ตกดึก ขณะฉันกำลังนอนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ก็เหมือนมีนิ้วหยาบกร้านเข้ามาสัมผัสใบหน้าของฉัน"ยัยทึ่ม ใครหลอกคุณ คุณก็เชื่อหมด""อือ..."ฉันปัดมือนั้นออกไปอีกทาง ต่อมาก็เหมือนจะฉุกคิดนึกขึ้นมาได้ ว่าตัวเองกำลังนอนเฝ้าไข้อยู่ ฉันชะโงกหัวขึ้นมาและรีบถาม "เมื่อกี้คุณพูดอะไร ตรงไหนไม่สบายรึเปล่า?"สิ่งที่เห็นคือดวงตาหลับสนิทสองข้างของฟู่ฉีชวน หายใจช้าๆหูฟาดหรอ?ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าตัวเองคงแค่ตกใจเรื่องที่เกิดวันนี้ คงจะเครียด ก็เลยสะลึมสะลือหลับไป……เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเจ๋อก็ตั้งใจเอาอาหารเช้าจากภัตตาคารอาหารกวางตุ้งเจ้าเก่ามาให้เป็นรสชาติที่ฟู่ฉีชวนชอบแต่ว่าเขากินได้ไม่กี่คำก็ไปจัดการเรื่องงานแล้วฉินเจ๋อไม่ได้เอามาแค่อาหารเช้า แต่ยังมีเอกสารกองโตที่ต้องจัดการ รองประธานของบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ปใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆฉันขณะทานอาหารเช้าก็เหลือบมองเขาทางด้านนั้นเป็นระยะๆแสงอบอุ่นในฤดหนาวสาดส่องเข้ามา แสงสาดสะท้อนลงมาปกคลุมจนเกิดเป็นชั้นแสงออร่าบนตัวเขา คมสันใบหน้าด้านข้างเพอร์เฟคมาก สันจมูกโด่งสูงทับด้วยแว่นตา รีบฝีปากบางเฉียบไม่พูดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้แค่ดูจากรุปลักษณ์ภายนอก
รถค่อยๆ จอดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ คนขับลงจากรถก่อนจะเปิดประตูให้เราลู่สือจิ่งสวมรองเท้าส้น kitten heels เดินนำพวกเราเข้าไปในประตูบานใหญ่ แผ่นหลังของหล่อนยืดตรงเป็นไม้กระดาน ดูก็รู้ว่าถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ"ที่จริงแล้ว ที่วันนี้พาคุณหร่วนมาที่นี่ ก็เพราะมีเรื่องอยากขอร้องน่ะ""เรื่องอะไรคะ?""คุณไปดูก็จะรู้เอง"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็รู้สึกสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อความอยากรู้อยากเห็นนี่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรเหมือนว่าฉันจะไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่แต่ทว่า เมื่อหล่อนเดินนำฉันลัดเลาะผ่านสวน และเห็นเหตุการณ์ในหอรำลึกบรรพบุรุษ ร่างกายฉันก็อึดตระงันไปทันทีลู่สือเยี่ยนคุกเข่าอยู่บนพื้นกระเบื้อง อาการบาดเจ็บที่บริเวณแผ่นหลังของเขาทำให้ฉันตกใจ ทว่าใบหน้าของเขากลับไม่มีซึ่งความเจ็บปวดหรือโกรธเกรี้ยว มีแต่ความสงบราวกับสระน้ำนิ่งหญิงวัยกลางคนกัดฟันกรอดด้วยความฉุนเฉียว แล้วก็เฆี่ยนลงไปบนหลังของเขาอีกครั้ง "ลู่สือเยี่ยน แกอย่าคิดว่าตอนนี้ฉันจะไม่มีปัญญาทำอะไรแก! ถึงแกตายไป อย่างมากฉันก็แค่ไปเด็กมารับเลี้ยงเพื่อสืบทอดตระกูลลู่ต่อไป!""งั้นก็ไปหาสิครับ"ร่างของลู่สือเยี่ยนไม่ขยับเขยื้อน
ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเดาได้ เกรงว่าความสัมพันธ์ในตระกูลลู่จะมีเงื่อนงำ แต่จะถามลู่สือจิ่งที่เพิ่งรู้จักกันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่หลังจากที่ลังเลไปเล็กน้อย ฉันก็ส่ายหน้า "ขอโทษด้วยค่ะ ฉันคงจะรับปากคุณไม่ได้ เขาก็มีความยืนหยันในแบบของเขา ฉันในฐานะเพื่อน คงได้แต่สนับสนุนเขา"การที่เขาสามารถชอบใครสักคนมาได้นานถึงยี่สิบปี แล้วก็วางตัวเงียบขรึมมาโดยตลอด แปลว่าเขาต้องชั่งข้อดีข้อเสียมาแล้วแล้วคนนอกก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินได้สีหน้าของลู่สือจิ่งไม่ได้เผยความไม่พอใจแต่อย่างใด เพียงแค่พูดด้วยน้ำเสียงสงบ "คุณไม่อยากรู้เลยหรอ ว่าเขาชอบใคร?""เมื่อไหร่ที่เขาอยากบอก เขาจะบอกเองค่ะ"ในเมื่อเขายังไม่ได้บอกฉัน นั่นก็แปลว่าไม่ได้อยากให้ฉันรู้แล้วฉันเองก็คิดว่า คนเป็นเพื่อนกันใช่ว่าจะต้องพูดหมดเปลือกไปซะทุกอย่าง เราสามารถปล่อยให้อีกฝ่ายมีความลับบ้างก็ได้ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีสักหน่อยทันใดนั้นหล่อนก็เปลี่ยนเรื่อง "หลังจากที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย เดิมทีคุณย่าของฉันหวังให้เขาสืบทอดกิจการครอบครัวให้เร็วหน่อย เหมือนกับฟู่ฉีชวน แต่เขาปฏิเสธ แล้วเลือกที่จะไปเรียนต่อเมืองนอก ก่อนจะเข้าทำงานใน MS""อันนี้
"ปีที่ผมถูกรับกลับมาบ้านตระกูลลู่ ทุกคนต่างก็ด่าว่าผมเป็นลูกนอกสมรส"เขาเงียบไปชั่วครู่ ในดวงตาสวยงามคู่นั้นสั่นเครือไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน "แต่ผมรู้ ว่าเขาหลอกแม่ของผม..."ฉันเพิ่งจะรู้ว่า ความจริงแล้วลู่สือเยี่ยนที่อ่อนโยนดั่งหยกผู้นี้ ก็มีอดีตที่แสนขมขื่นเหมือนกันพ่อของเขาเป็นรักแรกของแม่ แต่เพื่อวงศ์ตระกูล พ่อของเขาจึงปิดบังแม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอื่นกว่าแม่ของเขาจะรู้ เขาก็ใกล้จะลืมตาดูโลกแล้ว..."แม่พาผมไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหนีไม่พ้นจากการแก้แค้นของสวีจื่อ""คุณแม่..."พอพูดถึงตรงนี้ ในดวงตาของเขาก็ผุดความเจ็บปวด และความโกรธเกลียดที่เก็บเอาไว้มาเนิ่นนาน ทว่าไม่นานก็กดมันลงไป แต่น้ำเสียงยังสั่นเครือไม่เปลี่ยน "คุณแม่ผมเสียแล้ว"มือที่วางทาบอยู่บนขาของเขากำหมัดแน่น จนซอกนิ้วขาวโพลนขนาดฉันฟังก็ยังรู้สึกบีบหัวใจตามไปด้วย...ตอนที่เขาอายุแปดขวบ คุณแม่ของเขาก็คงจะอายุประมาณสามสิบได้แต่กลับต้องแลกด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสถึงขนาดนี้ เพียงเพราะตัวเองดูคนไม่เป็นลู่สือเยี่ยนโค้งริมฝีปากนิดๆ แล้วพูดอย่างมีลับลมคมนัย "ถ้าว่ากันตามแผนการของสวีจื่
คำถามนี้ ฉันให้คำตอบเขาไม่ได้เพราะยังไงซะ ฉันก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานไปแล้วฉันสตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง แล้วยกมุมปากโค้งยิ้มบางๆ "ขอให้คุณสมหวังก็แล้วกัน""ก็ได้"ลู่สือเยี่ยนพูดอย่างพึงพอใจฉันขับรถไปส่งเขาที่ชั้นล่าง แล้วเอ่ยด้วยความลังเล "แผลของคุณ...""อย่าไปฟังที่ลู่สือจิ่งซี้ซั้วพูด"เขายื่นมือมาหยิบยาไป แก้ความอึดอัดในใจฉันอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น "เฮ่อถิงอยู่ในบ้านผม เดี๋ยวให้เขาทาให้ก็ได้""โอเคค่ะ"ฉันรู้สึกเบาใจลงไม่น้อยไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยทำแผลให้เขา แต่ถึงยังไงนั่นก็คือแผ่นหลัง ถ้าจะทำแผลก็ต้องถอดเสื้อออก...สถานะของฉัน คงจะไม่เหมาะให้ทำขนาดนั้นแล้วเขาเองก็น่าจะอึดอัดไม่มากก็น้อยขณะที่ฉันเตรียมจะส่งกุญแจรถคืนให้เขา จู่ๆ เขาก็หันกลับมา "วันนี้ คุณคงตกใจน่าดูเลยสิ?"ฉันกำฝ่ามือเบาๆ พูดด้วยความสัตย์จริงว่าตอนที่เห็นสวีจื่อเฆี่ยนตีเขาแบบนั้น ฉันก็ตกใจจริงๆ นั่นแหละฟาดแส้ลงไปขนาดนั้น เนื้อหนังคงฉีกไปถึงไหนต่อไหนแต่ ณ เวลานี้ สัญชาติญาณสั่งให้ฉันส่ายหน้า "ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ""งั้นก็ดีแล้ว"เขาไม่ได้รับกุญแจไป "วันนี้วันสุดสัปดาห์ แถวนี้เรียกรถยาก คุณขับกล
ฟู่จินอันมองฉันแวบนึง "สะดวกน่ะมันสะดวก แม่ฉันรอนายมาตลอดเลย เพียงแต่ ถ้าจะให้ดีหนานจืออย่าเข้าไปจะดีกว่า คุณหมอก็บอกแล้วว่าแม่ฉันสลบไปนานเกินไป ความทรงจำก็เลยเลอะๆ เลือนๆ ให้เจอแค่คนที่คุ้นเคยก่อนจะดีกว่า เดี๋ยวจะกระทบกับการฟื้นตัวทั้งร่างกายและจิตใจเปล่าๆ"คำพูดพวกนั้นสื่อราวกับว่า ถ้าฉันเข้าไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นนักโทษชั่วร้ายแต่ฉันเองก็ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือขนาดนั้น จึงหันไปหาฟู่ฉีชวน "คุณเข้าไปเถอะ ฉันขอตัวกลับก่อน""ในเมื่อเป็นแบบนี้"ฟู่ฉีชวนปรายตามองฟู่จินอันด้วยความเย็นชา แล้วโอบไหล่ของฉัน "งั้นเราก็รอให้ป้าเวินพักฟื้นอีกสักสองสามวันค่อยมาเยี่ยมใหม่"ฉันหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ อยากจะปัดมือเขาออก ทว่าเขากลับยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สา"อาชวน..."ฟู่จินอันหน้าเสีย ดวงตาแดงก่ำ "เมื่อวานนายไล่ฉันกลับก็ว่าแย่แล้ว เวลานี้ยังจะ...""จินอัน งี่เง่าน่ะ"ภายในห้องผู้ป่วย มีเสียงอ่อนแอของผู้หญิงลอยออกมา "รีบให้อาชวนกับคุณหร่วนเข้ามาซะ"ฟู่จินอันจึงยอมลดราวาศอกให้ แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า "เข้ามาสิ"ถึงจะบอกว่าเวินฟางสลบไปตั้งหลายปี แต่เพราะยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ชั้นนำ
ดวงตาสีดำสนิทของฟู่ฉีชวนมองฉันแวบนึง ราวกับว่าอยากให้ฉันยอมอ่อนให้ก้าวนึงฉันส่งยิ้มพิมพ์ใจ พร้อมวางท่าทีหนักแน่น "ฉันพูดเรื่องจริง อย่างช้าที่สุดก็ส่งเธอไปคืนพรุ่งนี้""ฉันไม่ฟังที่คุณพูด"เวินฟางเมินในสิ่งที่ฉันพูด เอาแต่หันไปจ้องฟู่ฉีชวน ทำท่าราวกับใกล้จะยอมรับความจริงไม่ไหวอีกต่อไป "อาชวน ไหนบอกป้าเวินซิ ว่าเรื่องจริงหรอ?"อาจะเป็นเพราะว่าสายตาของฉันชัดเจนมาก แม้ว่าฟู่ฉีชวนจะรู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ"เรื่องจริงครับ""ได้ยินแล้วใช่ไหมแม่!"ฟู่จินอันร้องโอดครวญ "ทั้งๆ ที่อาชวนรับปากแม่ว่าจะดูแลหนูให้ดี แต่ตอนนี้กลับเห็นขี้ดีกว่าไส้ ให้ท้ายคนนอกมารังแกพวกเรา"สีหน้าของฟู่ฉีชวนเย็นชาลงทันที "หนานจือเป็นภรรยาของฉัน ไม่ใช่คนนอก!""พวกนายหย่ากันแล้ว!"ใบหน้าของฟู่จินอันต็มไปด้วยคราบน้ำตา เน้นย้ำราวกับทวงความชอบธรรมประหนึ่งว่าหล่อนต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำฟู่ฉีชวนขมวดคิ้วอย่างเสียอารมณ์ "ตราบใดที่ยังไม่ได้หนังสือหย่า เธอก็ยังเป็นภรรยาของฉันวันนึงค่ำ"ฉันประหลาดใจนิดหน่อย ที่เขาเน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเราต่อฟู่จินอันแบบนี้"พอเถอะ"เวินฟางขัดจั
ทั้งแม่ คุณปู่ และลูกของฟู่ฉีชวนคนทั้งสามรุ่นต้องมาตายด้วยน้ำมือของพวกหล่อน"หร่วนหนานจือ! เธอพูดมั่วอะไร?"ฟู่จินอันพุ่งเข้ามาผลักฉัน แล้วออกปากเตือนอย่างดุดัน "ฉันฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาทได้รู้หรือเปล่า?"เวินฟางที่อาการ "ดีขึ้น" เล็กน้อย ก็มองมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ "คุณหร่วน ที่บอกว่าสองแม่ลูกมันหมายความว่ายังไง?""ฉันหมายความว่าอะไร คุณไม่เข้าใจหรอ?"ท่ามกลางสีหน้าเย็นยะเยือกของฟู่ฉีชวน ฉันพูดใส่เวินฟางช้าๆ ชัดๆ "ตอนนั้นเพื่อให้ได้แต่งเข้าตระกูลฟู่ คุณผลักแม่ของฟู่ฉีชวนที่กำลังท้องได้สิบเดือนลงจากบันได ลืมไปแล้วหรอ?""จะพูดอะไรมันต้อมีหลักฐาน!"เวินฟางตะเบ็งเสียงสูง ราวกับเดือดดาลสุดๆ ที่โดนฉันใส่ร้าย!อย่างที่คุณปู่พูด หล่อนเข้าใจว่าตอนที่ตัวเองก่อเหตุ ได้ทำลายกล้องวงจรปิดไปแล้ว จึงไม่หลงเหลือหลักฐานอะไรอีกคำพูดนั้นดึงสติฟู่จินอันขึ้นมา แล้วก็จับประเด็นสำคัญได้ทันที "ใช่ หร่วนหนานจือ จะถูกจะผิดมันไม่ได้อาศัยแค่ลมปากหรอกนะ""หลักฐานใช่ไหม"ฉันโทรหาฉินเจ๋อ ให้เขาเอาเอกสารที่ฉันให้ฟู่ฉีชวนเมื่อกี้มาส่งเขาดำเนินการรวดเร็วมาก ไม่นานก็เอามาให้ ฉันดึงผลรายงานระบุลายนิ้วมืออ
สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึม และเสียงของเขาที่ฟังดูแหบแห้งและหยาบกระด้าง "ฉันให้หุ้นแก่คุณเพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้คุณมาต่อรองกับฉัน""ประธานฟู่ คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย?""......"เขาเยาะเย้ยและพูดอย่างเย็นชา "งั้นคุณก็ลองดูสิ ฉันจะฆ่าใครก็ตามที่คุณขายให้ ถ้าคุณอยากทำร้ายใครก็เชิญเลย""......"เขายังคงหวาดระแวงอย่างมาก เกือบจะเหมือนโรคจิตในเรื่องของการข่มขู่ คือการแข่งขันกันว่าใครจะยอมทำสิ่งที่ต่ำที่สุดมากกว่ากันฉันไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ พูดมากเกินไปก็ไร้ประโยชน์ฉันกัดฟันแล้วเดินไปหาเจียงไหลเจียงไหลและเฉินเย่กำลังคุยกันเรื่องทั่วไปบางอย่างเมื่อเห็นฉันมา เจียงไหลยกริมฝีปากแดงของเธอไปทางเฉินเย่และพูดว่า "คุณเฉิน ฉันจะเชิญคุณไปทานอาหารเย็นเมื่อฉันกลับไปเมืองเจียงเฉิงหลังตรุษจีน""ได้"เฉินเย่พยักหน้าเล็กน้อยหลังจากทักทายเขาแล้ว ฉันก็ไปกับเจียงไหล"ประธานหร่วน!"เฉินเย่หยุดฉันไว้ทันที ก่อนจะเปิดปากถามอย่างระมัดระวังว่า: "คุณและพี่ชวนต้องหย่ากัน มันเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวและการหมั้นหมายของเขากับเสิ่นซิงหยูหรือเปล่า?"ฉันพูดตามตรงว่า "ใช่ แ
ฉันเงียบไปและพูดเบาๆ ว่า "ทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีความอดทนสูงขนาดนั้น"คืนนั้น ฉันจูบโจวฟางต่อหน้าเขาแม้ว่าฉันจะเมามากเกินไป แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจริงๆด้วยบุคลิกของเขา แบบที่ยอมให้ตัวเองทำผิดกฎได้แต่ห้ามคนอื่น เขาน่าจะหยุดมองมาทางฉันนานแล้วทันทีที่ฉันพูดจบ เสียงที่ดังขึ้นกลับไม่ใช่เสียงของฟู่ฉีชวน แต่เป็นเสียงที่มาจากทางกลางห้องจัดงานเลี้ยงเสิ่นชิงหลี่เปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมชุดสีขาวล้วนสุดหรู เธอถือไมโครโฟนไว้ตรงกลางห้อง ดูขี้อายเล็กน้อย แต่ดวงตาสีเช้มของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นในขณะที่เธอจ้องไปที่ทิศทางหนึ่งโดยเฉพาะทิศทางที่โจวฟางอยู่"ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ฉัน จากอ้อมอกของคุณย่า คุณพ่อและคุณแม่ไป ฉัน... ฉันต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย ทนทุกข์ทรมานจากวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อฉัน แต่ด้วยช่วงเวลาที่สวยงามที่เหลืออยู่ในความทรงจำ ฉันกัดฟันและอดทนต่อไป"เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่เธอสะอื้น “แต่ฉันโชคดี ครอบครัวของฉัน… และพี่อาฟางไม่เคยยอมแพ้ในการตามหาฉัน เช้านี้คุณย่าถามฉันว่าความปรารถนาของฉันคืออะไร ตอนนั้น ฉันนึกอะไรไม่ออก เพราะแค่การได้กลับไปยังตระกูลเสิ่นก็ถือเ
"คุณนายเสิ่น"ฟู่ฉีชวนขมวดคิ้วอย่างใจเย็นและพูดด้วยเสียงต่ำ "คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับฉันเกี่ยวกับการถอนหมั้น"เพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของแผนของเขาแม่เสิ่นไม่รู้ว่าเธอไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าเธอจงใจแกล้งทำเป็นสับสน "แน่นอนว่าฉันต้องอธิบาย ทันทีที่คุณได้ยินว่าวันนี้เป็นซิงหยูของเราที่มารับคุณ คุณก็มาพร้อมกับประธานเสิ่นโดยเฉพาะ ฉันเข้าใจแล้ว...."ปากของเฉินเย่กระตุกเมื่อเขาฟัง และเขาไม่สามารถทนขัดจังหวะได้ "ความมั่นใจของคุณนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ฉันยังต้องแทรกอยู่ดี ประธานฟู่มาที่นี่วันนี้และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูเสิ่นแม้แต่สลึงเดียว โอ้ ไม่ มันไม่เกี่ยวข้องแม้แต่สตางต์เดียว""มันจะไม่เกี่ยวข้องกับซิงหยูได้ยังไง ประธานฟู่าหาครอบครัวเสิ่นของเรา ถ้าไม่ใช่เพราะซิงหยู....."เมื่อพูดไปได้ครึ่งทาง แม่เสิ่นก็คิดได้และสีหน้าของเธอก็มืดมนลง ทันใดนั้นก็มองไปในทิศทางที่ฉันอยู่!ฟู่ฉีชวนก้มตาลงและปรับแขนเสื้อ เสียงของเขาเย็นชาและเฉยเมย "พูดตามตรงนะ คุณนายเสิ่น วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อตามง้อภรรยาของฉัน"เสียงของเขาไม่ได้ดังเป็นพิเศษ แต่ทุกคำก็ตั้งใจทำเพื่อให้ทุกคนรอบข้างได้ยินเขาอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่เสิ่นก็กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างรวดเร็ว แล้วก็ล็อกเป้าหมายไปที่คุณพ่อของเสิ่น แล้วดึงเขาออกไปด้วยกันเพื่อไปต้อนรับไม่นาน ก็เกิดความโกลาหลขึ้นจากทางเข้าห้องจัดเลี้ยงเป็นฟู่ฉีชวน เฉินเย่แลตระกูลเสิ่นจำนวนสามคนที่เดินเข้ามาฟู่ฉีชวนสวมเสื้อคลุมสีดำ มีคิ้วกับดวงตาที่สง่างามและเย็นชา ก้าวเดินอย่างมั่นคง และมีรัศมีแห่งอำนาจที่แข็งแกร่งเฉินเย่เหมือนกับครั้งที่แล้ว เมื่อเขาไปที่หนานซี เขาอยู่ห่างจากฟู่ฉีชวนครึ่งก้าว แต่ทั้งสองดูคุ้นเคยกันดีเมื่อมองดูครั้งแรกเมื่อรวมกับสิ่งที่แม่เสิ่นพูดก่อนจะออกไปรับเขาคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ผ่านโลกมานาน แค่มองแวบเดียวก็เข้าใจทุกอย่างแล้วฟู่ฉีชวนเป็นบอสใหญ่ของRF กรุ๊ปไม่ใช่ใครอื่นฟู่ฉีชวนคือชายคนเดียวกันที่ตระกูลเสิ่นเคยถอนหมั้นด้วยแต่ตอนนี้ ในชั่วพริบตา พวกเขากลับปฏิบัติกับเขาเหมือนแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเสิ่นอีกครั้ง ไม่กล้าแสดงความละเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ก็ต้องทนต่อไปโดยไม่สามารถแสดงออกมาได้ความสัมพันธ์นี้ ส่งผลให้บรรยากาศก็ตึงเครียดอย่างประหลาด และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้และพูดคุยส
"ผลตรวจ DNA ออกมาแล้ว"ฉันจนปัญญาเขาพูดอย่างหนักแน่นว่า "ผลตรวจ DNA ต้องมีปัญหาแน่ หร่วนหนานจือ ฉันอาจเข้าใจผิดคิดว่าคนอื่นเป็นเธอ"ฉันรู้ดีว่า "คนอื่น" นั้นหมายถึงฉันจากนั้น เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ "แต่ฉันจะจำเธอได้เสมอ""......"ฉันเม้มริมฝีปาก "นั่นเป็นเรื่องระหว่างคุณกับตระกูลเสิ่น โจวฟาง เราควรจะรักษาระยะห่างไว้บ้าง"ฉันไม่อยากทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกจริงๆพูดจบ ฉันไม่แม้แต่จะมองสีหน้าของเขา ดึงเจียงไหล แล้วเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงทันทีแม้ว่างานเลี้ยงต้อนรับนี้จะจัดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ได้จัดแบบลวกๆ เลยแสงไฟที่ระยิบระยับและบรรยากาศที่หรูหรา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่างานนี้ยิ่งใหญ่อลังการท่ามกลางชนชั้นสูงผู้มั่งคั่งหลังจากรับเครื่องดื่มจากถาดของพนักงานเสิร์ฟ เจียงไหลมองมาที่ฉันด้วยความประหลาดใจ "เธอกลายเป็นคนไร้ความปรานีตั้งแต่เมื่อไหร่?""เจ๊คะ"ฉันยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ให้เธอ "แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ยังเรียนรู้จากประสบการณ์ นอกจากนี้ สิ่งต่างๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป""ไม่เหมือนเดิมยังไง?""เมื่อก่อนฉันเคยถลำลึกลงไปแล้ว กว่าจะดึงตัวเองกลับมาได้ มันทั้งยากและเจ็บปวด
"แค่ก..."เจียงไหลเห็นว่าฉันยังรับมือได้ แต่เธอเกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหากับฉันจึงเงียบอยู่ตลอดในขณะนี้ คำพูดของโจวฟาง ทำให้ฉันอดไม่ได้และสำลักน้ำลายของตัวเองสำหรับฉันแล้ว แม่เสิ่นสามารถพูดจาเหน็บแนมฉันได้แม่ของเสินรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าโจวฟางกับคุณย่าโจว เธอไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้ เพราะต้องระวังมารยาทกับผู้ใหญ่ และทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความหงุดหงิด“ไอ้เด็กเวร!”ไม่ว่าคุณย่าโจวจะตามใจโจวฟางมากเพียงใด เธอก็ยังต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ เธอจ้องเขม็งไปที่เขา “ใครสอนให้แกพูดแบบนั้น?”"ก็คุณย่าสอนผมนั่นแหละ"โจวฟางไม่ได้ใส่ใจและพูดว่า "เมื่อคุณเห็นความอยุติธรรม จงยื่นมือเข้ามาช่วย""......"คุณย่าโจวโกรธมากจนจ้องมองเขา แต่เธอไม่สามารถหาคำพูดมาโต้ตอบได้ใครก็ตามที่อยู่ตรงนั้น สามารถได้ยินว่าแม่เสิ่นตั้งใจหาเรื่อง และคำพูดที่เธอพูดออกมานั้นร้ายกาจเกินไปเสิ่นชิงหลี่ผู้ซึ่งเคยเงียบและขี้อายเสมอมา พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาและเบาบาง เมื่อถึงเวลาที่ต้องหยุดพูดถึงเรื่องนี้"แต่พี่อาฟาง คุณแม่ของฉันก็พูดไม่ผิดนะ เด็กผู้หญิงควรรักษาความบริสุทธิ์และซื่อสั
เสิ่นชิงหลี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันนั้น อันตรายยิ่งกว่าฟู่จินอันที่เคยเจอเสียอีกฉันไม่อยากสร้างปัญหา[ทำไมคุณไม่ไปตรวจ DNA ด้วยล่ะ][หร่วนหนานจือ ตอบฉันหน่อย][หนีอีกแล้วเหรอ?]……บรรยากาศในห้องยังคงดูผ่อนคลายเหมือนเดิม แต่โทรศัพท์ของฉันยังคงส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความไม่หยุดฉันขมวดคิ้ว เปลี่ยนการตั้งค่าแชทของโจวฟางเป็นห้ามรบกวนแม้เสิ่นชิงหลี่ที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เขาก็ยังคิดว่าฉันคือตัวจริงอยู่ดี“คุณหร่วน คุณเพิ่งหย่า แต่โทรศัพท์ของคุณกลับไม่หยุดสั่น”แม่เสิ่นสังเกตเห็นการกระทำของฉัน และพูดด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน "มูฟออนได้เร็วจริง ๆ เลยนะ"โจวฟางส่งเสียงเฮอะออกมา และกำลังจะระเบิดความโกรธออกมาในทันทีฉันไม่อยากยุ่งกับเขาในตอนนี้ ฉันจึงชิงพูดก่อน "โดยทั่วไปแล้ว ฉันไม่สามารถเทียบกับความเร็วของเสิ่นซิงหยูได้ พอฉันเพิ่งหย่าเสร็จ เธอก็หมั้นหมายกับอดีตสามีของฉันไปแล้ว"“…เธอ!”แม่เสิ่นจ้องฉันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเธอจงใจจงใจทำให้ฉันอับอายต่อหน้าคนจำนวนมากการใช้คำพูดทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด มีใครบ้างที่ทำไม่ได้?คุณย่าโจวสังเกตเห็นบางอย่างและขมวดคิ้ว "หนานจือ งั้นอดีตสามีของเ
แต่ทำไมฉันต้องรู้สึกผิดด้วยล่ะตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรเลยด้วยความคิดนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปในทิศทางที่พวกเขาอยู่ หลังจากที่เสิ่นชิงหลี่กระโจนเข้าหาเขา เขาก็ลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนไม่สบายใจและกลัวที่จะทำให้เสิ่นชิงหลี่เศร้าเขาจับแขนของเธอแล้วดึงออก เสียงของเขากลับเย็นชาเหมือนเดิม ไม่มีอารมณ์อะไร "วิ่งช้าๆ หน่อย""แต่ฉันคิดถึงคุณนะ"เสิ่นชิงหลี่เงยหน้าขึ้นมองเขา กระพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดขาวและท่าทางเหมือนกระต่ายตัวน้อย "เมื่อวานคุณออกไปแต่เช้า และฉันไม่ได้เจอคุณมาเกือบยี่สิบชั่วโมงแล้ว"นับกระทั่งชั่วโมงฉันรวบรวมความคิด ยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเห็นสายตาของโจวฟางจ้องมองมาที่ฉันอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นว่าฉันสงบและไม่มีอารมณ์ใดๆ ดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อยเขาปล่อยมือของเสิ่นชิงหลี่ แล้วยิ้มกวนๆ ทักทายกับคุณยายทั้งสองก่อน จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามฉันอย่างขี้เกียจคุณย่าโจวมองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองและพูด “ไอ้เด็กเวร ดูแลชิงหลี่ให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ เธอเพิ่งกลับมา...”"โอ้ย เธอกำลังพูดอะไรอยู่? ชิงหลี่อยู่ที่บ้านของเธอเอง เธอยังต้องการให้อาฟางดูแลเธออีกเหรอ?"คุณย่าเสิ่นยิ้มตอบ
ฉันปลอบใจว่า "อาจจะเป็นเพราะเธอค่อนข้างขี้อาย? ในอนาคตยังมีเวลาอีกเยอะ ถ้าได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น คงจะดีขึ้นเอง""แต่ฉันรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ"หญิงชรารู้สึกเสียใจเล็กน้อย “เด็กสาวคนนั้น ตอนเด็กๆ เป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เธอก็ไม่ควรกลายเป็นคนขี้อายได้ขนาดนี้…”ขณะที่ฉันกำลังจะพูด หญิงชราถอนหายใจและพูดว่า "ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ดี เธอยังอยู่เมืองจิ่งเฉิงอยู่ไหม?"ฉันตอบตามตรง “อืม ฉันยังอยู่ค่ะ”“ดีมากเลย! ฉันจะส่งคนขับรถไปรับเธอ”หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม "คืนนี้ฉันกำลังวางแผนจัดงานเลี้ยงต้อนรับชิงหลี่ และฉันต้องการให้เธอมา ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ตาม ฉันกับย่าโจวสวมเสื้อผ้าที่เธอออกแบบให้เราสำหรับช่วงตรุษจีน และหลายคนถามว่าสั่งจากที่ไหน ฉันจะใช้โอกาสนี้แนะนำเธอ สัญญาว่าเธอจะไม่ขาดลูกค้าไปทั้งปี!!"".....ดีจังค่ะ ขอบคุณล่วงหน้า"ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตกลงทำข้อตกลงทางธุรกิจตั้งแต่ที่เลือกทำงานออกแบบชุดที่สั่งทำพิเศษแบบนี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องติดต่อกับคุณหญิงคุณนายจากตระกูลใหญ่ แม้ตอนนี