ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง มองลงไปในถุงกระดาษ ข้างในเป็นกล่องกำมะหยี่ประณีตสองกล่องด้านในเป็นจี้หยกที่คุณปู่เตรียมมอบไว้ให้กับลูกของฉันในใจของฉันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทีละน้อยพร้อมกับพูดอย่างเย็นชา "คุณปู่เตรียมไว้ให้กับลูก ในเมื่อลูกไม่อยู่แล้ว ฉันควรจะคืนให้คุณ"เขาเหลือบมองฉัน "คุณปู่ยกให้คุณ ถ้าคุณจะคืน ก็ไปคืนให้กับคุณปู่เองเถอะ""..."ฉันพบว่าเขาเป็นคนที่ถ้าไม่พูดด้วยเหตุผล เขาก็จะไม่ฟังเลยฉันเม้มริมฝีปาก "ฟู่ฉีชวน อย่างอื่นฉันรับไว้ได้ แต่ของสิ่งนี้มูลค่ามากเกินไป"เขาพูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรอง "ผมให้คุณ ไม่ได้ให้คนอื่นคนไกล"ฉันกำมือแน่นอย่างอดไม่ได้ พยายามอดกลั้นความรู้สึกแปลกในใจ พยายามตั้งสติ "ระหว่างเราขาดแค่ใบสำคัญหย่าแค่ใบเดียว เราควรขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนไว้จะดีกว่า""ขีดเส้นแบ่ง?"หางตาเย็นชาของฟู่ฉีชวนกระตุกเล็กน้อย เขามองฉันอย่างสงบอารมณ์ฉันรู้สึกตื่นตระหนกอย่างไม่มีเหตุผล "ใช่""เอาอะไรมาขีดเส้นแบ่ง?"เขาเอนตัวลงบนโซฟา ร่างสูงโปร่งค่อยๆ พูดอย่างไม่สนใจ "คุณกับผมแต่งงานกันมาสามปี เห็นเรือนร่างผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ได้เสียกับผมมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ใครจะไปรู้ว่าคุณแอบถ่าย
"ไม่ใช่หล่อน แล้วเป็นฉันรึไง?"ฉันมองสบตาเขาอย่างไม่หวั่นเกรง ถามชัดถ้อยชัดคำจะบอกว่าฉันถามไปโดยไม่คาดหวังก็ดูจะโกหกฉันอาจหลอกคนอื่นได้ แต่คงไม่อาจหลอกหัวใจตัวเองได้ ฉันยังปล่อยวางจากเขาไม่ได้แม้ฉันจะรู้แก่ใจดีทุกอย่าง ไม่ว่ายังไง ฉันกับเขาก็ไม่อาจไปกันต่อได้ ทว่าก็ยังจะหวังว่าหลายปีมานี้ เขาจะชอบฉันสักนิด ต่อให้เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ ก็ยังดีแปดปี ชีวิตคนเราตั้งแปดปีเลยนะดวงตาสีดำของเขาราวกับห้วงวังวน เหมือนกับจะดูดกลืนคนลงไป เสียงของเขาแฝงไปด้วยอำนาจลวงใจ "ถ้าหากผมบอกว่าใช่ เราจะไม่หย่ากันได้ไหม?"ฉันประหลาดใจ จนเวลาผ่านไปนาน ฉันรวบรวมสติมองไปที่เขาและส่ายหัว"ฟู่ฉีชวน หากคุณเคยชอบฉันจริงๆ มันก็แค่พิสูจน์ได้ว่า ฉันหลายปีมานี้ไม่ได้รักคุณแค่ข้างเดียว มันทำให้ฉันพอจะสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่นี่...ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไปกันต่อได้""หลายปี?""ใช่ หลายปี"ฉันจู่ๆ ก็ยอมสารภาพความรู้สึกออกมา ไม่ปิดบังอีกต่อไปและยิ้มกล่าว "แปดปี ฟู่ฉีชวน ฉันชอบคุณตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้ว ชอบคุณมาแปดปีแล้ว"ฉันพูดออกมาทั้งหมด อาจเพราะไม่ต้องการรู้สึกเสียใจในภายหลังบอกเขาอย่างเปิดเผยว่าฉันเคยช
พอได้ยินประโยคนั้น ฉันเหม่อลอยไปพักหนึ่งคำถามนี้ นอกจากเจียงไหลที่เคยถามฉันแล้ว อันที่จริงฉันไม่เคยถามตัวเองอย่างจริงจังเลยเป็นไปได้หรอถ้าหากคนที่ช่วยฉันในวันนั้นเป็นผู้ชายอีกคน คนที่ฉันตื่นขึ้นมาก็เห็นเป็นผู้ชายอีกคนเช่นกันฉันจะชอบผู้ชายคนนั้นรึเปล่าหรือหากฉีชวนไม่เคยช่วยฉัน ฉันจะยังชอบเขาขนาดนี้รึเปล่า งั้นที่ฉันชอบเขามาตลอดหลายปี...มันคืออะไร...ฉันอารมณ์แปรปรวน ไม่กล้าจะคิดอะไรต่อ ฉันส่ายหัวเบาๆ "ฟู่ฉีชวน ฉันตอบคุณไม่ได้"ฟู่ฉีชวนซึ่งมักจะสุขุมมาตลอดกลับไม่อาจรักษาท่าทีสงบไว้ได้ สันกรามบนใบหน้าแน่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาพ่นควันขมุกขมัวของบุหรี่ออกมาและพูด "...อืม""ฉันเคยชอบคุณเพราะว่าอะไรมันสำคัญด้วยหรอ?"ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเห็นเหมือนเขาดูผิดหวังมาถึงปลายทางจุดสิ้นสุดของความรักแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องรื้อฟื้นเหตุผลอะไรตอนแรกเลยฟู่ฉีชวนเหลือบหลบสายตาฉัน ขยี้ก้นบุหรี่จนดับ เขาบ่ายเบี่ยงพูดเรื่องอื่น "เรื่องที่คุณขอ ผมให้สัญญา""อะไรนะ?"ฉันอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้สติกลับมา "เรื่องของฟู่จินอัน?"เขาพยักหน้า "ใช่""ฉันหวังว่าคุณจะทำได้เหมือนที่สัญญา ไม่ทำให้วิญญาณของ
"เธอจะภูมิใจอะไรนักหนา?!"เธอโมโหหายใจเร็วจนอกกระเพื่อม แววตาของเธอแผ่รังสีโกรธเกรี้ยวอาฆาตร "หร่วนหนานจือ เธอบังคับฉันเองนะ เธอให้เขาไล่ฉันออกนอกประเทศใช่ไหม...รอตำแหน่งนายหญิงของตระกูลฟู่เป็นของฉันเมื่อไหร่ก่อนเถอะ ฉันจะไสหัวแกให้ออกไปจากเมืองเจียงเฉิง!""ไล่เธอออกนอกประเทศ?"ฉันคาดไม่ถึงคิดว่าฟู่ฉีชวนรับปากสัญญากับฉันแล้ว แต่เขาก็คงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ อย่างมากก็คงไม่แต่งงานกับเธอ ไม่คาดคิดว่าจะตัดขาดได้อย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้"เลิกสะตอสักที! อาชวนดีกับเธอขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาจะตัดขาดกับฉันแบบนี้ได้ไง!""...""ฉันขอบอกเธอไว้ ฉันจะไม่บินออกนอกประเทศ เธอล้มเลิกความหวังซะเถอะ!""เธอไปบอกกับเขาสิ คนที่ไล่เธอออกนอกประเทศไม่ใช่ฉัน"พูดจบ ฉันขณะกำลังจะเทน้ำดื่ม ฉันก็ได้ยินฟู่จินอันพูดเย็นชาเสียงดัง"ฉันฆ่าลูกของแกตาย แกคงแค้นฉันมากล่ะสิ?"ทันใดนั้นฟู่จินอันก็หัวเราะขึ้นมา แววตาร้ายกาจหัวใจของฉันเหมือนถูกคนแทงอย่างแรง ฉันหันไปมองเธอ "ฟู่ฉีชวนเป็นคนบอกเธอหรอ?""ไม่ใช่ เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องบอกฉัน"หล่อนยิ้มเหมือนภาคภูมิใจ เดินกระแทกส้นสูงทีละก้าวเข้ามาฉัน "ฉันเ
ในแววตาของฟู่จินอันคือรอยยิ้มได้ใจ!ทันใดนั้นฉันก็เข้าใจจุดประสงค์ของเธอ ฉันไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยและค่อยๆชักมือกลับ ภายใต้สายตาตกตะลึงของฟู่ฉีชวน ฉันพูดอย่างเรียบเฉย "ตามที่คุณเห็น"ถึงยังไงก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาฟังคำอธิบายจากฉันอีกอย่าง เขาตอนนี้ยังได้เห็นเองกับตา ถ้าอธิบายมากไปก็มีแต่จะเข้าตัวเองเมื่อก่อนฉันกังวลเรื่องที่ไม่มีมูลว่าเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตรึเปล่า แต่ตอนนี้ ฉันไม่สนอะไรแล้วไม่มีอะไรเศร้ากว่าหัวใจที่ตายด้าน มันก็คงจะประมานนี้เขาจะมองฉันยังไง มันไม่สำคัญเลยสักนิดฟู่จินอันกุมบาดแผลของตัวเอง น้ำตานองเต็มหน้า "อาชวน ช่วยฉันด้วย...ฉันเจ็บเหลือเกิน! เธอบ้าไปแล้ว จู่ๆ ก็หยิบมีดมาแทงฉัน..."อายุ 30 กันแล้ว ยังจะแสร้งว่าตัวเองบริสุทธิ์เหมือนดอกบัวขาวฉันยิ้มหัวเราะ "ร้องอะไรนักหนา เป้าหมายของเธอไม่ใช่รึไง? บรรลุเป้าหมายแล้ว ต้องมีความสุขสิถึงจะถูก"ยั่วโมโหฉัน กะเวลาที่ฟู่ฉีชวนจะมาและบีบให้ฉันต้องลงมือขิงต้องแก่ถึงจะเผ็ดฟู่จินอันร้อนใจขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้หนักมากกว่าเก่า "เธอพูดส่งเดชอะไร...ฉันก็แค่มาขอร้องเธอ อย่าให้อาชวนไล่ฉันออกนอก
"ฉินเจ๋อ?"เสียงของฟู่ฉีชวนเย็นเยือกจนน่ากลัว "ยืนเป็นสากกะเบือทำไม เอาเธอไปส่งโรงพยาบาล!"ฟู่จินอันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เธอยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ฉินเจ๋อก็ลากเธอเข้าไปในลิฟต์อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง!เธอไม่ลืมจะจงใจแกล้งทำเลือดหยดลงพื้นฉันหันมองไปทางที่พวกเขาเดินออกไป ฉันจ้องมองเขม็งอย่างอดไม่ได้ ฉันยังคงหายใจแรงจนอกกระเพื่อม"หนานจือ เราไปล้างมือกันก่อนดีกว่า?"ราวกับว่าฟู่ฉีชวนกลัวจะทำฉันโมโห น้ำเสียงเลยนุ่มนวลเหมือนกับกำลังปลอบเด็กฉันมองเขาและถามอย่างช้าๆ "คุณไม่โทษฉันที่ทำร้ายเธอหรอ?"นี่ไม่ใช่นิสัยของฟู่ฉีชวนเขาควรจะต้องอ้างเหตุผลมาปกป้องฟู่จินอัน เข้าข้างฟู่จินอันถึงจะถูกสิเขาถอนหายใจและจูงฉันเดินมาที่ห้องน้ำและเปิดก็อกน้ำ เขาลองเช็คอุณหภูมิน้ำ จากนั้นก็ค่อยเอามือของฉันไปวางไว้ใต้ก็อก บีบเจลล้างมือใส่และล้างมือให้ฉันอย่างบรรจง"คุณตบเธอแบบนั้น มือคุณเองไม่เจ็บหรอ?"ฉันชะงักไปเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพูดแบบนี้ออกมาฉันก้มหน้าลงมองนิ้วงามเรียวยาวของเขาที่กำลังสัมผัสกับนิ้วของฉัน ฉันยิ้มให้กับตัวเองถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ฉันอาจจะใจอ่อน เมื่อก่อนขอแค่เขาทำดีกับฉันเล
ฟู่ฉีชวนราวกับจนปัญญา เขามองฉันและอธิบายอย่างนุ่มนวล "เธอตอนนั้นเองก็เสียลูกไปเหมือนกัน ต่อให้ไปขึ้นศาล ศาลก็คงไม่มีทางตัดสินอย่างที่คุณต้องการหรอก""หรอ..."ฉันพยักหน้าให้กับตัวเอง รู้สึกเหมือนเคว้งคว้างว่างเปล่า "งั้นจะบอกว่า ลูกของฉันต้องตายฟรี?"เขาเหมือนกลัวฉันจะหุนหันพลันแล่น เลยรีบปลอบฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ไม่ใช่แบบนั้น มันยังมีอีกหลายวิธี...""วิธีอะไร?"ฉันยิ้มมุมปาก "จะส่งเธอไปต่างประเทศ งั้นให้ฉันเลือกประเทศได้ใช่ไหม?""ได้"เขาถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าโดยแทบไม่ต้องคิดฉันมองใบหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของเขาแลหัวเราะ "งั้นส่งเธอไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วกันอย่างเช่นพม่า เวียดนาม ลาว...อ้อ แล้วก็แค่ส่งเธอ ห้ามให้เงินเธอใช้""หนานจือ...""ไม่ได้หรือไง?"ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของเขา แต่ฉันจะทำแบบนี้ฟู่จินอันจะต้องชดใช้ราคาที่เธอต้องจ่ายเขาขมวดคิ้ว "ประเทศแถวนั้นวุ่นวาย ตั้งแต่ยังเด็กเธอ..."เขาพูดได้แค่ครึ่งประโยค มือถือในกระเป๋าเสื้อสูทรก็ดัง เขาหยิบออกมาดู เป็นฉินเจ๋อโทรเข้ามาฉันเลยพูดแดกดันใส่เขา "รับสิ อาจช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ทันเลยรีบเรียกคุณไปรั
ขณะฉันถามคำถามนี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมาเพราะฉันคิดมาตลอดว่าการตายของคุณปู่ย่อมเกี่ยวข้องกับฟู่จินอัน แต่ว่าก็ไม่มีหลักฐานโชคดีที่ลุงเฉิงตอบกลับมาในทันที "มีครับ ถึงลายนิ้วมือจะมีขนาดเล็ก แต่พอลองเทียบพิสูจร์แล้วก็เป็นของเธอจริงๆ""ที่แท้ก็เป็นเธอจริงๆ..."พอฉันได้คำตอบ ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกดีใจ รู้สึกว่าไม่ควรเกิดกับคุณปู่เลย ถ้าหาก...ถ้าหากคุณปู่วันนั้นไม่ได้พบกับฟู่จินอัน ตอนนี้คงได้เห็นคุณปู่ก็คงจะกวักมือเรียกฉันอย่างใจดี เรียกฉันว่า 'ยัยหนู' อยู่ใช่ไหมลุงเฉิงโกรธมาก "คุณท่านถึงแม้จะไม่เคยยอมรับในตัวเธอเลย แต่คุณท่านก็ไม่เคยกลั่นแกล้งเธอ เธอทำไมถึงไม้ไส้ระกำทำแบบนี้""ใช่ค่ะ"ฉันคิดอยู่หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ "ลุงเฉิง ฉันยังมีจุดที่ไม่เข้าใจ วันนั้นที่คุณปู่ตบฟู่ฉีชวน เขาก็ไม่ได้โกรธถึงขั้นอาการกำเริบ แล้วเธอพูดอะไรกับคุณปู่ถึงทำให้คุณปู่อาการกำเริบจนองเอยแบบนี้ได้?"อย่างแรกคือยั่วโมโหคุณปู่จนอาการกำเริบ ต่อมาก็ห้ามไม่ให้คุณปู่ทานยาช่วยชีวิตฉุกเฉินเหมือนกับวันนี้ที่เธอกระตุ้นยั่วโมโหให้ฉันลงมือ จากนั้นก็ให้ฉันตกกลุมพรางลุงเฉิงเองก็ไม่เข้าใจ "ผมเองก็คิดไม่อ
หรือจะบอกได้ว่า ตั้งแต่ปู่ของเขาตายไป เวินฟางอาจกลายเป็นความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวที่ฟู่ฉีชวนได้รับจากความรักในครอบครัวแต่ตอนนี้... หากสิ่งที่ฟู่จินอันพูดเป็นความจริง ทัศนคติของเขาเกี่ยวกับความรักในครอบครัวก็จะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงความผูกพันทางอารมณ์หลายปี หลายทศวรรษ จะขาดสะบั้นลงพร้อมๆ กันสำหรับคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ การต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกครั้งอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เลวร้ายอย่างไรก็ตาม ฉันไม่เห็นด้วยกับแนวทางของลุงเฉิง มีบางสิ่งที่ความเจ็บปวดในระยะสั้นดีกว่าความเจ็บปวดในระยะยาวฉันมองฟู่ฉี่ชวนอย่างมั่นคงและพูดว่า "คุณจะเชื่อสิ่งที่ฉันพูดไหมล่ะ?"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน "เชื่อ"คงต้องใช้เวลาคิดนานก่อนที่จะตัดสินใจถามฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ลังเลที่จะตอบนั่นทำให้ฉันสบายใจ ฉันจิบกาแฟแล้วเริ่มพูดว่า “ถ้าฉันบอกคุณว่าวันนั้นที่โรงพยาบาล ฉันพูดอะไร....”“พี่ฉีชวน!”ประตูห้องทำงานถูกผลักเปิดออกโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับเสียงผู้หญิงที่สดใสและชัดเจนซึ่งขัดจังหวะฉันอย่างหยาบคายวินาทีต่อมา เสิ่นซิงหยูเดินเข้ามาโดยชุดชาแนลรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นและรองเท้าบู๊
ระหว่างทางไปบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ป ฉันคิดว่าในที่สุดฟู่ฉีชวนก็เต็มใจที่จะเริ่มสงสัยเวินฟางและลูกสาวของเธอ ฉันควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจบางทีสาเหตุการตายของปู่ของเขาและการตายของแม่ของเขาอาจอธิบายได้ในครั้งนี้แต่ในใจของฉันยังคงรู้สึกไม่สบายใจฉันไม่สามารถบอกสาเหตุได้เมื่อฉันมาถึงแซ่ฟู่กรุ๊ป ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทุกคนเร่งรีบและดูจริงจังทันทีที่ฉันก้าวออกจากลิฟต์ที่ชั้นบนสุด ความตึงเครียดก็ถึงจุดสูงสุดฉินเจ๋อรอฉันในลิฟต์เป็นการส่วนตัวและพาฉันไปที่สำนักงานของรองประธาน เมื่อเห็นคำถามในสีหน้าของฉัน เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า "สถานการณ์ออนไลน์ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มบริษัท มีโครงการหลายโครงการเพียงก้าวเดียวก็จะลุล่วง และอีกฝ่ายกำลังใช้ท่าทีรอและดู"ฉันขมวดคิ้วและพูด "มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?"ดูเหมือนว่าโจวฟางจะชำนาญในกลยุทธ์ของเขาจริงๆ เพียงแค่การเคลื่อนไหวครั้งเดียว เขาก็สร้างวิกฤตที่แซ่ฟู่กรุ๊ปไม่เคยเจอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"ใช่แล้ว ไม่มีใครคาดคิด"ฉินเจ๋อเหลือบมองไปทางสำนักงานของรองประธานอีกครั้งแล้วพูดว่า "ประธานฟู่ไม่ได้พักเลยตั้งแต่เหตุการณ์เ
".....หยุด หยุดขู่ฉันได้แล้ว!"หลินกั๋วอันตะโกนประโยคนี้ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกลัว ก่อนที่ฉันจะตอบได้ เขาก็วิ่งหนีไปในพริบตา!"โอเคไหลไหล ฉันมีบางอย่างต้องทำตอนนี้ ฉันจะติดต่อกลับในภายหลัง"ฉันวางสายโทรศัพท์ของเจียงไหลและมองไปที่หลินเฟิง ซึ่งมักจะเป็นคนที่จืดจางเสมอมา "คุณแค่มองดูพ่อของนายทุบตีแม่ของนายแบบนี้เหรอ?"หลินเฟิงยักไหล่และพูดว่า "ผมไม่แข็งแร็งเท่าเขา และเขาเองก็ไม่ฟังผมเหมือนกัน""..."ฉันโกรธมากและไม่รู้จะพูดอะไรคุณป้าของฉันพูดด้วยความเจ็บปวด "หลินเฟิง ออกไปก่อน ฉันอยากคุยกับลูกพี่ลูกน้องของแก""อ้อ"หลังจากหลินเฟิงออกไป ฉันก็ดึงเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง "แผลทั้งหมดบนตัวของคุณรักษาแล้วหรือยัง? มีจุดไหนที่พวกเขาพลาดไปหรือเปล่า?'"ไม่หรอก อาการบาดเจ็บพวกนี้ไม่ได้ร้ายแรงมาก มีหมอและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาห้ามไว้ เลยไม่ได้ร้ายแรงมาก"คุณป้าของฉันส่ายหัว ราวกับว่าเธออ่อนแอกว่าตอนที่ฉันเจอเธอครั้งล่าสุดมาก น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ "ฉันอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่เห็นด้วย..."ฉันถอนหายใจแล้วพูดว่า "ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง"หลินกั๋วอันไม่ใช่ฟู่ฉีชวน ไม่ใช่เร
"ฉันได้ยินมาว่าโจวฟางมาที่เมืองเจียงเฉิงครั้งนี้ เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับอดีตคู่หมั้นของเขา""ฉันคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นคนทุ่มเทขนาดนั้น"ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะมีคนอย่างลู่สือเยี่ยนอยู่จริงๆ ที่ทั้งคู่ยึดติดกับใครบางคนที่พวกเขาพบตอนเป็นเด็กยึดมั่นในความผูกพันนั้นมาหลายปีลู่สือเยี่ยนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่พูดว่า "พรุ่งนี้คุณอยู่บ้านไหม ฉันจะนำของขวัญมาฝากคุณหลังเลิกงาน""ของขวัญ?"ฉันใช้เวลาสักครู่เพื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อคืน ฉันพยักหน้า "แน่นอน ฉันจะกลับบ้านในอีกไม่กี่วันนี้ เว้นแต่จะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น"……วันรุ่งขึ้น ฉันนอนหลับจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเองและสัมผัสขอบเตียงที่ว่างเปล่าเจียงไหลหายไปฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จึงเห็นไลน์ที่เธอส่งมาให้ฉัน [ไปก่อนนะ ถ้าเฮ่อถิงเป็นโรคประสาทอีกเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาใหม่][นังตัวดี นอนกับฉันเสร็จก็หนีไปเลย]ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม ขณะนอนเล่นโทรศัพท์อย่างขี้เกียจบนเตียงเหตุการณ์ระหว่างฟู่จินอันกับฟู่เหวินไห่ รวมถึงการเปิดเผยความขัดแย้งระหว่างเธอและเวินฟางที่อำเภอ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ป ทำให้รา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเศรษฐีรุ่นสองที่พูดเรื่องเงินตลอดเวลา"ช่างมันเถอะ ฉันจะไปถามคนอื่น"ทันทีที่ฉันพูดจบ ฉันก็ก้าวเดินเข้าไปข้างในฉันเพิ่งกลับมาถึง เจียงไหลก็ก้าวออกมาจากห้องส่วนตัว ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดจากการร้องไห้ “กลับบ้านกันเถอะ”"ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?"ฉันหยิบเสื้อคลุมจากมือของเธอแล้วพาดไว้บนไหล่ของเธอเธอสูดหายใจและดวงตาของเธอแจ่มใส "อืม จากนี้ไป ไม่ว่าเขาจะแต่งงานหรือไม่ก็ตาม มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ชื่นชมความเด็ดขาดของเธอ ความสามารถในการปล่อยวางอย่างหมดจดของเธอขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน เจียงไหลกำลังรับผิดชอบการขับรถอยู่ ทันใดนั้น ฉันก็ได้รับสายจากลู่สือเยี่ยนหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นและถามว่า "หนานจือ คุณคือคนที่อยู่กับโจวฟางเมื่อกี้ใช่ไหม?"ฉันตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ฉันไม่ได้โกหกเขา "ใช่ ฉันเอง... คุณรู้ได้ยังไง"โจวฟางปิดบังฉันไว้อย่างมิดชิดแม้แต่ฟู่ฉีชวนก็ถามแค่เรื่องรองเท้าเท่านั้นและถึงอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาก็ยังไม่แน่ใจแต่ลู่สือเยี่ยนเดาได้จริงๆ ว่าเป็นฉันทางโทรศัพท์ ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นค
ดูเหมือนว่าคนที่ตกลงกับฉันเมื่อวานไม่ใช่เขาฉันโกรธ และพูดไม่ออก "คุณไม่ได้สัญญากับฉันว่าจะไม่บอกใครหรอกเหรอ?""?"โจวฟางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "สิ่งที่ฉันสัญญากับคุณคือจะไม่บอกใครว่าคุณกำลังแอบดูและยังบันทึกวิดีโอด้วย""..."ไม่เป็นไรตามตรรกะนั้น เขาก็ไม่ได้ผิดเลย ดังนั้นเป็นความผิดของฉันที่ไม่อธิบายตัวเองให้ชัดเจนงั้นเหรอ?"คุณมีความแค้นต่อตระกูลฟู่หรือเปล่า?""ก็ไม่หนิ"โจวฟางมองฉันด้วยความสับสนแล้วพูดว่า "คุณไม่เข้าใจสงครามธุรกิจที่โหดร้ายเหรอ หลังจากติดตามฟู่ฉีชวนมาสามปี เขาก็ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้ให้คุณเลยเหรอ?"ฉันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะความตรงไปตรงมาของเขาช่างน่ากลัว และยังเป็นเพราะคำถามที่สองของเขาด้วยฉันบีบฝ่ามือแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ไม่"หลังจากติดตามฟู่ฉีชวนมาสามปี เขาสอนอะไรฉันบ้าง? ความเป็นอิสระ ความอดทน ความอดกลั้น และความทุ่มเท....นอกจากการรักษาระยะห่างอย่างสุภาพแล้ว เราไม่เคยมีบทสนทนาที่จริงจังเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลอุบายของโลกธุรกิจคราวนี้ถึงคราวของโจวฟางที่ต้องตกตะลึง เขายกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจและพูดว่า "คุณน่าสนใจเลยทีเดียว""คุณก็น่าสนใจเหมื
ขอร้องเขาเหรอ?หัวเขากระแทกประตูหรือไง!ฉันปล่อยมือเขา ไม่สนใจอีกต่อไปว่าฟู่ฉีชวนหรือลู่สือเยี่ยนจะเห็นฉันหรือไม่ ฉันยอมแพ้และหันหลังเดินจากไปทันใดนั้น ดวงตาของฉันก็มืดลง เสื้อคลุมยาวของผู้ชายพร้อมฮู้ดถูกสวมทับตัวฉัน และฉันถูกนำทางอย่างชาญฉลาดกลับไปที่ราวบันได เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นโดยคนสองคนนั้นกลิ่นมิ้นต์สดชื่นลอยเข้าจมูกของฉันฉันค่อนข้างเข้ากันได้กับโจวฟางฝีเท้าของฟู่ฉีชวนดูเหมือนจะหยุดชะงักชั่วขณะ และฉันได้ยินเสียงที่ไม่สุภาพของโจวฟาง "ประธานฟู่ สนใจเรื่องส่วนตัวระหว่างคู่รักหนุ่มสาวมาก"ฟู่ฉีชวนดูเหมือนจะกำลังพินิจพิเคราะห์ เสียงของเขาทุ้มและอ่อนโยน "รองเท้าของแฟนคุณ ภรรยาของฉันดูเหมือนจะมีคู่เดียวกัน"หัวใจของฉันเต้นแรงนี่เป็นรุ่นลิมิเต็ดของแบรนด์หนึ่ง ในเมืองเจียงเฉิงมีเพียงไม่กี่คู่เท่านั้น ซึ่งสามารถนับได้ด้วยมือเดียวแม้ว่าฉันจะไม่ได้แอบฟังความลับใดๆ เลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปอย่างเปิดเผย แต่ตอนนี้ที่โจวฟางเล่นกับฉันแบบนี้ ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยฉันไม่กล้าขยับเลย"งั้นเหรอ?"โจวฟางหัวเราะเยาะเย้ย “ดูเหมือนว่าประธานฟู่จะไม่ค่อยสนใจภรรยาคน
ฉันอิ่มแล้ว ฉันเลยวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า "เธอตกลงที่จะพบเขาเหรอ?"“ใช่ ฉันตกลง”เจียงไหลช่วยฉันเก็บกล่องอาหารเดลิเวอรี่ “วันก่อนเขายังไม่โตเลย เขาไม่ฟังคำพูดของฉัน บางอย่างก็อธิบายทางโทรศัพท์ได้ยาก ฉันเลยคิดว่าจะพบเขาอีกครั้งแล้วค่อยเคลียร์กันให้เรียบร้อย”ฉันพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันสนับสนุนเธอ”"คุณจะไปกับฉันไหม?""ไปสิ"ฉันยิ้มและพูดเล่น: "ถ้าฉันไม่ไป แล้วถ้าเขามัดคุณแล้วขายคุณล่ะ"สถานที่ที่พวกเขานัดกันไว้ยังคงเป็นคลับเฮาส์เจียงไหลพาฉันเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างสบายๆ หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉันก็พูดว่า "เธอเข้าไปเถอะ ถ้าฉันอยู่ด้วย เธอจะพูดอะไรไม่ได้ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้เลย ฉันจะเข้าไปทันที""โอเค"เจียงไหลพยักหน้าและผลักประตูเปิดออกฉันยืนอยู่หน้าประตู มองดูพนักงานเสิร์ฟถือจานผลไม้และจานเดินไปมา ฉันรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในที่ที่ดีนัก จึงเดินช้าๆ ไปที่สวนลอยฟ้าใกล้ๆเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ค่ำคืนในเมืองเจียงเฉิงจะชื้นและหนาวเย็นอย่างไรก็ตาม คลับเฮาส์แห่งนี้ได้ลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการออกแบบสวนลอยฟ้าที่สวยงามและหรูหราสวนหินไหลด้วยน้ำที่ไหลเอื่อยๆ และมีพืชหายากมากมายในฤดูใบไม้ร่วงแล
เจียงไหลจ้องมองอย่างว่างเปล่า"ไม่ได้งั้นเหรอ?""เป็นแบบนั้นนั่นแหละ"ฉันไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่ถึงจะโน้มน้าวชายคนนั้นให้ไปเอาใบหย่ามาได้เจียงไหลเห็นว่าฉันอารมณ์ไม่ดี เธอก็ปลอบใจฉัน: "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตราบใดที่ฝ่ายหนึ่งมีเจตนาที่จะจากไป มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น นอกจากนี้ คุณได้บรรลุข้อตกลงในทุกสิ่งแล้ว ยกเว้นใบหย่า มันก็ถือว่าคุณหย่าแล้ว"ฉันยิ้มและคุยกับเธอสักพัก จากนั้นการสนทนาก็เปลี่ยนไป “แล้วเธอล่ะ เฮ่อถิงไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเธอเหรอ?”ตอนที่เราย้ายบ้าน เฮ่อถิงช่วยเราย้ายบ้าน พูดถึงเรื่องนี้ พอนึกดูดีๆ ฉันยังติดเลี้ยงข้าวเขาอยู่เลยเขาคงยังจำที่อยู่นี้ได้ถึงแม้จะไม่รู้ แค่ถามฟู่ฉีชวนก็คงรู้แล้วเจียงไหลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของเธอแผ่วเบา "ไม่ เขาไม่กล้ามาบ้านคุณหรอก""ทำไมล่ะ?""เขากลัวฟู่ฉีชวนที่สุด""......"……ต่อมา ฉันไม่อยากทำอาหาร แต่ทักษะการทำอาหารของเจียงไหลน่าประทับใจมาก ฉันเลยสั่งอาหารเดลิเวอรี่แทนเจียงไหลกินข้าวและคุยเล่นในขณะที่ปัดโทรศัพท์เป็นครั้งคราวทันใดนั้นเขาก็พูดด้วยสีหน้าตะลึงงันว่า “โอ้พระเจ้า แม่ลูกคู่นั้นทะเลาะกันที