เมื่อองค์ชายหกจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็กลัวว่าแขกจากมิติสามัญจะเบื่อหน่าย จึงให้บ่าวรับใช้ไปชวนทั้งหมดไปนั่งดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมสักหน่อย ทั้งหกรีบตอบรับทันทีเพราะต้องการสืบข้อมูลจากองค์ชายหกด้วบ"พวกท่านคิดว่าองค์ชายหกเป็นอย่างไรหรือ"จินเป่าเปิดประเด็นถามสหายร่วมทาง"ข้ามองดูว่าเขาเป็นคนดีออกนะ เหมือนที่อยู่ในนั้นเหมือนทุกคนจะแปลกๆ แล้วคนไหนที่เป็นชายาหรือ แล้วก็บุตรขององค์ชายรัชทายาทอีก หรือเป็นเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆฮองเฮานั่นหรอ"จางหยงกล่าวขึ้น"เด็กผู้ชายคนนั้นนั่นหรือหน้าตาไม่ได้เหมือนองค์ชายรัชทายาทเลยนะ"จางซินถามขึ้น"เจ้าก็อย่าเพิ่งพูดอะไรดูพวกเราสิเป็นพี่น้องกันยังหน้าตาไม่เหมือนกันเลย แล้วดูเจ้ากับพี่ชายของเจ้าที่พ่อแม่เดียวกันสิ หน้าตายังไม่ค่อยเหมือนกัน นับประสาอะไรกับเด็กนั่นละที่กำลังเด็ก ยังไม่โตด้วยซ้ำ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเราก็จะเดือดร้อน"ซิงอีกล่าวขึ้น สักพักก็มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งมาจึงทำให้จางซินตกใจเพราะนางพึ่งพูดถึงลูกขององค์ชายรัชทายาทไปเมื่อตะกี้"คุณหนูกับคุณชายทุกคนเจ้าค่ะพอดีว่าองค์ชายหกเชิญพวกท่านไปดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยม ถ้าพวกท่านสะดวก"บ่าวรั
"มีสิ่งใดหรือเข้ามาสิ"องค์ชายหกตอบรับขึ้น บ่าวก็วิ่งเปิดประตูเข้ามา"ด้านล่างองค์หญิงสามกับองค์หญิงสี่ กำลังมาที่โรงเตี๊ยมนี้ขอรับน่าจะรู้ว่าองค์ชายหกพาแขกจากมิติสามัญมาดื่มน้ำชาก็เลยจะตามมาขอรับ น่าจะมาแอบฟังพวกท่านสนทนากันกระมังขอรับ"บ่าวรายงานขึ้น"ช่างพวกนางเถอะข้าไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักหน่อยข้าแค่ถามสารทุกสุขดิบการเดินทางไปมาของพวกเขาเท่านั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหรอกออกไปเถอะ"องค์ชายหก กล่าวขึ้นแต่สีหน้าของเขานั้นเปลี่ยนไป สีหน้าของเขาทำราวกับเป็นเรื่องยุ่งยากมาก สักพักก็ได้ยินผู้คนเดินมามากมายและเปิดประตูห้องข้างๆของพวกเขา น่าจะเป็นองค์หญิงทั้งสองที่มาฟังพวกเขาสนทนากัน"องค์ชายหกท่านเคยกินปลาหลีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดหรือไม่"ซิงอีถามขึ้น เพราะต้องการให้องค์ชายหก รับรู้ว่าพวกตนจะเปลี่ยนแนวการสนทนามาพูดเรื่องชีวิตประจำวันกันแล้วเขาจะได้ไม่ซีเรียส เพราะว่าถามจริงๆพวกเขาก็คงจะคิดว่าองค์ชายหก จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาทมีความเป็นไปได้สูงว่าสองคนนี้มาสืบเรื่องของพวกเขา"อะไรนะปลาหลี่น่ะข้าเคยกินแต่น้ำจิ้มซีฟู้ดอะไรนั่นข้าไม่เห็นจะรู้จัก"องค์ชายหกกล่าวขึ้น"รู้ไหมมันเป็นอาหารเลิศรสของเ
"อย่าบอกนะว่าเจ้าสงสัยพระชายานั้นจึงสอบถามองค์ชายหกแบบนั้น"จางซินถามจินเป่าขึ้นหลังจากกลับมาถึงเรือนแล้ว"ก็มันน่าสงสัยนี่เจ้าคิดดูสิว่าจะมีผู้ใดได้ผลประโยชน์ในเรื่องนี้ณเวลานี้ พวกองค์ชายทุกคนจะได้ผลประโยชน์เมื่อท่านประมุขนั้นสิ้นแล้วเท่านั้น ถ้าองค์ชายรัชทายาทไม่อยู่ เพราะข้าคิดได้แบบนี้"จินเป่ากล่าวขึ้น"แต่ก็ไม่แน่เหมือนที่องค์ชายหกบอกเองนั่นแหละ ว่าพวกอนุเองก็น่าจะมีความคิดที่อยากทำแบบนี้ ณ เวลานี้เราจะตัดสินใจลงมือทำสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก ถ้าเราจะจัดการให้องค์ชายรัชทายาทหายจากพิษเลยก็กลัวที่จะมีปัญหากับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง"จินเป่ากล่าวขึ้น"แล้วเราจะรักษาให้เขาหรือป่าวล่ะ"จางซินถาม"รักษาสิ เจ้ามีตัวยาใดที่จะรักษาได้หรือป่าว"จินเป่าถามขึ้น"ก็ผลหลิวต้องแสงจันทร์ไงที่รักษาได้ "จางซินกล่าวขึ้น"ถ้าไม่ใช้ผลหลิวต้องแสงจันทร์เรามีตัวอย่าอื่นรักษาแทนได้หรือป่าว ทำให้เขาค่อยๆดีขึ้นนะ"จินเป่ากล่าวขึ้น"ทุกตัวยาที่ข้าคิดได้ต้องใช้ผลหลิวต้องแสงจันทร์เป็นตัวปรุงอยู่ดี"จางซินตอบพลางมองไปยังพี่ชายของตน"งั้นก็ปรุงยาตัวที่ง่ายที่สุดที่พวกเรามีสมุนไพรอยู
"ห๊ะอะไรนะ ชายาขององค์ชายรัชทายาทหนีไปแล้วหรือ "จางซินร้องขึ้นเมื่อได้ฟังองค์ชายหกเล่าเรื่องในวังให้ฟัง"นางคงไปดูแลมารดาที่ป่วยนะ องค์ชายหกก็บอกอยู่ว่านางกล่าวเช่นนั้น"จินเป่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ "เจ้าเชื่อแบบนั้นจริงๆหรือ ที่เจ้ากล่าวตอนกลางวันข้าก็นำไปทูลเสด็จพ่อ กับฮองเฮาพวกเขายังตรัสถามเลยว่าเจ้าสงสัยชายาขององค์ชายรัชทายาทหรือ แต่พอเรามาเล่าให้ฟังว่าเขาอ้างว่ากลับไปเยี่ยมมารดาเจ้ากลับเชื่อ"องค์ชายหกกล่าวขึ้น จินเป่าจึงมองหน้าห่าวอู๋อวี่เขาเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าคืนนี้จะมีผู้ลงมือกับพวกเขาเป็นแน่"วันนี้องค์ชายหกให้เกียรติพวกเราถึงขนาดมาเยี่ยมพวกเราที่เรือน เอาแบบนี้ละกันวันนี้องค์ชายหกพอมีเวลารับประทานอาหารเย็นร่วมกับพวกเราหรือไม่"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น"5555แน่นอน เดียวเราสั่งคนไปนำสุราอาหารมา"องค์ชายหกกล่าวขึ้น"ท่านให้คนไปนำสุราก็เพียงพอแล้ว ที่เราเคยบอกไว้เรื่องอาหารปลาหลี่น้ำจิ้มซีฟู้ด วันนี้พวกข้าจะตอบแทนที่ท่านพาพวกข้าเที่ยวทั้งวันดีหรือไม่"จางซินกล่าวขึ้นเพราะเห็นว่าห่าวอู่อวี่ต้องการรั่งองค์ชายหกให้อยู่ต่อ"อ้าดีเลย ข้าก็อยากที่จะลิ้มรสมันเหมือนกัน เดียวข้าสั่งคนไปซื้อป
หลังจากมอบยาให้กับท่านประมุขแล้วทั้งหกก็ไม่ได้เข้าไปตำหนักใหญ่อีกเลย ทำราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความร่วมมือกับท่านประมุขแต่อย่างใด องค์ชายหกยังแวะเวียนมาเยี่ยมทั้งหก และพาพวกเขาออกไปด้านนอกตามเคย "ห๊ะทั้งหกไม่ได้เข้าไปรักษาองค์ชายรัชทายาทหรอกหรือ แสดงว่าที่เราขู่เขาได้ผลล่ะสิ แล้วผู้ที่ข้าส่งไปทำไม่ยังไม่กลับมารายงานอีกหรือพวกเจ้าจัดการเก็บเรียบร้อยแล้วหรือ"เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น "กลุ่มคนที่ถูกส่งไปไม่ได้มีใครกลับออกมาแบบมีชีวิตเลยขอรับ ทางการน่าจะจับตายหมดแล้ว ตอนนี้กำลังสืบอยู่ขอรับ"ผู้ที่มาส่งข่าวรายงาน"ท่านพี่แต่เห็นคนบอกว่าต้นไม้จันทน์แดงนั้นถูกเก็บออกไปเสียแล้ว ข้าเกรงว่าไม่ช้าองค์ชายรัชทายาทต้องฟื้นมาเป็นแน่ เราต้องหาสิ่งใดไปแทนหรือไม่ ข้าต้องการให้ลูกชายของเราทั้งสอง ห้าขวบเร็วๆจังจะได้กำจัดมันไปเสียที"เสียงสตรีกล่าวขึ้น ขณะที่ทุกคนคิดว่านางไปต่างเมื่องเพื่อเยี่ยมมารดาของนาง"เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นแหละเจ้าจะได้กำจัดมันแล้ว ถ้าไม่มีต้นจันทร์แดงอยู่เพียงสามเดือนมันก็จะฟื้นแต่นั้นมันก็นานพอดู เอาเป็นว่าข้าจะหาวิธีใหม่ก็แล้วกัน แต่กลุ่มคนเหล่านนั้นมันรู้ได้อย่างไรว่าต้
กลางคืนอันเงียบสงบก็เกิดพายุลมแรงขึ้นเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ทั้งหกที่นอนอยู่ในห้องรีบวิ่งออกมาด้านนอกรวมตัวกัน"มันเกิดสิ่งใดหรือทำไมท้องฟ้าแปรปรวนเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะมีผู้เลื่อนวรยุทธหรอกหรือ"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"น่าจะมีผู้ที่มีวรยุทธลึกล้ำที่กำลังจะเลื่อนวรยุทธนะท่านพี่ ข้าว่ามิตินิมิตแห่งนี้มีผู้ที่วรยุทธลึกล้ำไม่มีอันใดแปลก หรอก หรือว่าจะเป็นองค์ชายรัชทายาทที่ต้องฟื้นภายในวันนี้แต่เขาไม่ฟื้น กลับมาฟื้นกลางดึกแบบนี้ แล้วร่างกายได้รับความกดดันพลังภายในเป็นเวลานานจึงทำให้วรยุทธเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น อยู่ๆก็มีสายฟ้าฟาดเข้ามาในพระราชวัง สายตาทั้งหกคู่ที่มองเห็นแทบจะบอดเลยทีเดียว ทุกคนต่างหลับตาและอุดหู"โน้นสายฟ้าฟาดเข้าไปในวังน่าจะตำแหน่งของตำหนักองค์ชายรัชทายาทเป็นแน่"จินเป่าร้องขึ้นพลางชี้มือไปที่ปลายสายของสายฟ้านั้น สายฟ้าผ่าลงไปสักพักแสงก็เลือนหายไป ทุกคนที่อยู่ตำหนักขององค์ชายรัชทายาทนั้นสลบทันที ผู้เป็นมารดาขององค์ชายรัชทายาทลุกขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าผ่า นางตื่นขึ้นมาก็กระอักเลือดไปสามที แต่ด้วยความที่นางเป็นห่วงบุตรชาย จึงรีบเดินออกไปดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น และรีบว
หลังจากที่ท่านประมุขรู้ทุกอย่างที่บุตรชายของตนเล่าให้ฟัง จึงส่งคนไปตามหาพระชายาและจับตัวพระชายามา แต่ทหารที่จะไปตามตัวพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นยังไม่ได้ออกจากตำหนักก็พบว่าพระชายาได้เดินทางเข้าวังหลวงเสียแล้ว หลังจากที่นางรู้สึกถึงสายฟ้าฟาดเข้ามาในวังหลวง บุรุษผู้เป็นสามีก็ให้นางรีบเข้ามาดูสถานการณ์ เพราะคนของพวกนางถูกสับเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่มีใครคอยสืบข่าว หลังจากที่นางเข้ามาในวังหลวงก็ถูกทหารจับตัวทันที"พวกเจ้าจับข้าทำไมกัน ข้าคือชายาขององค์ชายรัชทายาทนะปล่อยข้ากับลูกเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่กลัวถูกตัดหัวหรือไร"พระชายาร้องตกใจที่ตัวเองถูกจับกุมไว้ ทั้งๆที่นางก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับตัวของนางแน่นอน"ไปกับพวกข้าซะดีๆเถอะเดี๋ยวท่านก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงท่านได้รับความเป็นธรรมแน่นอน"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางลากตัวคนที่สนิทของพระชายาไป"เจ้าจะพานางไปไหนปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ นี่เป็นคำสั่งของข้า พระชายาขององค์ชายทายาท"เมื่อคนรับใช้ข้างกายของตนถูกจับจึงทำให้พระชายาทนอยู่เฉยๆไม่ได้ร้องโวยวายออกมา เพราะคนข้างกายนั้นคือน้องสามีของนางเอง ไม่นานพระชายาก
หลังจากที่ท่านประมุขรู้ทุกอย่างที่บุตรชายของตนเล่าให้ฟัง จึงส่งคนไปตามหาพระชายาและจับตัวพระชายามา แต่ทหารที่จะไปตามตัวพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นยังไม่ได้ออกจากตำหนักก็พบว่าพระชายาได้เดินทางเข้าวังหลวงเสียแล้ว หลังจากที่นางรู้สึกถึงสายฟ้าฟาดเข้ามาในวังหลวง บุรุษผู้เป็นสามีก็ให้นางรีบเข้ามาดูสถานการณ์ เพราะคนของพวกนางถูกสับเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่มีใครคอยสืบข่าว หลังจากที่นางเข้ามาในวังหลวงก็ถูกทหารจับตัวทันที"พวกเจ้าจับข้าทำไมกัน ข้าคือชายาขององค์ชายรัชทายาทนะปล่อยข้ากับลูกเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่กลัวถูกตัดหัวหรือไร"พระชายาร้องตกใจที่ตัวเองถูกจับกุมไว้ ทั้งๆที่นางก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับตัวของนางแน่นอน"ไปกับพวกข้าซะดีๆเถอะเดี๋ยวท่านก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงท่านได้รับความเป็นธรรมแน่นอน"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางลากตัวคนที่สนิทของพระชายาไป"เจ้าจะพานางไปไหนปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ นี่เป็นคำสั่งของข้า พระชายาขององค์ชายทายาท"เมื่อคนรับใช้ข้างกายของตนถูกจับจึงทำให้พระชายาทนอยู่เฉยๆไม่ได้ร้องโวยวายออกมา เพราะคนข้างกายนั้นคือน้องสามีของนางเอง ไม่นานพระชายาก
เพื่อพวกเขาเข้ามาเสร็จแล้วก็ต้องพบกับความประหลาด ด้านในนี้มีแก้วแหวนเงินทองอยู่มากมาย ตรงกลางโถงกว้างมีไข่ขนาดใหญ่หนึ่งใบวางอยู่ ลวดลายของใข่ใบนั้นมีลวดลายที่งามวิจิตรยิ่งนัก และไอวิเศษที่เข้มข้นก็ไหลออกมาจากไข่ใบนี้นี้เอง แต่ช่างแปลกเมื่อพวกเขาทั้งเจ็ดเข้ามาในนี้แล้ว ไอวิเศษนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆกับพวกเขาทั้งเจ็ดนั้นได้ "ไข่นั้นมันเป็นไข่อะไรกัน ลวดลายแปลกตาจัง"ซิงอีถามขึ้นเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน"มันน่าจะเป็นไข่มังกรข้าเคยศึกษามา น่าจะเป็นไข่มังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ รวดลายของมันช่างมากมายขนาดนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่สูงๆเป็นแน่ แต่เราจะนำมันออกจากไข่ได้อย่างไรกัน หรือว่าเราจะพามันออกจากถ้ำนี้ได้อย่างไร"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น ซิงอีจึงพยายามลองเก็บของที่อยู่ในนี้ดู เหมือนของเหล่านี้จะไม่ยอมเข้ามาในมิติของนางเลยสักชิ้น รวมถึงไข่ที่ต้าเหว่ยบอกว่าเป็นไข่มังกรด้วย มันไม่ยอมเข้ามาเลยสักนิด "ข้าเกรงว่าสมบัติที่อยู่ในนี้พวกเราไม่สามารถที่จะครอบครองมันได้ รวมทั้งไข่มังกรที่เจ้าว่าด้วย"จางซินกล่าวขึ้น ด้านข้างนอกนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของพญาวานรนั้นกำลังอาละวาดอยู่ เพร
ความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตัวใหญ่นั้นเงียบลงแล้ว แสดงว่ามันน่าจะสงบลงพวกเขาจึงวางแผนกันใหม่ว่าจะเข้าไปยังถิ่นที่อยู่ของมันได้อย่างไรเนื่องจากไอวิเศษที่เข้มข้นพวกเขาไม่สามารถที่จะทนกลับไอวิเศษที่อยู่รอบๆตัวของมันได้เลย "ข้าว่าหากพวกเราเข้าไปใกล้ๆมันแล้วไอวิเศษนั้นมันเข้มข้นมากพวกเราจะไม่ตายเพราะไอวิเศษนั้นหรอกหรือ มันมีสิ่งใดบ้างที่จะทำให้ไอวิเศษนั้นลดน้อยลงได้หรือว่าเราสัมผัสกับไอวิเศษนั้นได้น้อยลงล่ะ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"มันไม่น่าจะลดไอวิเศษนั้นได้เนื่องจากว่าเรานั่งเสพไอวิเศษนั้นอยู่สามวันมันก็ยังไม่ลดเลยใครมีวิธีดีๆบ้างล่ะ"ไป๋อวิ้นกล่าวถามคนอื่น"เราใช้วิธีหลอกล่อดีหรือไม่ ให้คนกลุ่มนึงอยู่ฝั่งด้านในโน้น หากว่าคนกลุ่มหนึ่งหลอกล่อมันออกไปยังจุดนี้แล้ว คนกลุ่มที่อยู่ด้านในนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปดูว่าข้างในมีสิ่งใด วิธีนี้พวกเราจะแบ่งกันเป็นสามคนและสี่คนดีหรือไม่"จางหยงกล่าวขึ้น"แล้วมันจะไม่รู้หรือว่ายังมีอีกกลุ่มที่อยู่ด้านในถ้ำนี้ไม่ได้หลอกล่อมันออกไปนอกถ้ำ"ต้าเหว่ยถามขึ้น"ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่ามันตาบอดเพียงแค่เราอยู่ด้านไหนและกบกินกายของเราแล้วเราอยู่เฉยๆอะไรการเคลื่อนไหว
ทางด้านทั้งหกและสัตว์อสูรหนึ่งตนที่ตอนนี้กำลังนั่งบำเพ็ญอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขารับรู้ได้ถึงพลังงานภายในห่างพวกเขาออกไปหากเดินทางเข้าไปไม่เกินครึ่งก้านผู้พวกเขาต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่มีแรงกดดันมหาศาล อยู่ในนั้นพวกเขาเลือกจุดนี้เพราะว่าไอวิเศษนั้นมาถึงกลุ่มของพวกเขาทำให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากไอวิเศษของสิ่งเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปส่มวันจู่ๆก็รู้สึกว่าตัวของเขานั้นเย็นวูบน่าจะสามครั้งได้ นางยิ้มด้วยความดีใจเพราะวรยุทธของนางอยู่เฉยๆก็เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะผู้เป็นนายของเขานั้นมีวรยุทธเพิ่มขึ้นก็ได้ ทุกคนมองหันมาที่ลี่หลินเพียงคนเดียวเพราะพวกเขาทุกคนสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันก่อนที่วรยุทธนั้นจะเพิ่มขึ้น"ไม่ใช่ว่าเจ้าจะบรรลุวรยุทธอีก 3 ขั้นแล้วหรือ"ไป๋อวิ้นถามขึ้น"ข้านั่งฝึกวรยุทธภายในอยู่สามวัน ข้าไม่คิดว่าร่างกายของข้าจะเพิ่มวรยุทธขึ้นได้มากขนากนี้ ข้าคิดว่าผู้เป็นนายของข้าน่าจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นข้าถึงได้ผลประโยชน์ขนาดนี้"ลี่หลินพูดด้วยความดีใจ"ลี่หลินเจ้าเสื่อกับผู้เป็นนายของเจ้าได้แล้วหรือ พวกเขาอยู่ที่ใดกัน พวกเราจะรีบตามพวกเขาไป"ซิงอีกล่าวขึ้น ลี่หลินได้แต่ส่ายหัวมันรับ
หลังจากกลุ่มของจินเป่าไปตกอยู่สถานที่หนึ่งนั้นราวๆสามวันพวกเขาทั้งสามนั้นก็รู้สึกตัว พวกเขาเหี่ยวสถานที่หนึ่งเหมือนเป็นกองฟางและมีแอ่งตรงกลางแต่กองฟางที่พวกเขานอนนั้นมองแล้วลักษณะเป็นสีขาวไข่มุก ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ห่าวอู๋อวี่ลุกขึ้นได้จึงนั่งขับเคลื่อนวรยุทธของตัวเอง เส้นลมปานของเขานั้นเสียหายไปสามส่วน เลือดยังคลั่งอยู่ที่สมองเขาก็กระอักเลือดออกมาคำตอบ เจ้าอีกาดำสามขาจื่ออี้เฉินงั้นถึงกับปีกหักและขาที่สามของมันก็หักเลยทีเดียว ร่างกายของมันกระทบกับของแข็งประเภทใดตัวมันเองก็ยังไม่รู้ จินเป่าเมื่อลืมตาขึ้นมาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นมหาศาลถาโถมเข้าตัวของตัวนางเอง นางรู้สึกเย็นวูบวาบสามครา นางลืมตาแล้วมองมือของตัวเองทั้งสองข้างวรยุทธของนางนั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้วตั้งสามขั้น แต่นางสงสัยยิ่งนักวรยุทธของผู้อื่นนั้นสูงขึ้นนั้นจะเกิดทัฑคาด แต่ทำไมนางซึ่งวรยุทธสูงเลยระดับมามหาศักดิ์สิทธิ์มาเกินสามขั้นแล้ว นางยังไม่ถูกทัณฑฆาตเสียเลย นางมองไปรอบๆก็เห็นเจ้าอีกาดำสามขาที่นอนหมดแรงอยู่กับฟางสีขาวไข่มุกนั้น นางจึงหยิบยาสมุนไพรรักษาเส้นลมปราณธรรมดาออกมาให้มันกินไปพลางๆ และยื่นน้ำอมฤตให้ นางมองดูหน้าข
พญาหงส์ขาวที่กำลังต่อสู้นั้นหยุดชะงักและม้วนตัวพุ่งไปหาต้นขจีทันที ห่าวอู๋อวี่เองยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ พญาหงส์ขาวที่ต่อสู้กันอยู่ดีๆก็พุ่งไปหาจินเป่า จินเป่าที่ตอนนี้เห็นท่าไม่ดีเขากำลังอยู่ใกล้ต้นขจีเพียงนิดเดียวหากเขาหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าต้นขจีก็มัวแต่พลักดันนักยุทธให้ถ่อยกลับไปแต่มันไม่ได้ใช้ตามองจินเป่า เนื่องจากว่ากลิ่นอายของนางนั้นเป็นต้นหลิวต้องแสงจันทร์ในเมื่อนางนั้นได้กลืนกินพลังของต้นหลิวต้องแสงจันทร์แล้ว นางก็ปล่อยพลังของมันออกมา จึงทำให้ต้นขจีซึ่งเป็นพืชวิเศษเหมือนกันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมนุษย์มันจึงไม่ได้ระวังตัวจากจินเป่าเลย แต่พญาหงส์ขาวรับรู้การไปของจินเป่าดีจึงพุ่งไปหานางและพ่นไฟใสทันที นางแบมือเก็บไฟดังเดิม แต่คราวนี้เจ้าพญาหงส์ขาวนั้นพุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันระวังและเก็บมันเข้าไปในมิติทันที หลังจากที่มันเข้าไปในมิติแล้วจินเป่าจึงใช้กริชที่กรีดเลือดของตัวเองนั้นแทงเข้าไปยังรากของต้นขจีทันที "วี้ดๆๆๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆๆ"เสี่ยงต้นขจีกรีดร้องและเอนไปเอนมาตอนนี้รากของมันถอนขึ้นจากดินเสียแล้ว จินเป่าได้ทีจึงโบกมือและเก็บต้นขจีก่อนที่มันจากอาละ
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักก็เข้าใจกันส่าตะจัดการเช่นไร"นั่นไงทั้งสองคนอยู่ตรงนั้นกำลังคุยกันอยู่แล้วแผนของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อล่ะลี่หลิน"จางซินกล่าวถาม"แผนของพวกเขาคือให้พวกเราทุกคนระวังตัวเองและแก้ไขสถานการณ์ไปตามเหตุการณ์ต่างๆ"ลี่หลินกล่าวขึ้น ทุกคนก็มองไปยังลี่หลินเพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่านางได้สื่อสารกับผู้เป็นนายจริงหรือไม่ เนื่องจากพอถามพบนางก็ตอบทันที "งั้นพวกเราก็ต้องดูแลตัวเองและปกป้องด้วยให้ได้ เพื่อที่จะไม่เป็นตัวถ่วงของพวกสองคนนั้น"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น"แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าสงสัยยิ่งนัก ทำไมข้าที่อยู่มิติแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้เลยล่ะ เรื่องที่มีผลขจีสุกอะไรนั่น ทำไมหรือพอดูดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสัตว์อสูรต่างๆก็รายล้อมเข้ามา และนักยุทธต่างๆก็เหมือนสนใจสิ่งเหล่านี้ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่ามันเป็นสิ่งใด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น"ข้าเองก็สงสัยว่าทางราชสำนักไม่ได้ส่งผู้ใดมาเข้าชิงผลขจีเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าทางราชสำนักนั้นไม่สนใจกับสมุนไพรชนิดนี้ เจ้าที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นจึงไม่รู้ว่ามีของดีแบบนี้"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น ทุกคนขอพยักหน้าพร้อมที่จ
เมื่อถึงยามเที่ยงคืนแล้วสัตว์อสูรตนนั้นก็ออกมาจากต้นขจีมันเป็นสัตว์อสูรสีขาวสว่างไสว มองไกลๆราวกลับนกกินรีสีขาวแต่พอมองดีๆก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กินรีแต่อย่างใด"นั่นมันพญาหงส์นิสัตว์มหาอสูรที่เฝ้าอยู่ต้นขจีมันคือพญาหงส์นี่เอง"บุรุษกลุ่มที่จับตัวทั้งสองคนมากล่าวขึ้น "พวกเจ้าแกะมัดมือข้าทั้งสองได้แล้วกระมังข้าจะได้หาวิธีที่จะเอาชนะสัตว์มหาอสูรตนนั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น กลุ่มคนที่จับตัวพวกเขามาจึงปรึกษากันไม่นานเขาก็แกะเชือกวิญญาณนั้นออก "ข้าทั้งสองจำเป็นที่จะต้องโจมตีพร้อมๆกันแล้วพวกเจ้ามีใครที่ต้องการที่จะลงมือบ้าง ข้าจะได้วางแผนเผื่อพวกเจ้า"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ทั้งหมดที่จับตัวทั้งสองคนมานั่นนั่งเงียบทันทีไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเพราะไม่มีใครต้องการที่จะลงมือ "ทำไมพวกท่านไม่คิดที่จะลงมือเลยหรอ ในเมื่อต้องการของแต่ถ้าไม่ลงมือพวกท่านจะมีหน้ารับของพวกนี้ได้อย่างไร"จินเป่าถามขึ้ม"เอาเป็นว่าพวกข้าไม่ลงมือต่อสู้กับสัตว์มหาสูรแต่พวกข้าจะลงมือแย่งชิงกับผู้มียุทธเหล่านั้นเอง ถ้าพวกข้าได้ผลขจีมามากพอพวกข้าจะแบ่งให้พวกเจ้า "บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น"ข้าเองจะไปสู้กับสัตว์อสูรเหล่านั้นแต่ข้าเอง
เมื่อยามค่ำคืนเข้ามากล้ำกรายในห้องห่าวอู๋อวี่กับจินเป่านอนด้วยกันบนเตียงนอน"ข้าอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปจังที่เราสองคนได้นอนกอดกันบนเตียงนุ่มแบบนี้ หากเราช่วยท่านพ่อตากับแม่ยายได้แล้วเราแต่งงานกันนะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวออกมาอย่างหยอกล่อและจิงจังในท่าที จินเป่าไม่ได้กล่าวอะไรนางได้ยินเสียงกุกกักนอกประตูนางรู้ดีว่าห่าวอู่อวี่รับรู้ได้ก่อนนางเสียอีกแต่เขาก็แกล้งพูดไปต่างๆนานา เมื่อด้านนอกได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เขาก็ไม่กล้าที่จะบุกเข้ามา ห่าวอู๋อวี่สังเกตเห็นถึงข้อนี้"ข้านอนแล้วนะเจ้าเองก็นอนเถอะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เพื่อจะได้เดินตามแผนของกลุ่มคนที่มาดักจับสองคนเขา สักพักใหญ่ๆเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องก็สงบลง บุรุษผู้หนึ่งโบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังค่อยๆเปิดประตูโรงเตี้ยมให้ แล้วค่อยๆบุกเข้าไปจับตัวทั้งสองได้ เมื่อถูกจับทั้งสองคนก็แกล้งทำเป็นหลับไหลไม่ได้สติ จินเป่าทำท่าทางตกใจตื่นขึ้นมา"หวกเจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงมาจับพวกข้าเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองไปทำอะไรให้พวกเจ้าโกรธเคืองกัน"จินเป่าพูดขึ้น"แม่นางอย่าดิ้นรนเลย อย่าต่อรองกับการจับกุมในครั้งนี้ พวกเราวางแผนมานานแล้ว แล้วคนที่จับต
ป่ากระดังงาที่พวกเขาเดินทางเข้าไปนั้นร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่เล็กประปรายกันอยู่ มีโขดหินใหญ่โขดหินเล็กและมีเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมาย เสียงนกร้องสักพักและบินจากไปเพื่อหาอาหาร"เราจะอยู่ผจญภัยอยู่ที่ป่าอัสดงกันจนจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นเท่าใดดี เราต้องตั้งเป้าหมายและล่ะ"จางซินกล่าวขึ้น"ข้าไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่าจนกว่าพวกเราทั้งจะพอใจกันดีกว่า"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"แล้วต้าเสว่ยล่ะท่านคิดว่ามาผจญภัยยังภายนอกแล้วท่านยังคิดว่ายังอยากติดตามพวกเราต่อหรือไม่"จินเป่าถามขึ้น"ถ้าไปกับพวกเจ้าแน่นอน ข้ารู้สึกสนุกรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกท้าทายแล้วพวกเจ้าก็มีจิตใจที่ดีช่วยเหลือชาวบ้านถ้าคิดว่าข้าต้องติดตามพวกเจ้าไปให้ถึงที่สุด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น พวกเขาเดินทางในป่ากระดังงาราวๆเจ็ดวันก็ออกจากป่ากระดังงา เดินทางด้วยความราบรื่นตอนกลางวันเดิน กลางคืนก็พักผ่อนพวกเขาไปถึงหมู่บ้านอัสดงในเวลาเที่ยงของวันที่เจ็ด เมื่อพวกเขาไปถึงก็หาโรงเตี้ยมเพื่อนั่งกินอาหารกัน และจะได้ฟังข่าวจากนักยุทฑท่านอื่นด้วย พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะกลางสุดเพราะจะได้ฟังเสียงข้างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น "ป่าอัสดงทุกวันนี้ทำไมข้าไม