รุ่ยอ๋องทำความเคารพก่อน “ฝ่าบาท”สายตาของเซียวอวี้ข้ามผ่านรุ่ยอ๋องไป จับจ้องไปที่ตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนเขาใช้น้ำเสียงออกคำสั่งพูดกับนางทันที“เจ้า กลับไป เสด็จย่าไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน”เหลียนซวงหน้าชื่นอกตรมพระนางเป็นถึงภรรยาที่ถูกต้องของฮ่องเต้ หลานสะใภ้ของไทฮองไทเฮา ไยอยู่ในคำพูดของฮ่องเต้ทรราชย์ก็กลายเป็นคนนอกไปแล้ว?เฟิ่งจิ่วเหยียนทำความเคารพด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“เพคะ”นางก็ไม่อยากมาตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้วเมื่อเขาบอกว่าไม่ต้อง นางก็สบายอารมณ์......ณ ตำหนักวั่นโซ่วไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตำแหน่งหลัก ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องนั่งอยู่สองข้างนางกวาดสายตาดุดันไปด้านหน้า“โมงยามนี้แล้ว เหตุใดฮองเฮายังไม่มาน้อมทักทายข้า?”เซียวอวี้ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง“ฮองเฮาปากพล่อย มีแต่จะทำให้เสด็จย่าอารมณ์เสียเปล่า ๆ“เราให้นางกลับไปแล้ว”ไทฮองไทเฮาไม่ได้ซักถามต่อชั่วครู่ทว่าหลังจากที่ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องจากไปแล้ว นางให้โจวหมัวมัวไปสืบถามผ่านไปครู่เดียว โจวหมัวมัวกลับมาแล้ว“บ่าวไปสืบถามมาแล้ว ที่แท้เมื่อวานฮองเฮาไม่สบาย มีอาการหมดสติในเวลากลางคืน“คิดดูแล้ว ฮ่องเต้คงจะเอ็นดูฮ
วันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสว่าง กุ้ยเฟยก็ตื่นบรรทมแล้วในตำหนักไร้ซึ่งร่างเงาของฮ่องเต้ สายตาของนางพลันปรากฎความเศร้าสร้อยชุนเหอแขวนม่านมุ้งขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“ยินดีกับพระนางที่ฮ่องเต้ไม่ตัดขาดความโปรดปราน“เช้าวันนี้ก่อนฮ่องเต้เสด็จออกไปได้ทรงรับสั่งให้บ่าว ปรุงแกงไก่ใส่โสมบำรุงร่างกายให้ท่าน พระนาง บ่าวบังอาจกล่าวถาม เมื่อคืนท่าน...ได้ปรนนิบัติแล้วงั้นหรือ?”ฮ่องเต้โปรดปรานพระนางเป็นเรื่องที่ดี ทว่าแผลสาหัสของพระนางยังไม่หายดี ไม่ควรที่จะปรนนิบัติชุนเหอกังวลใจอย่างเลี่ยงไม่ได้กุ้ยเฟยไม่ได้ตอบกลับ “น้ำ”ตอนที่ชำระร่างกาย ชุนเหอกล่าวว่า“ไทฮองไทเฮากลับวังมาไม่ถึงสองวัน ก็จะไปภูเขาอวี้หยางอีกแล้ว พระนาง ท่านจะไปส่งเสด็จหรือไม่เพคะ?”กุ้ยเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น แววตาเปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง“ส่งเสด็จ? ไปส่งศพเสียมากกว่า!“เดิมทีคิดว่านางจะสามารถลงมือจัดการเฟิ่งจิ่วเหยียน แต่นางกลับส่งเสริมให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาร่วมเรือนหอ นางอายุมากจนเลอะเลือน อายุขนาดนี้แล้ว ยังจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน!” ชุนเหอมองไปด้านนอกตำหนักด้วยความระแวดระวัง เกรงว่าคำพูดเมื่อครู่จะถูกใครได้ยิน
ประตูตำหนักป้องกันเข้มงวดกวดขัน ฮูหยินเฟิ่งขอเข้าพบฮองเฮา รอมาหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงสามารถย่างก้าวเข้าสู่ประตูวังได้หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังเรื่องของพี่ใหญ่แล้ว ท่าทีนิ่งเฉย“ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง”เรื่องของเฟิ่งเหยียนเฉิน นางก็กำลังสืบสอบเช่นกันทว่า ไม่ว่าในอดีตจะเป็นเยี่ยงไร ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเฟิ่ง เขาไม่สามารถหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ไปได้ตลอดฮูหยินเฟิ่งคิดว่านางไม่สนใจใยดี“นั่นเป็นพี่ชายของเจ้านะ หากตัดอนาคตของเขาจริง ๆ ในภายภาคหน้าตระกูลเฟิ่งจะเป็นเช่นไร? อย่ามาอ้างว่าพวกเจ้าไม่ได้เติบโตสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เจ้าจึง...”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองนัยน์ตาของมารดา กล่าวขัดคำพูดอย่างเคร่งขรึม“ล้มลงอยู่ที่ใด ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาที่นั่น“เหตุใดเขาจึงถูกผู้อื่นควบคุม เป็นเพราะเขาพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงเจ้านครฝ่ายซ้ายอำนาจน้อยนิด สูญเสียปณิธาน เขาทำลายอนาคตด้วยตัวเขาเอง“เวยเฉียงเกิดเหตุร้าย ในฐานะที่เขาเป็นพี่คนโตยังปกป้องนางไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องอนาคต เรื่องที่สามารถรับหน้าที่สำคัญของวงศ์ตระกูลได้อีก!”ฮูหยิน
ภายในตำหนักหย่งเหอ เซียวอวี้สีหน้าเคร่งขรึมประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเย็นยะเยือก ถามเฟิ่งจิ่วเหยียนเชิงตำหนิ“หากไม่ใช่ว่าเราบังเอิญเจอวันนี้ ก็ไม่ทราบว่าเจ้าแอบดื่มยานี้ด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเรียบนิ่ง กล่าวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน“ยานี้ท่านแม่ของหม่อมฉันส่งมาให้ นางไม่ทราบเรื่องเบื้องลึกการร่วมเรือนหอ หม่อมฉันกำลังจะสั่งให้เหลียนซวงไปจัดการเสียเพคะ” นางปฏิเสธรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้คนสังเกตร่องรอยการกล่าวโป้ปดไม่ได้แม้แต่น้อยเซียวอวี้มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แววตาเย็นยะเยือก“ทางที่ดีเจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่น”จากนั้น เขาทรงรับสั่งตามหน้าที่“ราชทูตรัฐเหลียงจวนจะเสด็จมาเยี่ยมเยือน จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับ“ก่อนหน้านั้นกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการ ทว่าเพลานี้นางบาดเจ็บสาหัส เราจึงส่งมอบต่อให้เจ้า“จำไว้ด้วย เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับสัมพันธภาพระหว่างสองแคว้น อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ได้ทั้งสิ้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยคนของรัฐเหลียงหน้าไหว้หลังหลอก วาจากลับกลอกการเสด็จมาเยือนแคว้นหนานฉีของราชทูตรัฐเหลียงครั้งนี้ จะต้องมีการต่อสู้แก่งแย่งชิงกันอีกเป็นแน่ทว่า เหล
ณ จวนตระกูลเฟิ่งฮูหยินเฟิ่งมองบุตรชายที่กลับมาด้วยอาภรณ์สภาพดูไม่ได้ เจ็บปวดใจเหลือคณา“เหยียนเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ใยดีความห่วงใยของมารดา มุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปที่ลานด้านในตลอดทาง สายตาของเขาว่างเปล่าเคว้งคว้าง ข้างหูล้วนเป็นเสียงการรบราฆ่าฟัน และซากศพที่ตายตาไม่หลับมากมายในปีนั้น เป็นเพราะเขาเป็นผู้ไร้ประโยชน์เช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนผิดหวัง“พี่ใหญ่!” เฟิ่งหมิงเซวียนที่เป็นน้องชายขวางทางเขา พินิจพิเคราะห์เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาเผยความยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความทุกข์อย่างซ่อนไม่อยู่“เป็นอะไรเช่นนี้พี่ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้น้อยเยี่ยงพี่ เหตุใดแม้กระทั่งอาภรณ์ยังรักษาไว้ไม่ได้กันล่ะ?”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ได้สนใจเฟิ่งหมิงเซวียนหยิบหนังสือแต่งตั้งออกมาหนึ่งใบ โอ้อวดอย่างออกนอกหน้า ยิ้มจนเนื้อปิดตาทั้งสองข้างมิด“เห็นหรือไม่ ข้าเป็นทูตส่งสาสน์แล้ว! ระดับแปดเชียวนะ สู้กว่าเจ้านครฝ่ายซ้ายของพี่ตั้งหนึ่งขั้น!”“ยินดีด้วย” เฟิ่งเหยียนเฉินเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฟิ่งหมิงเซวียนถ่มน้ำลายไปทางร่างเงาของเขา“ถุย! เจ้าคนไร้ประโยชน์!”เป็นถึงจอหงวนฝ่ายบู๊ กลับทำต
ครั้งแรกของทุกสิบวันที่พิษกำเริบก็มาเยือนเช่นนี้ทว่าฝั่งซ่งหลี่นั้นยังไม่มีข่าวคราวเลยเฟิ่งจิ่วเหยียนรวบรวมพลังภายในเพื่อระงับพิษกำเริบอย่างเงียบเชียบ ทว่านี้ทำได้เพียงทุเลาลงเท่านั้น ไม่สามารถระงับได้ทั้งหมดดูแล้ว นางจำเป็นต้องไปขอยาถอนพิษจากเซียวอวี้ย่างเข้ายามค่ำคืนเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนโฉมหน้า รุดหน้าไปที่ตำหนักฉางซิ่นเพื่อขอยาครั้งนี้ นางระมัดระวังตัวมากกว่าเดิมในตำหนักฉางซิ่นไร้ผู้คนซุ่มโจมตีในตำหนักมีเพียงองครักษ์เฉินจี๋ผู้เดียว“ฮ่องเต้รับสั่ง ใช้พิษนี้ก็สามารถควบคุมเจ้าได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจับกุมเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องระแวดระวังตัวเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ปักใจเชื่อฮ่องเต้ทรราชย์นั้นพูดจากลับกลอกหลายคราแล้วนางได้ยาแล้ว รุดหน้าหลบหนีไปก่อนเฉินจี๋ไม่ได้ไล่ตามนางไป มุ่งหน้ากลับตำหนักจื้อเฉินเพื่อไปรายงานเซียวอวี้นั่งอยู่ริมโต๊ะยาว ข้าง ๆ มือได้วางแส้เก้าท่อนของนักฆ่าผู้นั้นไว้เฉินจี๋ฉงนอยู่ในใจ ผ่านไปนมนานแล้ว เหตุใดฮ่องเต้ยังเก็บไว้อีก?“ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องจับกุมนักฆ่าผู้นั้นจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”เซียวอวี้สีหน้าเย็นยะเยือก“จับไว้
กุ้ยเฟยฉลองพระองค์สีชาดที่เป็นสีของภรรยาหลวงสวมใส่ได้เท่านั้น ความมุ่งมาดปรารถนาเด่นเห็นได้ชัดนางงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผนวกกับการแต่งแต้มของเครื่องประทินโฉม สะกดทุกสายตาของเหล่าฝูงชน บดบังรัศมีนางสนมทั้งหมด ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใดไม่คิดว่า เมื่อฮองเฮาปรากฏกาย สายตาที่จับจ้องนางมลายสิ้นแล้วนางผินสายตามองตามฝูงชนไป ดวงตาเบิกกว้างทันที...เฟิ่งจิ่วเหยียนฉลองพระองค์อาภรณ์พิธีการสีเหลือง สวมมงกุฎราชินี งดงามสง่า ดูดีมีชาติตระกูลหากกล่าวว่ากุ้ยเฟยงดงามเย้ายวนใจ ฮองเฮาสง่างามยากจะหาสิ่งใดเปรียบได้กุ้ยเฟยคือบุปผาท่ามกลางชลาศัย ความงามที่เย้ายวนใจทำให้คนปรารถนานำมาเชยชมฮองเฮาคือจันทราบนท้องนภา ทำให้คนใฝ่หาทว่าเอื้อมไม่ถึง รู้อยู่แก่ใจว่าไม่คู่ควร และมิกล้าคิดสกปรกโสมม ทำได้เพียง“เคารพบูชา”นางอย่างระมัดระวัง นี่เป็นความงามชนิดหนึ่งที่ทำให้คนยอมสวามิภักดิ์ไทเฮานั่งอยู่ที่ตำแหน่ง มองไปที่ฮองเฮา อดไม่ได้ที่เหม่อลอยมังกรคู่หงส์ ดุจคู่สร้างคู่สมฮองเฮาอยู่ในลักษณะที่ควรจะเป็นสตรีตระกูลเฟิ่งชื่อเสียงสมคำร่ำลือรังสีที่ทำให้คนสวามิภักดิ์เช่นนั้น แผ่ซ่านออกจากเนื้อใน สวยงามอ่อน
“ฮองเฮา!” ราชทูตรัฐเหลียงทุกคนกล่าวพร้อมกันเฟิ่งจิ่วเหยียนสุขุมอย่างมาก เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข่าวลือเหล่านี้ ข้ามิเคยหลงเชื่อ”เหล่าราชทูตมองหน้ากันไปมา รู้สึกอึดอัดใจทันทีนางพูดสุภาพเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถชักสีหน้าได้!เกรงว่าฮองเฮาแคว้นหนานฉีผู้นี้จะพูด “ข่าวลือ” ไปมากกว่านี้หูเอ่อร์ต๋ากัดฟันกรอด“ถูกต้องแล้ว ล้วนเป็นข่าวลือ!“ข้าไม่มีกลิ่นกายแม้แต่น้อย!”ส่วนพวกอัครเสนาบดีจะเป็นเยี่ยงไรนั้น เขาขอไม่แสดงความคิดเห็นผ่านการตื่นตระหนกครั้งนี้ เหล่าราชทูตไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงเรื่องที่ฮองเฮาถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปอีกเหล่าเสนาบดีแคว้นหนานฉีกลับต่างออกไปพวกเขาอยากได้ยินสิ่งที่ฮองเฮาพูดต่อไปที่พูดไปเมื่อครู่ยังไม่สาแก่ใจ!กุ้ยเฟยยังคงกัดฟันกรอดหูเอ่อร์ต๋ามิพูดอันใดแล้วงั้นรึ?เพียงข่าวลือไม่กี่เรื่อง ก็ทำให้พวกเขาสะอึกจนพูดไม่ออกแล้วหรือ?ความจริงแล้ว สิ่งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมดเป็นเพียง“ข่าวลือ”เท่านั้น สิ่งที่นางทราบยังมีอีกมากมาย เกรงว่านางกล้าพูด พวกเขาก็ไม่กล้าฟัง!เซียวอวี้สายตาเรียบนิ่งมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนโดยไม่ตั้งใจส
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร
เคร้ง!พู่กันในมือเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นลง นางมองอู๋ไป๋ด้วยสีหน้าเย็นชา“พวกเฉินจี๋เล่า!”อู๋ไป๋ส่ายศีรษะ“เฉินจี๋เองก็หายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะส่งข่าวนี้กลับมา! ท่านประมุข พวกเราทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายแต่ก็ไม่ตื่นตระหนก หลังจากสงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็วก็สั่งอู๋ไป๋“สั่งการลงไปให้ทุกจวนในแคว้นซีหนี่ว์ตามหาพระสวามี“พร้อมทั้งส่งองครักษ์ลับทุกคนออกไป รวมถึงกองทัพอินทรีเหิน“ให้พวกเขาตามหาฝ่าบาทตามแนวชายแดน!”อู๋ไป๋รีบไปจัดการตามคำสั่งหากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!หลังจากอู๋ไป๋ออกไป เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าฝ่ามือของตนเต็มไปด้วยเหงื่อฎีกาบนโต๊ะนางก็ดูไม่รู้เรื่องแล้วทุกอย่างที่คิด มีแต่เรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของเซียวอวี้เป็นไปได้มากว่าคนที่ลงมือรู้ถึงฐานะของเขาดีเฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม หน้าซีดไร้เลือดไม่นานอู่ไป๋ก็กลับมา“ท่านประมุข จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยังมีองครักษ์ที่มาส่งข่าวผู้นั้น ท่านต้องการพบเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เขาพูดจบแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ยินท่านประมุขตอบอะไรอู่ไ
พรุ่งนี้เซียวอวี้ก็ต้องเดินทางกลับแคว้นหนานฉีแล้ว คืนนี้เขานอนกอดเฟิ่งจิ่วเหยียน ทั้งคืนไม่อาจหลับตาลงได้เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนท้องของนาง สัมผัสกับการเคลื่อนไหวในครรภ์ที่มีอยู่บางเวลาหากเวลาหยุดลงตรงนี้ได้ ก็คงจะดีทว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงเขายังคงเป็นฮ่องเต้แคว้นหนานฉี ไม่อาจเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว ละเลยความปลอดภัยของแคว้นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นอนไม่หลับนางกุมแขนของเขาเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบและอ่อนโยน“อย่างมากสุดหนึ่งเดือน หม่อมฉันก็จะกลับแคว้นหนานฉีเพคะ”เซียวอวี้จุมพิตซอกคอนาง “ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ผิดคำพูด”ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยฝน ยากที่ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งวันที่สอง ในที่สุดเซียวอี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ววันนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ว่าราชการ นางนั่งรถม้าไปส่งเขาออกจากเมืองด้วยตนเองข้างกายเซียวอวี้มีองครักษ์ติดตามมากมาย ส่วนเหล่าองครักษ์เงา เขาล้วนให้อยู่กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ให้พวกเขาคอยปกป้องฮองเฮาและเด็กให้ดีส่งกันพันลี้ ก็ต้องจากกันเซียวอวี้กำชับหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกินข้าวและการนอน
ในใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพลุ่งพล่านด้วยเพลิงอารมณ์อันร้อนแรง นางเม้มริมฝีปาก พูดกับเซียวอวี้“เราเป็นสามีภรรยากัน ข้าย่อมมิอาจทำใจห่างจากท่านได้ “แต่ราชการบ้านเมืองประดุจเพลิงโหมกระหน่ำ จะให้ข้ามีจิตห่วงใยแต่เรื่องรักใคร่ได้อย่างไร? “ฝ่าบาท ท่านก็เช่นกัน อย่าได้พูดสิ่งที่หามีสาระไม่ เร่งจัดการราชกิจให้เป็นกิจจะลักษณะเถิดเพคะ...”นางพลางพูด พลางถอยออกจากอ้อมกอดของเขา บีบคั้นให้เขาจำต้องให้ความสำคัญแก่งานราชกิจก่อนสิ่งอื่นใดเซียวอวี้จ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างอดกลั้น“ได้”พูดจบ เขาก็หมุนตัวออกจากห้องทรงพระอักษร เหมือนกลั้นลมหายใจไว้ มิคาดหวังคำปลอบประโลมจากนางอีกต่อไปด้านนอกตำหนัก เซียวอวี้ยืนท่ามกลางลมห้วงราตรี สัมผัสได้ถึงไอสังหารเยือกเย็นของแคว้นซีหนี่ว์สายตาของเขาทอดมองไกลลิบ สั่งเฉินจี๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย“เตรียมรถม้า พรุ่งนี้กลับแคว้นหนานฉี”สีหน้าเฉินจี๋ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ แต่ในใจกลับแอบลิงโลด ในที่สุดก็ได้ออกจากแคว้นซีหนี่ว์แล้วเฉินจี๋ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “จะให้จัดหมอตำแยติดตามไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เผื่อฮองเฮาประสูติกลางทา
เฟิ่งจิ่วเหยียนจำลายมือในกระดาษนั้นได้แน่ชัด ว่าเป็นลายมือของเลี่ยอู๋ซิน เลี่ยอู๋ซินเป็นสหายสนิทของเมิ่งสิงโจวศิษย์พี่ของนาง ก่อนหน้านี้เพื่อสืบหาความจริงคดีมนุษย์โอสถ นางเคยติดต่อกับเลี่ยอู๋ซิน ได้ข่าวว่าหลังจากความจริงกระจ่าง เลี่ยอู๋ซินก้ไปยังแคว้นตงซาน ไล่ล่าซุนโฉวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมนุษย์โอสถที่หลงเหลือ ครั้งนี้เขาส่งข่าวสารมาโดยมิได้ปรากฏตัว ดูท่าออกจะลึกลับพิกลอยู่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “หากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวผิดแผก ไยไม่เขียนบอกให้ชัดเจนโดยตรง?”นางก้มมองข้อความ เซียวอวี้ผู้ยืนอยู่ข้างตัวนางคาดคะเน “เลี่ยอู๋ซินอาจไม่สะดวกปรากฏตน หรือผู้ที่ส่งข่าวครั้งนี้ มิใช่เขาเองก็เป็นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนโน้มเอียงไปทางข้อสันนิษฐานประการหลังมากกว่า อาจเป็นเลี่ยอู๋ซินมอบหมายให้คนนำข้อความมา หากมิใช่เช่นนั้น คงไม่จำต้องปิดบังอำพรางถึงเพียงนี้“แคว้นตงซาน…” เฟิ่งจิ่วเหยียนพึมพำในลำคอ ครานั้นแต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉี ก็เพราะแคว้นตงซานเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่าความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่ธรรมดา ยามนี้แคว้นตงซานเคลื่อนไหวผิดแผก เกรงว่า
หร่วนฝูอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกสีหน้ากลับมาเป็นปกติ มองรุ่ยอ๋องด้วยแววตาเจือเย้าแหย่ “มิใช่เป็นการแสร้งเล่นละคร หรือว่าเจ้ารักข้าแล้วจริง ๆ ?”เดิมคิดว่าเขาจะปฏิเสธกลับได้ยิน เขาพูดด้วยความแน่วแน่ “ใช่”หร่วนฝูอวี้ : ...นางอึ้งไปชั่วขณะ “‘ใช่’ อะไร?”สายตารุ่ยอ๋องฉายแววร้อนผ่าว ใบหูแดงระเรื่อ “ข้ามิใช่คนที่เอาแต่ใจง่าย ๆ ในเมื่อเราสองคนได้มีสัมพันธ์ฉันสามีภริยาแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าทั้งกายและใจล้วนได้มอบให้เจ้าหมด”หร่วนฝูอวี้ถึงกับกระโจนถอยหลังอย่างตกใจ ออกห่างจากเขาทันที มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า เจ้า เจ้า...เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!?”รุ่ยอ๋องก้าวมาข้างหน้า จับบ่าของนางไว้ “ข้าพูดจริงจัง! “เจ้ากับข้าเตรียมมีลูกด้วยกันแล้ว แน่นอนว่าควรตกลงใจจะอยู่ร่วมกันชั่วชีวิต”แทนที่จะเก็บไว้ในใจ สู้พูดออกมาตรง ๆ โดยเฉพาะนางจะเดินทางกลับหนานเจียง กลัวนางไปแล้วไม่หวนกลับมาอีกหร่วนฝูอวี้หัวเราะเย้ยในลำคอ นางผลักเขาออก สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“พอเถิด อะไรคือชั่วชีวิตนิรันดร์ เจ้าเพียงหลับนอนกับข้าครั้งเดียว พอรู้รสสตรีก็คิดจักยึดข้าไว้เป็นของ
มิอาจตั้งครรภ์ได้ หร่วนฝูอวี้โยนความผิดทั้งหมดไปยังรุ่ยอ๋อง นางเชื่อมั่นว่า ร่างกายของตนเองไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน นางจึงบีบคั้นให้รุ่ยอ๋องไปพบหมอ รุ่ยอ๋องขมวดคิ้วแน่น “ร่างกายของข้าหาได้มีปัญหาใด จะไปพบหมอทำไม?”ในขณะที่พูด ดวงตาอันอ่อนโยนของเขาก็พลันฉายแววเคืองขุ่นเล็กน้อย หร่วนฝูอวี้ไม่เคยรู้จักใช้ถ้อยวาจาอ้อมค้อมอยู่แล้ว สายตาของนางชำเลืองมอง “คนธรรมดาสามารถตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่คราแรก เห็นที ต้องเป็นบุรุษแท้จริงจึงจักสำเร็จได้”นางพร่ำบ่นอยู่ในลำคอ รุ่ยอ๋องถึงกับเดือดดาล เรื่องเช่นนี้จักตัดสินจากเพียงหนึ่งหรือสองคราได้อย่างไร? นางช่างแก้ตัวอย่างไร้เหตุผลนัก “ข้ายังมิได้ถามเจ้า เจ้าผ่านชายมากี่คน? ไยจึงรู้ว่าข้าไร้ความสามารถ? ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็อภิเษกกันตั้งนานค่อย…”หร่วนฝูอวี้ก้าวมาถึงตรงหน้าเขาทันที กระชากคอเสื้อของเขาไว้ “ได้ เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง”นางกระหวัดแขนหมายจะยกคนขึ้นมาอย่างเคยชิน ทว่าครานี้รุ่ยอ๋องไหวตัวทัน ถอยหลังหนึ่งก้าว “ตอนนี้ข้ามิได้มีอารมณ์”หร่วนฝูอวี้เลิกคิ้ว “ไร้อารมณ์รึ? ง่ายมาก ข้ามียาหลายขนาน”รุ่ยอ๋องสบสายตา
ณ จวนแม่ทัพ เหล่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองยังคงรอหูย่วนเอ๋อร์อยู่เมื่อเห็นนางกลับมาจากวังหลวง ทุกคนก็สอบถามด้วยความกังวล“ท่านแม่ทัพหู ประมุขแคว้นทรงว่าอย่างไร?”หูย่วนเอ๋อร์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก“เรื่องของเป่ยเยี่ยน ประมุขแคว้นมิได้เอ่ยอย่างชัดเจน”คนอื่น ๆ พากันถอนหายใจ“นี่เป็นเวลาใดแล้ว ประมุขแคว้นยังระแวดระวังพวกเราอยู่อีกหรือ?”“แม้แต่ท่านแม่ทัพหูก็ยังถามไม่ได้ความอะไร ดูเหมือนว่าประมุขแคว้นจะถือว่าพวกเราเป็นคนนอกจริง ๆ”พวกนางเห็นหูย่วนเอ๋อร์สีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา ก็เข้าใจว่านางเหมือนกับพวกนาง ที่ไม่เข้าใจการกระทำของประมุขแคว้นทว่า หูย่วนเอ๋อร์ได้เอ่ยอีกประโยคต่อ“ประมุขแคว้นต้องการสละราชบัลลังก์ให้กับผู้ที่มีคุณธรรมความสามารถแล้วเมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา เหล่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปแตกต่างกันหลังจากนิ่งเงียบอย่างประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนเริ่มเอ่ยขึ้นมา“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อประมุขแคว้นทรงไม่ประสงค์จะอยู่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป ก็ไม่สู้สละราชบัลลังก์”“ทว่าตอนนี้กองทัพเยี่ยนยังอยู่ พวกเราต้องพึ่งพาหนานฉี”ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันยังไม่ได้ข้อตกลง สายตาก็หั
เฉินจี๋เบิกตาโตทันที จ้องมองที่อู๋ไป๋“ลังเลอะไร?”อู๋ไป๋เอ่ยออกมาจากใจจริง“ประมุขแคว้นทรงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความชอบธรรมอย่างยิ่ง เรื่องที่เคยรับปากกับประมุขแคว้นองค์ก่อน ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องทำให้ได้“ส่วนตอนนี้ก็ได้ครอบครองอำนาจของกษัตริย์อีก...เฮ่อ ไม่ใช่ว่านางจะถูกล่อลวงด้วยอำนาจ ที่จริงคือการแบกรับภาระของอาณาประชาราษฎร์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว และยิ่งปล่อยวางไม่ได้“นี่เป็นความร้ายกาจของหญิงชราอย่างโอวหยางเหลียนผู้นั้น ก่อนตายนางให้ประมุขแคว้นไปเยี่ยมราษฎรของแคว้น ก็เพื่อให้ประมุขแคว้นทรงซึมซับเป็นส่วนหนึ่งกับแคว้นซีหนี่ว์อย่างแท้จริง”เฉินจี๋ขมวดคิ้วแน่น“ในเมื่อมีเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรก!”อู๋ไป๋ยกไหล่ขึ้น“บอกไปจะมีประโยชน์อันใด? เจ้าขัดขวางไม่ให้ประมุขแคว้นเสด็จไปตรวจดูสถานการณ์ภัยพิบัติได้หรือ?“อีกอย่าง เจ้าคิดว่าประมุขแคว้นทรงไม่รู้แจ้งด้วยพระองค์เองหรือ?“ทว่าความจริงคือ สถานการณ์ภัยพิบัติในแคว้นซีหนี่ว์รุนแรง และประมุขแคว้นก็ทรงทราบถึงเจตนาของโอวหยางเหลียนเป็นอย่างดี แต่ยังคงแน่วแน่ที่จะไปที่นั่น”เฉินจี๋เห็นเขาเข้าใจประมุขแคว้นเช่นนี้ จึงร