สิบกว่านาทีต่อมา รถจึงค่อยๆ แล้วเข้ามาในบ้าน"ถึงบ้านแล้ว ฟู่ฉีชวน" ฉันเปิดประตูพร้อมกับร้องเรียกคิดไม่ถึง ว่าผู้ชายที่เมาจนไม่เป็นผู้เป็นคน จะล้มตะแคงลงมาตามการเปิดประตูของฉันฉันขมวดคิ้ว ทำได้แค่กัดฟันประคองเขาไว้ "เธอออกแรงเองบ้างได้มั๊ย?"ไม่มีปฏิกิริยาทำได้แค่โทรศัพท์เรียกป้าหลิวที่กำลังหลับฝันหวาน ให้ออกมาช่วยประคองฟู่ฉีชวนกลับเข้าห้อง"นายหญิง จะให้ชั้นช่วยอะไรไหมคะ?" ป้าหลิวถาม"ไม่ต้องแล้ว คุณรีบไปนอนต่อเถอะ"ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เดิมทีก็รบกวนคนจนตื่นจากฝันแล้ว ไม่อยากจะรบกวนให้มากกว่านี้หลังจากป้าหลิวออกไป ฉันก็ต้องมาทนกับอาการอึดอัดที่ถูกกลิ่นแอลกอฮอล์รมจนแทบจะอาเจียน ก้มเอวลงถอดรองเท้าหนังกับปลดเข็มขัดให้ฟู่ฉีชวน จากนั้นจึงยืดตัวตรงเตรียมลงไปชั้นล่างพอหมุนตัวกลับรู้สึกว่ามือของตนเองจู่ๆ ถูกกุมเอาไว้เขาหลับตามงึมงำ "คุณภรรยา...""..."อันที่จริงฉันไม่คิดว่าเขากำลังเรียกฉันที่เป็นไปได้มากกว่า คือเขากับฟู่จินอันน่าจะพัฒนากันไปจนถึงขั้นเรียกสามีภรรยากันแล้วฉันยื่นมือไปเลิกหนังตาของเขา "ฟู่ฉีชวน เธอมองดีดีว่าชั้นเป็นใคร""คุณภรรยา..."เขาไม่ให้ความร่วมมือเลย ขณะที่พลิกตั
ทั้งที่คั่นด้วยเนื้อผ้าชั้นหนึ่งแท้ๆ แต่ผิวที่เอวกลับร้อนจนแทบลวกฉันเหมือนเหมือนถูกผีอำอย่างไรอย่างนั้น ขยับตัวไม่ได้เลย ยังดีที่ความรู้สึกนึกคิดยังแจ่มชัดอยู่ "พวกเราพูดกันชัดเจนแล้ว ชั้นไม่ยอมแต่งงานไปเป็นคนที่สามที่คั่นกลางอยู่หรอก""ขอโทษ" หน้าผากชายหนุ่มดันแผ่นหลังของฉัน พูดเสียงอู้อี้ออกมาจะใจอ่อนไหมแน่นอนว่าใช่ใครบ้างที่ลบความรู้สึกหลายปีออกไปได้ง่ายๆ ในชั่วข้ามคืนฉันอยากจะโพล่งออกมาเหลือเกิน ว่าจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งแต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ก็ร้องเอะอะขึ้นในสมองฉันตลอดเลือกเขา หรือว่าจะเลือกตัวเองฉันพ่นลมออกมา "ฟู่ฉีชวน เธอรู้อยู่แล้วว่ามันผิด แต่ต่อมาก็ยังทำผิดอีก สิ่งนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย"ครั้งนี้ ฉันเลือกตัวเองเลือกเขามาแล้วถึงเจ็ดปี เพียงพอแล้วฟู่ฉีชวนนิ่งงันไปนาน ไม่พูดอะไร"ปล่อยมือเถอะ พวกเราเดินมาได้เท่านี้แหละ" ฉันในอดีตไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าจะมีวันที่ฉันจะพูดเย็นชาแบบนี้กับฟู่ฉีชวนชอบเขาข้างเดียวคืออะไร มันคือการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของตนเองครั้งหนึ่งแค่สายตาเดียวของอีกฝ่าย หรือแค่คล้องนิ้วกัน ก็แจ้นออกไปอย่างดีอกดีใจแล้วมีความสุขสนุกสน
บ้านหลังนี้ หลังจากเขาส่งมาถึงมือแันไม่กี่วัน ก็เริ่มตกแต่งแล้วเพื่อจะตกแต่งมัน ฉันลงแรงอย่างหนักเลยทีเดียวเขาไม่เคยถามถึงมาก่อนต่อให้ฉันกลับบ้านค่ำแค่ไหน อย่างมากสุดเขาก็แค่พูดออกมาตามมารยาทคำสองคำ อย่างกลับมาค่ำจัง หรือไม่ก็ดูท่างานออกแบบจะวุ่นมากไม่เคยมีสองคำนี้ ว่าฉันไปไหน ไปทำอะไรมาไม่อยู่ในขอบเขตที่เขาจำเป็นต้องมากังวลพอมาถึงขั้นที่ต้องหย่าร้าง ฉันเองก็ไม่คิดจะทนต่อไปอีก "น่าจะเป็นตอนที่เธอไปอยู่กับฟู่จินอันนั่นล่ะ"แล้วก็ตามคาด มองเห็นอาการแข็งทื่อบนหน้าเขาในใจฉันสบายขึ้นเยอะเลย"ชั้นกับหล่อนช่วงนี้ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว""ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายกับชั้น"ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว ฉันพูดต่อว่า "ขอแค่เธอเต็มใจ รอให้เรื่องหย่าจัดการเสร็จก่อน จะแต่งหล่อนเข้าบ้านตอนไหนก็เชิญ""หร่วนหนานจือ ตอนนี้ทำไมเธอต้องพูดจาเหน็บแนมขนาดนี้?" เขาขมวดคิ้วแน่น เหมือนรู้สึกจำใจหน่อยๆ"แล้วชั้นควรต้องพูดว่าอะไรล่ะ?""ไม่ว่าจะหย่าหรือไม่หย่า หล่อนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับความสัมพันธ์ของพวกเรา""หลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่นอีก"ฉันทิ้งคำนี้ออกมา เดินไปโถงหน้าเปลี่ยนรองเท้าลงจากตึกโชเฟอร์รออยู่ในรถมาตลอด
ก่อนหน้านี้มองไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นพวกเอาคืนกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้ฉันทำได้แค่กัดฟันเดินตามหลังเขาไป คิดไม่ถึงว่า ฉันยังไม่ทันอธิบาย คุณปู่ฟู่ก็ยิ้มแป้นแล้น เอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นว่า"ได้ยินป้าหลิวบอกว่า หนานจือย้ายออกไปแล้วหรือ?""ใช่ค่ะ คุณปู่"ฉันทำได้แค่ยอมรับ ถ้าหากคุณปู่โกรธขึ้นมาค่อยหาวิธีปลอบเขาคุณปู่กลับไม่โมโหฉัน แต่ไปถลึงตาใส่ฟู่ฉีชวนแทน "เจ้าคนไม่ได้เรื่อง แค่ภรรยาของตัวเองก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้!""คุณปู่ พูดกันด้วยเหตุผลหน่อย เป็นเธอที่ย้ายออกไปเอง แล้วผมจะทำอะไรได้?""หล่อนหนีไป แกก็ไม่รู้จักไล่ตามหรือ?"คุณปู่เตือนขึ้นอย่างหวังดี "แกนี่นะ ได้พ่อแกมาเต็มๆ เลย คานบนไม่ตรงอย่างไรคานล่างมันก็เอียงอย่างนั้น""แล้วปู่ไม่ใช่คานบนของพ่อผมหรือ?" ฟู่ฉีชวนหัวเราะขึ้นมา"ไอ้เด็กเวร!"ปู่คว้าถ้วยชาทำท่าจะเขวี้ยง แต่ก็วางลง ตั้งท่าจะพูดแต่ก็ยั้งไว้นาน สุดท้ายจึงพูดแค่ "หิวแล้ว กินข้าวเถอะ"ข้าวมือนี้กินกันอย่างสนุกสนานคุณปู่คีบกับข้าวให้ฉันบ่อยมาก ชามข้าวตรงหน้าฉันแทบจะกองขึ้นเป็นภูเขาย่อมๆ แล้ว"กินเยอะๆ หน่อย ดูหลานสิ ช่วงนี้ผอมเกินไปแล้ว กินเยอะๆ ให้มีน้ำมีนวลหน่อย""ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณปู
"วางใจเถอะคุณปู่"ฉันคีบเต้าหู้หมักชิ้นหนึ่งให้คุณปู่ เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน "เขารังแกหนูไม่ได้หรอก"ถึงอย่างไร ก็จะหย่ากันอยู่แล้วนี่กินข้าวเสร็จ ฟู่ฉีชวนก็ลงไปเล่นหมากล้อมกับคุณปู่ที่เรือนหลังฉันคอยชงชาให้อยู่ข้างๆฟู่ฉีชวนฝีมือวางหมากซับซ้อนมหัศจรรย์มาก รีบไล่รีบปิดฉาก กินไปอีกกระดาน คุณปู่โมโหถลึงตาใส่เขา "แกคิดว่าเล่นกับคนนอกอยู่หรือไง ไม่คิดจะเหลือทางไว้ให้ปู่บ้าง?""ก็ได้"ฟู่ฉีชวนหัวเราะ หลังจากนั้นก็ต่อให้จริงๆ คุณปู่ก็ดูดีอกดีใจ หัวเราะอย่างเบิกบาน ชี้แนะมาคำหนึ่ง "เด็กอย่างแกนี่นะจงจำเอาไว้ คนในครอบครัวกับคนนอกนั้นแตกต่างกัน"ฉันยื่นถ้วยชาส่งออกไป "คุณปู่คะ ดื่มชาหน่อย""อืม"คุณปู่ขานรับคำหนึ่ง รับไปจิบๆ เอ่ยขึ้นอย่างปลื้มอกปลื้มใจ "ถ้าพวกแกปรองดองกันได้ตลอด วันที่ชั้นจะได้อุ้มเหลนก็คงอยู่ไม่ไกลแล้ว!""..."ใจฉันสั่นเล็กน้อย ยื่นมือมากุมท้องตัวเองด้วยสัญชาตญาณพอเห็นใบหน้าคุณปูที่แก่ตัวลงทุกวัน ก็เกิดความรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาหน่อยๆถ้าหาก ระหว่างฉันกับฟู่ฉีชวนไม่มีเส้นแบ่งเหล่านั้น ไม่มีปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นฉันตอนนี้ก็คงบอกคุณปู่ได้ ว่าฉันตั้งท้องแล้ว คุณปู่ใกล้จะได้อุ้มเห
หมายความว่าอะไร?สงสัยว่าฉันยังไม่ทันหย่าก็จะสวมเขาให้เขาแล้วอย่างนั้นหรือ?เขาเป็นคนแบบนี้จริงๆฉันขี้เกียจจะอธิบาย เอ่ยขึ้นอย่างเป็นปกติ "เพื่อนสนิท""เพื่อนคนไหน?""ฟู่ฉีชวน"ฉันยิ้มขึ้นมา เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน "คนตายเขาไม่ถามนั่นถามนี่หรอกนะ"ในเมื่อเขายอมจะเป็นแฟนเก่าที่ตายไปแล้ว เช่นนั้นทำตัวให้เหมือนตายหน่อยฟู่ฉีชวนเกือบจะโมโหออกมา ปลายลิ้นดันกระพุ้งแก้ม หัวเราะเย็นชาออกมา "ได้"พอมาถึงสุสาน หลังจากลงรถ ฉันก็เดินตรงไปยังบันไดขึ้นเขาพอเห็นเขาไม่ตามมา แันจึงต้องหันกลับไปรอเขาพอหมุนตัว เห็นเขาหิ้วตะกร้าที่ไม่รู้ไปเตรียมมาตอนไหน ดอกเบญจมาศเหลือบกับขาวอยู่ด้านใน จึงอดตะลึงขึ้นมาไม่ได้ฉันเม้มปาก "ขอบคุณ""ขอบคุณอะไร? เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ชั้นควรทำอยู่แล้ว" เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบรอจนเขาเดินตามขึ้นมา พวกเราจึงเดินเคียงไหลไปยังหลุมศพของพ่อแม่ฉันเช่นนี้ก็ดี แม้จะเป็นความรักใคร่ที่ปรากฏอยู่ในใจ แต่พ่อกับแม่ในปรโลกถ้ารู้เข้า ก็น่าจะวางใจได้ระดับหนึ่งกระมังสุสานมีคนมาคอยดูแลให้ตลอดทั้งปี ป้ายสุสานมีฝุ่นอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นพูดขึ้นมา พ่อแม่ของฉันจากไปตั้งหลายปีแล้ว อันที่จริงฉันก็ไ
ไม่เช่นนั้น เครือตระกูลฟู่คงไม่ส่งต่อถึงมือฟู่ฉีชวนทันทีหรอก"แล้วเธอล่ะ มีชีวิตที่ดีไหม?" ฉันเงยหน้า มองดูเส้นกรามคมของเขา ถามขึ้นแช่มช้า"ก็สามปีนี้ที่แต่งงานกับเธอมา"เขายังคงฉีกยิ้ม ทอดถอนใจออกมาเสียหงนึ่ง "มีชีวิตที่ดีมาก"คำตอบนี้ ทำเอาฉันยิ่งอยากจะร้องไห้น่าจะเป็นความเสียดายกระมังเห็นๆ อยู่ ถ้าหากไม่มีเรื่องพวกนั้น พวกเขาก็สามารถครองรักกันจนแก่เฒ่าได้……ระหว่างทางกลับ ฉันกับเขาต่างฝ่ายต่างรู้ในใจ ไม่พูดอะไรกันอีกคำบางคำพูดมากไปก็ไร้ความหมายเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนฉันเองก็อยู่อย่างมีไมตรีสุขไม่ได้เหมือนกันปล่อยวางไวหน่อย ถือโอกาสขณะที่ในสายตาของต่างฝ่ายต่างยังไม่ถึงขั้นที่เกลียดชังกันฤดูใบไม้ร่วงช่วงกลางวันสั้นกลางคืนยาว มองผ่านกระจกรถ เงาของเขาถูกแสงตะวันยามเย็นฉาบจนเป็นประกายทองชั้นหนึ่ง"ชั้นจะส่งเธอขึ้นไป"ตอนมาถึงหลินเจียงการ์เด้น ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร เขาก็เอ่ยขึ้นมาก่อนฉันยังไม่ทันปฏิเสธ ทั้งสองคนก็ขึ้นไปข้างบนด้วยกัน ตอนยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ฉันเม้มปาก "ชั้นมาถึงแล้ว เธอกลับไปเถอะ""ได้"ฟู่ฉีชวนพยักหน้าเล็กน้อย แต่เท้ากลับไม่ขยับฉันไม่สนใจเข
ลู่สือเยี่ยนไม่รู้ว่าฟังออกถึงความนัยหรือเปล่า ยังคงไม่คิดเล็กคิดน้อย แค่ยิ้มกลับอย่างอบอุ่น "เรื่องเล็ก รีบล้างมือเถอะ เตรียมกินกันได้แล้ว"ลู่สือเยี่ยนฝีมือทำครัวดีมาก อาหารเต็มโต๊ะส่งกลิ่นหอมกรุ่น ทำเอาน้ำลายสอไปหมดแล้วเฮ่อถิงกับเจียงไหลล้วนชมไม่ขาดปากฉันเองก็ยังอดชมขึ้นมาไม่ได้ "รุ่นพี่ หน้าตาอาหารของพี่นี่ดูดีจริงๆ !""รีบกินเถอะ ลองดูว่าถูกปากพวกเธอไหม"ลู่สือเยี่ยนยกสองจานสุดท้ายออกจากครัว วางกุ้งรสเผ็ดจานหนึ่งลงตรงหน้าฉัน ยิ้มอย่างอบอุ่น "เจ้านี่เธอน่าจะชอบกิน"ฉันเองก็รู้สึกเกินคาดนอกจากเจียงไหล คนทั้งหมดล้วนคิดว่าฉันชอบรสชาติแบบเดียวกับฟู่ฉีชวน รสจืดแต่ว่า ฉันยังไม่ทันจะพูดอะไร ฟู่ฉีชวนก็พูดเสียงเย็นขึ้นมา "หล่อนไม่กินเผ็ดนะ พวกนายแม้ว่าตอนเรียนจะสนิทกัน แต่รสชาติของหล่อนเหมือนนายจะยังไม่ค่อยเข้าใจ...""ประธานฟู่"เจียงไหลไม่พอใจแทนฉัน แต่ใบหน้ากลับกระหยิ่มยิ้มย่อง พูดน้ำเสียงหยอกขึ้นมา "แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว หัวใจของนายเอาใครไปใส่ไว้กันแน่หา? หรวนหร่วนชอบกินเผ็ดมากที่สุดเลยต่างหาก ถ้าไม่เผ็ดนี่คือเกลียดเลย!"ใจฉันฝาดขึ้นมาทันทีจริงสิใจของเขาวางใครใส่ไว้กันนะแต่ไหนแต
"ใช่"ฉันยกริมฝีปากขึ้นและรวบรวมความกล้าพูดว่า "ถ้าเป็นอย่างหลัง ฉันกังวลว่าคุณอาจจะเริ่มมีความรู้สึกต่อฉัน"เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "กังวลเหรอ? อาจเป็นเพราะฉันรักคุณและทำให้คุณกระสับกระส่ายหรือเปล่า?"“อะไรประมาณนั้น”ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า “คุณมีบุคลิกที่ดี มีพื้นเพครอบครัวที่ดี และทุ่มเท การที่ใครสักคนอย่างคุณชอบเป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกซาบซึ้ง แต่เพราะเหตุนี้เอง เราเลยเป็นไปไม่ได้”“เป็นไปไม่ได้เหรอ?”“ใช่ เป็นไปไม่ได้”ฉันหายใจเข้าลึกๆ และมองเขาอย่างจริงจัง "ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มมีความรัก ฉันไม่มีทางรู้ว่าข้างหน้ามีอันตราย แต่ยังเลือกที่จะเดินเข้าไปหามัน ความรักที่มั่นคงของคุณ สำหรับฉันแล้ว...มันคือไม่มีอะไรดี""เมื่อกี้คุณช่วยฉัน และฉันจะช่วยคุณรับมือกับพ่อแม่ของคุณด้วย นอกจากนี้ เราทุกคนควรมีเหตุผลมากขึ้น"……คืนนั้น หลังจากอาบน้ำในห้องรับรองแขกที่คุณย่าจัดให้ฉัน ฉันนอนบนเตียงโดยที่ยังตื่นอยู่ตอนกลางวัน โจวฟางตอบอะไรกับฉันเขาบอกว่า หร่วนหนานจือ อย่าคิดว่าคุณเป็นคนเดียวที่กลัวก่อนที่ฉันจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ เขาก็ผลักฉันเข้าไปในรถ
ฉันตกใจ “? ”"คุณเชื่อฉันไหม"โจวโม่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาด้วยสีหน้ามั่นใจ "ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับตัวเอง เขาชอบคุณ แต่เขากลัวที่จะชอบคุณ"ฉันยิ้มและพูดว่า "อย่าเดามั่วสิ คนที่เขาชอบคือเสิ่นชิงหลี่ แค่เพราะว่าพวกเรามีคิ้วและดวงตาที่คล้ายกัน...""ไม่จริงหรอก!"โจวโม่แย้งว่า "พี่ชายฉันไม่ใช่คนแบบนั้น หลายปีที่ผ่านมามีคนมากมายที่เหมือนพี่ชิงหลี่มากกว่าคุณ แต่เขาไม่เคยเหลียวแลด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าฉันพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาแต่เขาไม่เคยทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ถ้าเขาไม่มีความรู้สึกต่อคุณ ทำไมเขาถึงคอยช่วยเหลือคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า"“นั่นเป็นเพราะว่า…”ฉันพยายามโต้แย้งกลับแต่ก็พบว่าตัวเองพูดไม่ออกเมื่อพูดไปครึ่งประโยคเหตุการณ์ของจินซื่อเจี๋ย และแม่เสิ่นบังคับให้ฉันคุกเข่าในหิมะ… ดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้กำลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันหลังจากนั้น เขาไม่ได้ขอให้ฉันสัญญาอะไรกับเขา……เมื่อฉันจากไป ฉันยังคงเหม่อลอยเล็กน้อยเมื่อวานนี้ คุณย่าตั้งใจจะจับคู่เรา และวันนี้ โจวโม่ก็เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังอีกครั้งไม่ว่าใครจะตั้งใจแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดีฉันไม่คาดคิดว่า จะได้เห็นรถคัลลิแนนที่คุ้นเค
"สาวน้อยโง่เขลา"หญิงชรายิ้มและพูดว่า "ถ้าฉันไม่รู้จักเธอ ฉันจะพาเธอเข้าบ้านได้ยังไง ฉันยังรู้ด้วยว่า อดีตสามีของเธอคือฟู่ฉีชวน""ก็..."ฉันคิดอะไรขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะถาม "คุณรู้แล้วเหรอว่าครั้งก่อนที่คุณหนูเสิ่นพาฟู่ฉีชวนกลับมา?""ฉันจงใจสร้างความยากลำบากสำหรับเขา"หญิงชรายกคิ้วขึ้นและพูดว่า “ถ้าเขาปกป้องภรรยาของเขาเองไม่ได้ ก็สมน้ำหน้า”“ถูกต้อง สมน้ำหน้าเขา”"ฟังคำแนะนำของย่านะ ฟู่ฉีชวนเป็นคนดี แต่เขาคิดเยอะเกินไป และการอยู่กับเขาจะเหนื่อยและยากลำบากเกินไปสำหรับเธอ"“คุณย่า เราหย่ากันแล้วค่ะ” ฉันยิ้มหญิงชราถามด้วยความอยากรู้ “เธอลืมเขาไปแล้วจริงๆ เหรอ?”“ลืมไปเลย”ฉันเหลือบมองไปที่ท้องของตัวเอง ความรู้สึกขมขื่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย “เราเกือบจะมีลูกกันแล้ว แต่เขากลับไม่สนใจฉันเพื่อช่วยชีวิตคนอื่น และลูกก็... จากไป”ตอนที่ฉันเลิกสนใจเขาจริงๆก็คือตอนนั้นเองต่อมา หลายคนรู้สึกว่าถ้ารู้เร็วกว่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำตั้งแต่แรกกระจกที่แตกก็คือกระจกที่แตก ไม่ว่าจะใช้เวลาและความพยายามมากเพียงใดในการประสานกระจกเข้าด้วยกัน รอยร้าวเหล่านั้นก็จะเตือนเสมอว่าบาดแผลบางอย่างมีอยู่จ
ดูเหมือนว่าหัวใจของฉัน จะถูกดึงด้วยอะไรบางอย่างอย่างที่โจวฟางพูด มันเป็นจิตใต้สำนึกและไม่รู้ว่ามาจากไหนเมื่อเห็นความเศร้าโศกบนสีหน้าของเขา ฉันจึงเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ ย่องขึ้นเขย่งเท้าและเอื้อมมือไปยีผมเขาอย่างสบายใจแต่พอมือยื่นออกไปได้ครึ่งทาง ฉันก็หยุดนิ่งกลางอากาศ เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขา ฉันจึงปลอบใจเขาเบาๆ ว่า “โจวฟาง เธอจะไม่โทษคุณหรอก”ชั่วขณะหนึ่ง แสงสว่างวาบขึ้นในดวงตาของเขา แต่ทันทีที่มือของฉันหยุดลง เขาก็กลับมาเฉยเมยเช่นเคย “คุณไม่ใช่เธอ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอคิดอย่างไร?”“เพราะฉันเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว”ฉันลดสายตาลงเล็กน้อย ความขมขื่นปรากฏขึ้น “พวกเราต่างก็มีชีวิตที่ดี… จนกระทั่งจู่ๆ เราก็สูญเสียพ่อแม่ไป และต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เพียงเพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป”ฉันเงยหน้ามองเขาอีกครั้งและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่โทษคุณ และฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะโทษคุณเช่นกัน”คนที่มีชีวิตที่ยากลำบาก ย่อมเข้าใจกันดีเขาสามารถรอคอยมาหลายปีแล้ว ซึ่งก็เพียงพอแล้วเขาค่อนข้างจะซาบซึ้งใจ ไม่ค่อยมีอารมณ์รุนแรงเหมือนเดิม “หลายปีที่ผ่านมา… คุณลำบากหรือเป
เธอกำลังคุยกับโจวฟาง ขณะที่ฉันอยู่ข้างๆ กำลังแขวนเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้คนแก่อย่างเธอและรีดอย่างระมัดระวัง"หนานจือ!"หญิงชราแสร้งทำเป็นไม่พอใจและลุกขึ้นดึงฉันลงบนโซฟา "เรื่องพวกนี้ให้คนรับใช้ทำก็ได้ เธอจะได้นั่งลงจิบชาและคุยกับฉัน เธอต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเลยหรือ?"ฉันยิ้มออกมาก่อน “แต่ยังไงนี่ก็เป็นงานของฉัน”“นังเด็กคนนี้นี่”หญิงชราจับมือฉันแล้วหันไปหาโจวฟาง “ฉันเพิ่งได้ยินเธอบอกว่าเธอวางแผนให้หนานจือช่วยหลอกพ่อแม่ของเธอเหรอ?”ความสัมพันธ์ระหว่างโจวฟางกับหญิงชรานั้นลึกซึ้งมาก จนเขาพูดทุกอย่าง "ใช่"หญิงชรามองฉันด้วยความกังวลและพูดว่า "เขาบังคับเธอเหรอ?""คุณย่า คุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง?" โจวฟางพูดทั้งน้ำตาทั้งรอยยิ้มฉันก็ยิ้มเหมือนกัน “ไม่หรอก ฉันมีเรื่องจะขอร้องเขาเหมือนกัน”หญิงชราไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงต่อ แต่แสดงความกังวลอย่างหนึ่ง"ชิงหลี่... ฉันกลัวว่าเธอจะไม่กลับมาแล้ว"หญิงชรากลั้นน้ำตาไว้และมองโจวฟาง ด้วยท่าทางของผู้เฒ่าที่สง่างาม "ไม่ว่าเธอกับหนานจือจะเป็นแกล้งทำหรือเป็นเรื่องจริง ฉันก็ดีใจที่เห็นพวกเธอประสบความสำเร็จ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงการแส
นอนหลับไม่สนิท แถมยังใส่หน้ากาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้คล่องแคล่ว แม้จะนอนอยู่ก็ตามด้วยความโล่งใจ ฉันรีบใส่ที่อุดหูไว้ในมือของเขาเขาใส่ที่อุดหูสองสามครั้งแล้วกลับไปนอนต่อโจวโม่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ เอนตัวไปข้างๆ แล้วเงียบไปสักพักก่อนจะกระซิบเบาๆ"พี่ ฉันแค่แกล้งพี่ชายของฉันเมื่อกี้... จริงๆ แล้ว เขาเป็นคนดีมากเลยนะ""อืม?"ฉันไม่รู้ว่าเธอมาบอกฉันแบบนี้ทำไมโจวโม่เอียงศีรษะพิงไหล่ฉันแล้วพูดว่า "พ่อกับฉันไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพราะเขาพาเมียน้อยกลับบ้าน ฉันเกลียดเขา ฉันเกลียดเขาที่ทรยศต่อแม่ของฉัน"ฉันตกตะลึง"ตอนเด็กๆ ฉันอ่อนแอและต้องเติบโตในบ้านโดยไม่ได้ออกจากประตูหน้าหรือเดินออกไปข้างนอก"โจวโม่ถอนหายใจแล้วพูดว่า "หลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันจึงย้ายออกจากคฤหาสน์ตระกูลโจวและถึงกับตำหนิพี่ชายของฉันที่ไม่ไปกับฉัน"ฉันหลับตาแล้วพูดว่า "เขา... น่าจะฉลาดเกินเด็ก""ใช่"มีเค้าลางของการตำหนิตัวเองในน้ำเสียงของโจวโม่ "ต่อมา ฉันรู้ว่าเขาฉลาดและมีเหตุผลมากกว่าฉันมาก การทำแบบเขาเป็นวิธีที่ถูกต้อง""ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับสละทุกสิ่งที่เป็นของแม่และของเราไป""ฉันเด็กเกินไปและเอาแต
ฉันพยักหน้าและยิ้ม "ใช่ แล้วเธอล่ะ? ตรุษจีนแล้ว เธอจะกลับเมื่อไหร่?"ถึงแม้ฉันจะไม่บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับโจวฟาง ฉันก็ยังต้องไปเสื้อผ้าของคุณย่าเสิ่นและคุณย่าโจวต้องส่งมอบการตัดเย็บเสื้อผ้าตามสั่งไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของบริการด้วย นอกจากนี้ หนานซียังต้องการผู้หญิงที่น่าเคารพทั้งสองคนนี้เพื่อช่วยโปรโมตแบรนด์ของเราการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับฉัน"ฉันจะกลับกับพวกคุณ รอฉันด้วย!"โจวโม่เปิดประตูทิ้งไว้ รีบวิ่งเข้าไป คว้าเป้สะพายหลัง และเริ่มยัดของลงไปอย่างบ้าคลั่งก่อนจะรีบวิ่งออกไป"โจวโม่ เธอกระโดดโลดเต้นอะไรในบ้าน? ถ้าจะหาเรื่องอีกก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น เธอจะได้ไม่มีบ้านอยู่!"เสียงคำรามหงุดหงิดของโจวฟางดังก้องไปทั่วอพาร์ตเมนต์จากห้องนั่งเล่นผู้คนบอกว่าฉันอารมณ์ร้ายในตอนเช้า แต่ชัดเจนว่าของเขาแย่กว่าโจวโม่สั่งให้เขาเงียบ “ทำไมพี่ถึงหงุดหงิดจัง พี่สาวหนานจือรอเราอยู่ที่ประตูแล้ว ลุกขึ้นมา!”“ขอเวลาอีกสามนาที”และทันใดนั้น ความเงียบก็กลับคืนมาฉันยกมือขึ้นและมองดูนาฬิกา ดีเลย เหลือเวลาอีกเพียงห้านาทีเท่านั้นก่อนที่เวลาที่เขานัดที่น่า
บางทีอาจเป็นเพราะฉันรู้สึกขอบคุณและรู้สึกผิดต่อเขามากเกินไป ฉันเลยไม่ใส่ใจและยิ้ม "ไม่เป็นไร มันไม่เจ็บมาก"เขาถอนมือออก ถอนหายใจเงียบๆ แล้วพูดว่า "เข้าบ้านเถอะ ฉันแค่แวะมาหาคุณเท่านั้น ฉันสบายใจเมื่อเห็นว่าคุณสบายดีก็พอแล้ว""โอเค"อากาศหนาวมาก ฉันเลยสูดอากาศและโบกมือให้เขา ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูบ้านเมื่อนึกถึงบ้านที่เขาเพิ่งพูดถึง ฉันจึงหันกลับไปหาเขาแล้วพูดว่า “ยังไงก็ตาม รุ่นพี่ ฉันจะย้ายออกไปโดยเร็วที่สุด...”เมื่อฉันย้ายมาที่นี่ ฉันคิดว่ามันเป็นแค่เพราะมิตรภาพตอนนี้ฉันรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว และต้องการเป็นเพื่อนกันต่อไป จะดีกว่าถ้าจะไม่ก่อปัญหา"ไม่จำเป็น!"หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง ลู่สือเยี่ยนดูเหมือนจะประนีประนอมและพูด: "คุณสามารถอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขได้ โจวฟางอยู่ตรงข้ามกับคุณ... คนทั่วไปคงไม่กล้ามาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคุณ""ขอบคุณค่ะ...""หนานจือ เรายังเป็นเพื่อนกันนะ"เขาเห็นความไม่สบายใจของฉัน จึงตัดสินใจพูดออกมาตรง ๆ "คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระใดๆ เพียงเพราะฉันชอบคุณ และคุณไม่ได้ทำให้ฉันเสียเวลาอะไรใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้เราเปิดใจพูดกันแล้ว
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "วันหยุดจะเริ่มวันมะรืนนี้สินะ""ใช่แล้ว"เขาพูดอย่างไม่ลังเลว่า "เราจะออกเดินทางไปเมืองจิงเฉิงตอนเจ็ดโมงเช้า"“……?”ฉันมองเขาแล้วพูดว่า "คุณไม่ได้ช่วยฉันจัดการกับฟู่ฉีชวนก่อนเหรอ?"เขายกคิ้ว แล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่:"ตอนนี้คุณกำลังขอร้องให้ฉันช่วย อย่างน้อยก็แสดงความจริงใจให้ฉันดูก่อนสิ?""......"นักธุรกิจทุกคนก็เหมือนกันฟู่ฉีชวนเป็นยังไง เขาก็เช่นกันมีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน และฉันตัดสินใจที่จะกำหนดขอบเขตบางอย่างไว้ล่วงหน้า “ฉันช่วยเล่นละครกับพ่อแม่คุณได้ แต่ฉันหย่าร้าง พวกเขาคงไม่ยอมรับฉันหรอก…”โจวฟางไม่ได้ใส่ใจเลย "นั่นเป็นเรื่องของฉัน"ลิฟต์มาถึงชั้นแล้ว ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ “โอเค ฉันสัญญา”ทันทีที่พูดจบ ประตูก็เปิดออกแล้วเราแยกย้ายกันไป แต่ทันทีที่ออกไป ฉันก็แปลกใจที่เห็นลู่สือเยี่ยนยืนอยู่หน้าบ้านตระกูลลู่ยอมให้เขามาหาฉันจริงๆจากหางตา โจวฟางเหลือบมองมาทางเราแต่ก็ไม่หยุด เขาปลดล็อกประตูอย่างนุ่มนวล ก้าวเข้าไปข้างใน และปิดประตูตามหลังเขาไปในคราวเดียวนอกประตู เงียบมากจนได้ยินเพียงเสียงลมหอนในคืนฤดูหนาวด้วยคำเตือนของลู่สือจิ่ง ฉันรู้สึ