บททั้งหมดของ องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน: บทที่ 381 - บทที่ 390

526

บทที่ 381

เมื่อเห็นฉินซูชื่นชมตนเช่นนี้ เซี่ยหลานก็ยิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดีทันที นางมองฉินซูอย่างเสน่หา ถึงแม้จะมิพูด แต่สิ่งที่อยู่ในใจก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเกินบรรยายแล้ว ฉินซูค่อย ๆ โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับจูบเบาที่ริมฝีปากสีชมพูเล็ก ๆ ของนาง ทว่ายังมิทันที่เซี่ยหลานจะตอบสนอง เขาก็ปล่อยมือ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น เซี่ยหลานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฉินซูมองนางอย่างช่วยมิได้ก่อนจะโน้มตัวกระซิบเบา ๆ ข้างหูว่า “ตอนนี้กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังแอบฟังอยู่ข้าง ๆ หากเจ้ามิว่าอะไร ข้าก็จะ…” ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ เซี่ยหลานรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วกระซิบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เช่นนั้นก็ช่างเถิดเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปนอนแล้ว” หลังจากพูดจบ ทันใดนั้นเซี่ยหลานก็เอ่ยเสียงดังว่า “องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเพคะ” หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินออกไป แล้วยังปิดประตูลงอย่างแรง เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินซูอดยิ้มบาง ๆ มิได้ ในสายตาของเขา การกระทำของเซี่ยหลานดูเหมือนจะชัดเจนเกินไปว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วก็มิรู้ด้วยว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนจะคิดเช่นไร เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงพลางมองเ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 382

หนานกงจื่อชินพูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีฉงชูโม่ กระหม่อมย่อมมั่นใจ!” “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปเถอะ อย่าลืมระวังให้มากขึ้น ข้าได้ยินว่า ฉินซูมียอดฝีมือแห่งสำนักหอดูดาวหลวงคอยคุ้มกันอยู่” “ก็แค่ศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้น ความแข็งแกร่งนั้นต่างกับฉงชูโม่มาก กระหม่อมหาได้ใส่ใจไม่!” มู่หรงจื่อเยียนกล่าวว่า “ท่านพี่จื่อชิน ข้าจะไปกับท่าน!” หนานกงจื่อชินขวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านจะไปด้วยเหตุใด?” “แน่นอนว่าช่วยท่านอำพรางตัวน่ะสิ ท่านออกไปคนเดียวย่อมเป็นที่สังเกตของผู้คน”หนานกงจื่อชินกำลังจะปฏิเสธ แต่มู่หรงฟู่กลับกล่าวว่า “จื่อเยียนพูดถูก บัดนี้มีสายตามากมายคอยจับตามองพวกเราอยู่ เจ้าในฐานะศิษย์เอกของหอดารารักษ์ หากเจ้าออกไปคนเดียว ก็เป็นที่สังเกตได้ง่ายจริง ๆ” “แล้วพาจื่อเยียนไปด้วย มันแตกต่างกันตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ?” “ย่อมมิเหมือนกัน จื่อเยียนมิรู้วิชาการต่อสู้ เจ้าพานางไปด้วย คนอื่นก็จะเข้าใจว่าเจ้าพานางออกนอกเมืองไปเที่ยวเล่นเท่านั้น มินึกสงสัยอะไร” หนานกงจื่อชินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ก็ใช่ พ่ะย่ะค่ะ จื่อเยียน ท่านไปเก็บของเถอะ การเดินทางครั้งนี้พวกเราอาจต้องใช้เวลาหลาย
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 383

พูดจบแล้วเขากำลังจะหันหลังเดินไป แต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนดึงกลับมาทันที “บุกไปคนเดียวมิเท่ากับไปตายหรอกหรือ ถ้าจะไปก็ให้ข้าไปเอง!” “มิได้ หากท่านไป แล้วใครจะคุ้มกันความปลอดภัยให้องค์องค์รัชทายาท ข้ามิอาจไว้ใจพวกเขาได้” ได้ยินแล้ว สวี่เซี่ยงเฉียนและคนอื่น ๆ ต่างตะลึงจนพูดมิออก คำพูดของตงฟางไป๋นี้ตรงเกินไปสักหน่อย ในขณะที่กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังลังเล ฉินซูก็หยิบลูกกลม ๆ สองลูกออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วส่งให้ เมื่อเห็นลูกเหล็กสองลูกขนาดเท่ากำปั้นของเด็กแล้วกู้เสวี่ยเจี้ยนตกตะลึงแล้วถามว่า “องค์รัชทายาท นี่คืออะไรหรือเพคะ?” ฉินซูยิ้มพลางตอบว่า “นี่คือของดี เจ้าแค่จุดชนวนแล้วโยนขึ้นไปบนเนินเขา” “สิ่งนี้… ได้ผลหรือเพคะ?” “ลองดูก็จะรู้เอง จุดแล้วรีบโยนออกไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเราจะโดนลูกหลงไปด้วย” เมื่อเห็นฉินซูทำหน้าจริงจัง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็หยิบพับไฟออกมา หลังจากจุดชนวนแล้ว นางก็เหวี่ยงมืออย่างแรง!ลูกทรงกลมสองลูกนั้นถูกโยนขึ้นไปบนเนินเขาทันที ทันใดนั้นมีเสียงประหลาดใจดังขึ้นบนเนินเขา “นี่! พวกมันโยนลูกกลม ๆ นี่ขึ้นมาหาปะไร?!” “ช่างมันสิ ยิงธนูต่อ!” พวกเขากำลังจะยิงธนู
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 384

ชายร่างใหญ่มองไปทางฉินซูอย่างหัวแข็งและเย่อหยิ่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาจึงได้พูดอย่างมิแยแสว่า “จะฆ่าก็ฆ่าเลย พูดจาไร้สาระหาปะไร!” “คิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้างั้นรึ?” ดวงตาของฉินซูเย็นเยือกแล้วกดกริชพระจันทร์แดงในมือลงไปบนคอของชายร่างใหญ่โดยตรง ฉึก!กริชพระจันทร์แดงอันคมกริบบาดเข้าที่คอของชายร่างใหญ่ในพริบตา เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาช้า ๆ! ชายร่างใหญ่สะดุ้งเฮือกและหวาดกลัวขึ้นมาทันที“ท่านขุนนางโปรดไว้ชีวิต พวกเราคือชาวบ้านในละแวกนี้ ช่วงนี้เกิดภัยพิบัติ พวกเราอดอยากไม่มีอันจะกินแล้วจึงจำเป็นต้องร่วมตัวกันลงคะแนนเสียงว่าต้องเลี้ยงปากท้องด้วยการทำเช่นนี้ หวังว่าท่านขุนนางจะเมตตาและปล่อยพวกเราไป” ได้ยินดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงความสงสารและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ช่างเถิด พวกเขาก็แค่ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือก ปล่อยพวกเขาไปเถิดเพคะ” ชายร่างใหญ่ปีติยินดีจนในดวงตาฉายประกายความสำเร็จวาบขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูกลับกลอกตาใส่กู้เสวี่ยเจี้ยนแล้วเหน็บแนมว่า “เขาบอกว่าพวกเขาเป็นชาวบ้าน เจ้าก็เชื่อเขาจริงหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนถามอย่างประหลาดใจว่า “หรือว่ามิใช่?!” ฉินซูส่ายหน้าแล้วเอ่ยกั
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 385

“เจ้าว่ากระไรนะ? พระภิกษุข่มขู่พวกเจ้า เจ้าไปหลอกผีเถอะ คิดว่าพวกเราโง่งั้นรึ?” ชายร่างใหญ่อยากจะร้องแต่ไม่มีน้ำตาและพูดว่า “ทุกคำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราจะกล้าโกหกได้อย่างไรขอรับ” “ใช่แล้ว ที่รองหัวหน้าพูดเป็นความจริงทั้งหมด หากพวกท่านมิเชื่อ ตามพวกเรากลับไปที่ค่ายป้องกันขวงเฟิงก็จะรู้เอง” “ท่านขุนนาง พระภิกษุรูปนั้นมิใช่คนดีเลย ภายนอกดูใจดีมีเมตตา แต่สิ่งที่เขาทำนั้นโหดร้ายเกินจะรับได้ เขาถึงกับเอาลูกหัวหน้าใหญ่ของพวกเราที่เป็นทารกอายุมิถึงเดือนไปต้มกิน… อ้วก!” ชายหนุ่มพูดมิทันจบก็อาเจียนออกมา ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฉินซูคิ้วขมวดและรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน กินเนื้อมนุษย์ นี่คือสิ่งที่มนุษย์จะทำได้จริงหรือ?เซี่ยหลานและกู้เสวี่ยเจี้ยนรู้สึกชาหนึบที่หนังศีรษะและขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตงฟางไป๋กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วเอ่ยว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระ พระภิกษุคือผู้ถือศีล จะกินเนื้อได้อย่างไร มิต้องพูดถึงการกินเนื้อคนเลย!” “ท่านขุนนาง ที่พวกเราพูดเป็นความจริงทั้งหมดขอรับ พระภิกษุหัวโล้นนั่นเป็นพระปีศาจ มิเพียงกินทารกเท่านั้น ซ้ำยังแย่งชิงสตรีของหัวหน้าใหญ่
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 386

ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “อยู่ไกลจากค่ายป้องกันขวงเฟิงเท่าใด?”สวีเซี่ยงเฉียนหยิบแผนที่ออกมาดูและตอบว่า “องค์รัชทายาท ค่ายป้องกันขวงเฟิงตั้งอยู่บนสันเขาเฮยเฟิง หากเป็นตามนี้มันจะอยู่ห่างออกไปประมาณสี่สิบห้าสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็ตั้งค่ายพักแรมกันเถอะ”เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็มองหน้ากันชั่วขณะกู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยความกังวล “หากพวกเราตั้งค่ายพักแรมที่นี่ แล้วพระปีศาจมาพร้อมกับโจรภูเขาเข้าจู่โจมกลางดึก เกรงว่าพวกเราจะประสบความสูญเสียอย่างหนักนะเพคะ”ช่วงกลางดึกก็รบกวนเจ้าเฝ้ายามให้ทีก็แล้วกัน วรยุทธ์เจ้ากล้าแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อให้แมลงบินมาก็คงมิอาจหลบพ้นสายตาของเจ้าไปได้”“ท่านยกยอหม่อมฉันมากเสียจริงเพคะ ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย หม่อมฉันขอสิ่งของเมื่อครู่อีกสักสองสามลูกนะเพคะ”ฉินซูหยิบสิ่งของดังกล่าวออกมาจากถุงแล้วยัดใส่มือของกู้เสวี่ยเจี้ยนโดยมิพูดอะไรสักคำกู้เสวี่ยเจี้ยนมองลูกกลมเล็ก ๆ ที่ทำจากโลหะในมือของตนอย่างพินิจแล้วประหลาดใจไปชั่วขณะ!“องค์รัชทายาท ลูกกลมสองลูกนี้คือสิ่งใดกันแน่เพคะ? มันดูทรงพลังมาก!”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท เมื่อครู่พวกโจรเหล่านั้นถ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 387

ภายใต้ลมสารทฤดูที่พัดมา เส้นผมยาวของร่างนั้นปลิวไสวอย่างอิสระ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษ!และมีคราบเลือดสีแดงเข้มที่มุมปากมิเพียงเท่านั้น ยามนี้ก็ยังมีหมอกจาง ๆ กระจายอยู่รอบ ๆ ร่างนั้นเมื่อลมหนาวพัดมาอีกครั้ง ทำเอาทุกคนอดมิได้ที่จะตัวสั่น และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก!“แม่เจ้า มีผีจริง ๆ ด้วย!”“มีผี หนีเร็ว!”บางคนกลัวมากจนกรีดร้องและวิ่งหนีไปเมื่อทหารคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาต่างก็วิ่งหนีเตลิดไปด้วยความกลัวสุดขีดแม้แต่กู้เสวี่ยเจี้ยน ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ต่างก็หวาดกลัวมากจนหน้าถอดสีและขยับขามิออกเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ก็เกิดความสับสนวุ่นวาย ฉินซูก็แผดเสียงก้องด้วยโทสะ!“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ หากใครกล้าวิ่งหนี กลับไปข้าจะสั่งประหารล้างตระกูลให้หมด!”เมื่อเสียงข่มขู่ของเขาดังขึ้น ทหารที่กำลังหลบหนีก็หยุดชะงักทันทีตงฟางไป๋เองก็ได้สติกลับมาจากความหวาดกลัวเช่นกัน เขารีบชักดาบออกมาก่อนใครและตวาดด้วยความโกรธอย่างกล้าหาญ “นั่นใคร บังอาจนักที่กล้าปลอมเป็นผี!”“ฮือ ๆ ๆ… ข้าตายได้น่าอนาถยิ่งนัก...”เสียงร้องไห้ที่แหลมคมและคลุมเครือดังก้องอยู่ในหูของทุกคน!“ข้าหิวมาก… อยากก
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 388

กระแสลมร้ายพัดกิ่งก้านและใบไม้เสียงดังกรอบแกรบ อีกทั้งเหล่าหมอกก็หนาขึ้นเรื่อย ๆทันใดนั้น เงาร่างสีขาวหลายสิบร่างก็ลอยออกมาจากหมอกควัน!เงาร่างเหล่านั้นมีผมยุ่งเหยิงและมีสีหน้าดุร้ายอย่างยิ่งพวกมันเป็นเหมือนวิญญาณไร้ญาติ กำลังล่องลอยไปมาในความว่างเปล่าเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับอยู่ในอสุรภูมิ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น เหล่าทหารก็ตกใจจนล้มลงกับพื้นและไร้ซึ่งความกล้าที่จะหลบหนีเซี่ยหลานตกใจมากจนหน้าซีด จากนั้นนางก็หายใจมิออกและเป็นลมไปแม้แต่กู้เสวี่ยเจี้ยนยอดฝีมือแห่งสำนักหอดูดาวหลวงผู้นี้ก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง และมือของนางที่จับด้ามดาบก็สั่นเทาส่วนสองพี่น้องตงฟางไป๋และสวีเซียงเฉียน พวกเขาหวาดกลัวกันมากจนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยสายตาว่างเปล่าฉินซูขมวดคิ้วและพูดแขวะในใจแต่ละคนดู ๆ แล้วคงจะพึ่งพามิได้ ถึงช่วงเวลาวิกฤติเมื่อไรคงจะต้องพึ่งตัวเองเสียแล้วจากนั้น เขาก็หยิบระเบิดสายฟ้าออกมา จุดชนวนแล้วโยนมันไปทางเงาร่างสีขาวตู้ม–หลังจากเกิดการระเบิดขึ้น ‘เงาผี’ ทั่วท้องฟ้าก็ถูกเป่ากระจายเป็นชิ้น ๆเศษชิ้นส่วนจำนวนมากกร
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 389

ส่งผลให้เงากระบี่ที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ถูกปัดเป่ากระจายออกไปม่านตาของกู้เสวี่ยเจี้ยนหดตัว นางจึงใช้ทักษะการเคลื่อนที่จนถึงขั้นสูงสุด โดยการล้อมรอบเย่ชางสิงเอาไว้และแทงดาบออกไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ลงมือ พลังระดับปฐพีขั้นกลางก็ถูกปลดปล่อยออกมาขณะเดียวกันเย่ชางสิงก็หลบการโจมตีอย่างใจเย็น ทั้งยังพูดด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก “อายุยังน้อยแต่กลับมีวรยุทธ์ที่กล้าแกร่งเช่นนี้ได้ สาวน้อยเช่นเจ้าถือว่ามีความสามารถและพรสวรรค์มิเลวเลย แต่น่าเสียดายที่เจ้าดันมาพบกับข้าเสียก่อน!”พูดจบ ร่างของเขาก็หายไปอย่างน่าประหลาดในพริบตาเมื่อเห็นภาพนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อดมิได้ที่จะตะลึงไปชั่วขณะเย่ชางสิงเร็วเกินไป แม้พลังวรยุทธ์ของนางจะอยู่ที่ระดับปฐพีขั้นกลาง แต่กลับมิสามารถมองเห็นได้ชัด!ขณะที่นางกำลังตกตะลึง ริมฝีปากของฉินซูก็ขยับเล็กน้อย ทว่าเขามิได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา!แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนชราดังขึ้นในหูของกู้เสวี่ยเจี้ยน!“กระโดดไปข้างหน้าไปสองครั้ง ถอยทิศใต้สามก้าว แล้วฟันเฉียงลงไป!”เมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ นี้ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจ!นี่คือวิชาแห่งกระแสจิต หากกำลังภายในมิได้อยู่ในระดับสู
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 390

กู้เสวี่ยเจี้ยนที่ได้ยินเสียงนั้นก็เคลื่อนไหว!ท่าย่างของนางสง่างาม อีกทั้งกระบี่ของนางก็ทรงพลังหลังจากขยับไปมิกี่ก้าว กระบี่ยาวในมือของนางก็พุ่งตรงไปที่เย่ชางสิง!รวดเร็วมากจนเรียกได้ว่าเร็วปานสายฟ้า!หางตาของเย่ชางสิงกระตุกเบา ๆ ด้วยการขยับปลายเท้าเพียงนิด เขาก็เอนตัวไปด้านหลังและตีลังกาดีดตัวขึ้นจากพื้นออกไปได้ขณะเดียวกัน เสียงคนชราลึกลับยังคงก้องอยู่ในหูของกู้เสวี่ยเจี้ยนภายใต้การชี้แนะของบุคคลลึกลับผู้นี้ ทุกครั้งที่กู้เสวี่ยเจี้ยนใช้กระบี่นางจะสามารถโจมตีไปที่จุดตายด้านหน้าของเย่ชางสิงได้อย่างคาดมิถึงเย่ชางสิงที่ถูกบีบบังคับจนทำอะไรมิได้ จำต้องโต้กลับด้วยไม้เท้าหัวมังกรการโจมตีของเขาทรงพลังและรุนแรงนัก ปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งของเขาส่งแรงกดดันมหาศาลไปที่กู้เสวี่ยเจี้ยนทว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนก็อาศัยคำชี้แนะของบุคคลลึกลับและวิชาก้าวย่างแปดทิศที่เกือบจะสมบูรณ์แบบของนางเพื่อหลบหลีกจากการบุกในแต่ละครั้งของเย่ชางสิง อีกทั้งยังโจมตีกลับได้อีกด้วยเช่นนี้เอง กู้เสวี่ยเจี้ยนที่เดิมทีมิได้มีวรยุทธ์ที่เหนือกว่า จึงต่อสู้กับเย่ชางสิงได้อย่างสูสี!ทว่าเมื่อเทียบกับความนิ่งของกู้
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
1
...
3738394041
...
53
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status