รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย
หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี
“เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!”
เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง
ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
“มีเมียทั้งหมดสี่ร้อยยี่สิบเก้าคน!” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินอุทานออกมาอย่างลืมตัว หลังจากที่เธอต้องเอาเวลาพักของตัวเองมาทนอ่านนิยายของผู้เป็นน้องชายเกือบสองวัน ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้อ่านมาจนถึงบทสุดท้ายของเรื่องแล้ว “ที่ไม่มีลูก ไม่ใช่เพราะฝีมือของตัวร้าย แต่เป็นเพราะพระเอกส่งคนไปผสมยาห้ามครรภ์ในอาหารและน้ำดื่มของสตรีทุกคนทันที หลังจากที่เจ้าตัวไปมีอะไรด้วยเนี่ยนะ เหอะ!” ยิ่งอ่าน เธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แต่ใบหม่อนก็ยังคงพยายามฝืนล้มตัวลงไปนอนอ่านนิยายต่อ...จนมาถึงบรรทัดสุดท้าย “พระเอกระเบิดตัวเองตาย อาหวงนิยายอะไรของแกเนี่ย!” ใบหม่อนรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ หลังจากอ่านคำว่า ‘จบ’ ที่โชว์หลาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ จากนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นมานั่ง แล้วไถหน้าจอลงไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านคนอื่น ๆ โดยทุกข้อความแสดงออกให้รู้ว่านักอ่านคนอื่น ๆ ก็รู้สึก และมีความคิดเห็นไม่ต่างไปจากเธอเลย ซึ่งบางคนก็ดูเหมือนว่าจะมีอาการหนักกว่าเธอด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายเสียเงินซื้อตอนติดเหรียญ เพื่อเข้าไปอ่านฉากเซอร์วิสระหว่างพระเอกกับเหล่าบรรดาเมีย ๆ ของเจ้าต
กริ๊ง...กริ๊ง... ใบหม่อนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะกล่าว “อาหวง เอาเป็นว่า แกก็ลองไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านในบทสุดท้ายดูแล้วกันนะ เพราะพี่เองก็คิดเห็นไม่ต่างไปจากนักอ่านส่วนใหญ่ของแกเลย แค่นี้ก่อนนะ ถึงเวลาที่พี่ต้องเข้าไปตรวจดูอาการของคนไข้แล้วน่ะ” (ได้ แต่พี่หม่อน...ถ้าว่างพี่ก็เข้ามาหาแม่บ้างนะ) “อืม” (อย่างนั้นผมไม่กวนละ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่) หลังจากวางสาย ใบหม่อนก็เลื่อนปิดหน้าอ่านนิยายที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วนำโทรศัพท์มือถือไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบสมุดกับปากกา จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง เพื่อไปตรวจดูอาการของคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติมาเกือบสามเดือนแล้ว ซึ่งเธอได้รับหน้าที่มาเป็นพยาบาลพิเศษให้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากคนไข้ที่เธอต้องเข้ามาดูแลก็คือ หลานชายคนโตของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียง โดยท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง แล้วยังเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารไทยแช่แข็ง ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นของคุณยายใบบัว ยายแท้ ๆ ของใบหม่อน แล้วที่สำคัญท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงยังเป็นเ
“ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย?” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินเอ่ยขึ้น เพราะเธอยังตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ทัน (โฮสต์ไม่จำเป็นต้องพูดโต้ตอบกับทางระบบค่ะ เพราะทางที่ดีพวกเราควรสื่อสารกันทางจิตน่าจะสะดวกกับทางโฮสต์มากกว่าค่ะ) “เดี๋ยวก่อนนะคะ ฉันขอตั้งสติสักครู่ค่ะ” เมิ่งเจียวซินยังคงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยการพูด ก่อนจะหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติแล้วลืมตากลับขึ้นมามองมือ แขน และชุดที่เธอกำลังสวมใส่ จากนั้นเธอจึงมองไปยังบริเวณโดยรอบพร้อมกับคิดในใจ ‘อย่าบอกนะว่า...ตอนนี้ฉันทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แล้วถ้าหากเป็นเรื่องจริงในนิยายส่วนใหญ่คนที่ทะลุมิติเข้าไปในนั้น ก็มักจะทะลุเข้าไปในนิยายเรื่องที่เพิ่งจะอ่านจบ หรือกำลังอ่านอยู่ก่อนตาย...’ (โฮสต์ใจเย็นก่อนนะคะ ตอนนี้อีกร่างหนึ่งของโฮสต์ยังไม่ตายค่ะ แต่ที่โฮสต์คิดเกี่ยวกับเรื่องของนิยายนั้นถูกต้องแล้วนะคะ เนื่องจากทางเราได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใจของนักอ่าน ที่ได้เข้าไปอ่านนิยายของน้องชายโฮสต์ ซึ่งตอนนี้ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และหนึ่งในความเจ็บปวดใจนั้นก็คือตัวโฮสต์เอง ดังนั้นในฐานะที่โฮสต์เป็นพี่สาวของคนเขียนนิยายเรื่องนี้
เมิ่งเจียวซินรีบสลัดสิ่งที่คิดออกจากสมอง แล้วลองตอบกลับอีกฝ่ายทางจิต ‘ได้ค่ะ’ (เงื่อนไขอย่างแรก เป็นสิ่งที่โฮสต์จะต้องรับรู้ คือ เวลาในโลกใบนี้หากเทียบกับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์จะแตกต่างกันอยู่สามสิบวันค่ะ หมายถึง เวลาที่โฮสต์ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สามสิบวันจะเทียบเท่ากับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น เงื่อนไขอย่างที่สอง คือ เรื่องที่ทางเราเปิดระบบพิเศษให้กับโฮสต์ภายใต้ชื่อที่ว่า ‘รับรู้แล้วแก้ไขไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วยชีวิตจริง’ ความหมายก็ตรงตามนั้นเลยว่า ชีวิตในโลกใบนี้เปรียบประดุจดังชีวิตจริงของโฮสต์ เพราะในโลกใบนี้โฮสต์ทั้งบาดเจ็บได้ เจ็บป่วยได้ ตายจริง และมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ซึ่งถ้าหากโฮสต์เสียชีวิตลงในโลกใบนี้ ก่อนจะทำภารกิจที่ทางระบบมอบให้เสร็จ อีกร่างหนึ่งในโลกใบเดิมของโฮสต์ก็จะเสียชีวิตลงไปด้วยทันทีค่ะ ดังนั้นสองปีในโลกใบนี้โฮสต์จะต้องดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี แต่ทางเราก็มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มให้กับโฮสต์ด้วยนะคะ คือ...ตัวละครตัวนี้หากเป็นไปตามบทเดิมจะต้องเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากในช่วงเวลานั้นโฮสต์ทำภารกิจสามในห้าสำเร็จ โฮสต์ก็จะสาม
เมิ่งเจียวซินนั่งทำใจสักพัก ก่อนจะเดินไปเปิดบานหน้าต่างเพื่อสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบเรือน พอเห็นบรรยากาศโดยรอบ ตอนนี้น่าจะเข้าสู่ต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17:00 – 18:59 น.) หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงสิ่งที่คุณยายใบบัวเคยสอนเธอเอาไว้ว่า ‘ให้หาข้อดีในเวลาที่รู้สึกแย่ที่สุด’ ก่อนที่เธอจะหลับตาของตัวเองลง แล้วคิดในใจว่า... ‘ดี! ที่นิยายเรื่องนี้ของอาหวงเป็นแนวจีนโบราณ’ ‘ดี! ที่เราชอบอ่านนิยายแนวนี้อยู่แล้ว’ ‘และโชคดี! ที่ชีวิตในโลกใบเดิมของเรามักจะได้ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับหน่วยแพทย์อาสาอยู่บ่อยครั้ง เพราะมันได้ช่วยฝึกให้เราต้องคอยตั้งรับ ปรับตัว และยังต้องคอยเตรียมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราเวลานี้ เราก็แค่ต้องคอยรับมือ เตรียมทำทุกอย่าง และหาวิธีก้าวผ่านมันไปให้ได้ก็เท่านั้นเอง’ เมื่อคิดได้ดังนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงข้อมูลคร่าว ๆ ของโลกใบนี้ รวมไปถึงข้อมูลเบื้องต้นของพระเอกที่อาหวงได้บรรยายเอาไว้ในช่วงแรกของนิยาย... โลกใบนี้ได้ถูกแบ่งเขตแ
หลี่อวิ้นกุยเกิดมาพร้อมกับการจากไปของผู้เป็นมารดา เขาจึงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในครอบครัว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในยามนั้นแย่ยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ในเรือนหลังนั้นเสียอีก แม้ว่าผู้เป็นตากับยายจะรับตัวเขากลับมาอยู่ที่เรือนหลักของตระกูลแล้ว แต่ก็ได้ส่งตัวเขาให้บ่าวก้นครัวเป็นผู้ดูแล เขาจึงเติบโตมาพร้อมกับความเกลียดชังของคนในครอบครัว แล้วในทุกครั้งที่มีคนในครอบครัวบังเอิญเดินมาเจอกับหลี่อวิ้นกุย ก็มักจะด่าทอเขาด้วยคำพูดที่ว่า เขาคือคนทำให้มารดาของตัวเองต้องตาย! แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านล่วงเลยไปแบบนั้น จนมาถึงวันหนึ่งในขณะที่หลี่อวิ้นกุยวัยเจ็ดหนาวตามคนครัวออกไปช่วยซื้อของในตลาดเหมือนทุกวัน เนื่องจากในช่วงเช้าแม่ครัวทุกคนจะยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารจนไม่มีเวลามาคอยดูแลเขา ซึ่งทุกคนในครัวต่างก็รู้ดีว่าหากทิ้งเด็กชายเอาไว้เพียงลำพัง บุตรของบ่าวในเรือนส่วนอื่น ๆ จะเข้ามาล้อเลียน กลั่นแกล้ง และคอยมารังแกคุณชายน้อยผู้นี้อยู่เสมอ แต่ในวันนั้นหลี่อวิ้นกุยได้พลัดหลงกับแม่ครัวที่ออกมาซื้อของด้วยกัน แล้วเดินไปชนเข้ากับกลุ่มบุตรชายของแม่ค้าในตลาด จึงทำให้เขาถูกเด็กโตกลุ่มนั้นรุมทำร้าย แม้ว่าหล
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเจียวซิน เขาอยากดึงนางเข้ามาโอบกอด แต่ก็ไม่กล้า...จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ซินซิน ข้า...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยาก...” หลี่อวิ้นกุยพูดต่อไม่ออก เพราะถึงแม้เขาจะไร้ซึ่งสติ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกับเมิ่งเจียวซินล้วนเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจทั้งนั้น โชคดีที่เสียงร้องไห้ของนางหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเขาจะแก้ตัวว่า...มันเกิดขึ้นเพราะยา จึงกลายเป็นเรื่องน่าขัน ยามนี้หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหวาดกลัว เขากลัวเมิ่งเจียวซินจะเลิกให้ความรัก เลิกไว้ใจ และเลิกเชื่อใจกัน “ซินซิน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าจะตีข้า จะโกรธ หรือจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่เจ้า...อย่าเลิกรักข้า อย่าเกลียดข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย ยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าน้ำต
“อ๊ะ...!” ในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้บุรุษบนกายรู้สึกตัว หลี่อวิ้นกุยก็ใช้ริมฝีปากโลมเลีย ดูดดึง และขบกัดบริเวณลำคอ จากนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงไปที่เนินอกของนาง ในขณะที่มือข้างที่ว่างก็ขยับกลับเข้ามากอบกุมใต้ทรวงอกของนางอีกครั้ง หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ลงมือบีบเคล้นมันอย่างรุนแรง “ฮึ ฮึก! จะ...เจ็บ!” เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงดูดดึงผิวหนังเปียกชื้นจากเนินอก ยอดอกของนางถูกละเลงลิ้น บดขยี้ และกดอยู่ภายในปากของหลี่อวิ้นกุย โดยทุกครั้งที่ฟันของเจ้าตัวกัดหนุบหนับอยู่ที่ส่วนของยอดอก ร่างกายของนางก็จะแอ่นรับ และสั่นสะท้าน ซึ่งเกิดความรู้สึกหวาดกลัว...นางกลัวว่า จะถูกกัดจนขาด “ฮึก! เจ็บ! กุยกุย...ช่วย...ช่วยหยุดสักที...ข้าเจ็บ!” ยามนี้เมิ่งเจียวซินทั้งรู้สึ
“ซินซิน...” เมิ่งเจียวซินไม่พูดไม่ตอบ แล้วในขณะที่นางกำลังยื่นมือไปหยิบขนมขึ้นมากินต่อ...มือของนางก็ถูกจับเอาไว้ จากนั้นนางก็เห็นหลี่อวิ้นกุยก้มลงมาจุมพิตที่มือข้างนั้น ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหลังมือของนางเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่หยอกเจ้าแล้ว ซินซิน...ป้อนข้าต่อเถิดนะ” บุรุษรูปงาม กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างถึงที่สุด ทำให้คนฟังอย่างนางราวกับกำลังต้องมนต์สะกด... ใบหน้า และใบหูร้อนผ่าว เมิ่งเจียวซินไม่อาจแข็งใจปฏิเสธคำขอนั้นได้เลย นางจึงตอบกลับไปว่า “ปล่อยมือข้าก่อนสิ ข้าจะได้ป้อนเจ้าต่อ” “แต่...ซินซิน การที่เจ้าป้อนขนมข้าในยามนี้ เป็นเจ้าที่เริ่มป้อนข้าด้วยตัวเองก่อน ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับรางวัลที่เจ้ากับข้าตกลงกันเมื่อครู่นะ ซึ่งรางวัลที่
“เฉินชุนเหยา...” เมิ่งเจียวซินพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับมองแผ่นหลังของหลี่อวิ้นกุยที่ค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อครู่ตอนที่โฉมงามนางนั้นเอ่ยนามของเจ้าตัวออกมา เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับนามนี้อยู่ไม่น้อยเลย พอเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงเนื้อหาในนิยายของอาหวง...นางก็จำได้แล้วว่า ‘เฉินชุนเหยา’ เป็นนามพระชายาคนแรกของหลี่อวิ้นกุยในนิยาย แต่เพราะเฉินชุนเหยาเป็นเพียงตัวประกอบฝั่งตัวร้าย อีกฝ่ายจึงถูกกล่าวถึงในนิยายเพียงแค่สองบทเท่านั้น หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีบทบาท หรือถูกกล่าวถึงในนิยายอีกเลย หลี่อวิ้นกุยเดินออกจากศาลา พร้อมกับคิดในใจว่า ยามอยู่กับเมิ่งเจียวซินเขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ แล้วหลังจากนี้เขาคงต้องกำชับคนของตัวเองในอีกหลาย ๆ เรื่องด้วย พอเดินออกมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้า หลี่อวิ้น