เธอถือถ้วยรางวัล บนใบหน้าไม่ได้มีความรู้สึกยินดีต่อซ่งสือเวย ทั้งยังไม่คิดจะส่งถ้วยรางวัลให้ซ่งสือเวย กลับกัดริมฝีปาก และพูดอย่างน่าสงสาร“พี่เวยเวย ผู้อำนวยการให้ฉันเอาถ้วยรางวัลมาให้พี่ รางวัลนี้ทรงเกียรติมาก พี่เก่งมากเลย”“ฉันอยากพูดเรื่องหน้าไม่อายกับพี่สักเรื่องหนึ่ง ฉันไม่เคยได้รับรางวัลนี้มาก่อน รางวัลนี้ให้ฉันยืมสักสองสามวันได้ไหม?”ให้เธอยืมสองสามวันหรือ?เป็นครั้งแรกที่ซ่งสือเวยได้ยินคำขอไร้สาระแบบนี้เธอขมวดคิ้ว พูดด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ในเมื่อรู้ว่าหน้าไม่อาย งั้นก็อย่าขอเรื่องแบบนี้ ถ้าเธอชอบจริง ๆ ก็ไปร่วมการแข่งขันด้วยตัวเองสิ”พูดจบ เธอก็ยื่นมือออกไปต้องการจะหยิบถ้วยรางวัลจากในอ้อมแขนของเซี่ยงหานคิดไม่ถึงว่าท่าทีของซ่งสือเวยจะแข็งกร้าวแบบนี้ บนใบหน้าของเซี่ยงหานซีดเซียว ท่าทางเหมือนถูกรังแก “พี่เวยเวย ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ ฉันไม่ได้ต้องการของของพี่ ก็แค่อยากเอามาวางไว้เป็นแรงบันดาลใจที่บ้านไม่ได้เหรอ?”เมื่อเห็นซ่งสือเวยยื่นมือออกมาหยิบ เซี่ยงหานก็กอดถ้วยรางวัลในอ้อมแขนไว้แน่นขึ้น โดยไม่ยอมปล่อยมือเพราะการยื้อแย่งของทั้งสองคน ในที่สุดถ้วยรางวัลคริสตั
โทรศัพท์ในมือของซ่งสือเวยวางสายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบเธอสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง จึงเพิ่งพูดว่า “เพื่อนสนิทของฉันกำลังจะแต่งงาน ทำไม พวกนายอยากไปร่วมงานด้วยเหรอ?”ตอนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเย็นชากับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้รอจนเธอกลับเมืองหลวง พวกเขาก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก และจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนกันด้วยซ้ำไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับพวกเขา เรื่องที่เธอต้องกลับไปแต่งงานที่เมืองหลวงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็สบตากันโดยไม่รู้ตัว และต่างรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณทว่าทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คิดมากนัก เพียงแค่พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ เธอไปเองเถอะ ฉันมีงานที่บริษัท”พูดจบ ก็ราวกับยังโกรธที่วันนี้เธอทำให้เซี่ยงหานบาดเจ็บ ลู่อวิ๋นเซินหยิบเอกสารไปที่ห้องหนังสือด้วยท่าทีเย็นชาฉีซื่อก็พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “วันนี้ที่ผิวของเสี่ยวหานถูกบาดทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ทางที่ดีเธอควรไปขอโทษอีกฝ่ายสักครั้ง ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่สนใจจะไปงานแต่งอะไรกับเธอหรอก”พูดจบ เขาก็สาวเท้ายาวเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเองเช่นกันซ่งสือเวยยิ้มเยาะตัวเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรวันร
ซ่งสือเวยฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาอย่างยากลำบาก เธอพิงกำแพง ถือยาไว้ในมือแน่น ขณะที่ปิดหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้สูดเกสรดอกไม้เข้าไปอีกครั้งยังไม่ทันได้มีเวลาพักหายใจเพียงชั่วครู่ หูก็ได้ยืนเสียงซักไซ้ของลู่อวิ๋นเซิน“เธอเพ่งเล็งเซี่ยงหานขนาดนี้เลยเหรอ ดอกไม้พวกนี้ที่เซี่ยงหานเพิ่งให้พวกเรา เธอต้องทำลายมันด้วยเหรอ!”เสียงโกรธเกรี้ยวของฉีซื่อดังตามมา“ซ่งสือเวย ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เธอไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้!”ได้ยินแบบนี้ ซ่งสือเวยก็สูดหายใจเข้าลึกเธอตัวสั่นไปทั้งร่าง ทั้งยังโกรธมาก มีความเดือดดาลมากมายที่อยากระบายออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นเพียงสะอื้นประโยคหนึ่งขณะที่เบ้าตาแดงก่ำ“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? เป็นฉันที่เปลี่ยนไป หรือพวกนายที่เปลี่ยนไปกันแน่”“ฉันเป็นโรคหอบหืด ทั้งยังแพ้เกสรดอกไม้ด้วย พวกนายไม่รู้เหรอ?”น้ำเสียงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงทว่าแต่ละคำล้วนราวกับเสียงฟ้าผ่า ซึ่งระเบิดเข้าหูของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเมื่อก่อนพวกเขากังวลเรื่องซ่งสือเวยมากที่สุดทุกครั้งที่ซ่งสือเวยมีอาการหอบหืด ก็เป็นทั้งสองคนนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุด ต่อให้ต้องปีนก
ในที่สุดก็จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อย ซ่งสือเวยจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกความกดดันบนตัวหายไปมากในทันทีขณะที่เซ็นสัญญา ซ่งสือเวยก็สังเกตเห็นว่า วันนั้นที่จัดการขั้นตอนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เป็นวันที่เธอออกเดินทางพอดีเป็นแบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องอธิบายกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อทันทีที่เซ็นชื่อของตัวเอง ทั้งร่างของเธอก็ผ่อนคลายอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะจบลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงเรื่องสุดท้ายเท่านั้นเธอไปที่ห้องสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลือกอย่างพิถีพิถัน ซื้อเครื่องนวดกับสร้อยข้อมือหยกคู่หนึ่ง และไปที่บ้านของคุณป้าทันทีที่เข้าไป ป้าซ่งก็รีบเข้ากอดซ่งสือเวยไว้ในอ้อมแขน“เวยเวย ป้าไม่อยากให้หนูไปเลยจริง ๆ หนูอยู่ที่ไห่เฉิงมาหลายปีขนาดนี้ ป้ามองหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ถ้าหนูไปแบบนี้ ป้าคงไม่ชินจริงๆ”ป้าซ่งเช็ดน้ำตา จับมือซ่งสือเวยแน่นไม่ยอมปล่อยซ่งสือเวยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาบ้าง ขณะที่ฝืนยิ้มและปลอบใจป้าซ่ง “ป้าคะ หนูก็ไม่อยากไปจากป้าเหมือนกัน แต่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว เครื่องบินกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็สะดวกมาก วันตรุษจีนก็ยังมาเจอกันได้นะคะ”ป้า
ซ่งสือเวยหันกลับไป เมื่อทั้งสองคนยืนยันได้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกลู่อวิ๋นเซินก้าวไปข้างหน้า คว้ามือเธอไว้ “เธอไม่ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางหรอก มันทั้งเยอะและเหนื่อยเกินไป ถึงเวลาฉันจะเรียกคนขับรถที่บ้านฉันมา แล้วพวกเราค่อยบ้านไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน”ฉีซื่อก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันในตอนนี้ ซ่งสือเวยราวกับเห็นแววตาของพวกเขาที่เคยมีเพียงเธอเหมือนในอดีตจำได้ว่าตอนยังเด็ก ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันทั้งวันแต่ตอนนี้ คำสัญญาในวัยเด็กสุดท้ายก็กลายเป็นคำโกหกซ่งสือเวยเหลือบมองเซี่ยงหาน พลางส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอก มีของมากมายที่ฉันต้องไปจัดการ”พูดจบ ก็ไม่สนใจท่าทีของทั้งสองคน เธอหันหลังเดินจากไปหลังกลับมาที่บ้าน เธอก็เก็บกระเป๋าเดินทางครู่หนึ่ง ก่อนจะอาบน้ำ ขณะที่เพิ่งล้มตัวลงนอน จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยงหานเสียงนุ่มนวลของเธอส่งผ่านมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจที่ปิดไม่มิด“พี่เวยเวย เย็นนี้ฉันไปที่ตระกูลลู่กับตระกูลฉีมา พ่อแม่ของอวิ๋นเซินกับอาซื่อดีต่อฉันมากเลย”“พ่อแม่ของพวกเขายังเอาสมบัติสืบทอดประจำตระกูลออกมา บอกว่าจะให้ฉันด้วย พี่ว่า
พูดจบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็พาเซี่ยงหานไปนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ซ่งสือเวยชายหนุ่มทั้งสองแย่งกันตักอาหารให้เซี่ยงหาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเฉียวมู่เห็นฉากนี้ก็โกรธจนแทงสเต๊กเละ แต่ซ่งสือเวยยังคงมีท่าทีเฉยเมย เฉียวมู่จึงทำได้เพียงอดทนโดยไม่ได้พูดอะไรผ่านไปไม่นาน หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็แยกย้ายกันจากนั้นซ่งสือเวยก็บอกลาเฉียวมู่อีกครั้งแล้วกลับบ้านคืนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ยังไม่กลับบ้านซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอยุ่งอยู่กับการจัดสัมภาระส่วนสุดท้ายตอนเช้าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ก็รู้ว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับบ้านแล้วพวกเขาก็ควรกลับมาได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องย้ายไปบ้านใหม่เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า บ้านใหม่ของพวกเขาและในอนาคตของพวกเขาจะไม่มีเธออีกแล้วเสียงรบกวนด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าคงกำลังย้ายสัมภาระ ซ่งสือเวยไม่สนใจจะฟัง หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว แม่ซ่งก็โทรมาเมื่อรับสาย น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ซ่งก็ดังขึ้น“เวยเวย เที่ยวบินกี่โมง พวกแม่จะไปรับที่สนามบิน”ซ่งสือเวยเปิดแอปพลิเคชันดูตั๋วเครื่องบินครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา
ซ่งสือเวยขึ้นเครื่องบินโดยไม่หันกลับมา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะเป็นอย่างไรขณะที่เครื่องบินขึ้น เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทว่าในวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบที่ไห่เฉิง กลับมีบรรยากาศกดดันจนน่ากลัวผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพาเซี่ยงหานมาที่วิลล่าริมอ่าวทะเลสาบ แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นเงาของซ่งสือเวยในวิลล่ามีเพียงสัมภาระของพวกเขาทั้งสามคน แต่กลับไม่เห็นร่องรอยสัมภาระของซ่งสือเวยเลยลู่อวิ๋นเซินตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเรื่องที่ยากจะคาดเดาบางอย่างกำลังเกิดขึ้นฉีซื่อซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา มีสีหน้าไม่น่ามองอย่างน่าประหลาดเช่นกันเซี่ยงหานที่รู้เรื่องอยู่แก่ใจ กลับไม่คิดจะพูดอะไรเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงเงียบ เธอก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน“พี่เวยเวยอาจจะยังเก็บของไม่เสร็จ ทำไมพวกเราไม่ให้คนจัดของก่อนล่ะ ไม่ใช่บอกว่าเย็นนี้จะกินข้าวด้วยกันเหรอ พี่เวยเวยไม่มีทางลืมแน่นอน”แม้ลู่อวิ๋นเซินจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจกลับไม่สบายใจเขาไม่ได้ขยับตัวอยู่นาน ทว่าในใจกลับเร่งเร้าให้เขาออกไปข้างนอกฉีซื่อมองบนโทรศัพท์ซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับลู่อ
ฉีซื่อนึกย้อนทุกอย่างขึ้นมาได้ทุกความผิดปกติของซ่งสือเวยในช่วงนี้ ตอนนี้ได้ผุดขึ้นมาในใจในคราวเดียวลู่อวิ๋นเซินก็เงียบไปเช่นกันบางทีตั้งแต่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ซ่งสือเวยอาจจะวางแผนจากไปไว้แล้วหรือว่าเซี่ยงหานมีอิทธิพลต่อซ่งสือเวยมากขนาดนั้นเลย?เพิ่งนึกถึงเซี่ยงหาน ก็มีสายจากเซี่ยงหานโทรเข้ามา“อาซื่อ อวิ๋นเซิน ฉันรอพวกนายอยู่ที่ร้านอาหารแล้วนะ ตกลงกันว่าจะกินข้าวเลี้ยงฉลองกันนี่ พวกนายอยู่ไหนล่ะ?”ฉีซื่อถือโทรศัพท์ แต่ผ่านไปนานกลับไม่ได้ตอบกลับผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเพิ่งพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เซี่ยงหาน อย่าเพิ่งเลี้ยงฉลองกันเลย ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”ซ่งสือเวยไม่อยู่ที่นี่แล้ว การรวมตัวกินข้าวด้วยกันจะไปมีความหมายอะไร?ลู่อวิ๋นเซินเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ เขามองไปทางโทรศัพท์ที่แตกเป็นชิ้น ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ทันใดนั้นก็มีนายหน้าหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยเดินนำชายสวมเสื้อคลุมสีเทาคนหนึ่งมา“คุณผู้ชาย คุณดูบ้านหลังนี้สิครับ...”นายหน้าหนุ่มเค้นสมองแนะนำข้อดีของบ้านให้ชายสวมเสื้อคลุมสีเทาเมื่อเห็นลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ นายหน้าหนุ่มก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย“คุณลู่ คุณฉี ท
ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ
ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก
หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ
ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช
ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม
กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ
ซ่งสือเวยลองชุดแต่งงานอยู่ จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นติดกันหลายครั้งเธอกำลังยุ่งกับการจัดปลายกระโปรง จึงไม่มีเวลาไปดูดังนั้นเธอจึงก้มหน้า รีบเอ่ยปากว่า “อาฉือ ช่วยฉันดูข้อความหน่อย”กู้ฉือหลานที่อยู่ด้านข้างสวมชุดสูทสีดำ ซึ่งขับให้รูปร่างดูสูงโปร่งยิ่งขึ้น“ได้”เขาพิงกำแพงครึ่งตัว หยิบโทรศัพท์ของซ่งสือเวยมา กดชื่อย่อและวันเกิดของเธอลงไปเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ตอนที่เห็นข้อความของซ่งสือเวย กู้ฉือหลานก็นิ่งเงียบไปทันที หลังจากนั้นก็อ่านออกมา“เวยเวย อวิ๋นเซินกับอาซื่อบอกว่าอยากเข้าร่วมงานแต่งของลูก ลูกลองดูว่า...ตกลงอยากจะให้พวกเขาไปไหม?”ดวงตาของเขามืดมนลง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความหึงหวงเล็กน้อย “เวยเวย เธอว่าไง? อยากจะให้พวกเขามาร่วมงานแต่งงานของฉันไหม?”กู้ฉือหลานเดินเข้ามาหลายก้าว ยืนอยู่ด้านหลังซ่งสือเวย โบกมือไล่พนักงานสาวที่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และช่วยเธอจัดปลายกระโปรงด้วยตัวเองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง แทบจะโอบรอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขนนิ้วมือที่เรียวยาวและแบ่งข้อชัดเจนเคลื่อนไปตามชายกระโปรง แต่กลับเกิดความรู้สึกที่คลุมเครือขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล“อาฉือ... หรือว่า...หรือว่าอย่
เซี่ยงหานคุกเข่าอยู่นอกวิลล่าอย่างดื้อรั้นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหว เป็นลมไปแล้วหลังจากฟื้นมา ข้างกายก็ไร้เงาร่างของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อปรากฏตัวออกมาเธอยังคงอยู่ในห้องเช่าของเธอนอกห้องมีเสียงพูดคุยของพ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงดังขึ้นมา“วันนี้กลับบ้านกัน จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว เซี่ยงหานคงไม่ยอมฟังอย่างว่าง่าย เธอมีขานะ จะต้องวิ่งหนีอีกแน่ ๆ พวกเราฉวยโอกาสตอนเธอยังสลบอยู่กลับไปด้วยกันเถอะ!”แม่เซี่ยงพูดอย่างรีบร้อนพ่อเซี่ยงก็พยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ได้”หลังจากนั้น ประตูถูกผลักออก เซี่ยงหานก็ดิ้นรนวิ่งออกไป ด้วยความเร็วที่สุดแม้แต่รองเท้ายังไม่ทันได้ใส่ แต่เธอไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยเซี่ยงหานไม่รู้ว่าควรจะไปขอร้องใครแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อต่างก็เย็นชาขนาดนั้นในขณะที่ตื่นตะหนก จู่ ๆ เซี่ยงหานก็นึกถึงซ่งสือเวยขึ้นมา“ใช่แล้ว! เธอจิตใจดีและใจอ่อนง่ายขนาดนั้น จะต้องยกโทษให้ฉันแน่นอน!”ดังนั้นเซี่ยงหานจึงนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองหลวง และมุ่งหน้าไปหาซ่งสือเวยลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อรู้ข่าวนี้เข้า ก็รีบให้คนที่อยู่เมืองหลวงสกัดกั้นเซี่ยงหาน ไม่ให้เธอมี
เสียงแหบที่ไร้ปรานีของเทศกิจทิ่มแทงหัวใจของเซี่ยงหานจนเจ็บปวดอย่างแรงเธอกระทืบเท้าไปทีหนึ่ง และตอบกลับด้วยความโมโห “พอได้แล้ว ฉันไปก็พอแล้วใช่ไหม!”เซี่ยงหานเพิ่งโทรศัพท์เรียกรถขนของมาย้ายสัมภาระของเธอไปเธอไร้ที่ไป คนขับก็เริ่มใจร้อนอยู่บ้าง ถามอยู่หลายครั้งว่าเธอต้องการจะไปที่ไหนกันแน่ผ่านไปนานมากแล้ว เธอจึงฝืนเรียกชื่อชุมชนที่เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ออกไป “ไปชุมชนหลานเซียงแล้วกัน”เธอทำได้เพียงติดต่อเจ้าของคนก่อนเพื่อพูดคุยเรื่องต่อสัญญาเท่านั้นยังดีที่เพิ่งผ่านได้ไม่กี่วัน เจ้าของบ้านจึงยังไม่ทันได้ขายออกไปเซี่ยงหานเพิ่งกลับมายังชุมชนหลานเซียง สิ่งที่สะดุดตาก็คือคนแก่และเด็กครอบครัวหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าประตูของชุมชนแม้คนตระกูลเซี่ยงจะสวมเสื้อผ้าล้าสมัย แต่กลับยังถือว่าสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบอยู่เพียงแต่ในใจของเซี่ยงหานเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทัศนคติที่มีต่อพวกเขาย่อมไม่ดีเธอยังคิดจะบอกให้คนขับเลี้ยวกลับไป แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คนขับรถมาถึงที่หมาย ก็ลงจากรถและช่วยขนสัมภาระแล้ว“เซี่ยงหาน! คืนเงินมา!”เซี่ยงหานยังไม่ทันได้ลงจากรถ พ่อเซี่ยงกับแม่เซี่ยงก็ล้อมอยู่ใก