แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: ชอบกินหมั่นโถว
ซ่งสือเวยฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาอย่างยากลำบาก เธอพิงกำแพง ถือยาไว้ในมือแน่น ขณะที่ปิดหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้สูดเกสรดอกไม้เข้าไปอีกครั้ง

ยังไม่ทันได้มีเวลาพักหายใจเพียงชั่วครู่ หูก็ได้ยืนเสียงซักไซ้ของลู่อวิ๋นเซิน

“เธอเพ่งเล็งเซี่ยงหานขนาดนี้เลยเหรอ ดอกไม้พวกนี้ที่เซี่ยงหานเพิ่งให้พวกเรา เธอต้องทำลายมันด้วยเหรอ!”

เสียงโกรธเกรี้ยวของฉีซื่อดังตามมา

“ซ่งสือเวย ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เธอไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้!”

ได้ยินแบบนี้ ซ่งสือเวยก็สูดหายใจเข้าลึก

เธอตัวสั่นไปทั้งร่าง ทั้งยังโกรธมาก มีความเดือดดาลมากมายที่อยากระบายออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นเพียงสะอื้นประโยคหนึ่งขณะที่เบ้าตาแดงก่ำ

“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? เป็นฉันที่เปลี่ยนไป หรือพวกนายที่เปลี่ยนไปกันแน่”

“ฉันเป็นโรคหอบหืด ทั้งยังแพ้เกสรดอกไม้ด้วย พวกนายไม่รู้เหรอ?”

น้ำเสียงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

ทว่าแต่ละคำล้วนราวกับเสียงฟ้าผ่า ซึ่งระเบิดเข้าหูของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ

เมื่อก่อนพวกเขากังวลเรื่องซ่งสือเวยมากที่สุด

ทุกครั้งที่ซ่งสือเวยมีอาการหอบหืด ก็เป็นทั้งสองคนนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุด ต่อให้ต้องปีนกำแพงโดดเรียนก็ต้องวิ่งกลับมา คอยเฝ้าอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ คอยยกชาเสิร์ฟน้ำให้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเรียกให้ทั้งสองคนออกไปได้

ทว่าตอนนี้ แม้แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้พวกเขาก็ลืมไปหมดแล้ว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำนึกได้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่ ใบหน้ามืดครึ้มของลู่อวิ๋นเซิน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เผยความรู้สึกขอโทษออกมาบนใบหน้าเย็นชา

“ขอโทษ”

ฉีซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงความทรงจำในอดีตที่เมื่อซ่งสือเวยมีอาการป่วยเล็กน้อย พวกเขาก็คอยอยู่ข้างเธอหลายต่อหลายครั้ง เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าเธอเจ็บปวดมากเพียงใด เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “เธอ เมื่อกี้ไม่เป็นไรใช่ไหม? ขอโทษนะ ดอกไม้พวกนี้เป็นเซี่ยงหานที่ออกไปเก็บข้างนอกด้วยตัวเอง เธอตั้งใจมาก ดังนั้นฉันก็เลยร้อนใจขนาดนี้”

ซ่งสือเวยนิ่งเงียบไม่ได้ตอบกลับ

เมื่อเห็นเธอใช้ยาแล้ว และสีหน้าก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็รีบเก็บดอกไม้ออกไป

หลังจากนั้นหลายวัน ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ไม่ได้กลับบ้าน

ไฟในห้องของพวกเขาไม่ได้เปิดเลย

ซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกัน เธอยุ่งกับการเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง

หลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางเกือบเสร็จแล้ว เธอจึงเพิ่งเริ่มมองพิจารณาบ้านหลังนี้

ตอนแรกเธอซื้อที่นี่ ต่อมา ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเพราะอยากอยู่ใกล้เธอ จึงซื้อบ้านทั้งซ้ายขวา หลังจากเชื่อมเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นบ้านในปัจจุบัน

ดังนั้น บ้านในตอนนี้จึงเป็นของเธอเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น

หากต้องการขายทิ้ง ก็ยุ่งยากอยู่บ้าง

วันนี้ในที่สุดลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็กลับมา ทว่ากลับบังเอิญเจอนายหน้าที่มาคุยเรื่องดูบ้านกับซ่งสือเวยพอดี

เมื่อเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในบ้าน ลู่อวิ๋นเซินก็มีสีหน้าเย็นชาทันที “คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?”

เมื่อเผชิญกับสายตากดดันสองคู่ นายหน้าหนุ่มก็ตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน แต่ก็ยังพูดอธิบายอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีครับคุณผู้ชายทั้งสองท่าน ผมเป็นนายหน้า เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าต้องการขายบ้านหลังนี้ครับ”

ขายบ้าน?

ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองความตกตะลึงในแววตาของอีกฝ่ายออก

พวกเขามีสีหน้าเย็นชา กำลังจะไล่คนออกไป แต่วินาทีต่อมา ซ่งสือเวยก็ลงมาชั้นล่างพอดี

“เป็นฉันเองที่ต้องการขายบ้าน ฉันกำลังจะบอกเรื่องนี้กับพวกนายพอดี”

ได้ยินคำพูดนี้ ในใจลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็บีบรัดทันที และพูดพร้อมกันว่า “ทำไมต้องขายด้วย? ไม่ใช่ว่าก็อยู่กันมาดี ๆ เหรอ?”

ฉีซื่อนึกถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมา ก็ราวกับรู้สาเหตุ จึงถามออกมาตามตรง “เธอยังโกรธเพราะเรื่องเมื่อหลายวันก่อนอยู่ใช่ไหม?”

เขาตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวขอโทษในแบบที่หาได้ยาก “พวกเราไม่ได้ตั้งใจลืมว่าเธอแพ้เกสรดอกไม้ เธอต้องทำเรื่องเด็ดขาดขนาดนี้เลยเหรอ?”

ซ่งสือเวยส่ายศีรษะอย่างใจเย็น “ไม่เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อน...”

เกี่ยวกับพวกนายต่างหาก

ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับพวกนายอีกแล้ว

แม้จะคิดแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา และพูดเพียงว่า “พวกนายก็รู้ว่าฉันลาออกแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนงาน ก็เลยไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันทุกวันแล้วก็ได้”

ลู่อวิ๋นเซินมีสีหน้ามืดครึ้ม ยังคงไม่ยอมแพ้

“ถ้าสาเหตุเป็นเพราะงาน ก็มีฉันกับอาซื่อไปรับส่งเธอทำงานอยู่ เธอไม่ต้องกังวลหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็บอกเองว่าพวกเราอยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ ต่างฝ่ายต่างก็คุ้นเคยกันแล้ว ทำไมจะต้องแยกกันด้วย”

“ใช่ มีฉันกับอวิ๋นเซินอยู่ อย่างแย่สุดก็ยังให้คนขับรถคอยรับส่งเธอได้ ฉันไม่เห็นด้วยที่จะแยกกันอยู่” ฉีซื่อก็เอ่ยว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าไม่อาจโน้มน้าวพวกเขาได้ ซ่งสือเวยก็ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องยืนกรานแบบนี้

เธองัดไพ่ตายออกมา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นก็ขายบ้านหลังนี้ก่อน และไว้ค่อยซื้อบ้านสักหลังที่ใหญ่กว่าเดิมสักหน่อย ถึงตอนนั้นก็ยังพาเซี่ยงหานมาอยู่ด้วยกันได้”

ได้ยินชื่อเซี่ยงหาน ทั้งสองคนก็ดวงตาเป็นประกาย และลังเลในขณะเดียวกัน

สุดท้ายฉีซื่อก็ไม่อาจต้านทานข้อเสนอนี้ได้ และพูดขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าพูดแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

มีเพียงลู่อวิ๋นเซินที่ครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ และมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน “เธอเต็มใจ...จะให้เซี่ยงหานมาอยู่ด้วยกันเหรอ?”

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเหมือนที่เขาจินตนาการไว้

แต่ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญ ซ่งสือเวยก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “แน่นอนสิ ทำไมจะไม่เต็มใจล่ะ? ก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น”

เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“เอาแบบนี้เถอะ ขายบ้านหลังนี้ทิ้งแล้วค่อยซื้อใหม่”

หลังจากพูดออกไป ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้คัดค้านอีก

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 7

    ในที่สุดก็จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อย ซ่งสือเวยจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกความกดดันบนตัวหายไปมากในทันทีขณะที่เซ็นสัญญา ซ่งสือเวยก็สังเกตเห็นว่า วันนั้นที่จัดการขั้นตอนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เป็นวันที่เธอออกเดินทางพอดีเป็นแบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องอธิบายกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อทันทีที่เซ็นชื่อของตัวเอง ทั้งร่างของเธอก็ผ่อนคลายอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะจบลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงเรื่องสุดท้ายเท่านั้นเธอไปที่ห้องสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลือกอย่างพิถีพิถัน ซื้อเครื่องนวดกับสร้อยข้อมือหยกคู่หนึ่ง และไปที่บ้านของคุณป้าทันทีที่เข้าไป ป้าซ่งก็รีบเข้ากอดซ่งสือเวยไว้ในอ้อมแขน“เวยเวย ป้าไม่อยากให้หนูไปเลยจริง ๆ หนูอยู่ที่ไห่เฉิงมาหลายปีขนาดนี้ ป้ามองหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ถ้าหนูไปแบบนี้ ป้าคงไม่ชินจริงๆ”ป้าซ่งเช็ดน้ำตา จับมือซ่งสือเวยแน่นไม่ยอมปล่อยซ่งสือเวยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาบ้าง ขณะที่ฝืนยิ้มและปลอบใจป้าซ่ง “ป้าคะ หนูก็ไม่อยากไปจากป้าเหมือนกัน แต่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว เครื่องบินกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็สะดวกมาก วันตรุษจีนก็ยังมาเจอกันได้นะคะ”ป้า

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 8

    ซ่งสือเวยหันกลับไป เมื่อทั้งสองคนยืนยันได้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกลู่อวิ๋นเซินก้าวไปข้างหน้า คว้ามือเธอไว้ “เธอไม่ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางหรอก มันทั้งเยอะและเหนื่อยเกินไป ถึงเวลาฉันจะเรียกคนขับรถที่บ้านฉันมา แล้วพวกเราค่อยบ้านไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน”ฉีซื่อก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันในตอนนี้ ซ่งสือเวยราวกับเห็นแววตาของพวกเขาที่เคยมีเพียงเธอเหมือนในอดีตจำได้ว่าตอนยังเด็ก ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันทั้งวันแต่ตอนนี้ คำสัญญาในวัยเด็กสุดท้ายก็กลายเป็นคำโกหกซ่งสือเวยเหลือบมองเซี่ยงหาน พลางส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอก มีของมากมายที่ฉันต้องไปจัดการ”พูดจบ ก็ไม่สนใจท่าทีของทั้งสองคน เธอหันหลังเดินจากไปหลังกลับมาที่บ้าน เธอก็เก็บกระเป๋าเดินทางครู่หนึ่ง ก่อนจะอาบน้ำ ขณะที่เพิ่งล้มตัวลงนอน จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยงหานเสียงนุ่มนวลของเธอส่งผ่านมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจที่ปิดไม่มิด“พี่เวยเวย เย็นนี้ฉันไปที่ตระกูลลู่กับตระกูลฉีมา พ่อแม่ของอวิ๋นเซินกับอาซื่อดีต่อฉันมากเลย”“พ่อแม่ของพวกเขายังเอาสมบัติสืบทอดประจำตระกูลออกมา บอกว่าจะให้ฉันด้วย พี่ว่า

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 9

    พูดจบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็พาเซี่ยงหานไปนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ซ่งสือเวยชายหนุ่มทั้งสองแย่งกันตักอาหารให้เซี่ยงหาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเฉียวมู่เห็นฉากนี้ก็โกรธจนแทงสเต๊กเละ แต่ซ่งสือเวยยังคงมีท่าทีเฉยเมย เฉียวมู่จึงทำได้เพียงอดทนโดยไม่ได้พูดอะไรผ่านไปไม่นาน หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็แยกย้ายกันจากนั้นซ่งสือเวยก็บอกลาเฉียวมู่อีกครั้งแล้วกลับบ้านคืนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ยังไม่กลับบ้านซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอยุ่งอยู่กับการจัดสัมภาระส่วนสุดท้ายตอนเช้าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ก็รู้ว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับบ้านแล้วพวกเขาก็ควรกลับมาได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องย้ายไปบ้านใหม่เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า บ้านใหม่ของพวกเขาและในอนาคตของพวกเขาจะไม่มีเธออีกแล้วเสียงรบกวนด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าคงกำลังย้ายสัมภาระ ซ่งสือเวยไม่สนใจจะฟัง หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว แม่ซ่งก็โทรมาเมื่อรับสาย น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ซ่งก็ดังขึ้น“เวยเวย เที่ยวบินกี่โมง พวกแม่จะไปรับที่สนามบิน”ซ่งสือเวยเปิดแอปพลิเคชันดูตั๋วเครื่องบินครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 10

    ซ่งสือเวยขึ้นเครื่องบินโดยไม่หันกลับมา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะเป็นอย่างไรขณะที่เครื่องบินขึ้น เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทว่าในวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบที่ไห่เฉิง กลับมีบรรยากาศกดดันจนน่ากลัวผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพาเซี่ยงหานมาที่วิลล่าริมอ่าวทะเลสาบ แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นเงาของซ่งสือเวยในวิลล่ามีเพียงสัมภาระของพวกเขาทั้งสามคน แต่กลับไม่เห็นร่องรอยสัมภาระของซ่งสือเวยเลยลู่อวิ๋นเซินตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเรื่องที่ยากจะคาดเดาบางอย่างกำลังเกิดขึ้นฉีซื่อซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา มีสีหน้าไม่น่ามองอย่างน่าประหลาดเช่นกันเซี่ยงหานที่รู้เรื่องอยู่แก่ใจ กลับไม่คิดจะพูดอะไรเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงเงียบ เธอก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน“พี่เวยเวยอาจจะยังเก็บของไม่เสร็จ ทำไมพวกเราไม่ให้คนจัดของก่อนล่ะ ไม่ใช่บอกว่าเย็นนี้จะกินข้าวด้วยกันเหรอ พี่เวยเวยไม่มีทางลืมแน่นอน”แม้ลู่อวิ๋นเซินจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจกลับไม่สบายใจเขาไม่ได้ขยับตัวอยู่นาน ทว่าในใจกลับเร่งเร้าให้เขาออกไปข้างนอกฉีซื่อมองบนโทรศัพท์ซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับลู่อ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 11

    ฉีซื่อนึกย้อนทุกอย่างขึ้นมาได้ทุกความผิดปกติของซ่งสือเวยในช่วงนี้ ตอนนี้ได้ผุดขึ้นมาในใจในคราวเดียวลู่อวิ๋นเซินก็เงียบไปเช่นกันบางทีตั้งแต่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ซ่งสือเวยอาจจะวางแผนจากไปไว้แล้วหรือว่าเซี่ยงหานมีอิทธิพลต่อซ่งสือเวยมากขนาดนั้นเลย?เพิ่งนึกถึงเซี่ยงหาน ก็มีสายจากเซี่ยงหานโทรเข้ามา“อาซื่อ อวิ๋นเซิน ฉันรอพวกนายอยู่ที่ร้านอาหารแล้วนะ ตกลงกันว่าจะกินข้าวเลี้ยงฉลองกันนี่ พวกนายอยู่ไหนล่ะ?”ฉีซื่อถือโทรศัพท์ แต่ผ่านไปนานกลับไม่ได้ตอบกลับผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเพิ่งพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เซี่ยงหาน อย่าเพิ่งเลี้ยงฉลองกันเลย ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”ซ่งสือเวยไม่อยู่ที่นี่แล้ว การรวมตัวกินข้าวด้วยกันจะไปมีความหมายอะไร?ลู่อวิ๋นเซินเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ เขามองไปทางโทรศัพท์ที่แตกเป็นชิ้น ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ทันใดนั้นก็มีนายหน้าหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยเดินนำชายสวมเสื้อคลุมสีเทาคนหนึ่งมา“คุณผู้ชาย คุณดูบ้านหลังนี้สิครับ...”นายหน้าหนุ่มเค้นสมองแนะนำข้อดีของบ้านให้ชายสวมเสื้อคลุมสีเทาเมื่อเห็นลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ นายหน้าหนุ่มก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย“คุณลู่ คุณฉี ท

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 12

    เซี่ยงหานโทรออกด้วยความกังวลไปไม่รู้กี่สาย แต่ฉีซื่อกลับไม่รับสายเลยวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบก็เย็นสบายเหมือนกันอยู่ที่ไหนก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีความแตกต่างจนกระทั่งตกดึก อุณหภูมิลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดทั้งสองคนก็นั่งต่อไม่ไหว จึงทำได้เพียงกลับไปที่วิลล่าริมอ่าวทะเลสาบทันทีที่ประตูเปิดออก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือเซี่ยงหานซึ่งนั่งงีบอยู่บนโซฟาวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบมีแสงสีเหลืองนวล มองดูสลัวแต่ก็อบอุ่นทว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องพวกนี้“ทำไมเธอยังไม่นอนอีก?”ในน้ำเสียงของฉีซื่อมีความงัวเงีย ทั้งยังมีความหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยเขาไม่มีอารมณ์จะมาดูแลคนป่วยสักคนอีกแล้วจริง ๆลู่อวิ๋นเซินเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งยังทิ้งคำพูดเย็นชาไว้หนึ่งประโยค“ถึงเวลาก็ควรไปนอน หลังจากนี้ไม่ต้องรอพวกเราอีก”เซี่ยงหานขดตัวอยู่ในโซฟานุ่ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงเขียนอยู่เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออ่อนโยนต่อเธอมากขนาดนั้น หรือเป็นเพราะซ่งสือเวยจากไป พวกเขาก็เลยเย็นชาแบบนี้?เซี่ยงหานก้าวเดินไปมาที่ห้องของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 13

    เห็นฉีซื่อเดินมา ลู่อวิ๋นเซินก็รีบดับบุหรี่“มาแล้วเหรอ? ฉันช่วยนายซื้อตั๋วเครื่องบินไปเมืองหลวงที่เร็วที่สุดแล้ว พวกเราไปหาเธอกันเถอะ คนยิ่งเยอะก็ยิ่งมีหวัง”ฉีซื่อไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้มากนัก จึงรีบพยักหน้าตกลงทั้งสองคนขึ้นรถ ฉีซื่อไม่สนใจว่าความเร็วจะเกินกำหนด และขับรถสปอร์ตคันหนึ่งราวกับกำลังแข่งรถหลังจากความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็มาถึงสนามบิน พวกเขาไม่ได้นำข้าวของติดตัวมาด้วยเลย ในใจเหลือเพียงความคิดเดียว นั่นคือรีบไปหาซ่งสือเวยที่เมืองหลวง!พวกเขาเกรงว่าหากช้าลงอีกนิดเดียว อาจเกิดเรื่องที่ทำให้พวกเขารับไม่ได้ขึ้นมาขณะที่เครื่องบินขึ้น ท้องฟ้าก็เพิ่งสว่างในใจลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อวิตกกังวลจนไม่อาจสงบได้ขณะเดียวกัน ซ่งสือเวยซึ่งอยู่เมืองหลวงก็นอนไม่หลับทั้งคืนเธอตื่นขึ้นมาแต่งหน้าเปลี่ยนชุดตั้งแต่เช้าวันนี้เป็นวันที่เธอกับกู้ฉือหลานจะไปจดทะเบียนสมรสทว่าจนถึงตอนนี้ จำนวนครั้งที่เธอกับกู้ฉือหลานได้พบกัน ก็สามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียวแม้แต่ซ่งสือเวยก็คิดไม่ถึงว่าคู่หมั้นของเธอจะเป็นกู้ฉือหลาน!ชื่อนี้มักจะปรากฏขึ้นจากปากของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซ่

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 14

    ฉีซื่อยืนสับสนอยู่ที่เดิม การแสดงออกบนใบหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้งสุดท้ายบนใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มฝืนที่ดูไม่น่ามองยิ่งกว่าร้องไห้ออกมาเขาขยับริมฝีปากหลายครั้ง จึงเพิ่งเปล่งเสียงพูดออกมาได้“เวยเวย เธอไปหานักแสดงมาจากที่ไหน? แสดงไม่ได้เรื่องเลยสักนิด อย่าหลอกพวกเราเลย”แม้จะมีแหวนกับทะเบียนสมรสชัดเจนอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังไม่เชื่อซ่งสือเวยไม่คิดว่าจะได้เจอพวกเขาเร็วขนาดนี้เพียงแต่เธอไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาต่อตั้งนานแล้ว“เขาไม่ใช่นักแสดงที่ฉันหามาหรอก ทำให้พวกนายต้องผิดหวังแล้ว อย่างที่พวกนายเห็น ฉันแต่งงานแล้ว”เธอพูดอย่างไม่ยี่หระ ทั้งยังเปิดทะเบียนสมรสในมือ สะบัดไปมาตรงหน้าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกู้ฉือหลานก็โอบเอวของซ่งสือเวยอย่างใจเย็น และพยักหน้าให้พวกเขาอย่างสุภาพ“สวัสดีครับ ผมขอแนะนำตัวเองสักหน่อย ผมเป็นสามีของเวยเวย ชื่อว่ากู้ฉือหลาน”ดวงตาของเขาเป็นสีอ่อน ซึ่งเป็นสีอำพันอันงดงามแววตาที่มองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างสบาย ๆ แบบนี้ เหมือนเป็นการมองจากมุมที่สูงกว่าชนิดที่ไม่เห็นอยู่ในสายตารูม่านตาของลู่อวิ๋นเซินหดแคบลง ขณะที่โทสะไม่ทราบที่มาสายหนึ่งปะทุขึ้นในใจ

บทล่าสุด

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 29

    ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 28

    ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 27

    หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 26

    ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 25

    ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 24

    กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 23

    ซ่งสือเวยลองชุดแต่งงานอยู่ จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นติดกันหลายครั้งเธอกำลังยุ่งกับการจัดปลายกระโปรง จึงไม่มีเวลาไปดูดังนั้นเธอจึงก้มหน้า รีบเอ่ยปากว่า “อาฉือ ช่วยฉันดูข้อความหน่อย”กู้ฉือหลานที่อยู่ด้านข้างสวมชุดสูทสีดำ ซึ่งขับให้รูปร่างดูสูงโปร่งยิ่งขึ้น“ได้”เขาพิงกำแพงครึ่งตัว หยิบโทรศัพท์ของซ่งสือเวยมา กดชื่อย่อและวันเกิดของเธอลงไปเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ตอนที่เห็นข้อความของซ่งสือเวย กู้ฉือหลานก็นิ่งเงียบไปทันที หลังจากนั้นก็อ่านออกมา“เวยเวย อวิ๋นเซินกับอาซื่อบอกว่าอยากเข้าร่วมงานแต่งของลูก ลูกลองดูว่า...ตกลงอยากจะให้พวกเขาไปไหม?”ดวงตาของเขามืดมนลง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความหึงหวงเล็กน้อย “เวยเวย เธอว่าไง? อยากจะให้พวกเขามาร่วมงานแต่งงานของฉันไหม?”กู้ฉือหลานเดินเข้ามาหลายก้าว ยืนอยู่ด้านหลังซ่งสือเวย โบกมือไล่พนักงานสาวที่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และช่วยเธอจัดปลายกระโปรงด้วยตัวเองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง แทบจะโอบรอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขนนิ้วมือที่เรียวยาวและแบ่งข้อชัดเจนเคลื่อนไปตามชายกระโปรง แต่กลับเกิดความรู้สึกที่คลุมเครือขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล“อาฉือ... หรือว่า...หรือว่าอย่

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 22

    เซี่ยงหานคุกเข่าอยู่นอกวิลล่าอย่างดื้อรั้นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหว เป็นลมไปแล้วหลังจากฟื้นมา ข้างกายก็ไร้เงาร่างของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อปรากฏตัวออกมาเธอยังคงอยู่ในห้องเช่าของเธอนอกห้องมีเสียงพูดคุยของพ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงดังขึ้นมา“วันนี้กลับบ้านกัน จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว เซี่ยงหานคงไม่ยอมฟังอย่างว่าง่าย เธอมีขานะ จะต้องวิ่งหนีอีกแน่ ๆ พวกเราฉวยโอกาสตอนเธอยังสลบอยู่กลับไปด้วยกันเถอะ!”แม่เซี่ยงพูดอย่างรีบร้อนพ่อเซี่ยงก็พยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ได้”หลังจากนั้น ประตูถูกผลักออก เซี่ยงหานก็ดิ้นรนวิ่งออกไป ด้วยความเร็วที่สุดแม้แต่รองเท้ายังไม่ทันได้ใส่ แต่เธอไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยเซี่ยงหานไม่รู้ว่าควรจะไปขอร้องใครแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อต่างก็เย็นชาขนาดนั้นในขณะที่ตื่นตะหนก จู่ ๆ เซี่ยงหานก็นึกถึงซ่งสือเวยขึ้นมา“ใช่แล้ว! เธอจิตใจดีและใจอ่อนง่ายขนาดนั้น จะต้องยกโทษให้ฉันแน่นอน!”ดังนั้นเซี่ยงหานจึงนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองหลวง และมุ่งหน้าไปหาซ่งสือเวยลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อรู้ข่าวนี้เข้า ก็รีบให้คนที่อยู่เมืองหลวงสกัดกั้นเซี่ยงหาน ไม่ให้เธอมี

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 21

    เสียงแหบที่ไร้ปรานีของเทศกิจทิ่มแทงหัวใจของเซี่ยงหานจนเจ็บปวดอย่างแรงเธอกระทืบเท้าไปทีหนึ่ง และตอบกลับด้วยความโมโห “พอได้แล้ว ฉันไปก็พอแล้วใช่ไหม!”เซี่ยงหานเพิ่งโทรศัพท์เรียกรถขนของมาย้ายสัมภาระของเธอไปเธอไร้ที่ไป คนขับก็เริ่มใจร้อนอยู่บ้าง ถามอยู่หลายครั้งว่าเธอต้องการจะไปที่ไหนกันแน่ผ่านไปนานมากแล้ว เธอจึงฝืนเรียกชื่อชุมชนที่เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ออกไป “ไปชุมชนหลานเซียงแล้วกัน”เธอทำได้เพียงติดต่อเจ้าของคนก่อนเพื่อพูดคุยเรื่องต่อสัญญาเท่านั้นยังดีที่เพิ่งผ่านได้ไม่กี่วัน เจ้าของบ้านจึงยังไม่ทันได้ขายออกไปเซี่ยงหานเพิ่งกลับมายังชุมชนหลานเซียง สิ่งที่สะดุดตาก็คือคนแก่และเด็กครอบครัวหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าประตูของชุมชนแม้คนตระกูลเซี่ยงจะสวมเสื้อผ้าล้าสมัย แต่กลับยังถือว่าสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบอยู่เพียงแต่ในใจของเซี่ยงหานเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทัศนคติที่มีต่อพวกเขาย่อมไม่ดีเธอยังคิดจะบอกให้คนขับเลี้ยวกลับไป แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คนขับรถมาถึงที่หมาย ก็ลงจากรถและช่วยขนสัมภาระแล้ว“เซี่ยงหาน! คืนเงินมา!”เซี่ยงหานยังไม่ทันได้ลงจากรถ พ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงก็ล้อมอยู่ใก

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status