พอรุ่งเช้าทั้งสี่ก็ออกเดินทาง ห่าวอู๋มู๋ลี่เองอุ้มจางซิน ห่าวอู๋อวี่ก็แบกจางหยงขึ้นหลัง และเดินทางด้วยเท้าเพียงแค่สองวันก็พบกับทางออกจากป่าแล้ว ในแผนเดิมก็คือถ้าพ้นจากป่าจะให้นกฟีนิกซ์ของจางซิน พาพวกเขาไปแต่ตอนนี้นางสลบอยู่ถ้าจะรอก็กลัวจะเสียเวลาและพวกเขายังมีศัตรูตามไล่ล่าอีก"เอาแบบนี้ก็แล้วกันครั้งนี้ให้อีแร้งยักษ์ของท่านพี่มู๋ลี่พาพวกเราไปก่อน เพราะสองคนนี้ฟื้นขึ้นมาค่อยดูอีกทีว่าจะทำเช่นไรตอนนี้เราแค่มุ่งหน้าไปทางเหนือก็เท่านั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ห่าวอู๋มู๋ลี่ก็ปล่อยอีแร้งยักษ์ออกมา"ข้าจำเป็นต้องใช้เจ้าในการเดินทาง ให้เจ้าพุ่งไปแค่ทางทิศเหนืออย่างเดียวและถ้าจุดใดที่จะเป็นอันตรายแก่ตัวเจ้า ให้เจ้าลงจอดพวกเราต้องเดินทางเท้าเจ้าก็ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด ถ้าเจ้าเหนื่อยก็พักได้ทุกเมื่อ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวกับสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตัวเอง และกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันเพื่อรอรับสหายที่สลบทั้งสองคน จินเป่ากับห่าวอู๋อวี่ก็ดันจางซินขึ้นไปด้านบนก่อนและช่วยกันพลักจางหยงขึ้นไปตาม และคนที่เหลือก็ปีนขึ้นไป พอทุกคนขึ้นไปบนหลังอีแร้งยักษ์แล้วมันก็ถลาขึ้นไปบนอากาศทันที ห่าวอู๋มู๋ลี่เองก็เป็นห่วงสัต
หลังจากที่ทุกคนกินปลาย่างเสร็จจางซินและจางหยงยืนยันที่จะเดินทางต่อเลยทุกคนจึงตกลงที่จะเดินทางต่อ"ถ้าเรายังไม่เดินทางต่อนะตอนนี้ข้าเกรงว่าคนที่อยู่มิติเชื่อมจิตจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียวที่ตามพวกเราอยู่ในเมืองตะวันน่ะสิ ข้ากลัวว่าจะมีคนหลายกลุ่มเลยแหละ เพราะฉะนั้นเรารีบเดินทางต่อเถอะ เราเดินทางไปถ้าเราเหนื่อยก็พักเพราะทะเลทรายไร้กลางคืนแห่งนี้จะไม่มีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ใช้เวลาที่เราเหนื่อยก็แล้วกัน ทสำหรับการหยุดพักของพวกเรา"จางหยงกล่าวขึ้น และทั้งสี่ก็เดินทางต่อไป"ข้าออกมาจากป่าม่านได้อย่างไรกันหรือซิงอี "จางซินถามขึ้น"คุณชายใหญ่แบกเจ้ามานะสิ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเจ้าหนักมากเลย คุณชายใหญ่แบบเจ้าแทบไม่ไหวด้วย เขาแบกเจ้าถายในหนึ่งวันก็ต้องพักตั้งหลายรอบแหนะ"ซิงอีเองก็แกล้งแหย่พี่สาวเล่นๆ ทำให้คนเดินร่วมทางรู้สึกขำขันไปด้วย ทำให้จางซินเองถึงกับหน้าแดงเลยทีเดียว"คุณชายใหญ่ต้องขอขอบคุณท่านมากนะ ที่ท่านช่วยแบกข้ามา แต่ท่านไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับข้าใช้ไหม ท่านแบกข้าตั้งหนึ่งวันแนะ"จางซินกล่าวขึ้น"ใครจะคิดฉวยโอกาสกับเจ้ากัน เป็นข้
เมื่อทั้งสองเดินมาตรงจุดพักที่อยูไกลสายตา แถบนี้คือทะเลทรายถ้ามองเองก็ไม่ค่อยชัดเจน นางจึงสั่งให้กระต่ายหยกทำงานอย่างเคย กระต่ายหยกแปลงร่างเป็นแมลงตัวเล็กๆอยู่บริเวณนั้นนานแล้ว มันจึงสื่อมาว่าจางซินรักษาทั้งสองเพียงคนเดียว และตอนนี้พลังของนางน่าจะน้อยลงทำให้จางหยงถ่ายทอดพลังช่วยนาง"การรักษาด้วยพลังรักษาด้วยมิติมันหนักหนาเลยหรือ"จินเป่าถามห่าวอู๋อวี่"หากรักษาคนต่อคนก็ไม่ยากเย็นหรอก แต่ถ้ารักษาสองคนแล้วมีผู้รักษาเพียงคนเดียว ก็ต้องอาศัยพลังวรยุทธของคนอื่นร่วมด้วยทำไมหรือ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวให้ฟังและถามขึ้น"ป่าวหรอกก็แสดงว่าจางหยงไม่มีมิติธาตุนะ เรารอสักหน่อยค่อยกลับดีกว่า"จินเป่ากล่าวขึ้น พอรอให้การรักษาสมบูรณ์แล้วทั้งสองก็กลับจุดพัก"ไม่เจอพวกนั้นเลยหรืออาจเป็นเพราะเรามองไม่เห็นมัน แล้วมันไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆหรือป่าวจึงไม่พบรังมัน"จินเป่ากล่าวขึ้น พลางมองหน้าซิงอี"พวกเจ้าหายารักษาทั้งสองได้แล้วหรือดีจังเลย งั้นเดียววันนี้ข้าเตรียมอาหารให้นะ"จินเป่ากล่าวและเตรียมอาหารให้ทุกคน ปกตินางเป็นคุณหนูสามไม่ได้ทำสิ่งใด เลยสักอย่าง แต่ร่างเดิมของนางต้องทำเองทุกอย่างจึงทำให้นางเก่งเรื่องอาหา
"ข้าว่าพวกเรายังอยู่ที่เดิมนะ เพราะพวกเราก็อยู่ในทะเลเหมือนเดิม"ห่าวอู๋มู่ลี่กล่าวขึ้น"เราเดินไปในป่าสักนิดนึงแล้วเราค่อยพักเถอะอยู่แถวนี้มันอันตรายเกินไปเพราะจุดนี้จะเป็นทางเข้าทางออกจากนิติแห่งนี้และก็มีคนรู้จักที่นี้พอสมควรด้วย"จางหยงกล่าวขึ้นเพราะว่าพวกตนเคยมามิตินิมิตรแล้ว จึงชวนทุกคนเข้าไปพักในป่าจะดีกว่า ทุกคนจึงลากตัวเองขึ้นจากน้ำและเดินโซซัดโซเซขึ้นไปในป่าเมื่อเข้าไปในป่าก็พบกับต้นไม้ใหญ่สองต้นเหมือนเป็นทางเข้าพวกเขาทั้งหกจึงมุ่งไปทางต้นไม้ใหญ่ เมื่อพ้นจากต้นไม้ใหญ่ทั้งสองต้นนั้นแล้วความรู้สึกเหมือนไอวิเศษ พุ่งเข้ามาในร่างกายของคนทั้งสี่คน เป็นไอวิเศษที่มีแรงกดดันมหาศาล ซึ่งแรงกดดันนี้จางซินกับจางหยงจับถึงความผิดปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งสี่คนจึงทรุดตัวลงแล้วนั่งขัดสมาธิเพื่อที่จะขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายใน ขนาดยืนพวกเขาทั้งสี่ยังลำบากแล้วจะให้เดินทางไปยังมิติเชื่อมจิตได้อย่างไร ระหว่างมิติสามัญกับมิตินิมิตรแห่งนี้ช่างมีไอวิเศษที่แตกต่างกันมากนัก ทั้งสี่คนนั่งขับเคลื่อนวรยุทธภายในใช้เวลาเราสองกานธูปทั้งสี่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาไอวิเศษที่กดดันพวกเขามานั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาเลื่อนวรยุทธแต่
เช้าวันต่อมารถม้าอันสวยหรูและใหญ่โตจากวังหลวงจอดรออยู่หน้าโรงเตี๊ยมสองคัน ผู้คนเดินผ่านไปมาก็สงสัยว่าเป็นรถม้าของใครกัน จากวังหลวงใครเสด็จออกมาทำไมถึงมาถึงแต่เช้า บุรุษและสตรีทั้งหก ก็ลงมาจากห้องพักของโรงเตี๊ยมและนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ บุรุษผู้หนึ่งที่พวกเขาได้คุยกันเมื่อคืนก็เดินมาและโค้งคำนับให้พวกเขา"ผู้มียุทธทั้งหกตอนนี้รถมาได้มาจอดรอพวกท่านแล้วหากพวกท่านรับประทานอาหารเสร็จแล้วพร้อมจะไปก็เชิญเลยนะขอรับ"ชายผู้นั้นกล่าวขึ้นและเปลี่ยนสรรพนามเรียกพวกเขาทั้งหกและก็น้ำเสียงอันไพเราะและนอบน้อมกับพวกเขามากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาทั้งหกยิ้มได้เพราะว่าถ้ามาในรูปแบบนี้ก็แสดงว่ามาดีจริงๆ"พวกเราอิ่มแล้วล่ะไปกันเถอะ ขอบคุณพวกท่านมากนะที่นำรถม้ามารับพวกเราพวกเราจะได้พักผ่อนในการเดินทาง"จางซินกล่าวขึ้น ทั้งหกจึงออกไปขึ้นรถม้าบุรุษหนึ่งคันและสตรีหนึ่งคัน เมื่อพบคนด้านมองเห็นว่าเป็นบุรุษที่หน้าตาหล่อเหลาขึ้นไปบนรถม้าคันแรกก็เดาสถานะของบุรุษทั้งสามคนนั้นไปต่างๆนานา และเห็นสตรีทั้งสาวขึ้นรถม้าคันที่ใหญ่โตได้สวยหรูอีกคันพวกเขาก็เดากันไป"บุรุษจากวังหลวงหรือ พวกเราก็ต่างเห็นองค์ชายรัชทายาทกันแล้ว
"ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขามาดีหรือมาร้ายแต่ข้ารู้แล้วล่ะว่าพวกเขามาเรื่องอะไร สองปีที่แล้วพวกข้าไปเก็บผลหลิวต้องแสงจันทร์แล้วข้าก็พบกับผู้มียุทธของมิติเชื่อมจิตแล้วก็มิตินิมิตผู้มียุทธที่เดินทางไปอาจจะจำพวกข้าได้ จึงติดประกาศเพื่อที่จะเรียกตัวพวกข้าเข้าไปในวังแต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไรแต่น่าจะเกี่ยวกับผลหลิวต้องแสงจันทร์เป็นแน่"จินเป่ากล่าวออกไปให้สหายฟังอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกจะได้ยิน จางซินได้ยินก็ตกใจเพราะตนก็เคยได้ยินมาว่ามีผู้เก็บผลหลิวต้องแสงจันทร์ได้ในสองปีที่แล้ว แต่ทีนางไม่รู้ก็คือ สหายของนางคือผู้ที่โชคดีและเก่งกาจที่เก็บไปได้ และนางเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เศษเสี้ยวของคนหลิวต้องแสงจันทร์ได้อยู่ในกายของนางและพี่ชายเรียบร้อยแล้ว"เป็นพวกเจ้าเองหรือข้ากับพี่ชายก็นึกว่าใครตอนที่ข้ามาถึงนิติสามัญ ข้ามาไม่ทันผลหลิวต้องแสงจันทร์เพราะข้าทั้งสองคนตัดสินใจมาช้าไป พวกข้ายังคุยกันอยู่เลยว่าอีก 10 ปีข้างหน้าค่อยรอผลหลิวต้องแสงจันทรสุกก่อนแล้วจะเข้าไปแย่งชิงกับคนอื่น"จางซินกล่าวอย่างเบิกบาน"เจ้าเบิกบานสิ่งใดกัน เราไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนพวกนี้จะพาเราไปท
พอรุ่งเช้าทุกคนตื่นนอน เมื่อข้างในมีความเคลื่อนไหวของคนที่ตื่นนอน บ่าวรับใช้ที่รออยู่ด้านหน้าอยู่แล้วก็เตรียมอ่างล้างหน้าเตรียมน้ำไปเพื่อที่จะให้บุคคลที่อยู่ภายในทั้งหมดได้อาบ พวกเขายกน้ำเข้าไปในแต่ละห้องห้องซ้ายมือสุดที่ซิงอีและจินเป่าอยู่พวกเขาก็นำไปทั้งสองอ่าง ซิงอีจึงพยักหน้าให้ทุกคนออกไปเพราะเดี๋ยวเขาจัดการให้จินเป่าเอง"เขาดูแลใส่ใจพวกเราดีขนาดนี้เจ้ายังกังวลอะไรอีกหรือ"ซิงอีถาม"พวกเราแค่ต้องการป้องกันตัวเองเท่านั้น เพราะข้าไม่อยากจะแยกจากพวกท่านอีกพี่ซิงอีเข้าใจหรือไม่ ข้าอยากจะให้พวกเราทั้งหมดเดินทางไปถึงบ้านเราเร็วๆตั้งแต่ที่เราต่อสู้ที่มิติสามัญแล้ว ข้ากลัวการที่เราต้องแยกทางกัน เหมือนตอนที่เราได้ผลหลิวต้องแสงจันทร์แล้ว ข้ารู้สึกเป็นห่วงพี่อย่างบอกไม่ถูก"จินเป่ากล่าวขึ้น ทำให้ซิงอีน้ำตาคลอ มันก็ใช่อย่างที่นางพูดเพราะตอนนั้นตนก็คิดแบบนี้เช่นกันและตนก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเหมือนกัน หลังจากที่ทุกคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกไปนอกตัวห้อง ภายในเรือนนั้นก็ได้จัดเตรียมอาหารวางไว้ให้เรียบร้อยแล้วบ่าวรับใช้ยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร"เชิญพวกท่านทั้งหก รับ
เมื่อองค์ชายหกจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็กลัวว่าแขกจากมิติสามัญจะเบื่อหน่าย จึงให้บ่าวรับใช้ไปชวนทั้งหมดไปนั่งดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมสักหน่อย ทั้งหกรีบตอบรับทันทีเพราะต้องการสืบข้อมูลจากองค์ชายหกด้วบ"พวกท่านคิดว่าองค์ชายหกเป็นอย่างไรหรือ"จินเป่าเปิดประเด็นถามสหายร่วมทาง"ข้ามองดูว่าเขาเป็นคนดีออกนะ เหมือนที่อยู่ในนั้นเหมือนทุกคนจะแปลกๆ แล้วคนไหนที่เป็นชายาหรือ แล้วก็บุตรขององค์ชายรัชทายาทอีก หรือเป็นเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆฮองเฮานั่นหรอ"จางหยงกล่าวขึ้น"เด็กผู้ชายคนนั้นนั่นหรือหน้าตาไม่ได้เหมือนองค์ชายรัชทายาทเลยนะ"จางซินถามขึ้น"เจ้าก็อย่าเพิ่งพูดอะไรดูพวกเราสิเป็นพี่น้องกันยังหน้าตาไม่เหมือนกันเลย แล้วดูเจ้ากับพี่ชายของเจ้าที่พ่อแม่เดียวกันสิ หน้าตายังไม่ค่อยเหมือนกัน นับประสาอะไรกับเด็กนั่นละที่กำลังเด็ก ยังไม่โตด้วยซ้ำ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเราก็จะเดือดร้อน"ซิงอีกล่าวขึ้น สักพักก็มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งมาจึงทำให้จางซินตกใจเพราะนางพึ่งพูดถึงลูกขององค์ชายรัชทายาทไปเมื่อตะกี้"คุณหนูกับคุณชายทุกคนเจ้าค่ะพอดีว่าองค์ชายหกเชิญพวกท่านไปดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยม ถ้าพวกท่านสะดวก"บ่าวรั
"พวกท่านทนไหวหรือไม่ ข้าไม่มีสมุนไพรรักษามาเลยพวกท่านต้องรอกลุ่มถัดไปแล้วล่ะ"ลี่หลินพูดขึ้นพลางเดินไปช่วยพยุงจินเป่าลงมานั่งข้างล่าง ห่าวอู๋อวี่จึงนำสมุนไพรมาอุ่นอีกรอบ เจ้ากระต่ายหยกในร่างเด็กน้อยคายบางสิ่งออกมาและส่งต่อให้ลี่หลิน เพื่อให้เขานำไปป้อนกับกินรีทั้งสอง ลี่หลินก็รับมามันเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่เป็นเส้นสีเขียวอ่อน นางจึงจับมันใส่ปากของกินรีทั้งสอง เมื่อทั้งสองได้กินสมุนไพรไปแล้วก็รู้สึกถึงพลังภายในที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สมุนไพรที่เจ้ากระต่ายหยกให้นั้นเป็นสมุนไพรรักษาภายในเท่านั้น ทำให้ภายนอกของกินรีทั้งสองยังคงมอมแมมอยู่เช่นเดิม แต่สำหรับทั้งสองนั้นก็ดีมากโขแล้วพอเดิมทีพวดเขาเหมือนคนที่กำลังจะหมดลมหายใจเลยรู้สึกข้างในมันปั่นป่วนไปหมด เพราะผลกระทบจากศาสตราวุธเหล่านั้น ไม่นานกลุ่มของซิงอีและจางหยงก็มาถึง พวกเขาบาดเจ็บหนักเลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้ประหลาดเลยทีเดียว นางไม่สามารถนำสัตว์อสูรออกมาได้เลย ไม่สามารถสื่อสารกับมันได้ด้วยซ้ำเป็นเพราะเหตุใดกันนะ หากนางเรียกเจ้าจระเข้ตาไฟออกมาช่วยได้ล่ะก็ คงจะไม่เจ็บหนักขนาดนี้ แต่คนที่เจ็บหนักก็คือจางหยง เพราะเขาพยายามที่จะปกป้องนา
"คู่ต่อไปน่าจะไปได้แล้วล่ะ เสียงเงียบหายไปแล้ว"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น เนื่องจากส่วนมากเขามาเพียงลำพังย่อมไม่รู้สถานการณ์เมื่อมาหลายคน และเขาก็คิดเองว่าหากเดินผ่านสายฝนศาสตราวุธนั้น หากใช้คนเดินทางน้อยก็จะสะดวกต่อการกำจัดศาสตราวุธพวกนั้นแต่หากรวมกันเป็นกลุ่มเกรงว่าจะทำร้ายผู้ที่เดินทางร่วมกันเสี่ยงมากกว่าจึงตัดสินใจให้เดินไปครั้งละสองคน"เจ้าพาจินเป่าไปเถอะ พร้อมกับเจ้าสัตว์อสูรนี้ด้วย"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จินเป่าจึงขึ้นหลังห่าวอู๋อวี่ และกระต่ายหยกเองก็กรายร่างของมันเป็นเหมือนดังวัตถุโปร่งแสงสีเขียวหยกแล้วคลุมตัวของจินเป่าไว้ แล้วลี่หลินก็ยืนข้างห่าวอู๋อวี่แล้วออกเดินพร้อมกัน เมื่อลงพื้นดินไปสักพักก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว และก็ได้ยินเสียงกระทบกันดังขึ้น เหมือนเสียงนั้นจะดังกว่าครั้งที่แล้วเสียงโลหะกระทบกันถี่มาก แต่ไม่มีเสียงร้องใดๆเลย จินเป่ามองเห็นสายฝนสตราวุธลงมาห่าใหญ่ ร่างกายของเขาเองไร้รอยขีดข่วนใดๆทั้งสิ้น เพราะตัวกระต่ายหยกเองห่อหุ้มนางไว้ ลี่หลินใช้กริชด้ามสั้นที่ตนเคยให้ในการต่อต้านสายฝนศาสตราวุธเหล่านั้น นางร่ายรำดั่งเช่นนางรำทั้งหลบทั้งปัดสตราวุธเหล่านั้น ทางด้านห่าวอู๋อวี่เองถึงแม้ว
เมื่อปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนี้เป็นคนแรกที่จะปีนขึ้นไปด้านบนเนินสูงนั้น ห่าวอู๋อวี่ก็วางจินเป่าลงและนำสมุนไพรต้มที่มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นต้มให้ออกมาอุ่นและส่งให้ซิงอีเพื่อที่จะป้อนสมุนไพรให้จินเป่า ซิงอีรับน้ำยามาแล้วก็ยิ้มก่อนที่จะป้อน เดียวพวกเจ้าไปกันก่อนนะข้ากับจางหยงจะรอดูพวกเจ้าขึ้นไปก่อน หากมีเหตุผิดพลาดอย่างไรพวกข้าจะได้ช่วยเจ้าได้"ซิงอีหันหน้าไปกล่าวกับห่าวอู๋อวี่ หากจินเป่าตกลงมานางกับจางหยงก็จะต้องคอยรับ ถึงแม้จะไม่สูงมากแต่นางไม่มีแรงเลยสักนิดหากตกมาเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้นางเสียชีวิตได้เลย"เจ้านายเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปดูข้างบนเสียก่อนหากว่ามีอันตรายใดๆข้าจะได้จัดการให้"ลี่หลินกล่าวขึ้น เจ้ากระต่ายหยกก็พยักหัวตาม"ข้าอยากรู้จังว่าเจ้ากระต่ายหยกนั้นมันชื่ออะไร มันเหมือนไม่ค่อยรู้ภาษามนุษย์เลยเจ้านาย มันต้องเรียนภาษามนุษย์อีก"ข้าไม่ได้มีชื่อเรียกเหมือนพวกสัตว์อสูรแบบเจ้าหรอก แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษามนุษย์มากมาย เพราะข้าแค่อาศัยสื่อสารกับสิ่งที่ข้าองครักษ์ก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องให้สัตว์อสูรหรือมนุษย์มารับรู้'เสียงเด็กน้อยพูดขึ้น ทำให้ลี่หลินขันท่าทีของมัน ที่ไม่ต้องการสื่
หลังจากออกเดินทางจากวังหลวงก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายจึงทำให้พวกเขาใช้เวลาเพียงสองวันก็ถึงหมู่บ้านอมตะแล้ว ทำให้จางซินรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยเพราะตอนไปพวกเขารีบร้อน มารดาของของท่านอาจารย์ไป๋อวิ้นก็เอาแต่หยุดพักผ่อนตลอดเส้นทางทำให้พวกเขาล่าช้า "วันนี้พวกเจ้าพักผ่อนในหมู่บ้านข้าเสียก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปกัน อวิ้นจะพาพวกเจ้าเดินทาง"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น ทั้งเจ็ดจึงไปพักผ่อน"ที่ตอนพวกข้าเดินทางไปวังหลวงนะพวกเจ้ารู้ไหม มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนั้นหยุดพักผ่อนเป็นว่าเล่นเลย"จางซินระบายความโกรธออกมา"ปรมาจารย์ของเจ้าก็ชี้แจงแล้วนิ ว่ามารดาของเขาสามารถรับรู้ภัยได้ นางจึงจำเป็นต้องพาพวกเราหยุดบ่อยๆไง เพื่อป้องกันความผิดพลาดและภัยที่เกิดขึ้น"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"จินเป่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหน็ดเหนื่อยหรือไม่"ซิงอีถามขึ้นพร้อมกับป้อนน้ำอมฤตให้นาง ตลอดเส้นทางนางถูกห่าวอู๋อวี่อุ้มแทบตลอดเวลา เวลาลงเดินเองสักพักก็เหนื่อยหอบ จนซิงอีทนไม่ไหวเอ่ยปากให้ห่าวอู๋อวี่อุ้มนางบ้าง ให้นางขึ้นหลังบ้างแต่ห่าวอู๋อวี่เองก็เต็มมาก ครั้นหยุดพักซิงอีก็ปฏิบัติห่าวอู๋อวี่ดังน้องชายตัวเอง ทำให้ห่าวอู๋อวี่
"ปรมาจารย์ไป๋อวิ้น ทำไมมารดาของท่านกล่าวว่านางไม่สามารถที่จะเข้าไปในป่าอมตะนั้นได้ ในเมื่อพวกท่านก็อยู่หมู่บ้านอมตะนั้น"จางซินถามขึ้น จึงทำให้จินเป่าสนใจ จึงมองไปดูผู้ที่จางซินกำลังซักถามอยู่ก็เป็นปรมาจารย์ไป๋อวิ้น"ท่านอาจารย์"จินเป่ากล่าวออกมาได้เท่านี้ก็หมดแรง นางไม่สามารถพูดยาวๆได้ เพียงแค่ใช้แรงในการพูดก็หมดแรงเสียแล้วจะให้นางเดินทางไปได้อย่างไรกัน"เจ้าไม่ต้องพูดแล้วลูกศิษย์เจ้าพักผ่อนเถอะ แล้วเรื่องที่มารดาของข้าไม่สามารถเข้าป่าอมตะนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นกินรีชั้นสูง ที่พวกเจ้ารับรู้นั่นแหละ ถึงว่าข้าจะได้เป็นกินรีชั้นสูงแล้วแต่ข้าก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับมารดาของข้า นางสามารถรับรู้อันตรายที่อยู่เบื้องหน้าได้นางสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนข้าจุดนี้ค่ายังไม่สามารถที่จะฝึกฝนมันได้ ข้าจึงคิดว่าข้าจะไปกับพวกเจ้าได้ เพราะในเมื่อถ้าหากว่าคาดการณ์ถึงอันตรายได้แล้ว เราก็จะเลี่ยงอันตรายเหมือนที่เราเดินทางเข้ามาในวังหลวงนี้ไง เมื่อถึงจุดอันตรายมารดาของข้าก็จะให้พวกเราหยุดขบวนเดิน แล้วให้ผู้ที่เก่งกาจเข้าไปจัดการกับอันตราย แล้วเราก็เดินมากันแบบไร้อันตรายใดๆ แล้วที่มาร
ระหว่างที่จินเป่าฟังห่าวอู๋อวี่ท่องเกร็ดวิชาไปเรื่อยๆ ตอนนี้นางเองทำสิ่งใดไม่ได้ จึงลองขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายในและจดจำเคล็ดวิชาที่ห่าวอู๋อวี่ท่องออกมา นางรู้สึกว่าภายในของนางนั้นปั่นป่วนยิ่งนักไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนวรยุทธเหมือนเดิมอีกแล้ว นางจึงล้มเลิกความพยายามแล้วหันมาจดจ่อกับเคล็ดวิชานั้นแทน นางจดจำทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของห่าวอู๋อวี่ได้ดีทุกคำ จนในที่สุดก็ครบเจ็ดวันจินเป่าค่อยค่อยลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำอันโตของนางมองไปซ้ายมองไปขวา เหมือนกับหลายวันก่อนไม่มีผิด นางอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีม่วงลาเวนเดอร์ และมีน้ำสีดำม่วงอยู่รอบๆ กลิ่นน้ำนี้ก็หอมสมุนไพรเอาเสียมากๆ น้ำอุ่นกำลังพอดี จินเป่ารู้สึกไม่สบายหัว จึงมุดลงไปในน้ำสมุนไพรนั้นแล้วโพล่หัวขึ้นมา นางรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก นางมองออกว่าตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่สามารถกลับไปฝึกยุทธได้อีก แต่นางก็เคยไร้วรยุทธ์มาแล้วนิ แต่ตอนนั้นตอนที่นางมาอยู่ร่างนี้ใหม่ๆ ร่างกายนางไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนี้เท่านั้นเอง แต่สักวันคงจะดีขึ้น "วันนี้ครบวันที่เจ็ดแล้ว ร่างกายแม่นางน่าจะไม่เย็นอีกแล้วล่ะป่ะพวกเจ้าไปช่วยข้าเอาแม่นางขึ้นมาจากหม้อกัน"หว่าฮว่ากล่าว
"เอาเข้าจริงๆข้าก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันอะไรนั่นแค่เพียงท่านห่าวอู๋อวี่ท่องให้จินเป่าฟังแล้วนางจะดีขึ้น"ซิงอีกล่าวถามความคิดเห็นของสหายท่านอื่น"เจ้าต้องรู้จักเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันก่อนเจ้าลองถามองค์ชายรัชทายาทดูสิว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งใด"จางซินพูดขึ้น"ในเมื่อองค์ชายรัชทายาทนั้นเคยร่ำเรียนตำราดัชนีสุริยันต์แล้วทำไมไม่ให้องค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องให้จินเป่าฟังล่ะ"ซิงอีกล่าวขึ้นพลางมองไปยังองค์ชายรัชทายาท"ทำเป็นว่าหากองค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องเกล็ดวิชาดัชนีสุริยันให้จินเป่าฟังแล้วเจ้าจะยินยอมอย่างไรอย่างนั้น"จางหยงกล่าวถามขึ้น"มันก็ใช่ที่เจ้าพูดแต่ข้าก็ไม่รู้ไงว่าในเมื่อท่านห่าวอู๋อวี่ไม่รู้เคล็ดวิชาดัชนีสุริยันต์แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าไปท่องให้จินเป่าฟังแล้วจะดีขึ้น"ซิงอีถามขึ้นอีก"ผู้ใดท่องก็ดีขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าน้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่แม่นางผู้นี้คุ้นเคย และเจ้าสัตว์อสูรจิ๋วนั้นก็เลือกบุรุษผู้นั้นให้ท่องให้เจ้านายมันฟัง มันก็คงจะรู้ความพิเศษพิโสของบุรุษผู้นั้นอยู่ แม่นางผู้นี้ข้ามองดูเจ้าเป็นห่วงแม่นางที่อยู่ในหม้อกลั่นสมุนไพรอยู่หรอก แต่เจ้าก็ต้องหัดฟัง
เมื่อเจ้ากระต่ายกับลี่ลินเข้าไปอยู่ในห้องที่มีหม้อตุ๋นสมุนไพรของจินเป่าอยู่ ลี่หลินเองก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ หม้อหยกใบนั้น นางขับวรยุทธภายใน นางเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในป่านางต้องฝึกควบคุมวรยุทธไปด้วย ส่วนกระต่ายหยกนั้นเป็นสัตว์อสูรประจำต้นหลิวต้องแสงจันทร์ไม่จำเป็นต้องศึกษาเคล็ดวิชาหรือตำราใดๆและไม่ต้องขับเคลื่อนวรยุทธ หากว่ามันบาดเจ็บเพียงรักษาสักพักก็หายขึ้น มันไม่เหมือนสัตว์อสูรแบบหลีหลินถ้ามันบำเพ็ญตบะได้สูงมันก็จะไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกอะไรทั้งสิ้น"เจ้ากระต่ายหยกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าดัชนีสุริยันต์เล่มนี้มีอะไรพิเศษเจ้าถึงเร่งให้ข้าทวงจากองค์ชายรัชทายาทนัก"เสียงห่าวอู๋อวี่ดังขึ้น ทำให้เจ้ากระต่ายหยกดีใจยิ่งนัก ทีห่าวอู๋อวี่มาและเขาก็นำดัชนีสุริยันมาด้วย"ท่อง ต้องท่องเคล็ดวิชา ท่านอ่านเคล็ดวิชาให้เจ้านายฟังได้"เจ้ากระต่ายหยกพยายามพูดภาษามนุษย์พร้อมกับทำท่าทางชี้ไปที่ปากของตัวเองแล้วก็หูของมันเอง"เจ้าจะให้ข้าท่องเคร็ดวิชาดัชนีสุริยันให้นางฟังหรือ"ห่าวอู๋อวี่เองก็ถามขึ้นอย่างสงสัย เจ้าเด็ดน้อยพยักหน้าหงึกๆด้วยความดีใจ เขาเข้าใจความหมายของมัน หลี่หลินจึงลืมตาขึ้นมาดูว่าเขาพูดถึงอะไรกัน ห
"เสวุ่ยเจ้าไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่มาหนึ่งใบอยู่ในท้องพระคลังน่าจะมีอยู่หนึ่งหม้อ เจ้าไปตรวจดูแล้วให้องครักษ์ยกมาที่เรือนรับรอง"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น องค์ชายหกเลยพาทหารองครักษ์ไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่ ในท้องพระคลังมา เมื่อเขาเข้าไปดูก็พบหม้อสมุนไพรใบใหญ่สีเขียวหยกหนึ่งใบ ซึ่งน่าจะให้สตรีผู้นั้นเข้าไปได้จึงสั่งให้ทหารองครักษ์ยกออกมาให้ หมอหยกใบนั้นเป็นหยกสีเขียวมันแพะดูแล้วมีค่ายิ่งนัก เมื่อนำมาเรือนรับรองแล้วก็วางไว้กลางห้อง"ข้าขอเพียงสมุนไพรเท่านั้น แล้วบุรุษน่าจะออกไปด้านนอกได้แล้วกระมังเพราะว่าสตรีผู้นี้ต้องถอดเสื้อผ้าก่อนที่จะลงหม้อ จางซินข้าต้องพึ่งเจ้าอยู่หากเจ้ายังมีธุระที่จัดการยังไม่เสร็จ ช่วยข้าสักพักแล้วเดี๋ยวค่อยไป"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น"ข้าคือสัตว์อสูรของเจ้านายข้าสามารถช่วยเจ้านายได้เจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยท่านนะเจ้าคะ"ลี่หลินรีบพูดขึ้น"นางคือน้องสาวของข้าเหมือนกันเจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยอีกแรงนะเจ้าคะ"ซิงอีรีบกล่าวขึ้น"ได้เลยแม่หนูเพราะข้าต้องให้สตรีช่วยอยู่แล้วล่ะ ลำพังข้าคนเดียวไม่ไหวหรอก บุรุษทั้งหลายออกไปได้แล้วกระมัง เจ้าเด็กน้อยเจ้าอยู่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหน"หว่าฮว่ากล่าวข