“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”
“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที “ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน” เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นาง มือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงา หลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่มิควรพบเจอ หวงจิงอวี่มาเดินตลาดพร้อมกับภรรยารองและบุตรีคนโตของเขา นางอายุอ่อนกว่าโจวเจินเจินเพียงสองปี เพราะหลังจากที่เขาแต่งฉินเซี่ยหรูไปเป็นภรรยาเอกเพียงหนึ่งปี เขาก็แต่งภรรยารองเข้ามาและสตรีผู้นี้ก็ตั้งครรภ์หลังจากอยู่กินกับเขาได้หนึ่งปี ในขณะที่ฉินเซี่ยหรูเขาไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องร่างกายของนาง “ท่านพี่…นั่นอดีตน้องสะใภ้ของท่านมิใช่หรือเจ้าคะ” ภรรยารองที่บัดนี้กลายมาเป็นภรรยาเอกของหวงจิงอวี่เอ่ยถามเขาออกมา “อืม… เจ้าอย่าไปสนใจพวกนั้นเลย ตั้งแต่พี่สาวของนางจากไป ตระกูลหวงกับตระกูลฉินก็ได้ตัดขาดกันแล้ว ชาตินี้ก็คงจะมิมีวันญาติดีกันได้อีก” หวงจิงอวี่เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะพาภรรยาและบุตรีเดินเลี่ยงไปทางอื่น เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะเกี่ยวดองกับสกุลฉินมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้ามิใช่มารดาขอเอาไว้ เขาคงจะมิแต่งฉินเซี่ยหรูมาเป็นภรรยาเอก สตรีเช่นนางมิสมควรได้รับความรักความเมตตาจากเขา เป็นเพราะนางทำให้คนที่เขารักเหมือนน้องชายต้องตาย นางก็สมควรแล้วที่จะต้องตายตกไปตามกัน เจ็ดปีที่เขาทรมานนางมันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ นัยน์ตากลมของโจวเจินเจินมองไปที่สามีในอดีตชาติด้วยสายตาที่ว่างเปล่า นางมิได้รักเขาอีกแล้ว นางมิได้อาวรณ์เขาอีกแล้ว นางหลุดพ้นจากเขาด้วยความตาย ชาติภพนี้เขาและนางคือคนแปลกหน้าต่อกัน ถือว่ามิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ใบหน้าเล็กเบือนหนีมองไปทางอื่น เขา… มีความสุขบนความทุกข์ของนางมาตลอดหลายปี บัดนี้เขามีความสุขแล้ว นางก็ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขเช่นกัน “เจินเอ๋อร์… เจ้าอยากกินถังหูลู่หรือไม่ เมื่อก่อนเป็นเพราะเจ้าป่วย แม่เลยไม่ยอมให้เจ้ากิน ยามนี้เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วแม่อนุญาตจ้ะ” ฉินเซี่ยหรงเอ่ยถามบุตรสาวคนโตทันทีที่ละสายตาจากอดีตพี่เขย ฉินเซี่ยหรูในร่างโจวเจินเจินดึงสติให้กลับมาพลางพยักหน้า หลานสาวของนางคงจะอยากกินถังหูลู่มาก เสียดายที่คนจะได้กินถังหูลู่ในยามนี้มิใช่เจินเอ๋อร์ หลานสาวที่น่าสงสารของนาง กลับเป็นนางที่ได้มากินแทน “พ่อค้า…เอาถังหูลู่สามไม้จ้ะ” เสียงหวานของโจวฮูหยินเอ่ยออกมา พ่อค้าหยิบให้อย่างไม่รีรอเขาส่งให้แก่คุณหนูและคุณชายคนละไม้ ส่วนอีกไม้ก็ส่งให้แก่โจวฮูหยิน นางรับมาก่อนที่จะหยิบเงินในถุงเงินส่งให้แก่พ่อค้า จากนั้นนางจึงส่งถังหูลู่ไม้ที่นางถือไปให้แก่อี้ถง เด็กรับใช้คนสนิทของบุตรีของนาง อี้ถงคำนับขอบคุณนายหญิงใหญ่ก่อนที่จะรับถังหูลู่มาแล้วกัดเข้าปาก ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินมองเด็กรับใช้คนสนิทของหลานสาว ก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวของนางแล้วจึงยิ้มออกมา อย่างน้อยน้องสาวของนางก็เป็นสตรีที่มีจิตใจดี มีเมตตา พอละสายตาจากน้องสาวนางจึงหันไปมองหลานชายวัยสี่ขวบที่กำลังลิ้มลองรสชาติของถังหูลู่อย่างเอร็ดอร่อยเช่นเดียวกัน หลังจากพาเด็กๆ เดินชมตลอดพร้อมกับรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นไหล ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินจึงพาบุตรทั้งสองกลับจวนสกุลโจว ซึ่งกว่าที่ทุกคนจะถึงจวนก็เป็นยามโหย่วแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเรือนไป อี้ถงรีบไปเตรียมน้ำให้คุณหนูใหญ่ได้อาบ ก่อนที่นางจะไปเตรียมที่นอนเพื่อให้คุณหนูได้พักผ่อนหลังจากออกไปข้างนอกกับนายท่านและนายหญิงใหญ่มาทั้งวัน “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ… อย่าแช่น้ำนานนะเจ้าคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ อากาศเริ่มหนาวแล้วด้วยนะเจ้าคะ” อี้ถงร้องเตือนคุณหนูใหญ่ออกมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย เพราะคุณหนูของนางเพิ่งจะหายป่วย หากแช่น้ำนานๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอีกก็เป็นได้ ร่างเล็กนอนแช่น้ำหลับตาพริ้ม จิตใต้สำนึกของนางกำลังพานางวกกลับไปในอดีต ตอนที่นางยังม่ีชีวิตอยู่เป็นฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน สตรีที่เคยเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษเมืองฮวาหลาน หากยามนั้นนางมิรับปากที่จะออกเรือนไปกับเขา ชีวิตของนางจะมีจุดจบเช่นไรกันนะ จะเป็นเช่นยามนี้ไหม หลานสาวของนางจะต้องจากไปหรือไม่ เรื่องนี้นางเองก็ยังหาคำตอบมิได้ แม้เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่ผู้ใดก็มิอาจจะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นกับนางแล้ว… ชีวิตนางหลังจากนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางเดินใหม่ เพื่อมิให้ซ้ำรอยเดิมหลังจากที่ฉินเซี่ยหรูแต่งงานเข้าจวนสกุลหวง มีหลายสกุลต่างพากันอิจฉามารดาของหวงจิงอวี่ที่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความงามและความเพียบพร้อมในคนเดียว ผู้ใดในเมืองฮวาหลานจะมิรู้บ้างว่าคุณสมบัติที่ฉินเซี่ยหรูมีนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกขนาดไหน แต่สกุลที่โชคดีที่ได้นางไปเป็นสะใภ้กลับกลายเป็นสกุลหวง ที่ใครๆ ก็รู้เช่นกันว่าสกุลนี้รักหน้าตาของตนเป็นที่สุด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เหตุใดท่านเขยใหญ่ต้องแยกห้องนอนกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”ชีโยวหนึ่งในสองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูเอ่ยถามออกมา เพราะตั้งแต่คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวก็มิเคยแม้แต่จะย่างกรายกลับเข้ามายังห้องนอน“เขาคงจะออกไปทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษ” ฉินเซี่ยหรูพยายามปลอบใจตนเองแม้จะรู้สึกได้ว่าสามีหมาดๆ หมางเมินต่อนาง“อีกเจ็ดวันก็ไปเยี่ยมบ้านเดิมได้แล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเศร้าไปนะเจ้าคะ” หุ้ยเจินเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่ที่แสดงออกมานั้นดูเศร้าๆ“จ้ะ… พวกเจ้าก็ไปนอนกันเถิด”หลังจากหวีผมเสร็จสองสาวรับใช้จึงไปดับไฟในตะเกียงและเดินออกไปนอกห้องของฉินเซี่ยหรูอย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งจะล้มตัว
เรือนรับรองสกุลหวงประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน“เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ”สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด“กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับหลังจากมื้ออ
เสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี
ชีวิตการแต่งงานที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝันนั้นมิได้เป็นไปดังหวังโดยเฉพาะกับฉินเซี่ยหรู แม้นางจะเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองฮวาหลานแต่การจะเลือกใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักนางและนางรักก็เป็นไปไม่ได้ นางมิเคยมีความรักจนได้พบกับเขา บุรุษหนุ่มบนหลังม้าที่มีสีหน้าเย็นชา คราแรกคิดว่าเขาคงจะมิได้รังเกียจนาง แต่ทว่านางคิดผิด เขารังเกียจนาง…เข้ากระดูกดำ“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ นายหญิงรองท้องแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งปีหลังจากเขาแต่งภรรยารองเข้ามา นางก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ในขณะที่ภรรยาเอกยังมิเคยได้เข้าหอกับเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง“กี่เดือนแล้วล่ะ” ฉินเซี่ยหรูน้ำตาตกในแต่กลับแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดีออกมา“สองเดือนเจ้าค่ะ อะ…เอ่อ… ข้าได้ยินมาว่า ท่านเขยจะรับอนุมาอีกสองคนเจ้าค่ะ คนแรกเป็นสตรีไร้สกุลมิมีผู้ใดรู้จักนาง สตรีอีกนางเป็นน้องสาวของลูกน้องของท่านเขยเอง”ราวกับคมหอกที่เข้ามาทิ่มแทงใจ ในขณะที่เขากำลังมีทายาทสืบสกุลและกำลังมีความสุขกับการรับอนุเข้ามาเพิ่ม นางก็กำลังเป็นทุกข์ที่มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับของจวนสกุลหวงเพื่อให้มีผู้คนนับถือ“ช่างเขาเถิด คิดมากไปข้าก็จะเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอ
“ร้องดังๆ”เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด“ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้”ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมา
ยามชวีในเหมันตฤดู ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่นอนหลับไม่ได้สติมานานถึงสามคืนเริ่มขยับกายไปมาบนเตียงนอนไม้ขนาดกว้าง ผ้าแพรสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเอื่อยๆ ข้างเตียงมีสตรีที่มีใบหน้างดงามแต่ทว่ากลับฉายแววถึงความกังวลออกมา นางกำลังนั่งรอคอยให้เจ้าของร่างเล็กที่นอนหลับไปนานเกือบสามคืนตื่นมาพูดคุยกับนางเช่นแต่ก่อน เด็กหญิงผิวขาวแต่ทว่ามีดวงหน้าซีดเซียวเริ่มขยับปาก“น้ำ…ข้าหิวน้ำ” เปลือกตาของนางค่อยๆ เปิดก่อนที่เสียงเล็กแหบแห้งจะดังขึ้นมา“เจินเจิน… เจ้าตื่นแล้วหรือลูก” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เจ้าของร่างเล็กหันไปมอง“น้องหญิงรอง…” คนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวเปล่งเสียงออกมาจากริมฝีปากเล็กแต่คนที่ได้ยินเช่นนั้นกลับแสดงสีหน้างุนงงออกมา“เจ้าเรียกแม่ว่าเช่นไรนะเจินเอ๋อร์ นี่แม่ของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าร้องเรียกผู้ใดกัน” ร่างเล็กตาเบิกโพลงพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะสำรวจไปรอบๆ“ข่ะ…ขอกระจกให้ข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อบุตรีเอ่ยปากขอออกมา โจวฮูหยินหรือฉินเซี่ยหรงจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลโจวเจินเจิน บุตรีคนโตของนางให้นำกระจกที่อยู่ข้างเตียงมาส่งให้ มือเล็กรับมาก่อ
หลังจากได้นอนพักอยู่สามวัน ร่างกายของคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็แข็งแรงขึ้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบกลับมาสดใสมากกว่าเดิม ชีวิตวัยเด็กของฉินเซี่ยหรูนั้นแสนน่าเบื่อ นางต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สตรีต้องเรียนรู้ แต่พอได้กลับมาอยู่ในวัยนี้อีกครั้ง น้องสาวของนางกลับมิได้บังคับให้บุตรีต้องทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นเดียวกัน เรื่องนี้นางอดที่จะชื่นชมน้องสาวและน้องเขยมิได้ ที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองของนางด้วยความรักและความเข้าใจ มากกว่าการบังคับให้ทำในสิ่งที่พวกตนต้องการ“โอ้..หลานย่า เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วสิท่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาววัยเจ็ดขวบที่เข้ามาคำนับนางถึงเรือนนอน พอได้สำรวจใบหน้าเล็กก็พอจะเดาออกว่าหลานสาวของนางมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ดูจะสดใสมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ… ยามนี้หลานแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”นางมิได้คุ้นชินกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวแต่จากนี้ไปนางจะต้องทำความรู้จักทุกคนในจวนแห่งนี้ใหม่ เพราะว่านางมิใช่คนของเรือนนี้มาตั้งแต่เกิด มีเพียงน้องสาวอย่างฉินเซี่ยหรงเท่านั้นที่นางรู้จักอีกฝ่ายดีเพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี“ดี…ดี… ไหนเข้ามาใกล้ๆ ย่าสิ” คนเป็นย่า
“ร้องดังๆ”เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด“ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้”ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมา
ชีวิตการแต่งงานที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝันนั้นมิได้เป็นไปดังหวังโดยเฉพาะกับฉินเซี่ยหรู แม้นางจะเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองฮวาหลานแต่การจะเลือกใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักนางและนางรักก็เป็นไปไม่ได้ นางมิเคยมีความรักจนได้พบกับเขา บุรุษหนุ่มบนหลังม้าที่มีสีหน้าเย็นชา คราแรกคิดว่าเขาคงจะมิได้รังเกียจนาง แต่ทว่านางคิดผิด เขารังเกียจนาง…เข้ากระดูกดำ“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ นายหญิงรองท้องแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งปีหลังจากเขาแต่งภรรยารองเข้ามา นางก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ในขณะที่ภรรยาเอกยังมิเคยได้เข้าหอกับเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง“กี่เดือนแล้วล่ะ” ฉินเซี่ยหรูน้ำตาตกในแต่กลับแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดีออกมา“สองเดือนเจ้าค่ะ อะ…เอ่อ… ข้าได้ยินมาว่า ท่านเขยจะรับอนุมาอีกสองคนเจ้าค่ะ คนแรกเป็นสตรีไร้สกุลมิมีผู้ใดรู้จักนาง สตรีอีกนางเป็นน้องสาวของลูกน้องของท่านเขยเอง”ราวกับคมหอกที่เข้ามาทิ่มแทงใจ ในขณะที่เขากำลังมีทายาทสืบสกุลและกำลังมีความสุขกับการรับอนุเข้ามาเพิ่ม นางก็กำลังเป็นทุกข์ที่มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับของจวนสกุลหวงเพื่อให้มีผู้คนนับถือ“ช่างเขาเถิด คิดมากไปข้าก็จะเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอ
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี
เสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข
เรือนรับรองสกุลหวงประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน“เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ”สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด“กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับหลังจากมื้ออ
หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูแต่งงานเข้าจวนสกุลหวง มีหลายสกุลต่างพากันอิจฉามารดาของหวงจิงอวี่ที่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความงามและความเพียบพร้อมในคนเดียว ผู้ใดในเมืองฮวาหลานจะมิรู้บ้างว่าคุณสมบัติที่ฉินเซี่ยหรูมีนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกขนาดไหน แต่สกุลที่โชคดีที่ได้นางไปเป็นสะใภ้กลับกลายเป็นสกุลหวง ที่ใครๆ ก็รู้เช่นกันว่าสกุลนี้รักหน้าตาของตนเป็นที่สุด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เหตุใดท่านเขยใหญ่ต้องแยกห้องนอนกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”ชีโยวหนึ่งในสองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูเอ่ยถามออกมา เพราะตั้งแต่คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวก็มิเคยแม้แต่จะย่างกรายกลับเข้ามายังห้องนอน“เขาคงจะออกไปทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษ” ฉินเซี่ยหรูพยายามปลอบใจตนเองแม้จะรู้สึกได้ว่าสามีหมาดๆ หมางเมินต่อนาง“อีกเจ็ดวันก็ไปเยี่ยมบ้านเดิมได้แล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเศร้าไปนะเจ้าคะ” หุ้ยเจินเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่ที่แสดงออกมานั้นดูเศร้าๆ“จ้ะ… พวกเจ้าก็ไปนอนกันเถิด”หลังจากหวีผมเสร็จสองสาวรับใช้จึงไปดับไฟในตะเกียงและเดินออกไปนอกห้องของฉินเซี่ยหรูอย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งจะล้มตัว
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที“ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน”เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นางมือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงาหลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่
สายตาที่ทอดมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านในลำธารหลังจวนสกุลโจว ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายแต่กลับกลายมาอยู่ในร่างของคนที่นางมิควรอยู่ สามวันแล้วที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ที่นางรักและเอ็นดู ในขณะที่ร่างกายของนางได้ถูกฝังไปในสุสานสกุลฉินแล้ว เหตุใดที่มิได้ฝังอยู่ในสุสานสกุลหวงนั่นก็เป็นเพราะก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เขียนจดหมายหย่าให้แก่สามีอย่างหวงจิงอวี่ ขอตัดความสัมพันธ์กันไม่ว่าภพนั้นหรือภพต่อไป“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”เสียงของบ่าวที่เพิ่งจะเดินมาถึงเรียกสติที่กำลังล่องลอยไปของฉินเซี่ยหรูให้กลับมา นางหันมามองแล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอวี้ถงกับบ่าวที่มาตามนางไปยังเรือนใหญ่“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่” เสียงเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งคำนับบิดามารดา“เจินเอ๋อร์… มานั่งนี่สิลูก” เสียงหวานของฉินเซี่ยหรงเรียกบุตรีของนาง“ท่านพ่อกับท่านแม่มีเรื่องอันใดจะคุยกับลูกหรือเจ้าคะ” สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปที่บุตรี“เจ้าอยากไปกราบไหว้ท่านป้าของเจ้าที่สุสานหรือไม่”เพราะรู้ดีว่าโจวเจินเจินนั้นเป็นห
“คิกๆ ลูกทราบเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ ท่านป้าหวงมาดูตัวลูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฉินฮูหยินพยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร กับสกุลหวงแม่ว่าดีนะ โอกาสในภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ตามว่าที่สามีเพราะแม่ได้ยินว่าบุตรชายของสกุลหวงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด ยากนะที่จะหาคนที่เหมาะสมกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้”แม้ในใจของฉินเซี่ยหรูจะบอกว่าเร็วเกินไปสำหรับเรื่องแต่งงาน แต่นางก็มิอาจปฏิเสธได้ว่านางถูกใจใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษท่าทางสง่างามผู้นั้น และนางก็มิคิดว่าในเมืองฮวาหลานแห่งนี้จะมีบุรุษใดเหมาะสมกับนางเท่าเขาอีกแล้ว“มันก็จริงอย่างที่ท่านแม่กล่าว.. เรื่องนี้ลูกให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตัดสินใจแทนข้าได้เลยเจ้าค่ะ”คำตอบของบุตรสาวเรียกรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ปิดไม่มิดออกมาจากทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยิน มีผู้ใดบ้างจะมิอยากให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุรุษที่มีหน้าที่การงานที่ดีสามวันต่อมาแม่สื่อจึงนำของสินสอดมาส่งให้แก่เจ้าสาวที่บ้านก่อนที่จะให้แต่งออกเรือนไปในอีกเจ็ดวันข้างหน้าตามฤกษ์ยามที่ฝ่ายสกุลหวงหามา ในขณะที่ฝ่ายเจ้าสาวรู้สึกยินดีไปกับการได้เกี่ยวดองกับสกุลหวงในค