื่อปลายสายตอบรับแฟรงค์ก็กดวางสายพร้อมกับหันไปสนใจงานของเขาต่อ ธาวินหันมองหน้าเจ้านายตนอย่างไม่เข้าใจนักที่เขาใจเย็นอยู่ได้ขนาดนี้ การเดินเล่นรอบบ้านก็เหมือนหาทางหนีทีไล่ไม่ใช่หรือ
“จะถามก็ถามมา”
“นายไม่สงสัยว่าเธอจะหาทางหนีหรอครับ?”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
แฟรงค์พูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย สายตายังคงจ้องมองเอกสารของตนอย่างไม่ใส่ใจในสิ่งที่ลูกน้องคนสนิทพูดนัก ธาวินยิ่งขมวดคิ้วสงสัยไปกันใหญ่
“หรือนายจะยอมปล่อยให้เธอหนีหรอครับ?”
แฟรงค์เหลือบตามองธาวินก่อนจะยกยิ้มแล้วถอดแว่นที่ตนใส่ออก เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างใจเย็นนั่นยิ่งทำให้ธาวินไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย เขาต้องการจะเล่นอะไรกันแน่
“หนีไปไหนได้ไม่ไกลหรอก ค่อยตามหาทีหลังก็ยังทัน”
“ครับ?”
“กูอยากรู้เหมือนกันว่าจะหนียังไง”
พูดจบแฟรงค์ก็ใส่แว่นแล้วหันไปทำงานของตนต่อ ธาวินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะช่วยงานผู้เป็นเจ้านายต่อเช่นกัน บางทีเจ้านายของเขาอาจจะคาดการณ์ไว้แล้วก็ได้ จึงคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักหรอกและคิดว่าเธอคงหนีไปไม่ได้ไกล
“รายงานข่าวด่วนเหตุร้ายนะคะ เมื่อคืนนี้มีคนพบศพของชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่โดนรถทับอยู่ริมถนนใหญ่ทางขนส่งที่รถบรรทุกผ่านตลอดเวลา ทางตำรวจสันนิฐานว่าน่าจะเมามีเรื่องแล้วโดนซ้อมหมดสตินอนอยู่ข้างทางระหว่างกลับบ้าน จึงเป็นเหตุให้รถบรรทุกที่ผ่านไปผ่านมาทับร่างเพราะมองไม่เห็นจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต...ตำรวจตรวจสอบว่าชื่อ นาย วินัย วงศ์ดี อายุ 48ปี เป็นเจ้าของร้านกาแฟโบราณตลาดสัวลี ตอนนี้ทางตำรวจติดต่อหาญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้ ใครเป็นญาติช่วยติดต่อกลับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ...”
เสียงรายงานข่าวดังขึ้นจากโทรทัศน์ในห้องทำงานของแฟรงค์ที่เปิดทิ้งไว้ แฟรงค์ละสายตาจากเอกสารพร้อมกับเลื่อนขึ้นมองหน้าจอนั้น ก่อนจะเห็นภาพข่าวที่เสนอขึ้นรูปใบหน้าของผู้เสียชีวิตคือใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเมื่อสี่ปีก่อน
“นายครับ...นั่นใช่...”
“...อืม...ติดต่อขอรับศพไป...”
“ได้ครับนาย”
“ไม่คิดว่าจะต้องเจอกันแบบนี้ มึงไปสืบเรื่องการตายมาให้ดีด้วย”
“ครับนาย”
ธาวินตอบรับเจ้านายก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อสืบหาต้นสายปลายเหตุอีกครั้งที่ตอนแรกเขาเองก็พยายามสืบหาแต่กลับไม่เจอตัว แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอตอนที่เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณไปเสียแล้ว แฟรงค์อดคิดถึงหญิงสาวที่บ้านไม่ได้ว่าถ้าเธอรู้จะเป็นยังไง แต่ก็คิดอีกทีว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา เธอจะรู้สึกยังไงก็ช่าง
.
.
น้ำหวานนั่งอ่านหนังสือจบไปหลายเล่มจนมืดค่ำก็ยังไม่ยอมไปไหน บอดี้การ์ดลอบมองเธอเป็นระยะคิดอยู่ว่าจะบอกหรือไม่บอกเธอดี ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวที่เขาเรียกว่าคุณผู้หญิง
“เอ่อ...คุณผู้หญิงครับ...”
“ว่า?”
“พวกผมก็ขอตัวไปเปลี่ยนกะ...เดี๋ยวจะมีบอดี้การ์ดอีกชุดมารับใช้นะครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นสายตาของน้ำหวานก็ละจากหนังสือพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็เปลี่ยนมาทำหน้าเรียบนิ่งแค่ไม่กี่วินาที เธอเงยหน้าขึ้นมองบอดี้การ์ดคนนั้น
“ไปสิ ฉันจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้”
“แต่...ครับ”
บอดี้การ์ดหนุ่มไม่พูดอะไรต่อเมื่อเห็นว่าเธอก้มลงไปอ่านหนังสือต่อโดยไม่สนใจเขา จึงได้แต่ตอบรับอย่างจำยอมก่อนจะหันไปหาเพื่อนๆ ของตนแล้วพยักหน้าเดินจากไป
เมื่อน้ำหวานรู้สึกว่าพวกเขาไปกันหมดแล้วจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองยังประตูด้านหลัง บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ก็เดินออกไปเช่นกัน มันเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนกะทุกคนทุกพื้นที่ที่มีการควบคุม
ยังไม่ทันที่บอดี้การ์ดจะเดินเข้าตัวบ้านไปเธอก็ลุกพรวดขึ้นแล้วปิดหนังสือรีบวิ่งไปยังประตูหลังทันที เพราะต้องมีคนเข้ามาเฝ้าประตูหลังต่อพวกเขาจึงไม่ได้ล็อคกลอนประตูเหล็กนั้นไว้ น้ำหวานมองซ้ายมองขวาอย่างระวังตัวก่อนจะเห็นบอดี้การ์ดที่เข้ามาเปลี่ยนกะเดินมาทางเธอ น้ำหวานจึงรีบเดินออกประตูหลังไปอย่าเงียบๆ แล้วรีบวิ่งไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้อย่างสุดชีวิต
“นายครับ...เธอหนีไปตามที่นายคาดไว้เลยครับ แต่....”
“แต่?”
“เราหาเธอบริเวณนั้นในรัศมีห้ากิโลเมตรตามที่นายสั่งแล้ว...เราไม่เจอเธอเลยครับ”
“หึ...ฉันคาดการณ์ผิดไปสินะ”
แฟรงค์ยกยิ้มแต่ในใจกลับร้อนใจไม่น้อย เขาลืมคิดไปว่าเธอไม่ใช่ลูกคุณหนูที่ไหน เธอเป็นเพียงลูกสาวชาวบ้านธรรมดาที่สามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองหนีรอด ความดิ้นรนของคนธรรมดาน่ากลัวกว่าพวกคนมีเงินอย่างพวกเขามากนักนั่นคือสิ่งที่เขาลืมคิดถึงเรื่องนี้
“เอายังไงต่อดีครับนาย”
“หาให้เจอ ทุกที่ ทุกแห่งไม่ว่าใกล้หรือไกล ถ้าหาไม่เจอไม่ต้องพัก”
“ครับนาย”
พูดจบแฟรงค์ก็ลุกขึ้นละจากงานทุกอย่างก่อนจะเดินนำธาวินไป แม้ใบหน้าของเขาจะเรียบนิ่งแต่เขาก็ดูหัวเสียไม่น้อย ที่ทุกอย่างผิดคาดไปหมด
ธาวินคิดว่าคงถึงเวลาที่น้ำหวานลูกสาวลุงวินัยที่ช่วยชีวิตพวกเขาจะได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้านายเขาก็คราวนี้แหละ ทั้งที่ตอนแรกแฟรงค์ตั้งใจจะปล่อยเธอไปพร้อมบอกเรื่องพ่อ แต่...เธอดันดื้อด้านไม่เชื่อฟังเขาน่ะสิ...
.
.
.
สองเท้าเล็กๆ ใส่รองเท้าคัชชูสีดำเข้ากับชุดเดรสสีดำที่เลือกใส่เพื่อปิดพลางตนเองในความมืด ทุกก้าวที่ย่างเท้าอย่างไม่มั่นคงและทุลักทุเลด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งหลบทั้งวิ่งตามซอกตรอกซอยมานานหลายชั่วโมง มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดของตรอกซอยเล็กๆหญิงสาวที่ดูใกล้จะหมดแรงเต็มทน มือข้างหนึ่งค้ำยันผนังตึกเพื่อพยุงตัวเองให้เดินไปทางตรอกเล็กๆ เธอไม่เคยหยุดพักเลย เพราะความคิดที่ว่าจะต้องหนีให้พ้นมันเป็นแรงผลักดันอยู่เต็มอก เธอเลือกวิ่งมาทางมหาวิทยาลัยของตัวเองที่เคยเรียนอยู่ แต่ก็ต้องหยุดเรียนกลางคันเพราะโดนจับตัวไปประมูลเสียก่อน แม้มันจะไกลแต่มันเป็นทางเดียวที่เธอพอจะรู้ทางน้ำหวานกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างเหนื่อยหอบอ้อมไปหลังมหาวิทยาลัยของตน เธอจำไม่ผิดหลังมหาวิทยาลัยมีร้านเหล้าผับบาร์มากมาย เธอมั่นใจว่าตัวเองวิ่งมาเกินสิบกิโลเมื่อมาถึงที่นี่ ยังดีที่สมัยเรียนปีหนึ่งตอนรับน้องเขาบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งมาราธอนของมหาวิทยาลัยหญิงสาววิ่งมาหยุดหน้าผับใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งถ้าเธอจำไม่ผิดเพื่อนๆ ของเธอชอบชวนมาเที่ยวแล้วนัดกันที่นี่ในแชทกลุ่ม เธออ่านแต่ก็ไม่เคยคิดจะมาด้วยจึงพอจำได้คร่าว
ธาวินขมวดคิ้วหันไปมองน้ำหวานเล็กน้อยอย่างคิดช่างใจก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้าดังเดิม ภายในรถเริ่มเงียบสนิทเพราะสิ่งที่น้ำหวานพูด แฟรงค์เองก็ถึงกับเงียบไม่พูดอะไรต่อ จนรถแล่นเข้ามาถึงยังคฤหาสน์หลังเดิมที่เธอพึ่งหนีออกมาน้ำหวานเดินลงจากรถอย่างทุลักทุเล เธอเดินเซไปเซมาเข้าบ้านโดยไม่รอใคร แฟรงค์และธาวินมองหน้ากันก่อนที่แฟรงค์จะเดินตามเธอเข้าไปทีหลังน้ำหวานเดินเข้าห้องมาก็รีบปิดประตูล็อคกลอนก่อนที่เธอจะถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดว่ารอดพ้นเขาคนนั้นได้แล้ว เธอเดินไปยังเตียงด้วยสภาพที่ปกติไม่มีอาการคนเมาเลยสักนิด ตอนที่อยู่ในผับเธอใส่เพื่อนเธอใส่เหล้าแค่เล็กน้อยเท่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นน้ำอัดลมเสียมากกว่า หรือบางทีเพื่อนก็เปลี่ยนแก้วกับเธอตอนที่เขาเผลอเท่านั้นแกร๊ก.. เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น น้ำหวานรีบล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างไวไม่คิดว่าเขาจะเข้ามา เพราะปกติเขาจะไปนอนที่อื่นไม่ได้เข้ามาหาเธอเลยสักวัน แต่วันนี้กลับแปลก...หรือว่าเขาอาจจะเห็นว่าเธอเมาก็เลยจะฉวยโอกาสงั้นหรอแฟรงค์เดินเข้ามายังเตียงที่ที่น้ำหวานแสร้งทำเป็นนอนหลับอยู่ เขาหยุดอยู่ข้าง
เปลือกตาดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นรับแสงแดดที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ร่างบางเปลือยเปล่าที่มีเพียงผ้าห่มคลุมปิดบังร่างอยู่ใช้แขนเรียวเล็กหยัดกายลุกขึ้น สายตามองไปรอบๆ ห้องที่ตนตื่นขึ้นมากลับไม่พบใครนอกจากเธอ ในห้องว่างเปล่าเหมือนจิตใจของเธอตอนนี้ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่ร่างของเธอเมื่อขยับพลิกตัวนั่งตรงไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง สะโพก ข้อมือ...แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าจะน่าเป็น...หัวใจภาพเหตุการณ์ที่แสนรุนแรงและน่ารังเกียจแล่นผ่านมาในความทรงจำ ทุกฉากทุกตอนเด่นชัดขึ้นมาในหัว...เธอค่อยๆ ยกแขนกอดตัวเอง...น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งไหลลงมาอีกครั้ง...สิบมือจิกลงบนไหล่ทั้งสองข้างของตัวเองจนเป็นรอย...เกลียด...เกลียดร่างกายตัวเอง... เกลียดตัวเองที่ช่วงเวลาหนึ่งเธอรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา...เธอกลายเป็นเด็กเลี้ยงของเขาอย่างเต็มตัว เป็นเด็กเสี่ยที่เธอไม่คิดอยากจะเป็นมากที่สุดในชีวิตนี้ ไม่ว่าลำบากแค่ไหนเธอก็สู้ด้วยสองมือสองเท้ามาตลอดก๊อกๆ“คุณผู้หญิงคะ...นายโทรมาบอกให้ฉันเรียกคุณไปทานข้าวค่ะ”เสียงเรียกของสาวใช้ดังขึ้นจากที่ย
“ฉันเตือนเธอแล้วใช่ไหม? ว่าอย่าคิดจะหนีฉันอีก!”“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของคนอย่างนาย!”น้ำหวานตวาดเสียงแข็งตอบกลับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่นึกยำเกรงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสวยจ้องมองเขาตาแข็งนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและนึกรังเกียจชายหนุ่มตรงหน้าเสียเต็มปะดา ชายที่ซื้อเธอมาและยังย่ำยีกระชากพรากความบริสุทธิ์ของเธอไปอย่างป่าเถื่อน เพราะเหตุนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกนึกเกลียดขี้หน้าเขาสายตาคู่คมจ้องมองสายตาที่ดูรังเกียจเดียดฉันท์ก็พอจะรู้ความคิดของเธอ เขาแสยะยิ้มขึ้นจ้องมองใบหน้าสวยไม่วางตา ยิ่งเห็นเธอทำท่ารังเกียจและพยายามจะแกะมือหนาของเขาที่จับปลายคางอยู่ก็ยิ่งรู้สึกอยากจะเอาชนะความเกลียดชังของเธอ“รังเกียจฉันมากเหรอ?”“ใช่! น่าขยะแขยงที่สุด!!”“หึ...เก็บคำพูดนี้ของเธอไปพูดบนเตียงจะดีกว่า แล้วมาดูกันว่าเธอยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม?”สิ้นเสียงทุ้มของเขา แฟรงค์ก็เดินกลับขึ้นไปบนรถแต่ก็ยังไม่วายหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องคนสนิทที
ห้องทำงาน“ทำไมช้านัก”แฟรงค์พูดขึ้นหลังจากที่เห็นประตูห้องทำงานเปิดและลูกน้องคนสนิทโผล่หน้าเข้ามา แม้ว่ามือจะวุ่นวายกับเอกสารแต่ก็ยังไม่วายหันไปปรายตามองผู้มาเยือน ธาวินหันไปปิดประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นนาย“ขอโทษครับนาย...น้ำหวานเธอ....”“อืม พอรู้”แฟรงค์ตอบทันควันไม่ทันที่ลูกน้องของตนจะพูดจบ ดูจากท่าทางที่อยู่ข้างล่างเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ว่าเธอคงพยายามยื้อเวลาที่จะไม่เข้ามาเจอเขา หรือกลัวที่จะเจอเขานั่นเอง...ยัยเด็กนี่อ่านง่ายจะตาย...“แล้วนายจะไม่กลับห้องตอนนี้เหรอครับ”“ยัง”“หือ? ...ไม่ใช่ว่านายจะรีบไปทำโทษเธอหรือครับ?”ธาวินพูดอย่างยิ้มๆ เพราะเจ้านายของตอนพูดคาดโทษหญิงสาวไว้อย่างโจ่งแจ้ง แฟรงค์ตวัดสายตามองธาวินครู่หนึ่งทำเอาลูกน้องหนุ่มคนสนิทถึงกับรีบหุบยิ้มแล้วกระแอมเบาๆ“ฉันยุ่งอยู่”“คงยุ่งจริงๆ นั่นแหละครับ
ดวงตาสวยยังคงปิดอยู่ทั้งที่คิ้วเรียวสวยกลับขมวดแน่นเมื่อรู้สึกอึดอัดร่างเหมือนมีอะไรมารัดไว้ ก่อนจะค่อยๆ เปลือกตาขึ้นมา ใบหน้าหล่อที่หลับตาพริ้มปรากฏต่อสายตาหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาสวยเบิกกว้างก่อนจะหลุบตามองร่างกายของตัวเองที่ตอนนี้ถูกเจ้าของใบหน้าหล่อนั้นกอดอยู่“กะ...กรี๊ดดดดดดดด!!”คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแหลมเล็กหวีดร้องปะทะเข้าโสตประสาทจนแสบหู ร่างบางเด้งตัวลุกพรวดขึ้นหลังจากที่กรีดร้องอย่างตกใจพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของตัวเองมิดเหมือนดักแด้ แฟรงค์เองก็งัวเงียยันตัวเองลุกขึ้นนั่งคิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหัวเสียเพราะเขายังนอนไม่เต็มตื่นและกำลังหลับสบายอยู่แท้ๆ“ทำไมเธอชอบทำเสียงแสบแก้วหูตลอดเลยวะ”“ใครใช้ให้นายมานอนกอดฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะ!”“ฮะ? ยังต้องขออนุญาตอีกเหรอ? เธอเป็นคนมากอดฉันเองนะ”“อย่ามาพูดมั่วๆ นะ! ใครมันจะหันไปกอดคนอย่างนายกัน”“เหรอ เป็นคนหันมากอดฉันก่อนแท้ๆ ฉันไม่ปล้ำเธอตอนหลับอยู่ก็บุญ
“ไม่ไป! ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”น้ำหวานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีต่อต้าน ดวงตาสวยจ้องมองแฟรงค์เขม็งสายตาของเธอบ่งบอกถึงความไม่เชื่อใจเขาอย่างที่สุด แต่แฟรงค์กลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้สะทกสะท้านกับสายตาที่ดูไม่เชื่อใจเขาเลยแม้แต่น้อย“ฉันเคยบอกแล้วนะ ว่าอย่าขัดคำสั่งฉัน!”แฟรงค์พูดเสียงเรียบและจ้องมองท่าทีดื้อดึงของหญิงสาวตรงหน้าด้วยใบหน้านิ่งดังเดิม หลายคนอาจจะมองว่าเขาดุน่ากลัวแต่น้ำหวานกลับไม่สนใจสายตาดุนิ่งนั้นของเขา เพราะความรู้สึกเกลียดชังมันมีมากกว่าความกลัวน่ะสิ เกลียดที่เขาข่มเหงน้ำใจเธอโดยที่เธอไม่ได้ยินยอมพร้อมใจกับเขา“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคุณ”“ต่อไปเรียกฉันว่าอา..”“อาเหรอ? เฮอะ...เป็นอาแบบไหนเหรอ? อาที่....”“ที่อะไรล่ะ? พูดให้จบสิ”น้ำหวานชะงักคำพูดกลืนลงคอไปทันที แต่แฟรงค์กลับยกยิ้มเลิกคิ้วขึ้นจ้องมองหญิงสาวพร้อมกับเอ่ยถามเพื่อให้น้ำหวานพูดต่อให้จบ เขาเองก็อยากฟังเหมือนกันว่าตอนนี้เธอคิ
แฟรงค์มองหน้าของน้ำหวานนิ่งเมื่อได้ยินในสิ่งที่เธอร้องขอ และเขาก็ไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป แต่สายตาของหญิงสาวตรงหน้าดูคาดหวังกับเขามากพอสมควร“ว่าไง...คุณอาจะช่วยฉันไหม?”“ทำไมฉันต้องช่วยเธอ ในเมื่อเธอไม่มีสิทธิ์ต่อรองด้วยซ้ำ”“คุณพูดแค่คำเดิมๆ เอาง่ายๆ ไหม? ถ้าคุณแตะต้องตัวฉัน คุณก็ต้องช่วยฉันบ้าง อย่างน้อยก็ในฐานะเด็กของคุณ”“เหอะ....เธอยอมใช้ตัวเองเพื่อแลกเรื่องนี้? โดยการยอมมีอะไรกับฉันน่ะเหรอ?”“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น....เพราะยังไงฉันก็หนีคุณไม่พ้นไม่ใช่เหรอ”“ดี...ในเมื่อเธอเลือกทางนี้เองนะ อย่ามาร้องขอชีวิตทีหลังแล้วกัน”พูดจบแฟรงค์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที น้ำหวานมองตามหลังของชายหนุ่มก่อนจะหันกลับมานั่งคิดทบทวนอีกครั้งว่าเธอคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่เนี่ย แค่นึกถึงภาพคืนนั้น...ก็ทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว...เกือบเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว ความรุนแรงนั้นเธอจำได้ดี...น้ำหวานลุกขึ้นตามแฟรงค์ไปที่รถ แม้ว่าตอนนี้อาหารตรงหน้าจะน่ากินแค่ไหนเ
น้ำหวานยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเขารับปากว่าจะไม่พรากชีวิตคนอื่นอีก แฟรงค์เองก็ยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับไปเท่านั้น ทั้งที่ภายในหัวของเขากำลังคิดวุ่นวายกับเรื่องพ่อของเธออยู่“งั้น...ฉันขอไปเข้าห้องน้ำสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนนะคะ”แฟรงค์พยักหน้ารับ น้ำหวานก็รีบลุกแล้วออกจากห้องไปสวนกับธาวินที่เดินเข้ามาพอดี“จัดการเรียบร้อยแล้วครับนาย”“อืม...มีอีกเรื่อง...”“เรื่องอะไรครับนาย”“เรื่องลุงวินัย”“อ๋อ...ครับ อีกไม่กี่วันก็จะครบร้อยวันแล้วนะครับนาย”“น้ำหวานเริ่มถามแล้ว...กูจะบอกเธอยังไงดีว่าพ่อของเธอโดนไอ้เจ้าสัวลีฆ่าตายแล้ว”“บอกไปตรงๆ สิครับ”“มึงคิดว่าเธอจะ....น้ำหวาน!!”น้ำหวานเดินเข้าห้องมาพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตามองเขาและธาวิน นั่นเดาไม่ยากเลยว่าเธอได้ยินที่เขากับธาวินพูดแล้ว น้ำหวานเดินโซซัดโซเซเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแฟรงค์อย่างหมดแรง...
แฟรงค์ไปรับไปส่งน้ำหวานทุกวันไม่เคยขาด ไม่มีวันไหนสักวันที่จะไม่ไปรับ แต่ถึงเขาจะไปรับไปส่งเองเขาก็ยังสั่งให้ลูกน้องของตนไปเฝ้าจนไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้หรือแม้แต่เข้าไปจีบ ชุดนักศึกษาที่เธอเลือกซื้อมาเขาก็เอาไปเผาทิ้งหมด เพราะเขาซื้อชุดใหม่ไว้เผื่อแล้วในทุกๆ วันที่มหาวิทยาลัยก็เหมือนเช่นเคยในทุกๆ วันมาเป็นเดือนๆ แฟรงค์คอยดูแลทุกอย่างและเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี และที่สำคัญ...เขา...ไม่พลาดเลยทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้าเป็นอาหารคงบอกว่าเขากินดุมาก แถมกินจุอีกต่างหาก...แต่เพราะมันเป็นเธอเนี่ยสิ กินเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอิ่มเสียที จนล้าร่างหมดแล้ว ยิ่งตอนนี้...ช่วงปิดเทอมของมหาลัยเสียด้วย...“วันศุกร์นี้เตรียมตัวให้ดีล่ะ”“เตรียมตัว? ไปไหนคะ?”“ฉันจะจัดงานหมั้น”“งานหมั้น? คุณอาจะหมั้นเหรอ? กับใคร?”แฟรงค์ที่กำลังขับรถพาเธอมายังบริษัทหลังจากพาเธอออกไปทานอาหารกลางวันที่ห้างทิ้งธาวินให้ทำงานที่บริษัท แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ซื้อข้าวและขนมไปฝากลูกน้องคนสนิทด้วยอยู่ดี วันนี้เขามาเธอมาที่บริษ
“อื้อ!! อ๊า อ๊า....”เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อท่อนยักษ์แทรกเข้าไปจนสุด ความเสียวซ่านแล่นเข้าร่างผ่านช่องท้องจนร่างบางสั่นสะท้าน หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงครางทุ้มต่ำร้องแผ่วข้างหู“ฮืมมมม....”ก่อนที่แฟรงค์จะหยัดตัวขึ้นจับไหล่เพรียวกดลงแล้วดึงรั้งเข้าหาตัว เป็นเหตุให้ร่างบางแอ่นบั้นท้ายงอนรับองศาแรงกระแทกได้พอดิบพอดี มือเล็กเกาะยึดกำแพงไว้เพื่อพยุงตัวรับแรงกระแทกกระทั้นของเขา“อ๊า อ๊ะ อ๊า!”“ครางอีกสิคะ...ครางดังๆ ให้สมใจเธอที่ต้องการมัน”“อ๊า อ๊า..อื้อ!”“ดี! เด็กดี...อืมมมม...ต้องอย่างนั้น”“อาคะ! อ๊ะ!! ลึก! อ๊า!!”“ลึกไปเหรอคะ...อา...ก็หนูตอดอาแน่นเลย”ยิ่งคำพูดหวานเข้าหูยิ่งทำให้น้ำหวานตื่นตัว...เขารู้ดีว่าเธอชอบให้เขาพูดแบบนี้ ภายในตอบรับรัดตัวตนใหญ่ยักษ์ของเขาแน่นกว่าเดิม สะโพกสวนตอบรับแรงตอดรัดนั้นอย่างหนักหน่วง ความเสียวซ่านแล
“ฮะ? จะลองทำไม?”“ถ้าใส่ไม่ได้จะได้ซื้อใหม่”“ทำไมจะใส่ไม่ได้ ฉันใส่ไซด์นี้ประจำอยู่แล้ว”“แน่ใจ?”น้ำหวานชะงักไป เพราะความจริงเธอใส่แต่เสื้อหลวมๆ กระโปรงพรีทเท่านั้น พึ่งจะมาซื้อเสื้อรัดรูปกระโปรงทรงเอใส่ก็ตอนตั้งใจจะกวนประสาทคุณอาหนุ่มเท่านั้น น้ำหวานหลบสายตาเล็กน้อย แฟรงค์เห็นอย่างนั้นก็ยกยิ้มขึ้น“เกิดเธอใส่ไม่ได้ ก็ไม่มีชุดใส่ไปเรียนวันจันทร์”“รู้แล้ว จะไปลองเดียวนี้แหละ!”พูดจบน้ำหวานก็หยิบชุดนักศึกษาเดินเข้าห้องน้ำไป เพื่อลองชุดที่เธอซื้อมา แฟรงค์หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟารอหญิงสาวอย่างเงียบๆ นึกจะขัดใจเขาต้องเตรียมรับมือให้ดี ไม่นานนักน้ำหวานก็ตะโกนออกมาจากห้องน้ำโดยที่ตัวเองไม่ยอมเดินออกมา“ใส่ได้ พอดีด้วย”น้ำหวานพูดพร้อมกับมองตัวเองในกระจก แต่มันจะขัดใจเธอไปเสียหน่อยเพระเสื้อมันรัดรูปพอดีตัวแต่หน้าอกหน้าใจแน่นจนกระดุมเกือบปริออกมา ส่วนกระโปรงแค่นั่งลงก็คงจะเลิกขึ้
น้ำหวานชะงักกับคำพูดของแฟรงค์ที่ถามเธอกลับ น้ำหวานดึงสติของตัวเองก่อนจะหลบสายตาของเขาก่อน พร้อมกับคิดว่า...นั่นสิ...เธอต้องการคำตอบอะไรเหรอ ในเมื่อเธอเป็นแค่คนที่เขาซื้อมาเป็นนางบำเรอ นั่นก็มีเหตุผลมากพอที่เขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดี เหมือนกับเด็กเสี่ยที่ใครๆ เขาพูดกันนั่นแหละ แล้วเธอกำลังหวังอะไร“ไม่ต้องตอบแล้ว”“หือ? ทำไม....”“ฉันหิวแล้ว”น้ำหวานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเดินนำเขาไปในทันที แฟรงค์ขมวดคิ้วอีกครั้งมองตามหลังของคนตัวเล็กไปอย่างไม่เข้าใจ“อะไรของเธอวะ”“แบบนี้เขาเรียกสาวงอนครับนาย”“มึงนี่รู้ดี รู้เยอะ เหมือนมีเมียซุกไว้”ธาวินยิ้มกริ่มลอบมองเจ้านายของตน แฟรงค์มองธาวินด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองลูกน้องที่ถือของพะรุงพะรังเพราะสาวเจ้าเลือกซื้อมาเหมือนจะไม่ได้ซื้ออีกแล้วทั้งชาติ“พวกมึงเอาของไปเก็บที่รถแล้วไปหาอะไรแดกซะ ค่อยมาเจอกูที่รถ”
จนแล้วจนรอดเขาก็เดินตามเธอเลือกชุดชั้นใน แถมยังเลือกซื้อแบบตามใจตัวเขาเองมาเป็นโหล กลายเป็นว่าคนที่เดินตามเขาและเขินเป็นเธอเอง เพราะพนักงานก็เชียร์ขายสุดโต่งกับชุดชั้นในวาบหวิวและยังหันมาแซวว่าเธอมีแฟนหล่อแถมยังนิสัยน่ารักเอาใจใส่อีก...ก็ใช่สิ พนักงานเหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไร้ปราณีและเป็นตาแก่โรคจิตแค่ไหน“พอใจหรือยังครับอีหนู”“อย่ามาเรียกแบบนั้นนะ”“เธอเรียกฉันว่าตาแก่โรคจิตเอง...เธอก็เป็นอีหนูของตาแก่คนนี้ไง”“ใครอยากเป็นอีหนูของคุณกัน”“ไม่อยากก็เป็นไปแล้วนี่ หรือจะให้ฉันรื้อฟื้นความจำอีกหลายๆ ครั้งถึงจะได้จำได้ขึ้นใจ”“ผู้ชายคิดแต่เรื่องทะลึ่งรึไง”“ใช่ ผู้ชายมันคิดแต่เรื่องทะลึ่งกับ...ผู้หญิงของตัวเอง”แฟรงค์พูดพร้อมยื่นใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้เธอ น้ำหวานผละศีรษะออกเล็กน้อยก่อนจะสบตากับเขาค้างอยู่นาน นัยน์ตาสีอ่อนของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แววตาดุดันน่ากลัวหายไปหมดแล้วเหลือแต่แววตาทะเล้นหยอกเย้าเธอ...รอยยิ้ม
น้ำหวานนั่งหน้ามุ่ยตลอดทางหลังจากที่นั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น เหมือนเขาต้องการที่จะปั่นหัวเธอเล่นอย่างนั้นหรือ แต่มันก็ดูจะลงทุนมากไปเสียหน่อย...จะให้เชื่อก็ดูเหมือนเด็กหลอกง่าย เพราะเขาและเธอเจอกันได้ไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างเขารู้สึกยังไงกับเธอก็ไม่รู้“ไปเรียนต้องมีกฎ”“หนูไม่ทำตามได้อยู่แล้วนี่ คุณอาเป็นคนส่งเรียน”“ก็ดี...ข้อแรก ฉันไปรับไปส่งทุกวัน”“ฮะ? ...แต่...”“ข้อสอง ไม่ว่าเธอจะไปทำอะไรที่ไหนต้องขออนุญาตฉัน”“...เจ้ากี้เจ้าการชะมัด.....”“ข้อสาม คำพูดของฉันถือเป็นที่สุด”“เผด็จการชัดๆ!”น้ำหวานกอดอกหันไปว่าคนที่นั่งข้างๆ แต่ดูเหมือเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของเธอเลย ไม่หนำซ้ำยังยกยิ้มอย่างสะใจเสียอีก การที่จะจัดการเด็กดื้อชอบหนีต้องทำแบบนี้แหละธาวินที่นั่งข้างๆ คนขับลอบมองแฟรงค์ผ่านกระจกหน้ารถก่อนจะยกยิ้มพลางคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เจ้านายข
ขบวนรถหรูสีดำแล่นเข้าสู่มหาวิทยาลัยNNA ก่อนจะไปจอดหน้าตึกคณะบดีของมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในเสื้อเชิ้ตสีดำเปิดแผงอกแกร่งให้เห็นเล็กน้อยเดินลงมาจากรถ พร้อมกับชายใส่สูทหน้าตาขึงขังที่เดินตามลงมาจากรถหรูคันอื่นๆ ก็รีบกรูเข้ามาหาชายในเสื้อเชิ้ตนั้นอย่างเคารพทุกสายตาจับจ้องไปที่แฟรงค์และธาวินที่ยืนตีคู่กันอยู่ข้างรถ สาวน้อยสาวใหญ่ในมหาวิทยาลัยต่างกรี๊ดกร๊าดกันเป็นแถวกับความหล่อแพ็คคู่และดูมีฐานะของพวกเขา ก่อนเสียงกรี๊ดนั้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบเมื่อน้ำหวานเดินลงมาจากรถด้วยทีท่าเก้ๆ กังๆ“ไปกันเถอะ”“อะ...เอ่อ...”“หืม? เป็นอะไรไป?”แฟรงค์หันกลับมามองน้ำหวานที่ก้มหน้าหงุด เธอเป็นเพียงหญิงสาวจากร้านขายกาแฟโบราณธรรมดาๆ ไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่ เพราะเธอไม่เคยทำตัวโดดเด่น ถึงจะมีรุ่นพี่มาทาบทามเป็นดาวคณะแต่เธอก็ไม่เคยสนใจเลย ด้วยใบหน้าที่สะสวยเหมือนช้างเผือกในตลาดสลัมจะมีคนเข้ามาจีบบ้างก็ไม่แปลก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยเปิดตัวโอ่อ่าเวอร์วังแบบนี้มาก่อน เลยไม่ชินกับสายตาคนร
“อยากได้มันหรือยัง? หืม?”เสียงกระซิบแหบพร่าข้างใบหูเล็กอย่างจงใจ น้ำหวานยังคงส่ายหน้าทั้งที่ตอนนี้ร่างกายร้อนจนแทบจะระเบิดออกมา สติอันน้อยนิดของเธอบอกว่าต้องไม่ใช่ที่นี่ แต่ร่างกายกับไม่ฟังดูต้องการเขาเสียเหลือเกินแฟรงค์ยกยิ้มเมื่อเห็นว่าความคิดกับหัวใจของน้ำหวานดูไม่ตรงกันเสียเท่าไหร่ การตอบสนองจากร่างกายของเธอมันแสดงออกอย่างชัดเจน ใบหน้าสวยที่แดงเรื่อไปถึงใบหูพร้อมกับลมหายใจที่หอบกระเส่า ทำให้แฟรงค์มองว่าเธอดูน่ารักน่าเอ็นดูจนแทบจะอดใจไม่ไหว“ฉันให้โอกาสเธอตอบออีกครั้ง”“อะ...อื้อ...แต่..ที่นี่มันห้องทำงาน...อ๊ะ”“ฉันไม่สน...ตอนนี้ฉันสนแค่เธอ”“ตะ...แต่....”“ว่ายังไง? คำตอบน่ะ..”แฟรงค์พูดไปทั้งที่ยังคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอขาวและเนียนอกอิ่ม อยากจะใส่ชุดมายั่วยวนเขาก็ต้องเจอดีกันหน่อย น้ำหวานก็ยังคงไม่ตอบและได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น และแฟรงค์ไม่ใช่คนใจเย็นเขาจึงยกตัวเธอลงให้มานั่งกึ่งหลางระหว่างขาของเขาก่อนที่เขา