Share

ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ
ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ
Penulis: ชอบกินหมั่นโถว

บทที่ 1

Penulis: ชอบกินหมั่นโถว
ทันทีที่วางสาย เสียงดนตรีจากชั้นล่างก็ดังขึ้นมา เมื่อลองฟังดู ก็ยังได้ยินเสียงคนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดด้วย

นี่คืองานเลี้ยงวันเกิดที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจัดเพื่อเซี่ยงหาน

ทันใดนั้นข้างนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเซี่ยงหานถือเค้กแบล็คฟอเรสต์ก้อนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาคู่หนึ่งที่ราวกับลูกกวางกะพริบหลายครั้ง บนใบหน้าอันงดงามแต่งหน้าอย่างประณีต และมีรอยครีมสองสามรอยที่เด่นชัดอยู่ “พี่เวยเวย ลงไปเล่นด้วยกันกับฉันเถอะนะ?”

ซ่งสือเวยมองความเสแสร้งภายใต้ใบหน้าของเธอออกอย่างชัดเจน น้ำเสียงเย็นชา “ฉันยังมีงานต้องทำ คงไม่ไปหรอก พวกเธอเล่นกันให้สนุกเถอะ”

แทบจะในทันที ในเบ้าตาของเซี่ยงหานก็เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่เวยเวย พี่ไม่ชอบฉันใช่ไหม ถึงได้บอกปัดแบบนี้?”

ซ่งสือเวยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ตนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอกลับทำท่าทางราวกับตนไปรังแกเธอเพื่ออะไรกัน

เธอยิ้มเยาะในใจ ไม่คิดจะฟังคำพูดที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาของอีกฝ่ายต่อ “การแสดงพวกนี้เธอเก็บไว้ให้พวกลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อดูเถอะ มันไม่มีประโยชน์กับฉันหรอก”

ทันทีที่พูดจบ เธอก็กำลังจะปิดประตู

“พี่เวยเวย อย่า...”

จู่ ๆ เซี่ยงหานก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ขวางบนกรอบประตู

นี่ทำให้จังหวะที่ประตูปิดลง ทั้งมือของเธอถูกหนีบอย่างแรง

หลังมือขาวนวลกลายเป็นสีม่วงทันที

“โอ๊ย!”

ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อขึ้นมาที่ชั้นบนพอดี ก็เห็นฉากนี้เข้า

ชายทั้งสองแทบจะพุ่งเข้ามาพร้อมกัน โอบเซี่ยงหานไว้ในอ้อมแขน ประคองมือเธอไว้อย่างปวดใจ ขณะที่มองอย่างละเอียด

เมื่อเห็นบาดแผลบนหลังมือของเซี่ยงหาน ฉีซื่อก็ปวดใจจนหางตาแดง

เขาเป็นคนนิสัยหุนหันพลันแล่น จึงต่อว่าซ่งสือเวยตรง ๆ “เธอไม่ชอบเซี่ยงหานก็แล้วไปเถอะ ทำไมต้องทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ด้วย ซ่งสือเวย เธอกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ลู่อวิ๋นเซินมีนิสัยใจเย็น แต่ตอนนี้เมื่อมองซ่งสือเวย ในดวงตาล้ำลึกทั้งสองข้างก็มีความผิดหวังแฝงอยู่

“เวยเวย วันนี้เป็นวันเกิดของเซี่ยงหาน เธอไม่ควรทำเกินไปแบบนี้”

ทว่าเมื่อก้มลงมามองเซี่ยงหาน ก็เปลี่ยนน้ำเสียงโดยพลัน

“เสี่ยวหาน ยังเจ็บอยู่ไหม? ฉันจะพาเธอไปทายานะ”

เมื่อเห็นลู่อวิ๋นเซินจูงเซี่ยงหานจากไป ฉีซื่อก็ไล่ตามเซี่ยงหานไปด้วย ทั้งยังรีบปลอบโยนเธอ “เสี่ยวหาน เธออย่าเศร้าไปเลยนะ ฉันจะให้รถสปอร์ตคันใหม่ที่ฉันได้มากับเธอ รอหลังจบงานเลี้ยง ฉันจะพาเธอไปนั่งรถเล่น พอได้นั่งรถชมวิวก็จะอารมณ์ดีเอง!”

หลังจากถูกชายทั้งสองคนพากันปลอบโยนด้วยความรัก สุดท้ายเซี่ยงหานก็หยุดร้องไห้ มีเพียงน้ำเสียงที่ยังสะอื้นอยู่เล็กน้อย “ขอบคุณนะอวิ๋นเซิน”

หลังจากพูดขอบคุณลู่อวิ๋นเซิน เธอก็หันมามองฉีซื่อ และพูดโน้มน้าวทั้งน้ำตา “อาซื่อ นายอย่าไปแข่งรถเลยนะ การแข่งรถมันอันตราย ฉันเป็นห่วง”

เห็นเซี่ยงหานเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้มออกมา ฉีซื่อก็รับปากอย่างร้อนรน “ได้ ๆ ๆ บรรพบุรุษครับ ขอแค่เธอมีความสุข เธอจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”

มองแผ่นหลังของพวกเขาลงไปชั้นล่าง ซ่งสือเวยยืนอยู่ที่ประตู และรู้สึกราวกับฝันไปชั่วขณะหนึ่ง

จำได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว คนที่ยืนอยู่ระหว่างลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ ยังเป็นตนอยู่เลย

เธอป่วยและร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเป็นโรคหอบหืด ที่เมืองหลวงดันอากาศชื้นและมีฝนตกบ่อย จึงไม่เหมาะกับการฟื้นตัวของเธอ

เมื่ออายุได้ห้าปี เธอก็ถูกพ่อแม่ส่งจากเมืองหลวงมายังเมืองไห่เฉิงซึ่งทั้งสี่ฤดูราวกับฤดูใบไม้ผลิ และถูกรับมาดูแลพักฟื้นกับอาที่เป็นหมอ

ในตอนนั้นเอง ซ่งสือเวยได้รู้จักกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อซึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านของอา

พวกเขาสามคนเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์

ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเธอ ทั้งสองคนก็ตกหลุมรัก และคอยอยู่ข้างกายเธอทุกเมื่อเชื่อวัน กลายเป็นอัศวินที่ปกป้องเธอ

ตอนยังเด็ก พวกเขาไปรับไปส่งเธอที่โรงเรียนทุกวัน ซื้อของอาหารเช้ากับนมวัวให้เธอทุกเช้า ฉีกจดหมายรักทั้งหมดที่เธอได้รับ ไม่อนุญาตให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาใกล้เธอแม้แต่ก้าวเดียว

เมื่อโตขึ้น พวกเขาคนหนึ่งได้สืบทอดธุรกิจครอบครัวกลายเป็นประธานบริษัท อีกคนหนึ่งก็กลายเป็นนักแข่งรถซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ทั้งสองคนงานยุ่งมาก แต่กลับซื้อบ้านทั้งสองหลังข้างซ่งสือเวย หลังจากเวลาผ่านไปก็ยังอยู่ด้วยกันกับเธอ และทุกวันก็จะต้องกลับมาทำอาหารให้เธอ

แม้ว่าอาการป่วยของซ่งสือเวยจะเกือบหายดีแล้ว และครอบครัวก็ยังเร่งเร้าให้เธอกลับเมืองหลวง แต่พวกเขาก็ยังพากันอ้อนวอนเธอด้วยเบ้าตาแดงก่ำ ขอให้เธออย่าไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะทิ้งทุกอย่างและไปกับเธอด้วย

พวกเขาพูดเสมอว่า เวยเวยอยู่ที่ไหน พวกเขาก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

เป็นเพราะพวกเขา ทำให้แม้อาการป่วยของซ่งสือเวยจะทรงตัวแล้ว ก็ยังไม่ได้รีบกลับเมืองหลวง

แต่หลังจากเซี่ยงหานปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เซี่ยงหานเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ซ่งสือเวยพามา

วันแรกที่เพิ่งเข้ามาในบริษัท เธอขี้อาย ไม่ยอมลงไปกินข้าวกลางวันด้วยกันกับทุกคน หลังจากนั้นทุกวันก็เป็นเช่นนี้เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งซ่งสือเวยบังเอิญชนเธอที่กำลังกินหมั่นโถวกับผักดองอยู่ที่มุมคนเดียว เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่าเธอสอบจากหมู่บ้านบนภูเขาเข้ามาในเมืองใหญ่ ที่บ้านมีฐานะยากจน สิ่งที่สามารถประหยัดได้ก็ต้องประหยัด

ซ่งสือเวยเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซ่ง ตั้งแต่เด็กก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของตระกูลที่สมบูรณ์ เมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ จึงรู้สึกสงสารเธอขึ้นมา และดูแลเธอในทุกเรื่องอย่างใจกว้างมาโดยตลอด

บางครั้งตอนที่กินข้าวกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อ ก็พาเธอไปด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้เอง เซี่ยงหานจึงได้รู้จักกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อ

ลู่อวิ๋นเซินมีนิสัยเย็นชา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่วุ่นวายแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้เขากลับสร้างข้อยกเว้นเพื่อเซี่ยงหาน

ฉีซื่อมองว่าการแข่งรถคือชีวิต ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโน้มน้าวเขาไว้ แต่ตอนนี้ เซี่ยงหานแค่พูดง่าย ๆ เพียงหนึ่งประโยค ก็สามารถทำให้เขาล้มเลิกได้

เรื่องแบบนี้ ในหนึ่งเดือนมานี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยปกปิดความชอบที่มีต่อซ่งสือเวย ทั้งยังสร้างสถานการณ์จากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อบังคับให้ซ่งสือเวยเลือกหนึ่งในพวกเขา

ซ่งสือเวยก็หวั่นไหวกับพวกเขาจริง ๆ และคิดจะเลือกหนึ่งในพวกเขามาคบหาด้วย

แต่ตอนนี้ การยอมรับเรื่องการแต่งงานที่ครอบครัวจัดเตรียมให้ ก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน

ซ่งสือเวยเม้มริมฝีปาก ก่อนตั้งเวลานับถอยหลังสำหรับการไปจากที่นี่ในโทรศัพท์

นับจากนี้ไป เธอจะไม่ไปรบกวนพวกเขาสามคนอีกแล้ว
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 2

    ซ่งสือเวยปิดประตู ใส่ที่อุดหู ไม่อยากฟังเสียงครึกครื้นด้านนอกอีกในเมื่อเธอตัดสินใจกลับไปแต่งงาน งานที่นี่ก็ต้องลาออก แต่เธอก็ยังอยากทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ เพื่อพยายามไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นเธอนั่งอยู่หน้าหน้าต่างที่สูงจากเพดานจรดพื้น จัดการงานที่เหลืออยู่เพียงลำพังดวงอาทิตย์นอกหน้าต่างลับขอบฟ้า ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงซ่งสือเวยถอดที่อุดหูออก ยืนขึ้นขยับร่างกาย ทำงานอยู่นานขนาดนี้ ในที่สุดงานก็เสร็จแล้วที่ชั้นล่างเงียบสนิทแล้วเธอเปิดโทรศัพท์ตามความเคยชิน เพื่อผ่อนคลายทันใดนั้นเองก็มีข้อความจากเซี่ยงหานปรากฏขึ้น ซ่งสือเวยกดเข้าไปตามสัญชาตญาณ‘ทำไมนายไม่กดไลก์โพสต์ของฉัน?’ข้อความนี้เพิ่งส่งมาได้แค่หนึ่งนาที เธอก็ส่งมาอีกข้อความหนึ่ง‘ขอโทษ พี่เวยเวย ฉันส่งผิด พี่อย่าโกรธฉันเลยนะ?’ซ่งสือเวยเปิดไทม์ไลน์ของเธอ อยากเห็นว่าตกลงเธอโพสต์อะไรสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือภาพตารางเก้าช่องในภาพล้วนเป็นของขวัญที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อมอบให้ชุดกระโปรงเจ้าหญิงสีชมพูฟูฟ่องแสนงดงามตัวหนึ่ง ราวกับก้อนเมฆสีชมพูก้อนหนึ่งเพื่อให้เข้ากับชุดกระโปรง ลู่อวิ๋นเซินยังมอบรองเท้าส้นสูงคริสตัล

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 3

    มองผู้ชายสองคนตรงหน้าที่กำลังตึงเครียด เธอก็พูดอย่างสงบนิ่ง “ก็แค่รูปถ่าย เอาไว้ถ่ายใหม่ก็ได้”“เผาจนหมดเกลี้ยงขนาดนี้แล้ว ก็ทำได้แค่ถ่ายใหม่ทีหลังเท่านั้น พวกเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวกันนานมากแล้วด้วย”ลู่อวิ๋นเซินยอมถอยมาเสนอตัวเลือกที่ดีที่สุด ฉีซื่อรีบเสริมว่า “ตอนไปครั้งนี้ ก็พาเสี่ยวหานไปด้วย เธอบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปเที่ยวเลย”ได้ยินคำพูดนี้ของฉีซื่อ ซ่งสือเวยก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมาครั้งหนึ่งลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อคิดแค่ว่าเธอเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพวกเขากำลังจะเดินไป ทว่ากลับเห็นกล่องหลายใบในห้องนั่งเล่น ซึ่งตอนเช้าตอนออกไปข้างนอกยังไม่มีเลย“นี่คืออะไร?” ทั้งสองคนถามขึ้นมาพร้อมกันซ่งสือเวยเหลือบมอง “อ๋อ ฉันลาออกแล้ว ก็เลยวางแผนจะเปลี่ยนงาน”ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเธอชอบงานนี้มากหรือ?ความสงสัยแบบเดียวกันปรากฏขึ้นในใจของทั้งสองคนวันนี้ซ่งสือเวยแปลกมาก แม้จะอธิบายไม่ถูก แต่ในใจของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็รู้สึกสับสนขึ้นมาบ้างฉีซื่อขยับริมฝีปาก คิดจะถามมากขึ้น ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายความเงียบลู่อวิ๋นเซินรับโทรศัพท์ ปลายสายมีน้ำเสียงร

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 4

    เธอถือถ้วยรางวัล บนใบหน้าไม่ได้มีความรู้สึกยินดีต่อซ่งสือเวย ทั้งยังไม่คิดจะส่งถ้วยรางวัลให้ซ่งสือเวย กลับกัดริมฝีปาก และพูดอย่างน่าสงสาร“พี่เวยเวย ผู้อำนวยการให้ฉันเอาถ้วยรางวัลมาให้พี่ รางวัลนี้ทรงเกียรติมาก พี่เก่งมากเลย”“ฉันอยากพูดเรื่องหน้าไม่อายกับพี่สักเรื่องหนึ่ง ฉันไม่เคยได้รับรางวัลนี้มาก่อน รางวัลนี้ให้ฉันยืมสักสองสามวันได้ไหม?”ให้เธอยืมสองสามวันหรือ?เป็นครั้งแรกที่ซ่งสือเวยได้ยินคำขอไร้สาระแบบนี้เธอขมวดคิ้ว พูดด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ในเมื่อรู้ว่าหน้าไม่อาย งั้นก็อย่าขอเรื่องแบบนี้ ถ้าเธอชอบจริง ๆ ก็ไปร่วมการแข่งขันด้วยตัวเองสิ”พูดจบ เธอก็ยื่นมือออกไปต้องการจะหยิบถ้วยรางวัลจากในอ้อมแขนของเซี่ยงหานคิดไม่ถึงว่าท่าทีของซ่งสือเวยจะแข็งกร้าวแบบนี้ บนใบหน้าของเซี่ยงหานซีดเซียว ท่าทางเหมือนถูกรังแก “พี่เวยเวย ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ ฉันไม่ได้ต้องการของของพี่ ก็แค่อยากเอามาวางไว้เป็นแรงบันดาลใจที่บ้านไม่ได้เหรอ?”เมื่อเห็นซ่งสือเวยยื่นมือออกมาหยิบ เซี่ยงหานก็กอดถ้วยรางวัลในอ้อมแขนไว้แน่นขึ้น โดยไม่ยอมปล่อยมือเพราะการยื้อแย่งของทั้งสองคน ในที่สุดถ้วยรางวัลคริสตั

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 5

    โทรศัพท์ในมือของซ่งสือเวยวางสายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบเธอสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง จึงเพิ่งพูดว่า “เพื่อนสนิทของฉันกำลังจะแต่งงาน ทำไม พวกนายอยากไปร่วมงานด้วยเหรอ?”ตอนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเย็นชากับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้รอจนเธอกลับเมืองหลวง พวกเขาก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก และจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนกันด้วยซ้ำไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับพวกเขา เรื่องที่เธอต้องกลับไปแต่งงานที่เมืองหลวงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็สบตากันโดยไม่รู้ตัว และต่างรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณทว่าทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คิดมากนัก เพียงแค่พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ เธอไปเองเถอะ ฉันมีงานที่บริษัท”พูดจบ ก็ราวกับยังโกรธที่วันนี้เธอทำให้เซี่ยงหานบาดเจ็บ ลู่อวิ๋นเซินหยิบเอกสารไปที่ห้องหนังสือด้วยท่าทีเย็นชาฉีซื่อก็พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “วันนี้ที่ผิวของเสี่ยวหานถูกบาดทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ทางที่ดีเธอควรไปขอโทษอีกฝ่ายสักครั้ง ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่สนใจจะไปงานแต่งอะไรกับเธอหรอก”พูดจบ เขาก็สาวเท้ายาวเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเองเช่นกันซ่งสือเวยยิ้มเยาะตัวเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรวันร

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 6

    ซ่งสือเวยฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาอย่างยากลำบาก เธอพิงกำแพง ถือยาไว้ในมือแน่น ขณะที่ปิดหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้สูดเกสรดอกไม้เข้าไปอีกครั้งยังไม่ทันได้มีเวลาพักหายใจเพียงชั่วครู่ หูก็ได้ยืนเสียงซักไซ้ของลู่อวิ๋นเซิน“เธอเพ่งเล็งเซี่ยงหานขนาดนี้เลยเหรอ ดอกไม้พวกนี้ที่เซี่ยงหานเพิ่งให้พวกเรา เธอต้องทำลายมันด้วยเหรอ!”เสียงโกรธเกรี้ยวของฉีซื่อดังตามมา“ซ่งสือเวย ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เธอไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้!”ได้ยินแบบนี้ ซ่งสือเวยก็สูดหายใจเข้าลึกเธอตัวสั่นไปทั้งร่าง ทั้งยังโกรธมาก มีความเดือดดาลมากมายที่อยากระบายออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นเพียงสะอื้นประโยคหนึ่งขณะที่เบ้าตาแดงก่ำ“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? เป็นฉันที่เปลี่ยนไป หรือพวกนายที่เปลี่ยนไปกันแน่”“ฉันเป็นโรคหอบหืด ทั้งยังแพ้เกสรดอกไม้ด้วย พวกนายไม่รู้เหรอ?”น้ำเสียงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงทว่าแต่ละคำล้วนราวกับเสียงฟ้าผ่า ซึ่งระเบิดเข้าหูของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเมื่อก่อนพวกเขากังวลเรื่องซ่งสือเวยมากที่สุดทุกครั้งที่ซ่งสือเวยมีอาการหอบหืด ก็เป็นทั้งสองคนนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุด ต่อให้ต้องปีนก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 7

    ในที่สุดก็จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อย ซ่งสือเวยจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกความกดดันบนตัวหายไปมากในทันทีขณะที่เซ็นสัญญา ซ่งสือเวยก็สังเกตเห็นว่า วันนั้นที่จัดการขั้นตอนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เป็นวันที่เธอออกเดินทางพอดีเป็นแบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องอธิบายกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อทันทีที่เซ็นชื่อของตัวเอง ทั้งร่างของเธอก็ผ่อนคลายอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะจบลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงเรื่องสุดท้ายเท่านั้นเธอไปที่ห้องสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลือกอย่างพิถีพิถัน ซื้อเครื่องนวดกับสร้อยข้อมือหยกคู่หนึ่ง และไปที่บ้านของคุณป้าทันทีที่เข้าไป ป้าซ่งก็รีบเข้ากอดซ่งสือเวยไว้ในอ้อมแขน“เวยเวย ป้าไม่อยากให้หนูไปเลยจริง ๆ หนูอยู่ที่ไห่เฉิงมาหลายปีขนาดนี้ ป้ามองหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ถ้าหนูไปแบบนี้ ป้าคงไม่ชินจริงๆ”ป้าซ่งเช็ดน้ำตา จับมือซ่งสือเวยแน่นไม่ยอมปล่อยซ่งสือเวยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาบ้าง ขณะที่ฝืนยิ้มและปลอบใจป้าซ่ง “ป้าคะ หนูก็ไม่อยากไปจากป้าเหมือนกัน แต่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว เครื่องบินกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็สะดวกมาก วันตรุษจีนก็ยังมาเจอกันได้นะคะ”ป้า

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 8

    ซ่งสือเวยหันกลับไป เมื่อทั้งสองคนยืนยันได้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกลู่อวิ๋นเซินก้าวไปข้างหน้า คว้ามือเธอไว้ “เธอไม่ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางหรอก มันทั้งเยอะและเหนื่อยเกินไป ถึงเวลาฉันจะเรียกคนขับรถที่บ้านฉันมา แล้วพวกเราค่อยบ้านไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน”ฉีซื่อก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันในตอนนี้ ซ่งสือเวยราวกับเห็นแววตาของพวกเขาที่เคยมีเพียงเธอเหมือนในอดีตจำได้ว่าตอนยังเด็ก ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันทั้งวันแต่ตอนนี้ คำสัญญาในวัยเด็กสุดท้ายก็กลายเป็นคำโกหกซ่งสือเวยเหลือบมองเซี่ยงหาน พลางส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอก มีของมากมายที่ฉันต้องไปจัดการ”พูดจบ ก็ไม่สนใจท่าทีของทั้งสองคน เธอหันหลังเดินจากไปหลังกลับมาที่บ้าน เธอก็เก็บกระเป๋าเดินทางครู่หนึ่ง ก่อนจะอาบน้ำ ขณะที่เพิ่งล้มตัวลงนอน จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยงหานเสียงนุ่มนวลของเธอส่งผ่านมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจที่ปิดไม่มิด“พี่เวยเวย เย็นนี้ฉันไปที่ตระกูลลู่กับตระกูลฉีมา พ่อแม่ของอวิ๋นเซินกับอาซื่อดีต่อฉันมากเลย”“พ่อแม่ของพวกเขายังเอาสมบัติสืบทอดประจำตระกูลออกมา บอกว่าจะให้ฉันด้วย พี่ว่า

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 9

    พูดจบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็พาเซี่ยงหานไปนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ซ่งสือเวยชายหนุ่มทั้งสองแย่งกันตักอาหารให้เซี่ยงหาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเฉียวมู่เห็นฉากนี้ก็โกรธจนแทงสเต๊กเละ แต่ซ่งสือเวยยังคงมีท่าทีเฉยเมย เฉียวมู่จึงทำได้เพียงอดทนโดยไม่ได้พูดอะไรผ่านไปไม่นาน หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็แยกย้ายกันจากนั้นซ่งสือเวยก็บอกลาเฉียวมู่อีกครั้งแล้วกลับบ้านคืนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ยังไม่กลับบ้านซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอยุ่งอยู่กับการจัดสัมภาระส่วนสุดท้ายตอนเช้าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ก็รู้ว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับบ้านแล้วพวกเขาก็ควรกลับมาได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องย้ายไปบ้านใหม่เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า บ้านใหม่ของพวกเขาและในอนาคตของพวกเขาจะไม่มีเธออีกแล้วเสียงรบกวนด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าคงกำลังย้ายสัมภาระ ซ่งสือเวยไม่สนใจจะฟัง หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว แม่ซ่งก็โทรมาเมื่อรับสาย น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ซ่งก็ดังขึ้น“เวยเวย เที่ยวบินกี่โมง พวกแม่จะไปรับที่สนามบิน”ซ่งสือเวยเปิดแอปพลิเคชันดูตั๋วเครื่องบินครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา

Bab terbaru

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 29

    ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 28

    ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 27

    หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 26

    ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 25

    ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 24

    กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 23

    ซ่งสือเวยลองชุดแต่งงานอยู่ จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นติดกันหลายครั้งเธอกำลังยุ่งกับการจัดปลายกระโปรง จึงไม่มีเวลาไปดูดังนั้นเธอจึงก้มหน้า รีบเอ่ยปากว่า “อาฉือ ช่วยฉันดูข้อความหน่อย”กู้ฉือหลานที่อยู่ด้านข้างสวมชุดสูทสีดำ ซึ่งขับให้รูปร่างดูสูงโปร่งยิ่งขึ้น“ได้”เขาพิงกำแพงครึ่งตัว หยิบโทรศัพท์ของซ่งสือเวยมา กดชื่อย่อและวันเกิดของเธอลงไปเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ตอนที่เห็นข้อความของซ่งสือเวย กู้ฉือหลานก็นิ่งเงียบไปทันที หลังจากนั้นก็อ่านออกมา“เวยเวย อวิ๋นเซินกับอาซื่อบอกว่าอยากเข้าร่วมงานแต่งของลูก ลูกลองดูว่า...ตกลงอยากจะให้พวกเขาไปไหม?”ดวงตาของเขามืดมนลง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความหึงหวงเล็กน้อย “เวยเวย เธอว่าไง? อยากจะให้พวกเขามาร่วมงานแต่งงานของฉันไหม?”กู้ฉือหลานเดินเข้ามาหลายก้าว ยืนอยู่ด้านหลังซ่งสือเวย โบกมือไล่พนักงานสาวที่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และช่วยเธอจัดปลายกระโปรงด้วยตัวเองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง แทบจะโอบรอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขนนิ้วมือที่เรียวยาวและแบ่งข้อชัดเจนเคลื่อนไปตามชายกระโปรง แต่กลับเกิดความรู้สึกที่คลุมเครือขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล“อาฉือ... หรือว่า...หรือว่าอย่

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 22

    เซี่ยงหานคุกเข่าอยู่นอกวิลล่าอย่างดื้อรั้นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหว เป็นลมไปแล้วหลังจากฟื้นมา ข้างกายก็ไร้เงาร่างของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อปรากฏตัวออกมาเธอยังคงอยู่ในห้องเช่าของเธอนอกห้องมีเสียงพูดคุยของพ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงดังขึ้นมา“วันนี้กลับบ้านกัน จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว เซี่ยงหานคงไม่ยอมฟังอย่างว่าง่าย เธอมีขานะ จะต้องวิ่งหนีอีกแน่ ๆ พวกเราฉวยโอกาสตอนเธอยังสลบอยู่กลับไปด้วยกันเถอะ!”แม่เซี่ยงพูดอย่างรีบร้อนพ่อเซี่ยงก็พยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ได้”หลังจากนั้น ประตูถูกผลักออก เซี่ยงหานก็ดิ้นรนวิ่งออกไป ด้วยความเร็วที่สุดแม้แต่รองเท้ายังไม่ทันได้ใส่ แต่เธอไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยเซี่ยงหานไม่รู้ว่าควรจะไปขอร้องใครแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อต่างก็เย็นชาขนาดนั้นในขณะที่ตื่นตะหนก จู่ ๆ เซี่ยงหานก็นึกถึงซ่งสือเวยขึ้นมา“ใช่แล้ว! เธอจิตใจดีและใจอ่อนง่ายขนาดนั้น จะต้องยกโทษให้ฉันแน่นอน!”ดังนั้นเซี่ยงหานจึงนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองหลวง และมุ่งหน้าไปหาซ่งสือเวยลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อรู้ข่าวนี้เข้า ก็รีบให้คนที่อยู่เมืองหลวงสกัดกั้นเซี่ยงหาน ไม่ให้เธอมี

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 21

    เสียงแหบที่ไร้ปรานีของเทศกิจทิ่มแทงหัวใจของเซี่ยงหานจนเจ็บปวดอย่างแรงเธอกระทืบเท้าไปทีหนึ่ง และตอบกลับด้วยความโมโห “พอได้แล้ว ฉันไปก็พอแล้วใช่ไหม!”เซี่ยงหานเพิ่งโทรศัพท์เรียกรถขนของมาย้ายสัมภาระของเธอไปเธอไร้ที่ไป คนขับก็เริ่มใจร้อนอยู่บ้าง ถามอยู่หลายครั้งว่าเธอต้องการจะไปที่ไหนกันแน่ผ่านไปนานมากแล้ว เธอจึงฝืนเรียกชื่อชุมชนที่เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ออกไป “ไปชุมชนหลานเซียงแล้วกัน”เธอทำได้เพียงติดต่อเจ้าของคนก่อนเพื่อพูดคุยเรื่องต่อสัญญาเท่านั้นยังดีที่เพิ่งผ่านได้ไม่กี่วัน เจ้าของบ้านจึงยังไม่ทันได้ขายออกไปเซี่ยงหานเพิ่งกลับมายังชุมชนหลานเซียง สิ่งที่สะดุดตาก็คือคนแก่และเด็กครอบครัวหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าประตูของชุมชนแม้คนตระกูลเซี่ยงจะสวมเสื้อผ้าล้าสมัย แต่กลับยังถือว่าสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบอยู่เพียงแต่ในใจของเซี่ยงหานเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทัศนคติที่มีต่อพวกเขาย่อมไม่ดีเธอยังคิดจะบอกให้คนขับเลี้ยวกลับไป แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คนขับรถมาถึงที่หมาย ก็ลงจากรถและช่วยขนสัมภาระแล้ว“เซี่ยงหาน! คืนเงินมา!”เซี่ยงหานยังไม่ทันได้ลงจากรถ พ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงก็ล้อมอยู่ใก

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status