“ร้องดังๆ”
เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว “นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด “ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน” ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย “ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้” ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมาได้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดและทนทุกข์ทรมานใจ นางร้องไห้จนตนเองผล็อยหลับไปโดยมิได้สนใจเสียงครางโหยหวนนั่นอีก แม้จิตใจของนางจะบอบช้ำเพียงใดแต่พอฉินเซี่ยหรงที่แต่งงานออกไปก่อนนางสองปีพาหลานสาววัยหนึ่งขวบมาเยี่ยมเยือนนางก็พอจะทำให้ชีวิตของนางที่เคยห่อเหี่ยวมีความสุขได้บ้าง เสียงหัวเราะของหลานสาวทำให้นางรู้สึกลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วขณะ “ท่านพี่… ท่านสบายดีหรือไม่” เห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มของพี่สาวฉินเซี่ยหรงก็พอวางใจว่าสกุลหวงคงมิได้แย่อย่างที่คนภายนอกนำไปติฉินนินทากัน “พี่สบายดี เจินเอ๋อร์….หลานรักของป้า มาให้ป้าหอมแก้มเจ้าสักทีสิลูก” เด็กหญิงวัยเกือบสองขวบเดินเตาะแตะเข้าไปหาผู้เป็นป้า สาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูแม้จะรู้สึกคันปากยุบยิบอยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูใหญ่ให้คุณหนูรองได้ฟังก็มิอาจบอกกล่าวต่อหน้าคุณหนูใหญ่ได้ มิเช่นนั้นนางคงจะโกรธเคืองพวกนางที่ไปเล่าเรื่องราวในจวนให้คนนอกฟัง “อืม… ชื่นใจที่สุด แค่นี้ป้าก็มีแรงแล้วล่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มออกมาเมื่อถูกผู้เป็นป้าหอมแก้ม “หุ้ยเจินเจ้าไปหยิบเอากล่องเครื่องประดับมาให้ข้าหน่อย ข้าจะให้ของขวัญแก่เจินเอ๋อร์ หลานสาวของข้า” นางส่งยิ้มไปให้สาวรับใช้ หุ้ยเจินรับคำสั่งก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องของนายหญิงแล้วหยิบกล่องเครื่องประดับออกมา “เจินเอ๋อร์… ไหนลองเลือกสิว่าเจ้าชอบสิ่งใด ป้าจะยกให้” บอกหลานสาวก่อนที่จะส่งกล่องเครื่องประดับเปิดฝาเผยให้เห็นเครื่องประดับมากมายอยู่ภายใน มือเล็กของเด็กหญิงยื่นไปหยิบเอาปิ่นปักผมสีเขียวมรกตออกมาถือเอาไว้ราวกับชอบมัน ริมฝีปากอิ่มของผู้เป็นป้าและมารดายิ้มออกมา “หรงเอ๋อร์… ดูเจินเอ๋อร์จะชอบปิ่นนี่นะ พอนางอายุสิบห้าปีเจ้าใช้ปิ่นนี้ปักให้แก่นางด้วยล่ะ” เหมือนกับเป็นคำสั่งเสียที่ทุกคนมิอาจรับรู้ได้ในภายภาคหน้า “เจ้าค่ะท่านพี่” ฉินเซี่ยหรงยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของพี่สาวที่ส่งมาให้ตน แม้รอยยิ้มจะสดใสแต่ทว่าแววตาของนางกลับมิได้มีความสุขเลย หลังจากที่พาบุตรีเยี่ยมเยือนพี่สาวอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยาม ฉินเซี่ยหรงก็ขอตัวพาบุตรีกลับเพราะจวนจะถึงยามที่สามีของนางกลับมาจากทำงาน แต่ก่อนที่จะกลับออกจากจวนสกุลหวงไปนางก็มิวายถามไถ่เรื่องราวของพี่สาวจากสาวรับใช้คนสนิทของพี่สาวของนาง “เรื่องราวก็เป็นอย่างที่บ่าวเล่าให้คุณหนูรองฟังนั่นแหละเจ้าค่ะ คนที่จวนนี้เห็นคุณหนูใหญ่เป็นเพียงภรรยาเอก สะใภ้เอกไว้เพื่อประดับจวนสกุลหวงเท่านั้น บ่าวทราบดีว่าคุณหนูใหญ่ทุกข์ใจเพียงใด แต่บ่าวก็มิอาจจะพูดมากได้ สองปีแล้วนะเจ้าคะ สองปีกับการต้องทนอยู่กับพวกคนใจดำพวกนี้ โดยเฉพาะท่านเขย เขามิเพียงมิเคยร่วมเตียงกับนายหญิง ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งหมางเมิน สร้างเรือนให้แก่อนุก็สร้างมิไกลจากเรือนใหญ่ ยามค่ำคืนก็มักจะส่งเสียงมารบกวนคุณหนูใหญ่อยู่บ่อยครั้งอีกด้วยเจ้าค่ะ” หุ้ยเจินเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณหนูรองฟังทั้งหมด ด้วยความคับอกคับใจ “มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ ถึงว่าพี่ใหญ่ของข้านางมีแววตาที่แสนเศร้าเช่นนั้น นางบัดนี้มิได้สดใสเช่นกับยามเมื่ออยู่ที่จวนสกุลฉินเลย แล้วข้าจะทำเช่นไรได้บ้าง บัดนี้ข้าก็เปรียบเสมือนกับเป็นคนนอก จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องราวของต่างสกุลก็มิได้” ฉินเซี่ยหรงถอนหายใจออกมาเมื่อรับรู้ถึงความทุกข์ของพี่สาว แต่นางจะช่วยเหลือพี่สาวนางได้เช่นไรเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องราวภายในครอบครัวของพี่สาวนาง จะยื่นมือเข้าไปก็มิใช่เรื่องที่ถูกที่ควร “เอาอย่างนี้… เดี๋ยวรอข้าไปปรึกษาหารือเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ก่อนก็แล้วกัน ระหว่างนี้พวกเจ้าก็ช่วยกันดูแลและปกป้องพี่สาวของข้าด้วยนะหุ้ยเจิน…ชีโยว” “พวกข้าจะดูแลปกป้องคุณหนูใหญ่เท่าที่จะทำได้เจ้าค่ะ” ฉินเซี่ยหรงฝากฝังสองสาวรับใช้ก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านหน้าจวน สองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูมองตามรถม้าของคุณหนูรองไปด้วยแววตาแห่งความหวัง ผู้ใดกันจะมาช่วยให้คุณหนูใหญ่ของพวกนางหลุดพ้นจากความทุกข์ใจในครานี้ได้ นี่หรือหน้าที่ของบุตรีที่ควรจะกระทำ แต่งงานออกมาก็กลายเป็นคนนอกสกุลไป หามีผู้ใดกลับมาสนใจไยดี แต่งงานทั้งทีสามีผู้นี้ก็มิได้เห็นค่า อีกทั้งยังทำร้ายจิตใจนางซ้ำแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามชวีในเหมันตฤดู ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่นอนหลับไม่ได้สติมานานถึงสามคืนเริ่มขยับกายไปมาบนเตียงนอนไม้ขนาดกว้าง ผ้าแพรสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเอื่อยๆ ข้างเตียงมีสตรีที่มีใบหน้างดงามแต่ทว่ากลับฉายแววถึงความกังวลออกมา นางกำลังนั่งรอคอยให้เจ้าของร่างเล็กที่นอนหลับไปนานเกือบสามคืนตื่นมาพูดคุยกับนางเช่นแต่ก่อน เด็กหญิงผิวขาวแต่ทว่ามีดวงหน้าซีดเซียวเริ่มขยับปาก“น้ำ…ข้าหิวน้ำ” เปลือกตาของนางค่อยๆ เปิดก่อนที่เสียงเล็กแหบแห้งจะดังขึ้นมา“เจินเจิน… เจ้าตื่นแล้วหรือลูก” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เจ้าของร่างเล็กหันไปมอง“น้องหญิงรอง…” คนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวเปล่งเสียงออกมาจากริมฝีปากเล็กแต่คนที่ได้ยินเช่นนั้นกลับแสดงสีหน้างุนงงออกมา“เจ้าเรียกแม่ว่าเช่นไรนะเจินเอ๋อร์ นี่แม่ของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าร้องเรียกผู้ใดกัน” ร่างเล็กตาเบิกโพลงพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะสำรวจไปรอบๆ“ข่ะ…ขอกระจกให้ข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อบุตรีเอ่ยปากขอออกมา โจวฮูหยินหรือฉินเซี่ยหรงจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลโจวเจินเจิน บุตรีคนโตของนางให้นำกระจกที่อยู่ข้างเตียงมาส่งให้ มือเล็กรับมาก่อ
หลังจากได้นอนพักอยู่สามวัน ร่างกายของคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็แข็งแรงขึ้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบกลับมาสดใสมากกว่าเดิม ชีวิตวัยเด็กของฉินเซี่ยหรูนั้นแสนน่าเบื่อ นางต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สตรีต้องเรียนรู้ แต่พอได้กลับมาอยู่ในวัยนี้อีกครั้ง น้องสาวของนางกลับมิได้บังคับให้บุตรีต้องทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นเดียวกัน เรื่องนี้นางอดที่จะชื่นชมน้องสาวและน้องเขยมิได้ ที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองของนางด้วยความรักและความเข้าใจ มากกว่าการบังคับให้ทำในสิ่งที่พวกตนต้องการ“โอ้..หลานย่า เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วสิท่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาววัยเจ็ดขวบที่เข้ามาคำนับนางถึงเรือนนอน พอได้สำรวจใบหน้าเล็กก็พอจะเดาออกว่าหลานสาวของนางมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ดูจะสดใสมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ… ยามนี้หลานแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”นางมิได้คุ้นชินกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวแต่จากนี้ไปนางจะต้องทำความรู้จักทุกคนในจวนแห่งนี้ใหม่ เพราะว่านางมิใช่คนของเรือนนี้มาตั้งแต่เกิด มีเพียงน้องสาวอย่างฉินเซี่ยหรงเท่านั้นที่นางรู้จักอีกฝ่ายดีเพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี“ดี…ดี… ไหนเข้ามาใกล้ๆ ย่าสิ” คนเป็นย่า
แปดปีก่อน สตรีที่มีดวงหน้างดงามราวกับเทพเซียน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมกลายเป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองฮวาหลาน บัดนี้นางกำลังเดินชื่นชมตลาดที่อยู่กลางเมืองในยามเชิน ด้านหลังมีสาวรับใช้เดินติดตามนางถึงสองคน ร่างบางหยุดยืนเลือกเครื่องประดับอยู่ที่ร้านข้างทาง“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ชิ้นนี้งามเหมาะกับคุณหนูยิ่งนักเจ้าค่ะ” หุ้ยเจินสาวรับใช้ออกความคิดเห็นทันทีที่เห็นคุณหนูของนางลังเลกับการเลือกเครื่องประดับตรงหน้าซึ่งเป็นกำไลหยกขาวและหยกสีเขียว“จริงหรือหุ้ยเจิน” เสียงหวานเอ่ยถามออกมา“จริงเจ้าค่ะ”“บ่าวก็เห็นด้วยกับพี่หุ้ยเจินเจ้าค่ะ” ชีโยวสาวรับใช้อีกคนของคุณหนูใหญ่สกุลฉินแสดงความคิดเห็นออกมาเช่นกัน“ถ้าเช่นนั้น ข้าเอาชิ้นนี้แหละจ้ะ” หุ้ยเจินหยิบเงินจ่ายให้กับคนขายทันที ส่วนชีโยวเป็นคนรับเครื่องประดับชิ้นนั้นมาเก็บไว้ให้คุณหนูของนางสาวงามวัยแรกแย้มยามเยื้องย่างไปทิศทางใดก็มักจะเป็นจุดสนใจของเหล่าบุรุษ ปีนี้ฉินเซี่ยหรูมีอายุได้สิบหกปีแล้ว ปีที่ผ่านมานางเพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่นไป แต่เป็นเพราะนางยังมิได้เร่งรีบที่จะออกเรือนจึงอยู่กับบิดามารดามาจนถึงวันนี้ ในขณะที่ฉินเซี่ยหรงผู้เป็
“คิกๆ ลูกทราบเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ ท่านป้าหวงมาดูตัวลูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฉินฮูหยินพยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร กับสกุลหวงแม่ว่าดีนะ โอกาสในภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ตามว่าที่สามีเพราะแม่ได้ยินว่าบุตรชายของสกุลหวงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด ยากนะที่จะหาคนที่เหมาะสมกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้”แม้ในใจของฉินเซี่ยหรูจะบอกว่าเร็วเกินไปสำหรับเรื่องแต่งงาน แต่นางก็มิอาจปฏิเสธได้ว่านางถูกใจใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษท่าทางสง่างามผู้นั้น และนางก็มิคิดว่าในเมืองฮวาหลานแห่งนี้จะมีบุรุษใดเหมาะสมกับนางเท่าเขาอีกแล้ว“มันก็จริงอย่างที่ท่านแม่กล่าว.. เรื่องนี้ลูกให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตัดสินใจแทนข้าได้เลยเจ้าค่ะ”คำตอบของบุตรสาวเรียกรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ปิดไม่มิดออกมาจากทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยิน มีผู้ใดบ้างจะมิอยากให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุรุษที่มีหน้าที่การงานที่ดีสามวันต่อมาแม่สื่อจึงนำของสินสอดมาส่งให้แก่เจ้าสาวที่บ้านก่อนที่จะให้แต่งออกเรือนไปในอีกเจ็ดวันข้างหน้าตามฤกษ์ยามที่ฝ่ายสกุลหวงหามา ในขณะที่ฝ่ายเจ้าสาวรู้สึกยินดีไปกับการได้เกี่ยวดองกับสกุลหวงในค
สายตาที่ทอดมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านในลำธารหลังจวนสกุลโจว ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายแต่กลับกลายมาอยู่ในร่างของคนที่นางมิควรอยู่ สามวันแล้วที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ที่นางรักและเอ็นดู ในขณะที่ร่างกายของนางได้ถูกฝังไปในสุสานสกุลฉินแล้ว เหตุใดที่มิได้ฝังอยู่ในสุสานสกุลหวงนั่นก็เป็นเพราะก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เขียนจดหมายหย่าให้แก่สามีอย่างหวงจิงอวี่ ขอตัดความสัมพันธ์กันไม่ว่าภพนั้นหรือภพต่อไป“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”เสียงของบ่าวที่เพิ่งจะเดินมาถึงเรียกสติที่กำลังล่องลอยไปของฉินเซี่ยหรูให้กลับมา นางหันมามองแล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอวี้ถงกับบ่าวที่มาตามนางไปยังเรือนใหญ่“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่” เสียงเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งคำนับบิดามารดา“เจินเอ๋อร์… มานั่งนี่สิลูก” เสียงหวานของฉินเซี่ยหรงเรียกบุตรีของนาง“ท่านพ่อกับท่านแม่มีเรื่องอันใดจะคุยกับลูกหรือเจ้าคะ” สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปที่บุตรี“เจ้าอยากไปกราบไหว้ท่านป้าของเจ้าที่สุสานหรือไม่”เพราะรู้ดีว่าโจวเจินเจินนั้นเป็นห
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที“ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน”เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นางมือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงาหลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่
หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูแต่งงานเข้าจวนสกุลหวง มีหลายสกุลต่างพากันอิจฉามารดาของหวงจิงอวี่ที่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความงามและความเพียบพร้อมในคนเดียว ผู้ใดในเมืองฮวาหลานจะมิรู้บ้างว่าคุณสมบัติที่ฉินเซี่ยหรูมีนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกขนาดไหน แต่สกุลที่โชคดีที่ได้นางไปเป็นสะใภ้กลับกลายเป็นสกุลหวง ที่ใครๆ ก็รู้เช่นกันว่าสกุลนี้รักหน้าตาของตนเป็นที่สุด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เหตุใดท่านเขยใหญ่ต้องแยกห้องนอนกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”ชีโยวหนึ่งในสองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูเอ่ยถามออกมา เพราะตั้งแต่คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวก็มิเคยแม้แต่จะย่างกรายกลับเข้ามายังห้องนอน“เขาคงจะออกไปทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษ” ฉินเซี่ยหรูพยายามปลอบใจตนเองแม้จะรู้สึกได้ว่าสามีหมาดๆ หมางเมินต่อนาง“อีกเจ็ดวันก็ไปเยี่ยมบ้านเดิมได้แล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเศร้าไปนะเจ้าคะ” หุ้ยเจินเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่ที่แสดงออกมานั้นดูเศร้าๆ“จ้ะ… พวกเจ้าก็ไปนอนกันเถิด”หลังจากหวีผมเสร็จสองสาวรับใช้จึงไปดับไฟในตะเกียงและเดินออกไปนอกห้องของฉินเซี่ยหรูอย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งจะล้มตัว
เรือนรับรองสกุลหวงประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน“เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ”สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด“กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับหลังจากมื้ออ
“ร้องดังๆ”เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด“ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้”ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมา
ชีวิตการแต่งงานที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝันนั้นมิได้เป็นไปดังหวังโดยเฉพาะกับฉินเซี่ยหรู แม้นางจะเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองฮวาหลานแต่การจะเลือกใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักนางและนางรักก็เป็นไปไม่ได้ นางมิเคยมีความรักจนได้พบกับเขา บุรุษหนุ่มบนหลังม้าที่มีสีหน้าเย็นชา คราแรกคิดว่าเขาคงจะมิได้รังเกียจนาง แต่ทว่านางคิดผิด เขารังเกียจนาง…เข้ากระดูกดำ“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ นายหญิงรองท้องแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งปีหลังจากเขาแต่งภรรยารองเข้ามา นางก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ในขณะที่ภรรยาเอกยังมิเคยได้เข้าหอกับเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง“กี่เดือนแล้วล่ะ” ฉินเซี่ยหรูน้ำตาตกในแต่กลับแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดีออกมา“สองเดือนเจ้าค่ะ อะ…เอ่อ… ข้าได้ยินมาว่า ท่านเขยจะรับอนุมาอีกสองคนเจ้าค่ะ คนแรกเป็นสตรีไร้สกุลมิมีผู้ใดรู้จักนาง สตรีอีกนางเป็นน้องสาวของลูกน้องของท่านเขยเอง”ราวกับคมหอกที่เข้ามาทิ่มแทงใจ ในขณะที่เขากำลังมีทายาทสืบสกุลและกำลังมีความสุขกับการรับอนุเข้ามาเพิ่ม นางก็กำลังเป็นทุกข์ที่มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับของจวนสกุลหวงเพื่อให้มีผู้คนนับถือ“ช่างเขาเถิด คิดมากไปข้าก็จะเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอ
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี
เสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข
เรือนรับรองสกุลหวงประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน“เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ”สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด“กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับหลังจากมื้ออ
หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูแต่งงานเข้าจวนสกุลหวง มีหลายสกุลต่างพากันอิจฉามารดาของหวงจิงอวี่ที่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความงามและความเพียบพร้อมในคนเดียว ผู้ใดในเมืองฮวาหลานจะมิรู้บ้างว่าคุณสมบัติที่ฉินเซี่ยหรูมีนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกขนาดไหน แต่สกุลที่โชคดีที่ได้นางไปเป็นสะใภ้กลับกลายเป็นสกุลหวง ที่ใครๆ ก็รู้เช่นกันว่าสกุลนี้รักหน้าตาของตนเป็นที่สุด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เหตุใดท่านเขยใหญ่ต้องแยกห้องนอนกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”ชีโยวหนึ่งในสองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูเอ่ยถามออกมา เพราะตั้งแต่คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวก็มิเคยแม้แต่จะย่างกรายกลับเข้ามายังห้องนอน“เขาคงจะออกไปทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษ” ฉินเซี่ยหรูพยายามปลอบใจตนเองแม้จะรู้สึกได้ว่าสามีหมาดๆ หมางเมินต่อนาง“อีกเจ็ดวันก็ไปเยี่ยมบ้านเดิมได้แล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเศร้าไปนะเจ้าคะ” หุ้ยเจินเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่ที่แสดงออกมานั้นดูเศร้าๆ“จ้ะ… พวกเจ้าก็ไปนอนกันเถิด”หลังจากหวีผมเสร็จสองสาวรับใช้จึงไปดับไฟในตะเกียงและเดินออกไปนอกห้องของฉินเซี่ยหรูอย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งจะล้มตัว
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที“ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน”เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นางมือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงาหลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่
สายตาที่ทอดมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านในลำธารหลังจวนสกุลโจว ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายแต่กลับกลายมาอยู่ในร่างของคนที่นางมิควรอยู่ สามวันแล้วที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ที่นางรักและเอ็นดู ในขณะที่ร่างกายของนางได้ถูกฝังไปในสุสานสกุลฉินแล้ว เหตุใดที่มิได้ฝังอยู่ในสุสานสกุลหวงนั่นก็เป็นเพราะก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เขียนจดหมายหย่าให้แก่สามีอย่างหวงจิงอวี่ ขอตัดความสัมพันธ์กันไม่ว่าภพนั้นหรือภพต่อไป“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”เสียงของบ่าวที่เพิ่งจะเดินมาถึงเรียกสติที่กำลังล่องลอยไปของฉินเซี่ยหรูให้กลับมา นางหันมามองแล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอวี้ถงกับบ่าวที่มาตามนางไปยังเรือนใหญ่“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่” เสียงเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งคำนับบิดามารดา“เจินเอ๋อร์… มานั่งนี่สิลูก” เสียงหวานของฉินเซี่ยหรงเรียกบุตรีของนาง“ท่านพ่อกับท่านแม่มีเรื่องอันใดจะคุยกับลูกหรือเจ้าคะ” สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปที่บุตรี“เจ้าอยากไปกราบไหว้ท่านป้าของเจ้าที่สุสานหรือไม่”เพราะรู้ดีว่าโจวเจินเจินนั้นเป็นห
“คิกๆ ลูกทราบเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ ท่านป้าหวงมาดูตัวลูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฉินฮูหยินพยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร กับสกุลหวงแม่ว่าดีนะ โอกาสในภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ตามว่าที่สามีเพราะแม่ได้ยินว่าบุตรชายของสกุลหวงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด ยากนะที่จะหาคนที่เหมาะสมกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้”แม้ในใจของฉินเซี่ยหรูจะบอกว่าเร็วเกินไปสำหรับเรื่องแต่งงาน แต่นางก็มิอาจปฏิเสธได้ว่านางถูกใจใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษท่าทางสง่างามผู้นั้น และนางก็มิคิดว่าในเมืองฮวาหลานแห่งนี้จะมีบุรุษใดเหมาะสมกับนางเท่าเขาอีกแล้ว“มันก็จริงอย่างที่ท่านแม่กล่าว.. เรื่องนี้ลูกให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตัดสินใจแทนข้าได้เลยเจ้าค่ะ”คำตอบของบุตรสาวเรียกรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ปิดไม่มิดออกมาจากทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยิน มีผู้ใดบ้างจะมิอยากให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุรุษที่มีหน้าที่การงานที่ดีสามวันต่อมาแม่สื่อจึงนำของสินสอดมาส่งให้แก่เจ้าสาวที่บ้านก่อนที่จะให้แต่งออกเรือนไปในอีกเจ็ดวันข้างหน้าตามฤกษ์ยามที่ฝ่ายสกุลหวงหามา ในขณะที่ฝ่ายเจ้าสาวรู้สึกยินดีไปกับการได้เกี่ยวดองกับสกุลหวงในค