บททั้งหมดของ ทาสสาวพราวพิลาส: บทที่ 341 - บทที่ 350

625

บทที่ 341

หลินซวงเอ๋อร์รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงโกรธ ดังนั้นจึงรีบไปง้อ: "สวามี ท่านอย่าไปฟังพวกนางพูดเรื่องไร้สาระเลย พวกนางแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ"เยี่ยเป่ยเฉิงพูดด้วยความโกรธว่า: " หืม? แต่พวกนางบอกว่าข้าดูเหมือนจะนิสัยไม่ดี และมักจะด่าว่าทุบตีเจ้า!" เขายื่นมือออกไปหยิกแก้มอันอวบอ้วนของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า: "ข้าเคยด่าว่าทุบตีเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?หืม? "หลินซวงเอ๋อร์ครวญครางอยู่ครู่หนึ่ง ผลักตัวออกจากมือของเขา แล้วกล่าวว่า "สวามีแค่ดูดุร้ายเฉยๆ แต่สวามีไม่เคยทุบตีซวงเอ๋อร์เลย"คำพูดนี้ ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ บีบคางของนางอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า "ข้าดูดุมากเลยหรือ? ดุร้ายตรงไหน?"หลินซวงเอ๋อร์ถูกบีบบังคับให้เงยหน้าขึ้นมามองเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานนุ่มนวลว่า: "ถ้าอย่างนั้นสวามีก็ยิ้มแย้มสิคะ พอสวามียิ้มก็ไม่ดุร้ายแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยนาง ก้าวไปข้างหน้า แล้วกล่าวว่า "ข้าไม่ใช่คนขายยิ้มเสียหน่อย! เหตุใดต้องยิ้มให้พวกนางด้วย?"หลินซวงเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆตามเขาไป มือเล็กๆจับมือของเขาเอาไว้ ง้อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: "ได้ได้ได้ สวามีไม่ชอบยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม กล่าวโ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 342

เดิมทีเยี่ยเป่ยเฉิงมีใบหน้าที่เคร่งขรึม เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็มีใบหน้าที่อ่อนโยนลงแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะดูไม่ฉลาด แต่เขากลับก็มีวิสัยทัศน์ที่ดีหวังเถี่ยหนิวถามอีกครั้งว่า: "พวกเจ้าจะไปไหนหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้ากลับมาดูบ้านน่ะ"หวังเถี่ยหนิวกล่าวว่า: "ทางผ่านพอดีเลย ให้ข้าจะไปส่งพวกเจ้าเถิด"หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ครุ่นคิดอะไร ก็กล่าวว่า"ดีเลยดีเลย" ขณะที่พูดก็ปีนขึ้นไปบนเกวียนวัวอย่างชำนาญปีนไปได้ครึ่งหนึ่งก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง และถามลองเชิงว่า: " สวามี... ท่านนั่งเกวียนวัวได้หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์เติบโตในชนบท จึงคุ้นเคยกับการนั่งเกวียนวัว แต่เยี่ยเป่ยเฉิงเกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์ คงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะไปนั่งเกวียนวัวที่โกโรโกโสเช่นนี้ได้อย่างไร?เป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่เกวียนวัวที่อยู่ตรงหน้า แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าเขายังไม่ขึ้นมา วัวตัวใหญ่ก็เคี้ยวหญ้าในปาก สะบัดหางแล้วมองย้อนกลับมาที่เขาเยี่ยเป่ยเฉิง: "ต้องนั่งบนสิ่งนี้จริงๆหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ปีนขึ้นไปบนเกวียนวัวอย่างรวดเร็ว และหาที่นั่งดี
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 343

สายตาของเยี่ยเป่ยเฉิงดูรุกรานมาก หลินซวงเอ๋อร์จึงนั่งอยู่บนเกวียนวัวอย่างสงบและไม่กล้าขยับเลยหวังเถี่ยหนิวยกแส้ขึ้น วัวตัวใหญ่สะบัดหาง ล้อรถก็หมุนไปตามบนถนนในชนบทเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน สองข้างทางเป็นนาข้าวสีเหลืองทองอร่าม เวลาที่มีสายลมพัดผ่านมา นาข้าวเหลืองอร่ามก็เกิดเป็นคลื่นสีทองนาข้าวที่อยู่ทั้งสองด้าน นอกจากจะมีพืชผลที่ปลูกกระจัดกระจายแล้ว ยังมีผักผลไม้ที่อวบใหญ่อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ป่าหลากสีสันบานสะพรั่งไปทั่วทุกแห่งหนเกวียนวัววิ่งผ่านเส้นทางเล็กๆระหว่างนาข้าว ถัดจากนาข้าวสีทองอร่าม ก็จะสามารถมองเห็นควันลอยขึ้นมาจากเตาปรุงอาหาร เด็กๆวิ่งไล่เล่นกันตามสันคูนา กลิ่นหอมของข้าวจากบ้านสวนลอยคลุ้งอยู่ในอากาศจางๆแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะแร้นแค้น แต่ผู้คนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข อยู่อย่างพอเพียง ไม่โกลาหลวุ่นวาย ถือได้ว่าเป็นดินแดนที่บริสุทธิ์ดินแดนหนึ่งเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงมาจนชินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่า เพลิดเพลินกับชีวิตปุถุชนคนธรรมดาเป็นครั้งคราวก็ดีเหมือนกันกลิ่นในอากาศช่างน่าชื่นใจยิ่งนัก นอกจากจะมีกลิ่นหอมของข้าวแล้ว ยังมีกลิ่นหอมขอ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 344

ทันใดนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็มองหลินซวงเอ๋อร์ ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ: " ถ้าวันหนึ่ง ข้ากลายเป็นคนทำธุรกิจเล็กๆคนหนึ่งจริงๆ เจ้าจะยังชอบข้าอยู่หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ชอบสิคะ อย่างน้อยท่านก็ยังสามารถหาเงินมาเลี้ยงข้าได้ "เยี่ยเป่ยเฉิงอดที่จะหัวเราะไม่ได้: " แต่ข้าไม่มีหัวทางด้านการทำธุรกิจเลย ถ้าข้าหาเงินไม่ได้ล่ะ? เจ้าจะต้องยากลำบากไปพร้อมกับข้า เจ้ายังเต็มใจที่จะติดตามข้าหรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างจริงจังว่า: "ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะทำได้แค่เลี้ยงท่านแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ: "เลี้ยงข้า? เจ้าจะเลี้ยงข้าอย่างไร?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ข้าเย็บปักถักร้อยได้ แถมยังทำงานเป็น ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ฉันจะขายตนเองให้กับตระกูลที่ร่ำรวยในฐานะสาวใช้ พอถึงตอนนั้นก็คงจะเลี้ยงท่านได้ "เยี่ยเป่ยเฉิงกระชับนิ้วมือ กุมมือหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้แน่น และรู้สึกอบอุ่นในใจดูเหมือนว่าจะมีแต่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ที่สามารถทำให้หัวใจของเขาผ่อนคลายได้อย่างแท้จริงก็คงจะมีแต่ตอนที่อยู่ต่อหน้านางเท่านั้น ที่เขาจะเผยอารมณ์ที่แท้จริงออกมาได้ซวงเอ๋อร์ของเขาดีม
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 345

สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่อายุสิบขวบ?เยี่ยเป่ยเฉิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง“ตอนอายุสิบขวบ เจ้าอายุยังน้อย มีชีวิตรอดมาได้อย่างไร?” เยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ หลินซวงเอ๋อร์ในวัยสิบขวบที่มีกำลังอันน้อยนิด หยิบจับอะไรก็ไม่เป็น ในที่ที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้ สามารถมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรหลินซวงเอ๋อร์ยักไหล่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆว่า: " จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ? ที่บ้านไม่มีอาหาร พี่ชายของข้าก็ไปยืมเพื่อนบ้าน พี่ฉีมักจะช่วยเหลือพวกข้าโดยไม่บอกแม่ของเขา ทำให้โดนดุด่าต่อว่าไม่น้อย "“ครอบครัวของพี่เถี่ยหนิวก็ยากจนมากเช่นกัน แต่ก็ให้อาหารพวกข้ากินเสมอ”“ปีนั้นเกิดทุพภิกขภัย ไม่มีใครมีอาหารมากนัก พี่ชายจึงพาข้าไปขอทานบนถนนที่ไกลออกไปอีกนิดหน่อย แต่ว่า ในหมู่ขอทานก็มีคนเลวปะปนอยู่ด้วย พวกเขาจะแย่งอาหารของพวกข้า แย่งเหรียญที่พวกเราขอทานมาไปจนหมดเกลี้ยงเลย…”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว รู้สึกเจ็บปวดหัวใจในสมอง ก็มีร่างที่ผอมบางคนนั้นปรากฏขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว กำลังคุกเข่าขอทานในวันที่หิมะตกหนัก ร่างกายเขียวช้ำจากความหนาวเย็น นัยน์ตาที่สดใสกลับเศร้าหมองสิ้นหวัง...“แล้วควรทำอย่างไร?” น้ำเสียงของเยี่ยเป
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 346

เยี่ยเป่ยเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่หลังจากนั้นความรู้สึกแปลกๆ ก็ค่อยๆเกิดขึ้นในใจอีกครั้งตอนที่ซวงเอ๋อร์ของเขาทุกข์ระทม คนที่อยู่ข้างกายนางกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นฉีหมิง...ดังนั้น ตอนนั้นที่ฉีหมิงกักขังหน่วงเหนี่ยวนาง ทรมานนาง นางจึงยืนอยู่เคียงข้างฉีหมิงเพื่อต่อต้านเขาอย่างไม่ลังเลใจ...ถ้าหาก ให้โอกาสนางเลือกอีกครั้งหนึ่งนางจะยังเลือกตนเองอยู่ไหม? หรือว่าจะเลือกฉีหมิงโดยที่ไม่ลังเลใจ?เยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล้าถาม เพราะคำตอบนี้ ดูเหมือนเขาจะมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วเขาซ่อนอารมณ์เอาไว้ และถามอย่างสงบนิ่งว่า : "ดังนั้น พวกเจ้าอยู่ด้วยกันนานมากเลยหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า " ก็ไม่ได้นานนัก เมื่อคำนวณเวลาแล้ว น่าจะประมาณหนึ่งเดือน ต่อมา เนื่องจากเขาต้องไปร่ำเรียนหนังสือ แม่ของเขาจึงพาเขาไปที่เมืองหลวง พวกเราจึงไม่ได้พบกันอีกเลย "เมื่อได้ยินดังนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกโกรธเล็กน้อยนางยังเด็ก ไร้ที่พักพิง เหตุใดฉีหมิงถึงทิ้งนางไว้ตามลำพัง แล้วไปโรงเรียนอะไรนั่น!ดูเหมือนว่า ในสายตของฉีหมิง เกียรติยศชื่อเสียงมีความสำคัญกว่าเยี่ยเป่ยเฉิงถามอีกครั้งว่า: "เขาทิ้งเจ้าไว้ตามลำพังแล้
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 347

แม้ว่าหลินซวงเอ๋อร์จะยิ้มแย้ม แต่ในนัยน์ตากลับเต็มไปด้วยน้ำตาเยี่ยเป่ยเฉิงเอื้อมมือไปลูบผมอันอ่อนนุ่มของนาง และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: "ตั้งแต่นี้ไป สวามีจะไม่ให้เจ้าต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว"หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าสบตากับเขา เบือนหน้าหนีด้วยความไม่เอาไหน แล้วปาดน้ำตาจากหางตา แสร้งทำเป็นผ่อนคลายแล้วกล่าวว่า: "ข้ารู้ สวามีดีกับข้าที่สุด"“ ต่อไปข้าจะดีกับเจ้ามากขึ้น ” เยี่ยเป่ยเฉิงมองนางอย่างลึกซึ้ง น้ำเสียงของเขาต่ำทุ้ม และมีเวทย์มนตร์ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกดีขึ้นมาก และยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ: "สวามีรักษาคำหรือเปล่า?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " แน่นอน สวามีเคยผิดสัญญากับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? "หลินซวงเอ๋อร์ยื่นมือออกมา แล้วกล่าวว่า "เกี่ยวก้อยสัญญา"เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้มเบา แล้วกล่าวว่า "ปัญญาอ่อน"มีรอยยิ้มที่รักใคร่อยู่ในคำพูดของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงยื่นนิ้วก้อยไปหานางดวงตาของหลินซวงเอ๋อร์ยิ้มจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว เกี่ยวนิ้วก้อยของเขา แล้วพึมพำอะไรบางอย่างเยี่ยเป่ยเฉิงไม่เข้าใจ เห็นแต่มุมปากของนางขยับ จึงถามว่า "เจ้ากำลังพึมพำอะไรอยู่หรือ?
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 348

เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นคนที่ไม่ชอบยิ้มแย้มมาโดยตลอด พยักหน้าให้หยวนซื่อเล็กน้อย ด้วยใบหน้าที่ยังคงเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ไม่เปลี่ยนแปลงมานานนับพันปีหลินซวงเอ๋อร์แอบดึงชายแขนเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิง หันหน้าแล้วมองเขาด้วยรอยยิ้ม การแสดงออกนั้นมีเพียงคำว่า "ท่านยิ้มหน่อย" อยู่บนใบหน้าของนางจากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็ยิ้มให้กับหยวนซื่อเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: "สวัสดีครับคุณป้า"หยวนซื่อพยักหน้าตอบรับอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า: "ดีดีดี อาหารพร้อมแล้ว พวกเจ้าล้างมือแล้วไปทานข้าวกันเถิด"ขณะที่พูด ก็หันกลับไปเอาอาหารมาวางลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเดินทางมาตลอดทั้งวัน คงจะเหนื่อยมาก ที่บ้านป้าไม่มีอะไรที่นำมาต้อนรับได้เลย พวกเจ้าอย่ารังเกียจเลยนะ”หลินซวงเอ๋อร์รีบกล่าวว่า: "จะรังเกียจได้อย่างไร? ซวงเอ๋อร์คิดถึงรสมือของท่านป้ามากที่สุด ตอนที่ยังเป็นเด็กมักจะมาขออาหารที่บ้านท่านป้ากินอยู่บ่อยๆ อาหารที่ท่านป้าทำอร่อยที่สุดเลย"หยวนซื่อยิ้มไม่หุบ: "เจ้าปากหวานที่สุดเลย"อาหารวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ครอบครัวของหยวนซื่อไม่ได้ร่ำรวย สิ่งเดียวที่มีอยู่คือแม่ไก่แก่ที่วางไข่กับเนื้อ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 349

อาหารค่ำจบลงด้วยบรรยากาศที่ปรองดองกันเป็นอย่างมากหวังเถี่ยหนิวเริ่มเอาชามและตะเกียบไปที่เตาเพื่อทำความสะอาดหยวนซื่อยุ่งหน้ายุ่งหลัง และชักชวนหลินซวงเอ๋อร์กับเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่ต่ออีกสองสามวัน“ ซวงเอ๋อร์ คืนนี้เจ้ากับสามีอย่าเพิ่งไปเลย คืนนี้เจ้านอนเตียงเดียวกันกับป้า และให้สามีเจ้าทนลำบากนอนกับเถี่ยหนิวเถิด”เมื่อได้ยินดังนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลินซวงเอ๋อร์จับมือเยี่ยเป่ยเฉิงเอาไว้ แล้วอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า: "บ้านของสวามี มีกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งว่า ถ้าพักค้างคืนที่บ้านของคนอื่น จะต้องนอนแยกห้อง"เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าที่เคร่งขรึมทันที แล้วกล่าวกับหยวนซื่อที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องว่า: "ท่านป้า อย่าลำบากเลยครับ อีกสักพักพวกข้าก็จะไปแล้ว"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวอย่างประหลาดใจว่า: "สวามี มันดึกมากแล้ว พวกเราจะไปที่ไหน?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไปที่ตำบลแล้วหาโรงเตี้ยมสักแห่งพักผ่อน ตอนมาเมื่อสักครู่นี้ข้าได้ดูเอาไว้แล้ว " จากนั้นเขาก็ลูบผมอันนุ่มสลวยของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า: " ซวงเอ๋อร์คนดี อย่ารบกวนท่านป้าบ่อยๆสิ "หลินซวงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกเคอะเขินเล
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 350

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะมีชีวิตรอดมาได้เยี่ยเป่ยเฉิงถามว่า: "ตอนที่เก็บซวงเอ๋อร์ได้ บนตัวนางมีสิ่งของอะไรบ้างไหม?"หยวนซื่อตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า: "ไม่มีสิ่งของอะไรเลย ตอนที่พ่อของนางเก็บพวกเขาได้ บนตัวของพวกเขาห่อด้วยผ้าห่มหนึ่งชั้นเท่านั้น บนผ้าห่มยังมีคราบเลือดอีกด้วย"“คราบเลือด?” เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแม้ว่าเมืองชิงเหอจะแร้นแค้น แต่ก็ตั้งอยู่ที่เขตแดนระหว่างเป่ยหรงและต้าซ่งเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในปีที่หลินซวงเอ๋อร์เกิด จักรพพรดิองค์ก่อนของเป่ยหรงสิ้นพระชนม์ จักรพรรดิองค์ใหม่ยังไม่ได้แต่งตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ จึงทำให้มีสงครามทั่วทุกสารทิศ ประชาชนลำบากยากแค้นมาก เพื่อความอยู่รอดจึงมีคนเป่ยหรงจำนวนมากหลบหนีมาที่ต้าซ่งเป็นไปได้ไหมว่า... หลินซวงเอ๋อร์จะไม่ได้เป็นคนต้าซ่ง แต่เป็นคนที่มาจากเป่ยหรง?เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วลึกขึ้น ทุกวันนี้เป่ยหรงเจริญรุ่งเรือง จึงไม่รู้ว่าชาวเป่ยหรงที่หลบหนีมาที่นี่ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดถึงไม่รีบมาตามหาหลินซวงเอ๋อร์...หยวนซื่อพยักหน้าแล้วกล่าวว่า "ใช่ มีคราบเลือดขน
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
1
...
3334353637
...
63
DMCA.com Protection Status