สิบกว่านาทีต่อมา รถจึงค่อยๆ แล้วเข้ามาในบ้าน"ถึงบ้านแล้ว ฟู่ฉีชวน" ฉันเปิดประตูพร้อมกับร้องเรียกคิดไม่ถึง ว่าผู้ชายที่เมาจนไม่เป็นผู้เป็นคน จะล้มตะแคงลงมาตามการเปิดประตูของฉันฉันขมวดคิ้ว ทำได้แค่กัดฟันประคองเขาไว้ "เธอออกแรงเองบ้างได้มั๊ย?"ไม่มีปฏิกิริยาทำได้แค่โทรศัพท์เรียกป้าหลิวที่กำลังหลับฝันหวาน ให้ออกมาช่วยประคองฟู่ฉีชวนกลับเข้าห้อง"นายหญิง จะให้ชั้นช่วยอะไรไหมคะ?" ป้าหลิวถาม"ไม่ต้องแล้ว คุณรีบไปนอนต่อเถอะ"ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เดิมทีก็รบกวนคนจนตื่นจากฝันแล้ว ไม่อยากจะรบกวนให้มากกว่านี้หลังจากป้าหลิวออกไป ฉันก็ต้องมาทนกับอาการอึดอัดที่ถูกกลิ่นแอลกอฮอล์รมจนแทบจะอาเจียน ก้มเอวลงถอดรองเท้าหนังกับปลดเข็มขัดให้ฟู่ฉีชวน จากนั้นจึงยืดตัวตรงเตรียมลงไปชั้นล่างพอหมุนตัวกลับรู้สึกว่ามือของตนเองจู่ๆ ถูกกุมเอาไว้เขาหลับตามงึมงำ "คุณภรรยา...""..."อันที่จริงฉันไม่คิดว่าเขากำลังเรียกฉันที่เป็นไปได้มากกว่า คือเขากับฟู่จินอันน่าจะพัฒนากันไปจนถึงขั้นเรียกสามีภรรยากันแล้วฉันยื่นมือไปเลิกหนังตาของเขา "ฟู่ฉีชวน เธอมองดีดีว่าชั้นเป็นใคร""คุณภรรยา..."เขาไม่ให้ความร่วมมือเลย ขณะที่พลิกตั
ทั้งที่คั่นด้วยเนื้อผ้าชั้นหนึ่งแท้ๆ แต่ผิวที่เอวกลับร้อนจนแทบลวกฉันเหมือนเหมือนถูกผีอำอย่างไรอย่างนั้น ขยับตัวไม่ได้เลย ยังดีที่ความรู้สึกนึกคิดยังแจ่มชัดอยู่ "พวกเราพูดกันชัดเจนแล้ว ชั้นไม่ยอมแต่งงานไปเป็นคนที่สามที่คั่นกลางอยู่หรอก""ขอโทษ" หน้าผากชายหนุ่มดันแผ่นหลังของฉัน พูดเสียงอู้อี้ออกมาจะใจอ่อนไหมแน่นอนว่าใช่ใครบ้างที่ลบความรู้สึกหลายปีออกไปได้ง่ายๆ ในชั่วข้ามคืนฉันอยากจะโพล่งออกมาเหลือเกิน ว่าจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งแต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ก็ร้องเอะอะขึ้นในสมองฉันตลอดเลือกเขา หรือว่าจะเลือกตัวเองฉันพ่นลมออกมา "ฟู่ฉีชวน เธอรู้อยู่แล้วว่ามันผิด แต่ต่อมาก็ยังทำผิดอีก สิ่งนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย"ครั้งนี้ ฉันเลือกตัวเองเลือกเขามาแล้วถึงเจ็ดปี เพียงพอแล้วฟู่ฉีชวนนิ่งงันไปนาน ไม่พูดอะไร"ปล่อยมือเถอะ พวกเราเดินมาได้เท่านี้แหละ" ฉันในอดีตไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าจะมีวันที่ฉันจะพูดเย็นชาแบบนี้กับฟู่ฉีชวนชอบเขาข้างเดียวคืออะไร มันคือการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของตนเองครั้งหนึ่งแค่สายตาเดียวของอีกฝ่าย หรือแค่คล้องนิ้วกัน ก็แจ้นออกไปอย่างดีอกดีใจแล้วมีความสุขสนุกสน
บ้านหลังนี้ หลังจากเขาส่งมาถึงมือแันไม่กี่วัน ก็เริ่มตกแต่งแล้วเพื่อจะตกแต่งมัน ฉันลงแรงอย่างหนักเลยทีเดียวเขาไม่เคยถามถึงมาก่อนต่อให้ฉันกลับบ้านค่ำแค่ไหน อย่างมากสุดเขาก็แค่พูดออกมาตามมารยาทคำสองคำ อย่างกลับมาค่ำจัง หรือไม่ก็ดูท่างานออกแบบจะวุ่นมากไม่เคยมีสองคำนี้ ว่าฉันไปไหน ไปทำอะไรมาไม่อยู่ในขอบเขตที่เขาจำเป็นต้องมากังวลพอมาถึงขั้นที่ต้องหย่าร้าง ฉันเองก็ไม่คิดจะทนต่อไปอีก "น่าจะเป็นตอนที่เธอไปอยู่กับฟู่จินอันนั่นล่ะ"แล้วก็ตามคาด มองเห็นอาการแข็งทื่อบนหน้าเขาในใจฉันสบายขึ้นเยอะเลย"ชั้นกับหล่อนช่วงนี้ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว""ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายกับชั้น"ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว ฉันพูดต่อว่า "ขอแค่เธอเต็มใจ รอให้เรื่องหย่าจัดการเสร็จก่อน จะแต่งหล่อนเข้าบ้านตอนไหนก็เชิญ""หร่วนหนานจือ ตอนนี้ทำไมเธอต้องพูดจาเหน็บแนมขนาดนี้?" เขาขมวดคิ้วแน่น เหมือนรู้สึกจำใจหน่อยๆ"แล้วชั้นควรต้องพูดว่าอะไรล่ะ?""ไม่ว่าจะหย่าหรือไม่หย่า หล่อนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับความสัมพันธ์ของพวกเรา""หลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่นอีก"ฉันทิ้งคำนี้ออกมา เดินไปโถงหน้าเปลี่ยนรองเท้าลงจากตึกโชเฟอร์รออยู่ในรถมาตลอด
ก่อนหน้านี้มองไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นพวกเอาคืนกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้ฉันทำได้แค่กัดฟันเดินตามหลังเขาไป คิดไม่ถึงว่า ฉันยังไม่ทันอธิบาย คุณปู่ฟู่ก็ยิ้มแป้นแล้น เอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นว่า"ได้ยินป้าหลิวบอกว่า หนานจือย้ายออกไปแล้วหรือ?""ใช่ค่ะ คุณปู่"ฉันทำได้แค่ยอมรับ ถ้าหากคุณปู่โกรธขึ้นมาค่อยหาวิธีปลอบเขาคุณปู่กลับไม่โมโหฉัน แต่ไปถลึงตาใส่ฟู่ฉีชวนแทน "เจ้าคนไม่ได้เรื่อง แค่ภรรยาของตัวเองก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้!""คุณปู่ พูดกันด้วยเหตุผลหน่อย เป็นเธอที่ย้ายออกไปเอง แล้วผมจะทำอะไรได้?""หล่อนหนีไป แกก็ไม่รู้จักไล่ตามหรือ?"คุณปู่เตือนขึ้นอย่างหวังดี "แกนี่นะ ได้พ่อแกมาเต็มๆ เลย คานบนไม่ตรงอย่างไรคานล่างมันก็เอียงอย่างนั้น""แล้วปู่ไม่ใช่คานบนของพ่อผมหรือ?" ฟู่ฉีชวนหัวเราะขึ้นมา"ไอ้เด็กเวร!"ปู่คว้าถ้วยชาทำท่าจะเขวี้ยง แต่ก็วางลง ตั้งท่าจะพูดแต่ก็ยั้งไว้นาน สุดท้ายจึงพูดแค่ "หิวแล้ว กินข้าวเถอะ"ข้าวมือนี้กินกันอย่างสนุกสนานคุณปู่คีบกับข้าวให้ฉันบ่อยมาก ชามข้าวตรงหน้าฉันแทบจะกองขึ้นเป็นภูเขาย่อมๆ แล้ว"กินเยอะๆ หน่อย ดูหลานสิ ช่วงนี้ผอมเกินไปแล้ว กินเยอะๆ ให้มีน้ำมีนวลหน่อย""ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณปู
"วางใจเถอะคุณปู่"ฉันคีบเต้าหู้หมักชิ้นหนึ่งให้คุณปู่ เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน "เขารังแกหนูไม่ได้หรอก"ถึงอย่างไร ก็จะหย่ากันอยู่แล้วนี่กินข้าวเสร็จ ฟู่ฉีชวนก็ลงไปเล่นหมากล้อมกับคุณปู่ที่เรือนหลังฉันคอยชงชาให้อยู่ข้างๆฟู่ฉีชวนฝีมือวางหมากซับซ้อนมหัศจรรย์มาก รีบไล่รีบปิดฉาก กินไปอีกกระดาน คุณปู่โมโหถลึงตาใส่เขา "แกคิดว่าเล่นกับคนนอกอยู่หรือไง ไม่คิดจะเหลือทางไว้ให้ปู่บ้าง?""ก็ได้"ฟู่ฉีชวนหัวเราะ หลังจากนั้นก็ต่อให้จริงๆ คุณปู่ก็ดูดีอกดีใจ หัวเราะอย่างเบิกบาน ชี้แนะมาคำหนึ่ง "เด็กอย่างแกนี่นะจงจำเอาไว้ คนในครอบครัวกับคนนอกนั้นแตกต่างกัน"ฉันยื่นถ้วยชาส่งออกไป "คุณปู่คะ ดื่มชาหน่อย""อืม"คุณปู่ขานรับคำหนึ่ง รับไปจิบๆ เอ่ยขึ้นอย่างปลื้มอกปลื้มใจ "ถ้าพวกแกปรองดองกันได้ตลอด วันที่ชั้นจะได้อุ้มเหลนก็คงอยู่ไม่ไกลแล้ว!""..."ใจฉันสั่นเล็กน้อย ยื่นมือมากุมท้องตัวเองด้วยสัญชาตญาณพอเห็นใบหน้าคุณปูที่แก่ตัวลงทุกวัน ก็เกิดความรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาหน่อยๆถ้าหาก ระหว่างฉันกับฟู่ฉีชวนไม่มีเส้นแบ่งเหล่านั้น ไม่มีปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นฉันตอนนี้ก็คงบอกคุณปู่ได้ ว่าฉันตั้งท้องแล้ว คุณปู่ใกล้จะได้อุ้มเห
หมายความว่าอะไร?สงสัยว่าฉันยังไม่ทันหย่าก็จะสวมเขาให้เขาแล้วอย่างนั้นหรือ?เขาเป็นคนแบบนี้จริงๆฉันขี้เกียจจะอธิบาย เอ่ยขึ้นอย่างเป็นปกติ "เพื่อนสนิท""เพื่อนคนไหน?""ฟู่ฉีชวน"ฉันยิ้มขึ้นมา เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน "คนตายเขาไม่ถามนั่นถามนี่หรอกนะ"ในเมื่อเขายอมจะเป็นแฟนเก่าที่ตายไปแล้ว เช่นนั้นทำตัวให้เหมือนตายหน่อยฟู่ฉีชวนเกือบจะโมโหออกมา ปลายลิ้นดันกระพุ้งแก้ม หัวเราะเย็นชาออกมา "ได้"พอมาถึงสุสาน หลังจากลงรถ ฉันก็เดินตรงไปยังบันไดขึ้นเขาพอเห็นเขาไม่ตามมา แันจึงต้องหันกลับไปรอเขาพอหมุนตัว เห็นเขาหิ้วตะกร้าที่ไม่รู้ไปเตรียมมาตอนไหน ดอกเบญจมาศเหลือบกับขาวอยู่ด้านใน จึงอดตะลึงขึ้นมาไม่ได้ฉันเม้มปาก "ขอบคุณ""ขอบคุณอะไร? เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ชั้นควรทำอยู่แล้ว" เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบรอจนเขาเดินตามขึ้นมา พวกเราจึงเดินเคียงไหลไปยังหลุมศพของพ่อแม่ฉันเช่นนี้ก็ดี แม้จะเป็นความรักใคร่ที่ปรากฏอยู่ในใจ แต่พ่อกับแม่ในปรโลกถ้ารู้เข้า ก็น่าจะวางใจได้ระดับหนึ่งกระมังสุสานมีคนมาคอยดูแลให้ตลอดทั้งปี ป้ายสุสานมีฝุ่นอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นพูดขึ้นมา พ่อแม่ของฉันจากไปตั้งหลายปีแล้ว อันที่จริงฉันก็ไ
ไม่เช่นนั้น เครือตระกูลฟู่คงไม่ส่งต่อถึงมือฟู่ฉีชวนทันทีหรอก"แล้วเธอล่ะ มีชีวิตที่ดีไหม?" ฉันเงยหน้า มองดูเส้นกรามคมของเขา ถามขึ้นแช่มช้า"ก็สามปีนี้ที่แต่งงานกับเธอมา"เขายังคงฉีกยิ้ม ทอดถอนใจออกมาเสียหงนึ่ง "มีชีวิตที่ดีมาก"คำตอบนี้ ทำเอาฉันยิ่งอยากจะร้องไห้น่าจะเป็นความเสียดายกระมังเห็นๆ อยู่ ถ้าหากไม่มีเรื่องพวกนั้น พวกเขาก็สามารถครองรักกันจนแก่เฒ่าได้……ระหว่างทางกลับ ฉันกับเขาต่างฝ่ายต่างรู้ในใจ ไม่พูดอะไรกันอีกคำบางคำพูดมากไปก็ไร้ความหมายเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนฉันเองก็อยู่อย่างมีไมตรีสุขไม่ได้เหมือนกันปล่อยวางไวหน่อย ถือโอกาสขณะที่ในสายตาของต่างฝ่ายต่างยังไม่ถึงขั้นที่เกลียดชังกันฤดูใบไม้ร่วงช่วงกลางวันสั้นกลางคืนยาว มองผ่านกระจกรถ เงาของเขาถูกแสงตะวันยามเย็นฉาบจนเป็นประกายทองชั้นหนึ่ง"ชั้นจะส่งเธอขึ้นไป"ตอนมาถึงหลินเจียงการ์เด้น ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร เขาก็เอ่ยขึ้นมาก่อนฉันยังไม่ทันปฏิเสธ ทั้งสองคนก็ขึ้นไปข้างบนด้วยกัน ตอนยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ฉันเม้มปาก "ชั้นมาถึงแล้ว เธอกลับไปเถอะ""ได้"ฟู่ฉีชวนพยักหน้าเล็กน้อย แต่เท้ากลับไม่ขยับฉันไม่สนใจเข
ลู่สือเยี่ยนไม่รู้ว่าฟังออกถึงความนัยหรือเปล่า ยังคงไม่คิดเล็กคิดน้อย แค่ยิ้มกลับอย่างอบอุ่น "เรื่องเล็ก รีบล้างมือเถอะ เตรียมกินกันได้แล้ว"ลู่สือเยี่ยนฝีมือทำครัวดีมาก อาหารเต็มโต๊ะส่งกลิ่นหอมกรุ่น ทำเอาน้ำลายสอไปหมดแล้วเฮ่อถิงกับเจียงไหลล้วนชมไม่ขาดปากฉันเองก็ยังอดชมขึ้นมาไม่ได้ "รุ่นพี่ หน้าตาอาหารของพี่นี่ดูดีจริงๆ !""รีบกินเถอะ ลองดูว่าถูกปากพวกเธอไหม"ลู่สือเยี่ยนยกสองจานสุดท้ายออกจากครัว วางกุ้งรสเผ็ดจานหนึ่งลงตรงหน้าฉัน ยิ้มอย่างอบอุ่น "เจ้านี่เธอน่าจะชอบกิน"ฉันเองก็รู้สึกเกินคาดนอกจากเจียงไหล คนทั้งหมดล้วนคิดว่าฉันชอบรสชาติแบบเดียวกับฟู่ฉีชวน รสจืดแต่ว่า ฉันยังไม่ทันจะพูดอะไร ฟู่ฉีชวนก็พูดเสียงเย็นขึ้นมา "หล่อนไม่กินเผ็ดนะ พวกนายแม้ว่าตอนเรียนจะสนิทกัน แต่รสชาติของหล่อนเหมือนนายจะยังไม่ค่อยเข้าใจ...""ประธานฟู่"เจียงไหลไม่พอใจแทนฉัน แต่ใบหน้ากลับกระหยิ่มยิ้มย่อง พูดน้ำเสียงหยอกขึ้นมา "แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว หัวใจของนายเอาใครไปใส่ไว้กันแน่หา? หรวนหร่วนชอบกินเผ็ดมากที่สุดเลยต่างหาก ถ้าไม่เผ็ดนี่คือเกลียดเลย!"ใจฉันฝาดขึ้นมาทันทีจริงสิใจของเขาวางใครใส่ไว้กันนะแต่ไหนแต
ในใจของฉันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีเหมือนถูกอะไรบางอย่างแทงเข้ามาโดยที่ไม่ทันตั้งตัวฉันเอื้อมมือออกไปที่ประตูแล้วพูดอย่างเย็นชา: "ออกไป!""หร่วนหนานจือ ใครทำให้คุณอารมณ์เสียขนาดนี้ มีอะไรอยาจะพูดก็พูดมา""คุณพูดจบแล้วหรือยัง?"ฉันจ้องเขม็งไปที่เขา "คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมาโทษฉัน คู่หมั้นของคุณล่ะ คุณไม่ต้องไปอยู่กับเธอเหรอ? มาหาฉันทำไม?""คุณดื่มมากเกินไปแล้ว แต่ท่าทางก็รุนแรงไม่ลดลงสักนิดเลย"เขาเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มตัวเอง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ราวกับยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขานั่งยองๆ ลงครึ่งหนึ่งต่อหน้าฉัน น้ำเสียงของเขาอ่อนลง“โอเค ฉันกังวลเกินไปและไม่ได้พูดกับคุณอย่างเหมาะสม ฉันผิด ฉันยอมรับการโทษของฉัน”ฉันถามโดยสัญชาตญาณว่า "คุณยอมรับการลงโทษอะไร?"เขาเลิกคิ้วขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่น่าหงุดหงิด “จูบคุณอีกครั้งดีไหม?”"......"ฉันเพิ่งสังเกตว่าหูของเขาแดงมาตลอดฉันส่ายหัว พยายามสลัดฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ออกไป ฉันบังคับตัวเองให้จดจ่อและมองเขาอย่างชัดเจน “คุณมาที่นี่ทำไม?”“มาอธิบายให้คุณฟัง”ฉันขมวดคิ้ว “เมื่อคืนเราไม่ได้เคลียร์เรื่องกันไปแล้วเหรอ?”"นั่นเพราะคุณคิดไปเอ
แม้ว่าพรมนุ่มๆ จะปกคลุมพื้นทางเดิน แต่ความเจ็บปวดจากช่วงเวลาที่กระดูกก้นกบของฉันกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นทำให้สมองที่มึนงงของฉันกลับมามีสติเล็กน้อยคนที่พาฉันขึ้นมาคือฟู่ฉีชวนฉันจำผิดคนจริงๆบางทีฟู่ฉีชวนอาจสัมผัสได้ถึงการต่อต้านของฉัน จึงตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นก็หันหลังให้กับแสงและยิ้มเยาะ "คุณตั้งใจที่จะคบกับเขาอีกไหม? รอวันที่เขาจะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่เสิ่น คุณสามารถเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้พวกเขา?"ปากของโจวฟางมักจะพูดจาดูถูกเสมอ “คุณกำลังพูดจากประสบการณ์ส่วนตัวหรือเปล่า”ด้วยขาที่ยาวของเขา เขาเดินเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว ช่วยพยุงฉันขึ้นจากพื้น และมองไปที่ฟู่ฉีชวนด้วยรอยยิ้มจางๆ "ประธานฟู่ ขอตัวก่อนนะครับ ไม่ต้องเดินมาส่ง"มือของฟู่ฉีชวนกำแน่น เพื่อระงับความโกรธ “คุณควรมุ่งความสนใจไปที่เสิ่นชิงหลี่แทน หร่วนหนานจือเป็นของฉัน”“เธอไม่เคยเป็นของใคร”น้ำเสียงของโจวฟางสงบ "เธอคือตัวเธอเอง"สายตาของฟู่ฉีชวนมืดมนลง เขาเอื้อมมือมาหาฉัน โดยทำท่าทีประนีประนอมที่สุดที่เขาเคยทำมาในชีวิตเขาคิดว่าตัวเองกำลังประนีประนอม "ฟังนะ อย่าดื้อดึง คุณกับเขาไปด้วยกันไม่ได้หรอก กลับบ้านกับฉันเถอะ""ไม่ว่าจ
ดวงตาของฉันร้อนผ่าว ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ แล้วส่งโลเคชันไปให้เธอ"แล้วซานย่าของเธอล่ะ เธอไม่ได้ไปตามหารักเหรอ?""ความรักสำคัญหรือเธอสำคัญกว่ากันล่ะ? ฉันจะไม่ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในวันตรุษจีน"เธอไม่สนใจและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยรอยยิ้ม "นอกจากนี้ ฉันได้ยินมาว่าเมืองจิงเฉิงก็เหมาะกับการตามหาความรักเหมือนกัน""บุญคุณครั้งนี้ ฉันไม่มีวันลืมและไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี"ฉันอดหัวเราะไม่ได้ "ทำได้แค่พาไปกินดื่มเที่ยวแบบจัดเต็ม ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจ"จริงๆ แล้ว ระหว่างฉันกับเธอ สนิทกันมากจนเรื่องเงินแทบไม่มีเส้นแบ่งเลยเลยไม่มัใครสนใจเรื่องพวกนี้แต่เธอก็ยังเล่นตามและแซวว่า "ประธานหร่วนใจดีมาก! ข้าน้อยขอเกาะขาแน่นๆ ทันทีเลย"ทันทีที่เจียงไหลมาถึง อารมณ์ของฉันก็ดีขึ้นมากทันทีเธอยืนอยู่ที่หน้าต่างชื่นชมทิวทัศน์หิมะของจิงเฉิงและถามว่า "เธอคิดยังไงกับข่าวเกี่ยวกับโจวฟาง"ฉันตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดว่า "เธอหมายความว่าอะไรที่ว่าคิดยังไง? มีอะไรให้คิดด้วย""กับฉันยังต้องเสแสร้งอีก"เจียงไหลจิ้มหัวฉันแล้วพูดว่า "เขาสนใจเธอ แล้วเธอล่ะ คงไม่ได้สร้างกำแพงในหัวใจหรอกใช่ไหม?""นิดหน่อย"ฉันขดตัวบ
ก่อนที่ฉันจะพูดได้ หญิงชราก็โกรธขึ้นมาทันที!เธอจ้องไปที่แม่เสิ่นด้วยสีหน้าโกรธจัดและพูดว่า "ใครให้ความกล้าเธอมาไล่แขกที่บ้านของฉัน?""คุณย่า ไม่เป็นไรค่ะ!"ฉันจำได้ว่าโจวฟางบอกว่า ร่างกายของคุณย่าไม่สามารถทนต่อความสุขและความเศร้าโศกได้ และฉันก็ได้ปลอบใจเธออย่างรวดเร็ว "ฉันควรจะกลับไปอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้น... โจวฟางควรพาคุณหนูเสิ่นกลับมาพบคุณ"ในสถานการณ์ที่ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน เพื่อยืนยันความสัมพันธ์แบบนี้ ฉันเป็นคนนอก จึงไม่ควรอยู่ที่นี่คุณย่ายังอยากรั้งฉันไว้ แต่เมื่อเห็นว่าฉันยืนกราน เธอจึงไม่พูดอะไรอีกฉันเก็บสัมภาระก่อนจะลงไปข้างล่างในตอนเช้า และไม่นานก็กลับลงมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของฉัน แม่เสิ่นพาฉันออกจากบ้านและพูดด้วยความรังเกียจ เมื่อฉันไปถึงระยะที่คุณย่าจะไม่ได้ยิน"ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอีกในอนาคต ก็อย่ามาที่นี่อีก ตระกูลเฉินของเราไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนจะมาตีสนิทได้""คุณนายเสิ่น"ฉันไม่ได้หยุดเดินและไม่ได้มองเธอด้วย ฉันแค่ตอบการสนทนาอย่างใจเย็น“ฉันรู้ว่าคุณเกลียดฉัน คุณต้องการจะกำจัดฉันในฐานะอดีตภรรยาแทนลูกสาวอันล้ำค่าของคุณ ตั้งแต่แรกเริ่ม เราอยู่คนละฝ่ายกัน
"โอเคค่ะ"ฉันเดินไปหาคุณย่าอย่างเชื่อฟัง และกินเกี๊ยวสองสามชิ้น ก่อนจะมองไปที่คุณย่าพร้อมรอยยิ้ม ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "คุณย่า ฉันรบกวนคุณมาหลายวันแล้ว อีกสักพัก ฉันจะกลับเมืองเจียงเฉิง ฉันอวยพรล่วงหน้า สวัสดีวันตรุษจีน ซินเจียยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้""ทำไมถึงจะกลับแล้วล่ะ? เธอยังคงอยากช่วยอาฟางอยู่ไหม....""เขา..."ฉันระงับอารมณ์และพูดว่า "เขาคงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันอีกแล้ว"รักแรกที่แท้จริงของเขาคงใกล้จะกลับมาแล้ว"หมายความว่าอะไร? เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ เธอเลยไม่สนใจย่าคนนี้อีก?"คุณย่าแสร้งทำเป็นอารมณ์เสีย “ฉันแค่คิดว่าคงจะดีแค่ไหนที่ในที่สุดฉันก็มีใครสักคนอยู่ข้างๆ ในช่วงตรุษจีน และตอนนี้เธออยากจะกลับไปงั้นเหรอ นี่มันช่วงวันหยุดนะ แค่อยู่และใช้เวลากับฉันก็พอแล้ว!”"คุณย่า..."ฉันรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เมื่อเห็นคุณย่าเป็นแบบนี้แต่ก็รู้ว่า การอยู่ที่นี่ต่อไปอาจไม่เหมาะสมสำหรับฉันหญิงชราจับมือฉันแล้วพูดว่า "เมื่อเธอกลับไป เธอจะอยู่คนเดียว แค่ทำตามที่ฉันจัดเตรียมไว้ก็พอ..."“คุณย่า!”ทันใดนั้น เสียงหยิ่งยโสเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก คนสามคนจากครอบครัวของเสิ
นี่เป็นครั้งแรก ที่เห็นโจวฟางมีท่าทางแบบนี้ฉันบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะความตึงเครียด ความตื่นเต้น หรือความตื่นตระหนกกันแน่...โดยรวมแล้ว นี่ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ดื้อดึงและไม่แคร์ใครที่เขามักจะโชว์ออกมาเลยสักนิดในขณะนั้น ฉันเห็นฟู่ฉีชวนสมัยก่อนในตัวเขาในชั่วขณะหนึ่ง ฉันยิ่งเยือกเย็นขึ้น แม้กระทั่งไร้ความรู้สึก เก็บทุกความรู้สึกที่เกือบจะผลิบานออกมาไว้ และหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว"อืม คุณพูดต่อเลย"โทรศัพท์ของโจวฟางยังไม่ได้กดวางสาย เขาก้าวใหญ่เข้ามาแล้วใช้มือเดียวกอดฉันไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่าจะขัดขืนยังไง เขาก็จับฉันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยปลายสายพูดสองสามคำ และเขาพูดเบาๆ ว่า "ฉลาดกว่านี้หน่อย อย่าถูกคนอื่นหลอกไป ฉันจะไปที่นั่น หลังจากที่ฉันเกลี้ยกล่อใคนก่อน"เมื่อพูดจบ เขาก็วางสาย ยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็บีบแก้มฉันโดยไม่บอกกล่าว ทำให้หน้าฉันบิดเบี้ยวขณะถอนหายใจอย่างหงุดหงิด "คุณวิ่งหนีทำไม? คุณได้ฟังสิ่งที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้หรือเปล่า?""ปล่อยฉัน""...เอ่อ..."บางทีวิธีที่เขาจับแก้มฉันด้วยท่าทางขำ ๆ นั่นทำให้รู้สึกขบขันเล็กน้อย เขาหัวเราะในลำคอและยังคงจับแก้มเอาไว้ โดยที
"ใช่"ฉันยกริมฝีปากขึ้นและรวบรวมความกล้าพูดว่า "ถ้าเป็นอย่างหลัง ฉันกังวลว่าคุณอาจจะเริ่มมีความรู้สึกต่อฉัน"เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "กังวลเหรอ? อาจเป็นเพราะฉันรักคุณและทำให้คุณกระสับกระส่ายหรือเปล่า?"“อะไรประมาณนั้น”ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า “คุณมีบุคลิกที่ดี มีพื้นเพครอบครัวที่ดี และทุ่มเท การที่ใครสักคนอย่างคุณชอบเป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกซาบซึ้ง แต่เพราะเหตุนี้เอง เราเลยเป็นไปไม่ได้”“เป็นไปไม่ได้เหรอ?”“ใช่ เป็นไปไม่ได้”ฉันหายใจเข้าลึกๆ และมองเขาอย่างจริงจัง "ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มมีความรัก ฉันไม่มีทางรู้ว่าข้างหน้ามีอันตราย แต่ยังเลือกที่จะเดินเข้าไปหามัน ความรักที่มั่นคงของคุณ สำหรับฉันแล้ว...มันคือไม่มีอะไรดี""เมื่อกี้คุณช่วยฉัน และฉันจะช่วยคุณรับมือกับพ่อแม่ของคุณด้วย นอกจากนี้ เราทุกคนควรมีเหตุผลมากขึ้น"……คืนนั้น หลังจากอาบน้ำในห้องรับรองแขกที่คุณย่าจัดให้ฉัน ฉันนอนบนเตียงโดยที่ยังตื่นอยู่ตอนกลางวัน โจวฟางตอบอะไรกับฉันเขาบอกว่า หร่วนหนานจือ อย่าคิดว่าคุณเป็นคนเดียวที่กลัวก่อนที่ฉันจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ เขาก็ผลักฉันเข้าไปในรถ
ฉันตกใจ “? ”"คุณเชื่อฉันไหม"โจวโม่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาด้วยสีหน้ามั่นใจ "ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับตัวเอง เขาชอบคุณ แต่เขากลัวที่จะชอบคุณ"ฉันยิ้มและพูดว่า "อย่าเดามั่วสิ คนที่เขาชอบคือเสิ่นชิงหลี่ แค่เพราะว่าพวกเรามีคิ้วและดวงตาที่คล้ายกัน...""ไม่จริงหรอก!"โจวโม่แย้งว่า "พี่ชายฉันไม่ใช่คนแบบนั้น หลายปีที่ผ่านมามีคนมากมายที่เหมือนพี่ชิงหลี่มากกว่าคุณ แต่เขาไม่เคยเหลียวแลด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าฉันพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาแต่เขาไม่เคยทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ถ้าเขาไม่มีความรู้สึกต่อคุณ ทำไมเขาถึงคอยช่วยเหลือคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า"“นั่นเป็นเพราะว่า…”ฉันพยายามโต้แย้งกลับแต่ก็พบว่าตัวเองพูดไม่ออกเมื่อพูดไปครึ่งประโยคเหตุการณ์ของจินซื่อเจี๋ย และแม่เสิ่นบังคับให้ฉันคุกเข่าในหิมะ… ดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้กำลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันหลังจากนั้น เขาไม่ได้ขอให้ฉันสัญญาอะไรกับเขา……เมื่อฉันจากไป ฉันยังคงเหม่อลอยเล็กน้อยเมื่อวานนี้ คุณย่าตั้งใจจะจับคู่เรา และวันนี้ โจวโม่ก็เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังอีกครั้งไม่ว่าใครจะตั้งใจแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดีฉันไม่คาดคิดว่า จะได้เห็นรถคัลลิแนนที่คุ้นเค
"สาวน้อยโง่เขลา"หญิงชรายิ้มและพูดว่า "ถ้าฉันไม่รู้จักเธอ ฉันจะพาเธอเข้าบ้านได้ยังไง ฉันยังรู้ด้วยว่า อดีตสามีของเธอคือฟู่ฉีชวน""ก็..."ฉันคิดอะไรขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะถาม "คุณรู้แล้วเหรอว่าครั้งก่อนที่คุณหนูเสิ่นพาฟู่ฉีชวนกลับมา?""ฉันจงใจสร้างความยากลำบากสำหรับเขา"หญิงชรายกคิ้วขึ้นและพูดว่า “ถ้าเขาปกป้องภรรยาของเขาเองไม่ได้ ก็สมน้ำหน้า”“ถูกต้อง สมน้ำหน้าเขา”"ฟังคำแนะนำของย่านะ ฟู่ฉีชวนเป็นคนดี แต่เขาคิดเยอะเกินไป และการอยู่กับเขาจะเหนื่อยและยากลำบากเกินไปสำหรับเธอ"“คุณย่า เราหย่ากันแล้วค่ะ” ฉันยิ้มหญิงชราถามด้วยความอยากรู้ “เธอลืมเขาไปแล้วจริงๆ เหรอ?”“ลืมไปเลย”ฉันเหลือบมองไปที่ท้องของตัวเอง ความรู้สึกขมขื่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย “เราเกือบจะมีลูกกันแล้ว แต่เขากลับไม่สนใจฉันเพื่อช่วยชีวิตคนอื่น และลูกก็... จากไป”ตอนที่ฉันเลิกสนใจเขาจริงๆก็คือตอนนั้นเองต่อมา หลายคนรู้สึกว่าถ้ารู้เร็วกว่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำตั้งแต่แรกกระจกที่แตกก็คือกระจกที่แตก ไม่ว่าจะใช้เวลาและความพยายามมากเพียงใดในการประสานกระจกเข้าด้วยกัน รอยร้าวเหล่านั้นก็จะเตือนเสมอว่าบาดแผลบางอย่างมีอยู่จ