ชีวิตการแต่งงานที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝันนั้นมิได้เป็นไปดังหวังโดยเฉพาะกับฉินเซี่ยหรู แม้นางจะเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองฮวาหลานแต่การจะเลือกใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักนางและนางรักก็เป็นไปไม่ได้ นางมิเคยมีความรักจนได้พบกับเขา บุรุษหนุ่มบนหลังม้าที่มีสีหน้าเย็นชา คราแรกคิดว่าเขาคงจะมิได้รังเกียจนาง แต่ทว่านางคิดผิด เขารังเกียจนาง…เข้ากระดูกดำ
“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ นายหญิงรองท้องแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งปีหลังจากเขาแต่งภรรยารองเข้ามา นางก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ในขณะที่ภรรยาเอกยังมิเคยได้เข้าหอกับเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง “กี่เดือนแล้วล่ะ” ฉินเซี่ยหรูน้ำตาตกในแต่กลับแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดีออกมา “สองเดือนเจ้าค่ะ อะ…เอ่อ… ข้าได้ยินมาว่า ท่านเขยจะรับอนุมาอีกสองคนเจ้าค่ะ คนแรกเป็นสตรีไร้สกุลมิมีผู้ใดรู้จักนาง สตรีอีกนางเป็นน้องสาวของลูกน้องของท่านเขยเอง” ราวกับคมหอกที่เข้ามาทิ่มแทงใจ ในขณะที่เขากำลังมีทายาทสืบสกุลและกำลังมีความสุขกับการรับอนุเข้ามาเพิ่ม นางก็กำลังเป็นทุกข์ที่มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับของจวนสกุลหวงเพื่อให้มีผู้คนนับถือ “ช่างเขาเถิด คิดมากไปข้าก็จะเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอง” นางพยายามคิดในแง่ดีมาตลอด ไม่ว่าจะแต่งภรรยารองหรือรับอนุมามากมายเท่าใด นางก็จะไม่สนใจอีกต่อไป “นายหญิง….” หุ้ยเจินอุทานออกมา “หยุดพูดเถิด…. ไปทำอาหารกันได้แล้ว” และหน้าที่ของนางนอกเหนือจากเป็นภรรยาเอกเพื่อประดับจวน นางก็ยังเป็นแม่ครัวประจำจวนอีกด้วย แม่สามีที่เคยเอ็นดูนาง ยามนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเพียงเพราะภรรยารองของบุตรชายกำลังมีทายาท ทำให้ความสนใจที่เคยมีต่อนางเปลี่ยนไปยังสะใภ้รอง ในขณะที่นายหญิงใหญ่ของจวนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเพื่อเอาใจแม่สามี แม่สามีก็กำลังเอาใจใส่สะใภ้รอง มิว่านางต้องการสิ่งใด หวงฮูหยินก็หามาให้นางทุกอย่าง อาหารในจวนยามนี้นางให้สะใภ้เอกปรุงอาหารที่เน้นแต่อาหารบำรุงครรภ์ แม้จะไม่ค่อยไว้ใจสะใภ้เอกกลัวว่านางจะริษยาสะใภ้รองที่กำลังตั้งครรภ์แต่ในจวนนี้ก็ยังมิมีผู้ใดทำอาหารได้รสมือดีเท่านางอีกแล้ว “ข้าไว้ใจท่านพี่เจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่านางจะไม่คิดร้ายต่อข้า” ฮูหยินรองเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความกังวลของแม่สามี “ข้าก็ไว้ใจนาง แต่พอคิดว่าจิตใจคนเรามันแปรเปลี่ยนกันได้ หากนางเกิดริษยาเจ้าแล้วใส่ยาบางอย่างในอาหารทำให้เจ้ากับหลานของข้าเป็นอันตรายขึ้นมาแล้วข้าจะตอบอวี่เอ๋อร์ได้อย่างไรกัน” “หากท่านแม่มิสบายใจที่ข้าทำอาหารให้น้องหญิงกิน ท่านก็หาแม่ครัวส่วนตัวมาให้นางเองเถิดเจ้าค่ะ” ฉินเซี่ยหรูที่บังเอิญเดินเข้ามาได้ยินบทสนทนาของหวงฮูหยินกับภรรยารองของสามีพอดีเอ่ยออกมา นางตั้งใจจะนำอาหารที่นางทำเพื่อบำรุงเด็กในครรภ์มาให้ แต่พอได้ยินเช่นนี้นางรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจยิ่งนัก “โถ่… แม่ก็พูดไปเช่นนั้นเอง เจ้าอย่าได้คิดมากเลยนะ ในจวนนี้จะมีผู้ใดทำอาหารได้รสชาติดีเท่ากับเจ้าอีกล่ะ” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพลางเดินมาลูบแขนของสะใภ้เอกที่นางเลือกมาเองกับมือ หากสะใภ้เอกเป็นที่โปรดปรานของบุตรชายมากกว่านี้นางคงจะทำดีด้วยอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ “น้องหญิง… หากเจ้ามิกลัวว่าพี่จะวางยาลงในอาหารนี้เช่นดังที่ท่านแม่กล่าวมา เจ้าก็กินเสียเถิด แต่หากเจ้ากลัวก็มิต้องแตะต้องอาหารนี้แล้วนำไปเททิ้งเสีย พี่กลับเรือนล่ะ ข้าลาเจ้าค่ะ” ฉินเซี่ยหรูหันไปคุยกับภรรยารองของสามีก่อนที่จะขอตัวกลับเรือนนอนของตน หน้าที่ของนางหมดเพียงเท่านี้ และนางคงจะอยู่มองคนตีสองหน้าอย่างเช่นแม่สามีมิได้อีก “ขอบน้ำใจท่านพี่เจ้าค่ะ ข้าจะกินอาหารที่ท่านทำมา อย่าได้ถือสาท่านแม่เลยนะเจ้าคะ นางก็เพียงแค่เป็นห่วงหลานคนแรกของสกุลหวง” คำพูดราวกับจริงใจที่เปล่งออกมาจากปากของภรรยารองนั้น ฉินเซี่ยหรูรู้ดีว่านางตั้งใจพูดเหน็บแนมตนเองเพราะนางมิอาจมีบุตรสืบสกุลให้สกุลหวงได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อสามีของนางมิเคยย่างกรายไปหานางที่เรือนใหญ่เลย “หึ!!! ถ้าข้ามิเห็นแก่ตระกูลของเจ้า ข้าคงจะให้อวี่เอ๋อร์เขียนหนังสือหย่าให้เจ้าไปนานแล้ว อยู่ที่นี่มีประโยชน์อันใดกันนอกจากทำอาหารกับเย็บปัก มีหลานสืบสกุลให้ข้าก็มิได้” หวงฮูหยินเอ่ยส่งท้าย ฉินเซี่ยหรูได้ยินทุกถ้อยคำ นางน้ำตาตกในแต่ทว่ามิได้ไหลออกมาให้ได้อาย ฉินเซี่ยหรูเดินจากไปพร้อมกับสายตาเย้ยหยันของบ่าวในเรือนกลางที่มีภรรยารองเป็นนายหญิงอยู่ อำนาจในจวนของนางเริ่มเปลี่ยนมือตั้งแต่ภรรยารองตั้งครรภ์ ทุกวันนี้นางต้องทนอยู่เพียงเพราะมิอยากมีชีวิตการแต่งงานที่ล้มเหลว หากนางหย่าไปแล้วจะมีบุรุษใดต้องการนางอีก ถึงแม้นางจะบอกผู้อื่นว่านางยังบริสุทธิ์แล้วผู้ใดเล่าจะเชื่อ หรือต้องจากไปแต่วิญญาณถึงจะสมศักดิ์ศรีที่นางยังมีหลงเหลืออยู่… หวงจิงอวี่เมื่อรับอนุเข้ามา เขาก็มิเคยมาเรือนใหญ่เพื่อกินอาหารร่วมกับนางอีกเลย จากก่อนหน้านี้ยังพอแวะเวียนมาถามไถ่ความเป็นอยู่บ้าง ยามที่เขาดื่มจนเมามายเขาก็ไปหาอนุคนแรกหากภรรยารองมิตั้งครรภ์ไปเสียก่อน หน้าที่อุ่นเตียงก็คงจะยังคงเป็นของนาง แต่พอนางมีครรภ์ หมอหลวงก็สั่งห้าม โดยเฉพาะแม่สามีที่ค่อนข้างเป็นห่วง กลัวว่าหลานคนแรกของสกุลหวงจะได้รับอันตรายจึงมิให้หวงจิงอวี่เข้าใกล้นางจนกว่าครรภ์จะแข็งแรง เขาจึงไปปลดปล่อยกับเหล่าอนุภรรยาแทน “อื้อ…..อ๊า….ท่านพี่ เบาๆ หน่อยเจ้าค่ะ” เสียงหวานครางกระเส่าเมื่อถูกความแข็งแรงของบุรุษที่เป็นเจ้าของชีวิตตรอกตรึงจากทางด้านหลัง เรือนเล็กซึ่งเป็นเรือนที่มิได้อยู่ห่างไกลจากเรือนใหญ่มากนัก จึงทำให้ฉินเซี่ยหรูมักจะได้ยินเสียงร้องครวญครางราวกับว่ากำลังมีความสุขของชายหญิงดังมารบกวนอยู่บ่อยครั้ง เป็นการตอกย้ำความทุกข์ของนางให้กลายเป็นบาดแผลในใจขนาดใหญ่ที่มิอาจรู้ได้ว่าชาตินี้จะมีสิ่งใดมาเยียวยาได้หรือไม่“ร้องดังๆ”เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด“ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้”ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมา
ภาพในอดีตไหลวนกลับมาในห้วงความนึกคิด เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนางยามเมื่อเป็นฉินเซี่ยหรู จิตใจที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้นางมิกล้ามีใจให้แก่ผู้ใดอีก สกุลฉินก็มิต่างจากสกุลหวงที่รักหน้าตาเช่นกัน หลังจากที่ฉินเซี่ยหรงไปแจ้งข่าวแก่บิดามารดาให้พวกท่านทราบ พวกท่านก็มิได้ทำสิ่งใดเพื่อปกป้องฉินเซี่ยหรูที่เป็นบุตรีของพวกเขา ทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยินต่างก็พากันละเลยเพิกเฉยความรู้สึกที่เกิดขึ้นของบุตรสาว เมื่อฉินเซี่ยหรูกลับมาเยี่ยมเยือนที่จวนสกุลฉิน พวกท่านก็ได้แต่บอกให้นางอดทน เพราะอย่างน้อยที่นั่นนางก็ยังคงเป็นภรรยาเอก แต่ถ้าหากนางหย่ากลับมานางก็เป็นเพียงสตรีไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาตามไปกินมื้อเช้าด้วยเจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างเล็กของโจวเจินเจินหันกลับไปมองก่อนที่จะส่งยิ้มให้“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” พอเอ่ยจบนางก็เดินนำบ่าวรับใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าและสาวรับใช้ของตนไปร่างเล็กในชุดฮั่นฝูสีชมพูเยื้องย่างนำหน้าบ่าวรับใช้ตรงไปยังเรือนของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูรู้สึกดีใจที่โจวเ
ในมื้ออาหารเย็นฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้บุตรชาย สะใภ้เอกและหลานทั้งสองไปร่วมกินมือเย็นกับท่านด้วยเพราะอยากจะพูดคุยเรื่องการศึกษาของโจวเจินเจิน ใต้เท้าโจวเห็นด้วยกับมารดาเพราะอยากให้บุตรีมีวิชาความรู้ติดตัว ยามเมื่อนางเติบโตนางก็ต้องแต่งออกไปอยู่สกุลอื่น จะได้มิถูกผู้อื่นดูถูกหรือตำหนิว่าเป็นสตรีที่มิมีความวิชาความรู้อันใด อีกอย่างนางจะได้มีมิตรสหายวัยเดียวกัน เพราะที่ผ่านมานางนั้นร่างกายอ่อนแอเขาจึงมิยอมให้บุตรีออกไปนอกจวน “หากเจ้าสอบผ่าน พ่อก็จะมิห้ามเจ้าหรอกหนา เพราะการศึกษามันก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าในภายภาคหน้า สตรีจะมีรูปลักษณ์งดงามเพียงใดหากมิมีความรู้ติดตัวก็ยากที่จะได้รับการยอมรับจากสกุลที่สูงศักดิ์กว่า ระหว่างนี้พ่อจะให้ท่านอาจารย์มาสอนวิชาความรู้ก่อนสอบเข้าให้เจ้าจงตั้งใจศึกษาให้ดี” ใต้เท้าโจวกล่าวกับบุตรีของตนหลังจากกลับมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า “เจ้าค่ะท่านพ่อ” ถึงมิมีอาจารย์มาสอน นางก็สามารถสอบผ่านเข้าสำนักศึกษาได้อย่างสบาย แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นทั้งบิดาและมารดาของโจวเจินเจินคงจะต้องแปลกใจจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัยของนาง “เจินเอ๋อร์ว
เพราะความเจ็บปวดที่เคยได้พานพบมิอาจลบเลือน สิ่งที่กระทำได้เมื่อยังคงมีชีวิตอยู่ก็คือการปล่อยวางและไม่เดินไปตามแนวทางเดิมอีก เพื่อมิให้ในชีวิตใหม่นี้ได้รับความทุกข์ ฉินเซี่ยหรูจึงใช้ชีวิตในร่างของโจวเจินเจินแบบระมัดระวัง นางศึกษาในเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อนางเองในภายภาคหน้า หากถามนางในวัยเพียงเจ็ดขวบนี้ นางสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า โตมานางจะไม่ออกเรือนไปกับผู้ใด“เจินเอ๋อร์...เหตุใดไปตอบท่านย่าว่าเช่นนั้นล่ะลูก” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามออกมาเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าบอกเล่าเรื่องราวที่นางแอบสอบถามหลานสาวให้กับบุตรชายฟัง“ลูกคิดเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่”นางตอบเพียงเท่านั้น สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากัน หรืออาจจะเป็นเรื่องของท่านป้าของนางที่ตรอมใจตายไปก่อนที่นางจะฟื้นขึ้นมา“อืม…แล้วนี่ท่านอาจารย์จะให้เจ้าเข้าไปสอบที่สำนักศึกษาวันใดกัน”ใต้เท้าโจวเปลี่ยนเรื่องคุยกับบุตรีทันที เขากลัวว่านางอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจเรื่องของท่านป้าของนางจึงล้มเลิกที่จะกล่าวถึงเรื่องคู่ครองของนางในภายภาคหน้า อีกตั้งแปดปีกว่า
เกือบครึ่งชั่วยามที่บรรดาคุณหนูคุณชายจากหลากหลายสกุลที่เดินทางมาสอบคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาหลุนซี บ่าวและสาวรับใช้ของแต่ละคนที่รออยู่ก็พากันตื่นเต้นไม่แพ้กัน ว่าที่ศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาพากันทยอยเดินออกมาจากสถานที่สอบ ผลการสอบเป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อ คุณหนูใหญ่จากสกุลโจวผ่านการทดสอบทุกวิชาที่สำนักศึกษาทดสอบ ทั้งยังได้คะแนนสูงที่สุดในหมู่ชายและหญิง เป็นที่กล่าวขานไปทั่วในบรรดาลูกศิษย์“คุณหนูของบ่าวเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ หากนายท่านกับนายหญิงใหญ่และท่านฮูหยินผู้เฒ่าทราบจะต้องภูมิใจในตัวของคุณหนูมากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” อี้ถงชื่นชมคุณหนูใหญ่ของนางออกมาด้วยน้ำเสียงยินดีจากใจ มิใช่ความประจบสอพลอ“อื้อ…กลับกันเถิด พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่ข้าได้มาศึกษาที่นี่” คำตอบของคุณหนูใหญ่ทำให้สาวรับใช้ยิ้มออกมาแล้วเดินตามคุณหนูไป“เด็กน้อยคนนั้นน่ะหรือที่สอบได้คะแนนสูงสุดของปีนี้"“ขอรับ…ท่านเจ้าสำนัก”"นางคือบุตรีจากตระกูลใดกัน ช่างเก่งยิ่งนัก ข้าว่าข้อสอบปีนี้มิง่ายเลยนะ แต่นางกลับตอบได้เสียหมด อีกทั้งยังทำคะแนนสูงกว่าร
หลังจากที่โจวเจินเจินขอร้องบิดาให้ตามหาบ่าวทั้งสองของฉินเซี่ยหรู ผ่านไปไม่กี่วันนางก็ได้รับข่าวดี ใต้เท้าโจวก็ได้ซื้อบ่าวทั้งสองกลับมาที่จวนสกุลโจวและยกให้คอยช่วยดูแลเรือนของโจวเจินเจิน ทั้งหุ้ยเจินและชีโยวต่างรู้สึกซาบซึ้งที่ได้มีโอกาสกลับมายังเมืองฮวาหลานและได้มาอยู่กับคุณหนูรอง แม้จะสิ้นคุณหนูใหญ่ของพวกนางไปแล้วก็ตาม“ข้ารู้สึกดีใจที่ยังเห็นพวกเจ้าสบายดีนะชีโยว หุ้ยเจิน” เสียงเล็กเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพลางมองไปยังสองสาวรับใช้ที่กำลังปัดกวาดเช็ดถูเรือนนอนของนาง‘หากข้าพบคนที่เหมาะสมกับพวกเจ้า ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลองคบหากันแล้วแต่งงานออกไปดีๆ ให้สมกับที่พวกเจ้าดูแลข้าในชาติภพก่อนมาเป็นอย่างดี’ แม้อดีตจะเคยเป็นนายเป็นบ่าวกัน ชาติภพนี้นางจะปลดปล่อยบ่าวที่มีความภักดีต่อนางทั้งสองให้เป็นอิสระเอง“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้มาเชิญท่านไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” สาวรับใช้ของเรือนใหญ่ที่เข้ามาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“จ้ะ…อีกหนึ่งเค่อเดี๋ยวข้าจะตามไป ฝากเรียนท่านแม่ด้วย” คุณหนูใหญ่ตอบกลับไป“อี้ถง…
“วันนี้ท่านอาจารย์จะสอนเกี่ยวกับบทกวีใช่หรือไม่” โจวเจินเจินเอ่ยถามออกมาขณะที่กำลังเดินไปที่ห้องที่พวกนางต้องศึกษากับอาจารย์“อือ…วันแรกมิน่าจะเคร่งครัดเท่าใดหรอก” กวงหลินเยว่เอ่ยออกมาบ้าง“แต่ถึงเคร่งครัดเจ้าก็ทำได้อยู่แล้ว…ใช่หรือไม่ล่ะเจินเจิน”โจวเจินเจินยิ้มเพียงเล็กน้อย นางมิได้โอ้อวดว่านางเก่งกว่าผู้ใดและนางมักจะถ่อมตนอยู่เสมอ เรื่องความเก่งเกินวัยนางคงต้องขอบคุณที่นางจดจำอดีตชาติได้ จึงทำให้นางมิต้องพยายามที่จะศึกษาในสิ่งที่โหดร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ แม้อดีตชาติจะทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดแต่มันก็เป็นประโยชน์ให้นางได้เลือกทางเดินในชีวิตของนางในชาติภพใหม่นี้ได้เป็นอย่างดีหลังเลิกเรียนรถม้าของจวนสกุลโจวก็มารอรับคุณหนูใหญ่ที่ด้านหน้า อี้่ถงลงมาจากรถม้าก่อนที่จะรับร่างเล็กของคุณชายรองที่ขอติดตามมารอรับพี่สาวด้วย โจวเจินหลงนั้นยังเด็กจึงยังมิได้ศึกษาวิชาความรู้ใด แต่ในปีหน้าเด็กชายตัวน้อยก็จะเริ่มศึกษาจากที่จวนก่อนเช่นกันเพื่อเตรียมตัวมาสอบเข้าสำนักศึกษาเช่นเดียวกับพี่สาว“ท่านพี่…. ข้ามารับท่านแ
เมืองฮวาหลานยามนี้นั้นแสนจะสงบสุข แม้นว่าจะมีชาวเมืองอื่นอพยพมาช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายมารับตำแหน่งก็จัดสรรที่ทางให้แก่ผู้คนที่อพยพมาได้พักอาศัยเป็นอย่างดี ทำให้ลดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นภายในเมืองได้อยู่ไม่น้อย แต่ผู้ที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองได้เปิดหูเปิดตามองเห็นความลำบากของผู้อพยพเหล่านี้นั้นก็คือคุณหนูใหญ่ของสกุลโจวนางเป็นผู้ริเริ่มในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพที่เข้ามาเป็นขอทานเมื่อสองปีก่อน เมื่อยามนั้นนางอายุเพียงเจ็ดปีเท่านั้น ทำให้นางได้รับการขนานนามว่านางคือเด็กที่มีจิตใจเมตตา มองเห็นความทุกข์ยากของผู้อื่นและยื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล“คุณหนูใหญ่กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองฮวาหลานแล้วนะเจ้าคะ” อี้ถงเอ่ยขึ้นมาขณะที่กำลังเยื้องย่างตามคุณหนูใหญ่สกุลโจวอยู่ภายในตลาดของเมืองฮวาหลาน“อืม…แท้ที่จริงแล้วข้ามิได้ต้องการให้เช่นนี้หรอกอี้ถง แต่ในเมื่อมันเป็นไปแล้วข้าก็คงจะต้องปล่อยเลยตามเลย” นางมิได้ต้องการคำชมหรือสายตาที่มองนางอย่างเทิดทูน นางเพียงแค่อยากใช้ชีวิตเป็นโจวเจินเจินที่มีคุณค่าและสง่างาม
“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู
ขบวนเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงจวนสกุลโจวในยามเฉินเข้าสู่ยามเว่ย ญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวอย่างฟานอี้ชงก็ได้เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ด้วย กว่าที่เจ้าบ่าวจะเข้าไปในจวนสกุลโจวได้ก็ต้องผ่านด่านพี่น้องสกุลโจวทั้งสามอย่างโจวเจินหลง โจวเชิน และโจวหลินหลินที่มาช่วยกันทดสอบว่าที่พี่เขยใหญ่ อั่งเปาถูกแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มายืนชมขบวนก็ได้รับแจกอั่งเปาด้วยในยามเว่ย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเยื้องย่างเข้าไปในเรือนรับรองที่มีใต้เท้าโจว โจวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า ญาติพี่น้องสกุลโจว และสหายสนิทของโจวเจินเจินรออยู่ด้านใน เจียงมู่จื้อครั้นที่ได้เห็นเจ้าสาวก็ถึงกับตะลึงเพราะวันนี้นางช่างงดงามยิ่งนัก แม้ดวงหน้างามจะซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แต่เขารู้ดีว่าใบหน้านางนั้นงดงามถึงเพียงใด ทั้งสองเยื้องย่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของใต้เท้าโจวและโจวฮูหยิน สาวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ท่านเขยใหญ่“ท่านพ่อตา กรุณารับถ้วยชาจากลูกเขยผู้นี้ด้วยเถิดขอรับ” เจียงมู่จื้อส่งถ้วยน้ำชาให้แก่พ่อตาของตนพลางกล่าวออกมา มือหนาสั่นเครือยื่นไปรับถ้วยชามาแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นใต้เท้าโจวจึงได้กล่าวคำอวยพร“ขอ
วันต่อมาในยามเฉิน เจียงฮูหยินได้เดินทางมาเยือนจวนสกุลโจวพร้อมกับแม่สื่อ เพื่อเจรจาสู่ขอบุตรีคนโตของสกุลโจวให้แก่บุตรชายของนาง หลังจากที่เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงเมืองฮวาหลานเมื่อวานนี้ เจียงฮูหยินนั้นได้หาฤกษ์หายามเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้ครั้งที่บุตรชายให้นางมาขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินแล้ว ครั้นบุตรชายเดินทางกลับมา นางจึงสามารถเดินทางมาสู่ขอว่าที่ลูกสะใภ้ได้เลย“ในเมื่อเด็กทั้งสองมีใจรักใคร่ชอบพอกันพวกเราก็มิขัดข้องอันใด กลับรู้สึกยินดียิ่งนักที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีเช่นบุตรชายของท่าน”ฉินเซี่ยหรงกล่าวออกมายิ้มๆ ในเมื่อบุตรสาวของนางเลือกเปิดใจยอมรับคุณชายสกุลเจียงแล้ว นางก็ยินดีที่เด็กทั้งสองจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเสียที“ข้าสัญญาว่าจะให้ความรัก และความเอ็นดูต่อบุตรสาวของพวกท่าน ไม่ต่างกับนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าเอง” เจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใต้เท้าโจวและภรรยาพยักหน้าให้กัน“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสองคนก็มิมีอันใดต้องขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่… ท่านพี่หญิงได้ฤกษ์แต่งงานมาหรือยังเจ
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ภายในเรือนใหญ่นานนับครึ่งชั่วยาม โจวเจินเจินก็ได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนที่มื้อเย็นจะมาถึงอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้รั้งหลานสาวเอาไว้เพราะอยากให้หลานสาวไปสำรวจเรือนนอนก่อนแล้วค่อยมาร่วมโต๊ะกันในมื้อเย็นร่างระหงเยื้องย่างไปยังเรือนนอนที่เคยเป็นของฉินเซี่ยหรงผู้เป็นมารดาของนาง ซึ่งอยู่ติดกับเรือนนอนของฉินเซี่ยหรู หรือเรือนนอนของนางในอดีตชาติ โจวเจินเจินนึกสงสัยไม่ได้จึงเดินไปดูเรือนนอนที่เคยเป็นของนางมาก่อน ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องยังเป็นเช่นเดิมจนนางรู้สึกปวดใจ ที่เคยคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางในอดีตชาติจะตัดใจไปจากฉินเซี่ยหรูได้แล้ว แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกท่านยังคงระลึกถึงนางอยู่เสมอมา“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พวกบ่าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”อี้ถงเดินตามมาบอกคุณหนูใหญ่อย่างรู้สึกเห็นใจ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าเรือนนอนหลังนี้เป็นของผู้ใด คุณหนูใหญ่ของนางคงจะระลึกถึงคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู ท่านป้าผู้ล่วงลับของนางโจวเจินเจินได้ยินเช่นนั้นจึงละสายตาจากเรือนที่เคยพักอาศัยในชีวิตก่อนแล้วกลับไปยังเรือนนอนที่เค