Share

บทที่ 8

Author: ชอบกินหมั่นโถว
ซ่งสือเวยหันกลับไป เมื่อทั้งสองคนยืนยันได้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ลู่อวิ๋นเซินก้าวไปข้างหน้า คว้ามือเธอไว้ “เธอไม่ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางหรอก มันทั้งเยอะและเหนื่อยเกินไป ถึงเวลาฉันจะเรียกคนขับรถที่บ้านฉันมา แล้วพวกเราค่อยบ้านไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน”

ฉีซื่อก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

ในตอนนี้ ซ่งสือเวยราวกับเห็นแววตาของพวกเขาที่เคยมีเพียงเธอเหมือนในอดีต

จำได้ว่าตอนยังเด็ก ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันทั้งวัน

แต่ตอนนี้ คำสัญญาในวัยเด็กสุดท้ายก็กลายเป็นคำโกหก

ซ่งสือเวยเหลือบมองเซี่ยงหาน พลางส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอก มีของมากมายที่ฉันต้องไปจัดการ”

พูดจบ ก็ไม่สนใจท่าทีของทั้งสองคน เธอหันหลังเดินจากไป

หลังกลับมาที่บ้าน เธอก็เก็บกระเป๋าเดินทางครู่หนึ่ง ก่อนจะอาบน้ำ ขณะที่เพิ่งล้มตัวลงนอน จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยงหาน

เสียงนุ่มนวลของเธอส่งผ่านมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจที่ปิดไม่มิด

“พี่เวยเวย เย็นนี้ฉันไปที่ตระกูลลู่กับตระกูลฉีมา พ่อแม่ของอวิ๋นเซินกับอาซื่อดีต่อฉันมากเลย”

“พ่อแม่ของพวกเขายังเอาสมบัติสืบทอดประจำตระกูลออกมา บอกว่าจะให้ฉันด้วย พี่ว่าพวกเขา...”

ซ่งสือเวยขัดจังหวะการโอ้อวดของเธอ “ฉันไม่สนใจเรื่องของพวกเธอ เธอไม่ต้องเอาเรื่องพวกนี้มาบอกฉัน มันไม่ได้เกี่ยวกับฉัน”

ทันทีที่พูดจบ เธอก็วางสายไป

หนึ่งวันก่อนออกเดินทาง ซ่งสือเวยออกไปข้างนอก

วันนี้เธอมีนัดออกมากินข้าวกับเฉียวมู่โดยเฉพาะ เธอมีเพื่อนที่ไห่เฉิงไม่มาก ตั้งแต่เด็กจนโต ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็จำกัดวงสังคมของเธออย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่ไม่ให้คบหาแฟนหนุ่ม แต่ยังสอดมือเข้ามายุ่งกับจดหมายรักที่ได้รับจากผู้ชาย รวมถึงการคบหากับเพื่อนผู้หญิงด้วย

ตอนนั้นพวกเขาพูดอย่างน่าสงสารว่า “เวยเวย เธอมีพวกเราแล้วยังไม่พออีกเหรอ เธอดีขนาดนี้ ฉันกลัวว่าผู้หญิงจะชอบเธอด้วย”

พวกเขาแสดงความเป็นเจ้าของในตัวเธอจนทำให้คนกลัว ในแววตาหวังเพียงให้เธอมองมาที่พวกเขา

แต่ตอนนี้ พวกเขากลับเป็นคนผลักไสเธอด้วยมือตัวเอง

ในร้านอาหารตะวันตกที่เพิ่งเปิดใหม่ เฉียวมู่นั่งรออยู่ตรงที่นั่งครู่หนึ่งแล้ว

พอเห็นซ่งสือเวย เฉียวมู่ก็กอดเธอแน่น เมื่อคิดว่าเธอต้องจากไป ความอาวรณ์ก็คืบคลานเข้ามาที่หัวใจ

“เวยเวย ฉันไม่อยากให้เธอกลับไปแต่งงานที่เมืองหลวงเลย ฉันทำใจไม่ได้”

“เดิมทีฉันคิดว่าเธอจะแต่งงานกับลู่อวิ๋นเซินหรือฉีซื่อหนึ่งในนี้ซะอีก หลังจากนั้นก็จะอยู่ที่ไห่เฉิงไปตลอด ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะออกไปเที่ยวด้วยกันได้เสมอ”

ซ่งสือเวยได้ยินก็ยิ้มออกมาจาง ๆ “พวกเขามีตัวเลือกอื่น ฉันก็เหมือนกัน”

ได้ยินคำพูดนี้ เฉียวมู่ก็รู้สึกหมดหวังขึ้นมา

เธอนึกถึงเซี่ยงหาน ทันใดนั้นสีหน้าก็ดูไม่น่ามอง ทั้งยังพูดอย่างไม่พอใจ

“ก่อนหน้านี้เธอดีกับเซี่ยงหานขนาดนั้น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับ...”

ซ่งสือเวยขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม “ช่างเถอะ อย่าพูดถึงคนไม่มีค่าพวกนั้นเลย อีกหน่อยรอให้ฉันแต่งงานไปก็จะไม่ได้เจอเธออีก เธอจะทำตัววุ่นวายยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันแล้ว”

ทันทีที่เพิ่งพูดประโยคนี้จบ เซี่ยงหานก็เดินเข้ามาในร้านอาหาร

เนื่องจากโต๊ะของซ่งสือเวยกับเฉียวมู่อยู่ใกล้ประตู ดังนั้นเธอจึงได้ยินไปครึ่งหนึ่ง ทว่าไม่ได้ยินประโยคที่สมบูรณ์ และเดินมาพูดอย่างอยากรู้อยากเห็นทันที “พี่เวยเวย ใครจะแต่งงานเหรอ ฉันไปร่วมงานด้วยได้ไหม? ฉันยังไม่เคยไปเข้าร่วมงานแต่งเลย!”

ซ่งสือเวยแทบไม่เคยเจอคนที่ไม่รู้จักขอบเขตแบบนี้ แต่บางทีอาจจะชินกับการกระทำแปลกประหลาดของอีกฝ่ายแล้ว ประกอบกับตัวเองกำลังจะจากไป เธอจึงไม่ได้โกรธ เพียงแค่นิ่งสงบเท่านั้น

กลับเป็นเฉียวมู่ซึ่งอยู่ด้านข้างที่โกรธขึ้นมา จนโยนมีดกับส้อมลงบนโต๊ะตรง ๆ และจ้องเซี่ยงหานเขม็ง

“งานแต่งฉัน! เธอไม่มีสิทธิเข้าร่วม พอใจกับคำตอบนี้ไหม?”

“เธอรู้จักขอบเขตบ้างไหม พวกเรากับเธอสนิทกันมากเหรอ จะมาอยากรู้อะไร ถ้ามีรถขยะผ่านทางมาเธอก็ต้องเอาช้อนมาตักชิมตลอดเลยไหม”

เสียงของเฉียวมู่ดังขึ้นมา อีกทั้งคำพูดยังไม่น่าฟัง เซี่ยงหานขดร่างกายลงเล็กน้อย ท่าทางราวกับถูกทำให้ตกใจ ขณะที่น้ำตาร่วงเผาะทันที

เธอสะอื้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ มองไปทางลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อที่เพิ่งตามหลังเข้ามาในร้านอาหารโดยพลัน โดยที่ดวงตาโตทั้งสองข้างเต็มไปด้วยการขอความช่วยเหลือ

ลู่อวิ๋นเซินไม่ได้รู้ต้นสายปลายเหตุ เมื่อเข้ามาเห็นท่าทางน่าสงสารของเซี่ยงหาน ก็สีหน้ามืดครึ้มลงโดยไม่รู้ตัว และดึงเซี่ยงหานเข้าไปในอ้อมกอด

“มีฉันอยู่ ขอแค่เธอต้องการ ไม่ว่างานแต่งใครเธอก็มีสิทธิไปทั้งนั้น”

ฉีซื่อก็แย่งพูดขึ้นมา “มีฉันด้วย! อย่าว่าแต่งานแต่งเลย ต่อให้เธอต้องการดวงดาว ฉันก็จะปีนขึ้นไปบนท้องฟ้าเก็บดวงดาวมาให้เธอสดๆ ร้อนๆ เลย อย่าไปสนใจคนที่ไม่สำคัญพวกนั้นเลยนะ”

ผู้ชายทั้งสองคนทางฝั่งซ้ายและขวา ในที่สุดก็ปลอบใจจนเซี่ยงหานเปลี่ยนจากน้ำตาเป็นรอยยิ้มได้

Related chapters

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 9

    พูดจบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็พาเซี่ยงหานไปนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ซ่งสือเวยชายหนุ่มทั้งสองแย่งกันตักอาหารให้เซี่ยงหาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเฉียวมู่เห็นฉากนี้ก็โกรธจนแทงสเต๊กเละ แต่ซ่งสือเวยยังคงมีท่าทีเฉยเมย เฉียวมู่จึงทำได้เพียงอดทนโดยไม่ได้พูดอะไรผ่านไปไม่นาน หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็แยกย้ายกันจากนั้นซ่งสือเวยก็บอกลาเฉียวมู่อีกครั้งแล้วกลับบ้านคืนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ยังไม่กลับบ้านซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอยุ่งอยู่กับการจัดสัมภาระส่วนสุดท้ายตอนเช้าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ก็รู้ว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับบ้านแล้วพวกเขาก็ควรกลับมาได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องย้ายไปบ้านใหม่เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า บ้านใหม่ของพวกเขาและในอนาคตของพวกเขาจะไม่มีเธออีกแล้วเสียงรบกวนด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าคงกำลังย้ายสัมภาระ ซ่งสือเวยไม่สนใจจะฟัง หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว แม่ซ่งก็โทรมาเมื่อรับสาย น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ซ่งก็ดังขึ้น“เวยเวย เที่ยวบินกี่โมง พวกแม่จะไปรับที่สนามบิน”ซ่งสือเวยเปิดแอปพลิเคชันดูตั๋วเครื่องบินครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 10

    ซ่งสือเวยขึ้นเครื่องบินโดยไม่หันกลับมา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะเป็นอย่างไรขณะที่เครื่องบินขึ้น เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทว่าในวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบที่ไห่เฉิง กลับมีบรรยากาศกดดันจนน่ากลัวผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพาเซี่ยงหานมาที่วิลล่าริมอ่าวทะเลสาบ แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นเงาของซ่งสือเวยในวิลล่ามีเพียงสัมภาระของพวกเขาทั้งสามคน แต่กลับไม่เห็นร่องรอยสัมภาระของซ่งสือเวยเลยลู่อวิ๋นเซินตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเรื่องที่ยากจะคาดเดาบางอย่างกำลังเกิดขึ้นฉีซื่อซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา มีสีหน้าไม่น่ามองอย่างน่าประหลาดเช่นกันเซี่ยงหานที่รู้เรื่องอยู่แก่ใจ กลับไม่คิดจะพูดอะไรเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงเงียบ เธอก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน“พี่เวยเวยอาจจะยังเก็บของไม่เสร็จ ทำไมพวกเราไม่ให้คนจัดของก่อนล่ะ ไม่ใช่บอกว่าเย็นนี้จะกินข้าวด้วยกันเหรอ พี่เวยเวยไม่มีทางลืมแน่นอน”แม้ลู่อวิ๋นเซินจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจกลับไม่สบายใจเขาไม่ได้ขยับตัวอยู่นาน ทว่าในใจกลับเร่งเร้าให้เขาออกไปข้างนอกฉีซื่อมองบนโทรศัพท์ซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับลู่อ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 11

    ฉีซื่อนึกย้อนทุกอย่างขึ้นมาได้ทุกความผิดปกติของซ่งสือเวยในช่วงนี้ ตอนนี้ได้ผุดขึ้นมาในใจในคราวเดียวลู่อวิ๋นเซินก็เงียบไปเช่นกันบางทีตั้งแต่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ซ่งสือเวยอาจจะวางแผนจากไปไว้แล้วหรือว่าเซี่ยงหานมีอิทธิพลต่อซ่งสือเวยมากขนาดนั้นเลย?เพิ่งนึกถึงเซี่ยงหาน ก็มีสายจากเซี่ยงหานโทรเข้ามา“อาซื่อ อวิ๋นเซิน ฉันรอพวกนายอยู่ที่ร้านอาหารแล้วนะ ตกลงกันว่าจะกินข้าวเลี้ยงฉลองกันนี่ พวกนายอยู่ไหนล่ะ?”ฉีซื่อถือโทรศัพท์ แต่ผ่านไปนานกลับไม่ได้ตอบกลับผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเพิ่งพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เซี่ยงหาน อย่าเพิ่งเลี้ยงฉลองกันเลย ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”ซ่งสือเวยไม่อยู่ที่นี่แล้ว การรวมตัวกินข้าวด้วยกันจะไปมีความหมายอะไร?ลู่อวิ๋นเซินเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ เขามองไปทางโทรศัพท์ที่แตกเป็นชิ้น ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ทันใดนั้นก็มีนายหน้าหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยเดินนำชายสวมเสื้อคลุมสีเทาคนหนึ่งมา“คุณผู้ชาย คุณดูบ้านหลังนี้สิครับ...”นายหน้าหนุ่มเค้นสมองแนะนำข้อดีของบ้านให้ชายสวมเสื้อคลุมสีเทาเมื่อเห็นลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ นายหน้าหนุ่มก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย“คุณลู่ คุณฉี ท

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 12

    เซี่ยงหานโทรออกด้วยความกังวลไปไม่รู้กี่สาย แต่ฉีซื่อกลับไม่รับสายเลยวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบก็เย็นสบายเหมือนกันอยู่ที่ไหนก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีความแตกต่างจนกระทั่งตกดึก อุณหภูมิลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดทั้งสองคนก็นั่งต่อไม่ไหว จึงทำได้เพียงกลับไปที่วิลล่าริมอ่าวทะเลสาบทันทีที่ประตูเปิดออก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือเซี่ยงหานซึ่งนั่งงีบอยู่บนโซฟาวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบมีแสงสีเหลืองนวล มองดูสลัวแต่ก็อบอุ่นทว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องพวกนี้“ทำไมเธอยังไม่นอนอีก?”ในน้ำเสียงของฉีซื่อมีความงัวเงีย ทั้งยังมีความหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยเขาไม่มีอารมณ์จะมาดูแลคนป่วยสักคนอีกแล้วจริง ๆลู่อวิ๋นเซินเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งยังทิ้งคำพูดเย็นชาไว้หนึ่งประโยค“ถึงเวลาก็ควรไปนอน หลังจากนี้ไม่ต้องรอพวกเราอีก”เซี่ยงหานขดตัวอยู่ในโซฟานุ่ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงเขียนอยู่เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออ่อนโยนต่อเธอมากขนาดนั้น หรือเป็นเพราะซ่งสือเวยจากไป พวกเขาก็เลยเย็นชาแบบนี้?เซี่ยงหานก้าวเดินไปมาที่ห้องของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 13

    เห็นฉีซื่อเดินมา ลู่อวิ๋นเซินก็รีบดับบุหรี่“มาแล้วเหรอ? ฉันช่วยนายซื้อตั๋วเครื่องบินไปเมืองหลวงที่เร็วที่สุดแล้ว พวกเราไปหาเธอกันเถอะ คนยิ่งเยอะก็ยิ่งมีหวัง”ฉีซื่อไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้มากนัก จึงรีบพยักหน้าตกลงทั้งสองคนขึ้นรถ ฉีซื่อไม่สนใจว่าความเร็วจะเกินกำหนด และขับรถสปอร์ตคันหนึ่งราวกับกำลังแข่งรถหลังจากความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็มาถึงสนามบิน พวกเขาไม่ได้นำข้าวของติดตัวมาด้วยเลย ในใจเหลือเพียงความคิดเดียว นั่นคือรีบไปหาซ่งสือเวยที่เมืองหลวง!พวกเขาเกรงว่าหากช้าลงอีกนิดเดียว อาจเกิดเรื่องที่ทำให้พวกเขารับไม่ได้ขึ้นมาขณะที่เครื่องบินขึ้น ท้องฟ้าก็เพิ่งสว่างในใจลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อวิตกกังวลจนไม่อาจสงบได้ขณะเดียวกัน ซ่งสือเวยซึ่งอยู่เมืองหลวงก็นอนไม่หลับทั้งคืนเธอตื่นขึ้นมาแต่งหน้าเปลี่ยนชุดตั้งแต่เช้าวันนี้เป็นวันที่เธอกับกู้ฉือหลานจะไปจดทะเบียนสมรสทว่าจนถึงตอนนี้ จำนวนครั้งที่เธอกับกู้ฉือหลานได้พบกัน ก็สามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียวแม้แต่ซ่งสือเวยก็คิดไม่ถึงว่าคู่หมั้นของเธอจะเป็นกู้ฉือหลาน!ชื่อนี้มักจะปรากฏขึ้นจากปากของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซ่

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 14

    ฉีซื่อยืนสับสนอยู่ที่เดิม การแสดงออกบนใบหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้งสุดท้ายบนใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มฝืนที่ดูไม่น่ามองยิ่งกว่าร้องไห้ออกมาเขาขยับริมฝีปากหลายครั้ง จึงเพิ่งเปล่งเสียงพูดออกมาได้“เวยเวย เธอไปหานักแสดงมาจากที่ไหน? แสดงไม่ได้เรื่องเลยสักนิด อย่าหลอกพวกเราเลย”แม้จะมีแหวนกับทะเบียนสมรสชัดเจนอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังไม่เชื่อซ่งสือเวยไม่คิดว่าจะได้เจอพวกเขาเร็วขนาดนี้เพียงแต่เธอไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาต่อตั้งนานแล้ว“เขาไม่ใช่นักแสดงที่ฉันหามาหรอก ทำให้พวกนายต้องผิดหวังแล้ว อย่างที่พวกนายเห็น ฉันแต่งงานแล้ว”เธอพูดอย่างไม่ยี่หระ ทั้งยังเปิดทะเบียนสมรสในมือ สะบัดไปมาตรงหน้าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกู้ฉือหลานก็โอบเอวของซ่งสือเวยอย่างใจเย็น และพยักหน้าให้พวกเขาอย่างสุภาพ“สวัสดีครับ ผมขอแนะนำตัวเองสักหน่อย ผมเป็นสามีของเวยเวย ชื่อว่ากู้ฉือหลาน”ดวงตาของเขาเป็นสีอ่อน ซึ่งเป็นสีอำพันอันงดงามแววตาที่มองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างสบาย ๆ แบบนี้ เหมือนเป็นการมองจากมุมที่สูงกว่าชนิดที่ไม่เห็นอยู่ในสายตารูม่านตาของลู่อวิ๋นเซินหดแคบลง ขณะที่โทสะไม่ทราบที่มาสายหนึ่งปะทุขึ้นในใจ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 15

    ซ่งสือเวยปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ดี เมืองหลวงมีคุณพ่อคุณแม่และครอบครัวของฉันอยู่ ที่ไห่เฉิง...ฉันเบื่อแล้ว”ลู่อวิ๋นเซินยิ้มอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นใบหน้าก็เย็นชาลงอย่างรวดเร็ว“เวยเวย ฉันจะทำให้เธอเสียใจทีหลัง แล้วกลับมาหาพวกเรา!”“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไม่ให้โอกาสนี้กับพวกนาย”กู้ฉือหลานขยับนิ้วมือ บอดี้การ์ดกลุ่มนั้นก็ปิดปากลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ แถมยังมัดมือมัดเท้าของพวกเขา และโยนเข้าไปในเฮลิคอปเตอร์จู่ ๆ ก็ถูกภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ เห็นฉากที่ตนเองโหดเหี้ยมแบบนี้ กู้ฉือหลานยังมีความรู้สึกประหม่าอยู่ในใจเล็กน้อย“เวยเวย เธอจะกลัวที่ฉันเป็นแบบนี้หรือเปล่า?”เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในตระกูลกู้ได้ สิ่งที่อาศัยย่อมไม่ใช่วิธีที่นุ่มนวลเพียงแต่เขาไม่อยากแสดงด้านนี้ของตัวเองต่อหน้าซ่งสือเวยซ่งสือเวยมองใบหน้าของกู้ฉือหลาน ในขณะนั้น จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่า ระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลงมาเยอะมากในชั่วพริบตาเธอยิ้มพลางส่ายหน้า“จะเป็นไปได้ยังไง? จัดการแบบนี้ก็ดีแล้ว”ลดเรื่องกลุ่มใจไปสองเรื่อง แน่นอนว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ซ่งสือเวยคิดไม่ถึงว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะตามมาในกา

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 16

    ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเคยตกลงกัน ไม่ว่าตอนนั้นซ่งสือเวยจะเลือกใคร อีกคนหนึ่งจะต้องระงับความคิดที่ไม่ควรมีทั้งหมดไว้ในใจ และนับแต่นี้จะเป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้นแต่พวกเขาทั้งสองคิดไม่ถึงว่าซ่งสือเวยจะไม่เลือกใครเลยเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ?ทำไมบีบบังคับแค่ครั้งเดียวจุดจบถึงเป็นแบบนี้?ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อมองอีกฝ่าย ในใจก็เกิดความขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อยทำไมตอนนั้นถึงคิดไอเดียแย่ ๆ แบบนี้ออกมา?แม้ว่าตอนนั้นจะเร็วขึ้นอีกนิด หรือว่าช้าลงอีกหน่อย บางทีการที่พวกเขาทั้งสามรักษามิตรภาพก่อนหน้านี้ไว้ ก็อาจจะดีกว่าตอนนี้ซึ่งพบหน้ากันได้ยากมากเป็นพิเศษเฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนดาดฟ้าของวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบทั้งสองถูกบอดี้การ์ดจับโยนลงมาอย่างหมดสภาพ ผ่านไปไม่นาน เฮลิคอปเตอร์ก็บินขึ้นไปอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงดังก้องจากบนดาดฟ้า เซี่ยงหานก็รีบขึ้นมาตรวจสอบดูเห็นลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อถูกมัดมือมัดเท้า ดวงตาของเซี่ยงหานก็แดงก่ำ“พวกนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”เธอถามอย่างเป็นห่วง แถมยังช่วยแก้มัดให้ทั้งสองอย่างร้อนรนอีกลู่อวิ๋นเซินนวดข้อมือที่เขียวช้ำของตัวเองเบา ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ได้มองเซี่ย

Latest chapter

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 29

    ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 28

    ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 27

    หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 26

    ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 25

    ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 24

    กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 23

    ซ่งสือเวยลองชุดแต่งงานอยู่ จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นติดกันหลายครั้งเธอกำลังยุ่งกับการจัดปลายกระโปรง จึงไม่มีเวลาไปดูดังนั้นเธอจึงก้มหน้า รีบเอ่ยปากว่า “อาฉือ ช่วยฉันดูข้อความหน่อย”กู้ฉือหลานที่อยู่ด้านข้างสวมชุดสูทสีดำ ซึ่งขับให้รูปร่างดูสูงโปร่งยิ่งขึ้น“ได้”เขาพิงกำแพงครึ่งตัว หยิบโทรศัพท์ของซ่งสือเวยมา กดชื่อย่อและวันเกิดของเธอลงไปเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ตอนที่เห็นข้อความของซ่งสือเวย กู้ฉือหลานก็นิ่งเงียบไปทันที หลังจากนั้นก็อ่านออกมา“เวยเวย อวิ๋นเซินกับอาซื่อบอกว่าอยากเข้าร่วมงานแต่งของลูก ลูกลองดูว่า...ตกลงอยากจะให้พวกเขาไปไหม?”ดวงตาของเขามืดมนลง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความหึงหวงเล็กน้อย “เวยเวย เธอว่าไง? อยากจะให้พวกเขามาร่วมงานแต่งงานของฉันไหม?”กู้ฉือหลานเดินเข้ามาหลายก้าว ยืนอยู่ด้านหลังซ่งสือเวย โบกมือไล่พนักงานสาวที่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และช่วยเธอจัดปลายกระโปรงด้วยตัวเองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง แทบจะโอบรอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขนนิ้วมือที่เรียวยาวและแบ่งข้อชัดเจนเคลื่อนไปตามชายกระโปรง แต่กลับเกิดความรู้สึกที่คลุมเครือขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล“อาฉือ... หรือว่า...หรือว่าอย่

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 22

    เซี่ยงหานคุกเข่าอยู่นอกวิลล่าอย่างดื้อรั้นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหว เป็นลมไปแล้วหลังจากฟื้นมา ข้างกายก็ไร้เงาร่างของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อปรากฏตัวออกมาเธอยังคงอยู่ในห้องเช่าของเธอนอกห้องมีเสียงพูดคุยของพ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงดังขึ้นมา“วันนี้กลับบ้านกัน จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว เซี่ยงหานคงไม่ยอมฟังอย่างว่าง่าย เธอมีขานะ จะต้องวิ่งหนีอีกแน่ ๆ พวกเราฉวยโอกาสตอนเธอยังสลบอยู่กลับไปด้วยกันเถอะ!”แม่เซี่ยงพูดอย่างรีบร้อนพ่อเซี่ยงก็พยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ได้”หลังจากนั้น ประตูถูกผลักออก เซี่ยงหานก็ดิ้นรนวิ่งออกไป ด้วยความเร็วที่สุดแม้แต่รองเท้ายังไม่ทันได้ใส่ แต่เธอไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยเซี่ยงหานไม่รู้ว่าควรจะไปขอร้องใครแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อต่างก็เย็นชาขนาดนั้นในขณะที่ตื่นตะหนก จู่ ๆ เซี่ยงหานก็นึกถึงซ่งสือเวยขึ้นมา“ใช่แล้ว! เธอจิตใจดีและใจอ่อนง่ายขนาดนั้น จะต้องยกโทษให้ฉันแน่นอน!”ดังนั้นเซี่ยงหานจึงนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองหลวง และมุ่งหน้าไปหาซ่งสือเวยลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อรู้ข่าวนี้เข้า ก็รีบให้คนที่อยู่เมืองหลวงสกัดกั้นเซี่ยงหาน ไม่ให้เธอมี

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 21

    เสียงแหบที่ไร้ปรานีของเทศกิจทิ่มแทงหัวใจของเซี่ยงหานจนเจ็บปวดอย่างแรงเธอกระทืบเท้าไปทีหนึ่ง และตอบกลับด้วยความโมโห “พอได้แล้ว ฉันไปก็พอแล้วใช่ไหม!”เซี่ยงหานเพิ่งโทรศัพท์เรียกรถขนของมาย้ายสัมภาระของเธอไปเธอไร้ที่ไป คนขับก็เริ่มใจร้อนอยู่บ้าง ถามอยู่หลายครั้งว่าเธอต้องการจะไปที่ไหนกันแน่ผ่านไปนานมากแล้ว เธอจึงฝืนเรียกชื่อชุมชนที่เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ออกไป “ไปชุมชนหลานเซียงแล้วกัน”เธอทำได้เพียงติดต่อเจ้าของคนก่อนเพื่อพูดคุยเรื่องต่อสัญญาเท่านั้นยังดีที่เพิ่งผ่านได้ไม่กี่วัน เจ้าของบ้านจึงยังไม่ทันได้ขายออกไปเซี่ยงหานเพิ่งกลับมายังชุมชนหลานเซียง สิ่งที่สะดุดตาก็คือคนแก่และเด็กครอบครัวหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าประตูของชุมชนแม้คนตระกูลเซี่ยงจะสวมเสื้อผ้าล้าสมัย แต่กลับยังถือว่าสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบอยู่เพียงแต่ในใจของเซี่ยงหานเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทัศนคติที่มีต่อพวกเขาย่อมไม่ดีเธอยังคิดจะบอกให้คนขับเลี้ยวกลับไป แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คนขับรถมาถึงที่หมาย ก็ลงจากรถและช่วยขนสัมภาระแล้ว“เซี่ยงหาน! คืนเงินมา!”เซี่ยงหานยังไม่ทันได้ลงจากรถ พ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงก็ล้อมอยู่ใก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status