เรือนรับรองสกุลหวง
ประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน “เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ” สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด “กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับ หลังจากมื้ออาหารผ่านพ้นไป ใต้เท้าซูก็ยังมิวายที่จะเอ่ยถามเรื่องที่ยังค้างคาก่อนหน้า ใต้เท้าหวงกับหวงฮูหยินจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี “บุตรีคนเล็กภรรยาเอกของจวนสกุลหานน่ะ อวี่เอ๋อร์เป็นผู้ที่เลือกนางมาเอง" เพราะภรรยาเอกที่แต่งมาให้บุตรชายนั้นมิได้รับความโปรดปรานจากบุตรชาย สองสามีภรรยาจึงต้องไปทาบทามภรรยารองมาให้กับหวงจิงอวี่ และบุตรีคนเล็กของภรรยาเอกจวนสกุลหานก็เหมาะสมกับบุตรชายที่สุด แม้สกุลหานจะมีตำแหน่งเล็กกว่าสกุลฉิน แต่ก็พอมีหน้าตาในเมืองนี้อยู่บ้าง ความงามของคุณหนูสกุลหานแม้จะสู้สะใภ้คนแรกมิได้แต่ก็มิด้อยไปกว่ากันมากนัก ต่างจากบุตรีของสกุลซูที่ความงามสู้มิได้ อีกทั้งดูท่าทางจะมิเคยหยิบจับการงานสิ่งใด “อ่อ… สกุลหานดีขอรับ” ใต้เท้าซูเอ่ยออกมา “ว่าอย่างไรล่ะ เจ้าจะยอมให้บุตรีของเจ้ามาเป็นอนุหรือไม่ หากยอมก็ให้นางย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหลังเล็กในจวนสกุลหวงได้เลย” หวงฮูหยินเอ่ยถามออกมาพลางมองใบหน้าของสตรีที่นางเองก็มิได้โปรดปราน ดูก็รู้ว่าบุตรชายมิได้มีอันใดที่จะลุ่มหลงสตรีนางนี้ “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ เพราะชื่อเสียงของซู่เอ๋อร์เสียหาย คงมิมีบุรุษจากสกุลใดอยากแต่งกับนางอีก” เขาต้องจำยอมเพียงเพราะบุตรสาวทำแผนผิดพลาดและช้าจนโดนตัดหน้าไป แต่ถึงจะเป็นอนุ เขาก็เชื่อว่าบุตรสาวของเขาจะต้องทำให้ใต้เท้าหวงจิงอวี่ลุ่มหลงได้มิยาก “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ย้ายมาเถิดนะซู่เอ๋อร์ เป็นอนุถึงจะดูต่ำต้อยข้างนอกแต่ภายในจวนของเรามิได้แบ่งชนชั้นขนาดนั้นหรอก หากเจ้ามีลูกให้กับอวี้เอ๋อร์ เจ้าก็จะได้รับการเคารพนับถือจากพวกบ่าวเอง” หวงฮูหยินบอกกล่าวออกมายิ้มๆ จวนสกุลหวงยามนี้มีเพียงห้าเรือนเท่านั้น เรือนใหญ่เป็นของใต้เท้าหวงกับหวงฮูหยิน เรือนรองเป็นของสะใภ้ใหญ่กับบุตรชายซึ่งบุตรชายมิเคยย่างกรายไปเยือนเลยสักครั้ง “ขอบน้ำใจท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าค่ะ” แม้ลึกๆ จะไม่พอใจที่ตนได้เป็นเพียงอนุภรรยามิใช่ภรรยารองแต่ซูซู่ซู่ก็ยินยอมเพียงเพราะนางตกหลุมรักหวงจิงอวี่ “แต่งงานมาเป็นปีแล้วเหตุใดสะใภ้ใหญ่ของท่านถึงยังมิตั้งครรภ์อีกหรือ นางมิใช่ว่าเป็นหมันหรอกใช่หรือไม่ ข้าเห็นว่าน้องสาวของนาง สะใภ้สกุลโจวน่ะท้องแล้ว แต่ก็นะแต่งออกเรือนไปก่อนพี่สาวเป็นปี” ซูฮูหยินชวนหวงฮูหยินพูดคุยหลังสามีของทั้งคู่พากันไปเล่นหมากล้อมที่ศาลาหลังจวนแล้วทิ้งตนไว้กับหวงฮูหยินเพียงลำพัง ส่วนบุตรสาวนั้นไปดูเรือนนอนของนาง “มิใช่หรอก เจ้าอย่าไปสนใจสะใภ้ใหญ่ของข้าเลย มีนางเป็นสะใภ้มิใช่เรื่องแย่ อาหารนางก็ทำอร่อย เย็บปักถักร้อยก็งดงาม เจ้าดูผ้าม่านที่อยู่ด้านหลังนั่นสิ” หวงฮูหยินเลือกที่จะมิกล่าวถึงความสัมพันธ์ของบุตรชายกับสะใภ้ แต่เลือกกล่าวถึงสิ่งที่สะใภ้ได้ทำให้ยามอยู่ที่จวนแห่งนี้แทน “อืม… งามยิ่งนัก สมแล้วที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของคนที่เป็นลูกสะใภ้ที่ดี” หวงฮูหยินยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะยกชาขึ้นมาจิบ เรื่องการรับอนุภรรยามาให้สามีรู้ถึงฉินเซี่ยหรูหลังจากที่เรือนเล็กที่ว่างอยู่มีคนมาอาศัย นางรับรู้เรื่องที่แม่สามีกำลังจะให้สามีแต่งภรรยารอง อาจจะเป็นเพราะนางมิอาจตั้งครรภ์ได้ แต่นั่นมันก็มิใช่ความผิดของนางเลยสักนิด เป็นบุตรชายของพวกเขาต่างหากที่มิยอมแตะต้องนางเลยสักครั้ง นอนห้องเดียวกันแต่ก็แยกกันนอน ปฏิบัติต่อนางราวกับนางไม่มีตัวตน “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คนพวกนี้ทำแบบนี้มิถูกเลยนะเจ้าคะ เพิ่งจะแต่งได้ปีเดียวก็รับภรรยารอง อนุภรรยามาให้ลูกชายแล้ว เห็นคุณหนูของข้าเป็นของใช้ประดับจวนหรืออย่างไรกัน” ชีโยวเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ “ช่างคนพวกนั้นเถอะ… เป็นเพราะข้ามิอาจทำให้เขารักได้ เขามิรักก็มิอาจมีลูกได้ ท่านแม่ของเขาก็คงจะอยากให้เขามีทายาทนั่นแหละ ขอเพียงพวกนางอยู่ในพื้นที่ของพวกนาง ข้าก็มิได้มีปัญหาอันใดหรอก เพราะจะช้าหรือเร็ว เขาก็คงรับพวกนางเข้ามาอยู่ดี” ฉินเซี่ยหรูเอ่ยออกมาขณะที่กำลังเย็บปลอกหมอนให้กับสามี ถึงแม้เขาจะหมางเมินนาง แต่ถึงอย่างไรคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ย่อมต้องใส่ใจผู้เป็นสามีเป็นธรรมดา และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางที่เป็นภรรยาเอกถูกดูถูกเกียรติและศักดิ์ศรี ใหม่ๆ พวกนางเหล่านั้นทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนต่อตน แต่พอพวกนางตั้งครรภ์ คลอดลูก ความนับถือในฐานะภรรยาเอกของนางก็ถูกลดน้อยถอยลง แม่สามีก็มองฉินเซี่ยหรูเป็นเพียงสะใภ้ที่มีไว้เพื่อประดับจวนอวดคนภายนอกก็เท่านั้นเสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี
ชีวิตการแต่งงานที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝันนั้นมิได้เป็นไปดังหวังโดยเฉพาะกับฉินเซี่ยหรู แม้นางจะเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองฮวาหลานแต่การจะเลือกใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักนางและนางรักก็เป็นไปไม่ได้ นางมิเคยมีความรักจนได้พบกับเขา บุรุษหนุ่มบนหลังม้าที่มีสีหน้าเย็นชา คราแรกคิดว่าเขาคงจะมิได้รังเกียจนาง แต่ทว่านางคิดผิด เขารังเกียจนาง…เข้ากระดูกดำ“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ นายหญิงรองท้องแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งปีหลังจากเขาแต่งภรรยารองเข้ามา นางก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ในขณะที่ภรรยาเอกยังมิเคยได้เข้าหอกับเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง“กี่เดือนแล้วล่ะ” ฉินเซี่ยหรูน้ำตาตกในแต่กลับแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดีออกมา“สองเดือนเจ้าค่ะ อะ…เอ่อ… ข้าได้ยินมาว่า ท่านเขยจะรับอนุมาอีกสองคนเจ้าค่ะ คนแรกเป็นสตรีไร้สกุลมิมีผู้ใดรู้จักนาง สตรีอีกนางเป็นน้องสาวของลูกน้องของท่านเขยเอง”ราวกับคมหอกที่เข้ามาทิ่มแทงใจ ในขณะที่เขากำลังมีทายาทสืบสกุลและกำลังมีความสุขกับการรับอนุเข้ามาเพิ่ม นางก็กำลังเป็นทุกข์ที่มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับของจวนสกุลหวงเพื่อให้มีผู้คนนับถือ“ช่างเขาเถิด คิดมากไปข้าก็จะเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอ
“ร้องดังๆ”เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด“ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้”ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมา
ภาพในอดีตไหลวนกลับมาในห้วงความนึกคิด เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนางยามเมื่อเป็นฉินเซี่ยหรู จิตใจที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้นางมิกล้ามีใจให้แก่ผู้ใดอีก สกุลฉินก็มิต่างจากสกุลหวงที่รักหน้าตาเช่นกัน หลังจากที่ฉินเซี่ยหรงไปแจ้งข่าวแก่บิดามารดาให้พวกท่านทราบ พวกท่านก็มิได้ทำสิ่งใดเพื่อปกป้องฉินเซี่ยหรูที่เป็นบุตรีของพวกเขา ทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยินต่างก็พากันละเลยเพิกเฉยความรู้สึกที่เกิดขึ้นของบุตรสาว เมื่อฉินเซี่ยหรูกลับมาเยี่ยมเยือนที่จวนสกุลฉิน พวกท่านก็ได้แต่บอกให้นางอดทน เพราะอย่างน้อยที่นั่นนางก็ยังคงเป็นภรรยาเอก แต่ถ้าหากนางหย่ากลับมานางก็เป็นเพียงสตรีไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาตามไปกินมื้อเช้าด้วยเจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างเล็กของโจวเจินเจินหันกลับไปมองก่อนที่จะส่งยิ้มให้“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” พอเอ่ยจบนางก็เดินนำบ่าวรับใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าและสาวรับใช้ของตนไปร่างเล็กในชุดฮั่นฝูสีชมพูเยื้องย่างนำหน้าบ่าวรับใช้ตรงไปยังเรือนของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูรู้สึกดีใจที่โจวเ
ในมื้ออาหารเย็นฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้บุตรชาย สะใภ้เอกและหลานทั้งสองไปร่วมกินมือเย็นกับท่านด้วยเพราะอยากจะพูดคุยเรื่องการศึกษาของโจวเจินเจิน ใต้เท้าโจวเห็นด้วยกับมารดาเพราะอยากให้บุตรีมีวิชาความรู้ติดตัว ยามเมื่อนางเติบโตนางก็ต้องแต่งออกไปอยู่สกุลอื่น จะได้มิถูกผู้อื่นดูถูกหรือตำหนิว่าเป็นสตรีที่มิมีความวิชาความรู้อันใด อีกอย่างนางจะได้มีมิตรสหายวัยเดียวกัน เพราะที่ผ่านมานางนั้นร่างกายอ่อนแอเขาจึงมิยอมให้บุตรีออกไปนอกจวน “หากเจ้าสอบผ่าน พ่อก็จะมิห้ามเจ้าหรอกหนา เพราะการศึกษามันก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าในภายภาคหน้า สตรีจะมีรูปลักษณ์งดงามเพียงใดหากมิมีความรู้ติดตัวก็ยากที่จะได้รับการยอมรับจากสกุลที่สูงศักดิ์กว่า ระหว่างนี้พ่อจะให้ท่านอาจารย์มาสอนวิชาความรู้ก่อนสอบเข้าให้เจ้าจงตั้งใจศึกษาให้ดี” ใต้เท้าโจวกล่าวกับบุตรีของตนหลังจากกลับมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า “เจ้าค่ะท่านพ่อ” ถึงมิมีอาจารย์มาสอน นางก็สามารถสอบผ่านเข้าสำนักศึกษาได้อย่างสบาย แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นทั้งบิดาและมารดาของโจวเจินเจินคงจะต้องแปลกใจจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัยของนาง “เจินเอ๋อร์ว
เพราะความเจ็บปวดที่เคยได้พานพบมิอาจลบเลือน สิ่งที่กระทำได้เมื่อยังคงมีชีวิตอยู่ก็คือการปล่อยวางและไม่เดินไปตามแนวทางเดิมอีก เพื่อมิให้ในชีวิตใหม่นี้ได้รับความทุกข์ ฉินเซี่ยหรูจึงใช้ชีวิตในร่างของโจวเจินเจินแบบระมัดระวัง นางศึกษาในเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อนางเองในภายภาคหน้า หากถามนางในวัยเพียงเจ็ดขวบนี้ นางสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า โตมานางจะไม่ออกเรือนไปกับผู้ใด“เจินเอ๋อร์...เหตุใดไปตอบท่านย่าว่าเช่นนั้นล่ะลูก” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามออกมาเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าบอกเล่าเรื่องราวที่นางแอบสอบถามหลานสาวให้กับบุตรชายฟัง“ลูกคิดเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่”นางตอบเพียงเท่านั้น สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากัน หรืออาจจะเป็นเรื่องของท่านป้าของนางที่ตรอมใจตายไปก่อนที่นางจะฟื้นขึ้นมา“อืม…แล้วนี่ท่านอาจารย์จะให้เจ้าเข้าไปสอบที่สำนักศึกษาวันใดกัน”ใต้เท้าโจวเปลี่ยนเรื่องคุยกับบุตรีทันที เขากลัวว่านางอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจเรื่องของท่านป้าของนางจึงล้มเลิกที่จะกล่าวถึงเรื่องคู่ครองของนางในภายภาคหน้า อีกตั้งแปดปีกว่า
เกือบครึ่งชั่วยามที่บรรดาคุณหนูคุณชายจากหลากหลายสกุลที่เดินทางมาสอบคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาหลุนซี บ่าวและสาวรับใช้ของแต่ละคนที่รออยู่ก็พากันตื่นเต้นไม่แพ้กัน ว่าที่ศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาพากันทยอยเดินออกมาจากสถานที่สอบ ผลการสอบเป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อ คุณหนูใหญ่จากสกุลโจวผ่านการทดสอบทุกวิชาที่สำนักศึกษาทดสอบ ทั้งยังได้คะแนนสูงที่สุดในหมู่ชายและหญิง เป็นที่กล่าวขานไปทั่วในบรรดาลูกศิษย์“คุณหนูของบ่าวเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ หากนายท่านกับนายหญิงใหญ่และท่านฮูหยินผู้เฒ่าทราบจะต้องภูมิใจในตัวของคุณหนูมากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” อี้ถงชื่นชมคุณหนูใหญ่ของนางออกมาด้วยน้ำเสียงยินดีจากใจ มิใช่ความประจบสอพลอ“อื้อ…กลับกันเถิด พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่ข้าได้มาศึกษาที่นี่” คำตอบของคุณหนูใหญ่ทำให้สาวรับใช้ยิ้มออกมาแล้วเดินตามคุณหนูไป“เด็กน้อยคนนั้นน่ะหรือที่สอบได้คะแนนสูงสุดของปีนี้"“ขอรับ…ท่านเจ้าสำนัก”"นางคือบุตรีจากตระกูลใดกัน ช่างเก่งยิ่งนัก ข้าว่าข้อสอบปีนี้มิง่ายเลยนะ แต่นางกลับตอบได้เสียหมด อีกทั้งยังทำคะแนนสูงกว่าร
“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู
ขบวนเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงจวนสกุลโจวในยามเฉินเข้าสู่ยามเว่ย ญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวอย่างฟานอี้ชงก็ได้เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ด้วย กว่าที่เจ้าบ่าวจะเข้าไปในจวนสกุลโจวได้ก็ต้องผ่านด่านพี่น้องสกุลโจวทั้งสามอย่างโจวเจินหลง โจวเชิน และโจวหลินหลินที่มาช่วยกันทดสอบว่าที่พี่เขยใหญ่ อั่งเปาถูกแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มายืนชมขบวนก็ได้รับแจกอั่งเปาด้วยในยามเว่ย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเยื้องย่างเข้าไปในเรือนรับรองที่มีใต้เท้าโจว โจวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า ญาติพี่น้องสกุลโจว และสหายสนิทของโจวเจินเจินรออยู่ด้านใน เจียงมู่จื้อครั้นที่ได้เห็นเจ้าสาวก็ถึงกับตะลึงเพราะวันนี้นางช่างงดงามยิ่งนัก แม้ดวงหน้างามจะซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แต่เขารู้ดีว่าใบหน้านางนั้นงดงามถึงเพียงใด ทั้งสองเยื้องย่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของใต้เท้าโจวและโจวฮูหยิน สาวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ท่านเขยใหญ่“ท่านพ่อตา กรุณารับถ้วยชาจากลูกเขยผู้นี้ด้วยเถิดขอรับ” เจียงมู่จื้อส่งถ้วยน้ำชาให้แก่พ่อตาของตนพลางกล่าวออกมา มือหนาสั่นเครือยื่นไปรับถ้วยชามาแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นใต้เท้าโจวจึงได้กล่าวคำอวยพร“ขอ
วันต่อมาในยามเฉิน เจียงฮูหยินได้เดินทางมาเยือนจวนสกุลโจวพร้อมกับแม่สื่อ เพื่อเจรจาสู่ขอบุตรีคนโตของสกุลโจวให้แก่บุตรชายของนาง หลังจากที่เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงเมืองฮวาหลานเมื่อวานนี้ เจียงฮูหยินนั้นได้หาฤกษ์หายามเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้ครั้งที่บุตรชายให้นางมาขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินแล้ว ครั้นบุตรชายเดินทางกลับมา นางจึงสามารถเดินทางมาสู่ขอว่าที่ลูกสะใภ้ได้เลย“ในเมื่อเด็กทั้งสองมีใจรักใคร่ชอบพอกันพวกเราก็มิขัดข้องอันใด กลับรู้สึกยินดียิ่งนักที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีเช่นบุตรชายของท่าน”ฉินเซี่ยหรงกล่าวออกมายิ้มๆ ในเมื่อบุตรสาวของนางเลือกเปิดใจยอมรับคุณชายสกุลเจียงแล้ว นางก็ยินดีที่เด็กทั้งสองจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเสียที“ข้าสัญญาว่าจะให้ความรัก และความเอ็นดูต่อบุตรสาวของพวกท่าน ไม่ต่างกับนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าเอง” เจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใต้เท้าโจวและภรรยาพยักหน้าให้กัน“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสองคนก็มิมีอันใดต้องขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่… ท่านพี่หญิงได้ฤกษ์แต่งงานมาหรือยังเจ
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ภายในเรือนใหญ่นานนับครึ่งชั่วยาม โจวเจินเจินก็ได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนที่มื้อเย็นจะมาถึงอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้รั้งหลานสาวเอาไว้เพราะอยากให้หลานสาวไปสำรวจเรือนนอนก่อนแล้วค่อยมาร่วมโต๊ะกันในมื้อเย็นร่างระหงเยื้องย่างไปยังเรือนนอนที่เคยเป็นของฉินเซี่ยหรงผู้เป็นมารดาของนาง ซึ่งอยู่ติดกับเรือนนอนของฉินเซี่ยหรู หรือเรือนนอนของนางในอดีตชาติ โจวเจินเจินนึกสงสัยไม่ได้จึงเดินไปดูเรือนนอนที่เคยเป็นของนางมาก่อน ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องยังเป็นเช่นเดิมจนนางรู้สึกปวดใจ ที่เคยคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางในอดีตชาติจะตัดใจไปจากฉินเซี่ยหรูได้แล้ว แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกท่านยังคงระลึกถึงนางอยู่เสมอมา“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พวกบ่าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”อี้ถงเดินตามมาบอกคุณหนูใหญ่อย่างรู้สึกเห็นใจ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าเรือนนอนหลังนี้เป็นของผู้ใด คุณหนูใหญ่ของนางคงจะระลึกถึงคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู ท่านป้าผู้ล่วงลับของนางโจวเจินเจินได้ยินเช่นนั้นจึงละสายตาจากเรือนที่เคยพักอาศัยในชีวิตก่อนแล้วกลับไปยังเรือนนอนที่เค