นักศึกษาทุกคนก็หลุดออกจากหุบเขาบรรพกาลมาโผล่ยังจุดที่พวกเขาทุกคนถูกส่งตัวไปยังหุบเขาบรรพกาลที่ลานกว้างนั้น เสียงบรรดาอาจารย์และผู้คนที่อยู่ข้างนอกวิ่งมาดูนักศึกษากันวุ่นวาย"สำเร็จแล้วพวกเจ้าทำสำเร็จแล้ว "เหล่าอาจารย์ทั้งหลายที่วิ่งมาด้วยความดีใจ พลางมองลูกศิษย์ทุกคน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีก็จะมีเพียงสองคน มู่ลี่อินกับตงเจี้ยวมิ่งเท่านั้น"ดี ดีมาก ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ "ปรมาจารย์สตรีสำนักพระจันทร์เสี้ยวกล่าวพลางเดินเข้าไปประคองตงเจี้ยวมิ่ง "ถ้านักศึกษาของสำนักพระจันทร์เสี้ยวกับนักศึกษาของสำนักพายัพไม่ได้เข้าไปก่อนก็คงจะไม่มีผู้ใดบาดเจ็บ หากพวกเจ้าทำตามกฎกติกาตั้งแต่ทีแรก พวกเจ้าก็ไม่ต้องเจ็บถึงเพียงนี้ก็เป็นได้ ครั้งนี้อาจจะเป็นบทเรียนของพวกเจ้า แต่ถามว่าพวกเจ้าต้องถูกทำโทษไหมแน่นอน กลับไปที่สำนักข้าจะให้อาจารย์ประจำกลุ่มพวกเจ้าทำโทษพวกเจ้าเอง แล้วที่พวกเจ้าทำอะไรกล่าวอะไรลงไปด้านในอย่าคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น เพราะด้านนอกมีลูกแก้วคอยสอดส่องอยู่ อาจารย์ทุกคนเห็นพฤติกรรมของพวกเจ้าทุกๆคน ภารกิจนี้คือต้องรวมใจกันเพื่อที่จะเข้าไปกลางหุบเขาและเปิดหีบ ไม่ใช่
นักศึกษาสตรีทั้งสองคนของสำนักตะวันเลือน ยืนดูทั้งสองคนและร้องเรียกด้วยความตกใจ จางซินเขย่าตัวซิงอีกอย่างแรง ทั้งสองคนตกใจกันหมดนึกว่าทั้งสองเป็นอะไรไป"พวกเจ้าทั้งสองเป็นอะไรไป พวกเจ้าหลับไม่ได้สติอยู่นานเลยทีเดียวพวกข้าตกใจกันหมดแล้ว"จางซินกล่าว"พวกข้าก็คงเหนื่อยจัดเลยหลับไม่รู้เรื่องเลย ปกติเราก็ไม่ได้หลับสนิทขนาดนี้หรอก เราก็ระวังตัวตลอดเวลานั้นแหละ แต่พอมาอยู่ในที่นี่ข้าก็แค่รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยจึงหลับไหลไป ขอโทษพวกทั้งสองคนด้วยนะ"จินเป่ากล่าว จนทำให้จางซิน และเหมยลี่รู้สึกผิดที่ไปปลุกพวกนางเพราะพวกนางน่าจะเหนื่อยมามากแล้ว ถ้าเทียบกับพวกตน ซิงอีเองก็คอยเป็นห่วงแทบนั่งไม่ติดเลย ตอนที่จินเป่าเข้าไปซากปรักหักพังนั้น แถมกลับมาถึงก็เตรียมที่นอนเสื้อผ้าให้จินเป่าอีก ซิงอีเองรู้ว่าจินเป่าเหนื่อยมามาก นางเองก็ดูแลให้น้องสาวสบายขึ้นก็เท่านั้น "พอดีอาหารเสร็จแล้วมีผู้มาตามเราไปกินข้าเลยปลุกพวกเจ้า ไปกินกันก่อนเถอะนะ พวกข้าก็ต้องขอโทษเจ้าทั้งสองที่พวกข้าปลุกพวกเจ้า แต่พวกข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้นไปกินข้าวแล้วกลับมาพักผ่อนกันเถอะนะ"จางซินกล่าว และทุกคนก็ไปกินข้าวกัน วันนี้มีอาหาร
หลังจากกิจกรรมแข่งขันทำภารกิจที่หุบเขาบรรพการ เสร็จสิ้นแล้วนักศึกษาทุกคนที่อยู่ชั้นสูงก็ได้มีชื่อเสียงมากขึ้น หลังจากเรียนจบทุกคนก็แยกย้ายออกไปตามทางของตน ตั้งแต่ที่จบเรื่องหุบเขาบรรพกาลก็ไม่มีผู้ใดเห็นปรมาจารย์ไป๋อวิ้นอีกเลย"จินเป่า ซิงอีเรียนจบแล้วพวกเจ้าจะไปที่ใดกันหรือ" จางซินถามสหาย ซิงอีจึงมองไปยังจินเป่าว่านางจะตอบสิ่งใด"ข้าไม่ปกปิดพวกเจ้าก็แล้วกัน ข้าต้องการตามหาอดีตของพวกข้า ข้าไม่รู้ว่าพวกข้าเป็นใครมาจากไหน ข้าต้องการเดินทางไปมิตินิมิตกับมิติเชื่อมจิตรเพื่อสืบหาที่มาของพวกข้า แล้วพวกเจ้าล่ะต้องการทำสิ่งใดต่อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนพี่น้องไม่ใช้คนในมิตินี้"จินเป่ากล่าวขึ้น เพื่อลองเชิง"พวกข้ามาทำตามหาคนกัน พวกเจ้าไม่ใช้คนมิตินี้หรอกหรือ งั้นก็น่าเสียดายนะสิ ข้าว่าข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลือสักหน่อย ช่วยพวกข้าตามหาคนสักหน่อย ถ้าพวกเจ้าต้องการไปมิติอื่นพวกข้าก็ไม่ของรบกวนพวกเจ้าแล้วกัน"จางหยงกล่าวขึ้น"พวกข้าก็นึกว่าพอเรียนจบพวกเจ้าก็จะกลับไปมิติของตัวเอง พวกข้าคิดว่าจะติดตามพวกเจ้าไปด้วย น่าเสียดายจริงๆ พวกข้าก็ต้องหาทางไปกันเองเสียแล้ว"จินเป่ากล่าว"พวกเจ้าต้องการหา
ฟิว! ปั้ง ฟิว!ปั้ง จางหยงวาดมือออกไปประทะอะไรสักอย่างถึงสองครั้งก็มีเสียงดังทั้งสองครั้งเลย ท่าไม่ดีจินเป่าจึงลากพี่ซิงอีและจางซินมาหลบก่อน"เกิดอะไรขึ้นจางซินพวกนั้นเป็นใครกัน "จินเป่ากระซิบถาม ด้วยเสียงอันแผ่วเบาแต่ร้อนรน"น่าจะพวกที่ตามล่าพวกข้ามาจากมิติเชื่อมจิต เอาแบบนี้เจ้าสองคนหนีไปก่อน ถ้าครั้งนี้ข้ากับพี่ชายมีชีวิตรอดเดียวข้าจะไปตามหาพวกเจ้าทั้งสองที่จวนห่าวอู๋ ที่เจ้าเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ "จางซินกล่าวกับทั้งสอง และกอดพวกนางทั้งสองแล้วร้องไห้ออกมา "ไม่ได้หรอกข้าจะต้องช่วยพวกเจ้า ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นสหายกัย"จินเป่ากล่าวพลางส่งลี่หลินและสัตว์อสูรของนางกับสัตว์อสูรของห่าวอู๋อวี่ออกมา"พี่ซิงอีท่านให้จางสือยวี่ออกมาดูแลท่านกับจางซินและพวกท่านทั้งสองอยู่ที่นี่รอข้ากลับมา"จินเป่ากล่าวและกระโดดออกไปจากที่กำบังและรวมต่อสู้กับจางหยงทันที จางซินคิดถึงนกฟินิกซ์ของตนจึงปล่อยออกมาสู้กับศัตรู และนางกับซิงอี ก็อยู่เฉยไม่ได้จึงออกมาช่วยสู้ พวกเขามีราวยี่สิบคนหนึ่งในนั้นมีคนที่ถือแส้วิญญาณ สีเลือด ทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บไม่ใช้น้อยตอนนี้ สัตว์อสูรงูทั้งสองก็บาดเจ็บหนักเช่นเคย งูเห่าดำจึงตัดส
จางซินพุ่งไปหาพี่ชายของตนอย่างรวดเร็ว บุรุษที่อยู่ด้านหน้าจางซินยิ้มออกมาเล็กน้อย "เปรี๊ยะ ตู้ม"เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นตรงร่างของบุรุษผู้นั้น และร่างบุรุษผู้นั้นแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยน้ำมือของห่าวอู๋มู๋ลี่"เจ้า เจ้าทำอะไรพี่ของข้า กรี๊ดๆๆๆ"เสียงของจางซินกรี๊ดขึ้นและนางก็สลบไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทำให้จินเป่างวนงงไปหมด"คุณชายใหญ่ทำไมถึงทำร้ายเขา เขาคือสหายของข้า ท่านฆ่าเขาได้อย่างไร"จินเป่าตะโกนใส่ห่าวอู๋มู๋ลี่ นางเสียใจไม่ใช่น้อยที่ต้องมาเห็นสหายตายต่อหน้าต่อตา พลางมองไปยังร่างที่แตกกระจายเห็นกระดาษตกอยู่ห้าใบ "ไปตรวจดูรอบๆว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่จัดการให้หมด "ห่าวอู๋มู่ลี่ออกคำสั่งกับลูกน้องของตน"นั้นมันเป็นมนต์ลวงตา คนจากนิติเชื่อมจิตมันเล่ห์เหลี่ยมยิ่งนัก ข้าก็บอกแล้วไงว่าข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งกับแม่นางซิงอีแล้ว และบุรุษที่พวกเราเห็นเมื่อกี้ ก็หน้าตาเหมือนบุรุษที่ข้าช่วยเหลือไว้ ซึ่งข้าจำไม่ผิดแน่นอน เพราะบุรุษผู้นั้นลอยมาบนหลังอีแร้งยักษ์ทำให้ข้าตกใจใบหน้าของเขา แล้วเจ้าจะคิดว่าข้าจำผิดได้อย่างไร หนึ่งคนอยู่ในที่ที่เดียวกันสองที่ไม่ได้หรอก และถ้ำอมฤตนั้นไม่มีใ
เช้าวันต่อมาซิงอีก็ตื่นขึ้นมาอย่างกระชุ่มกระชวยเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนางมาก่อน จินเป่าจึงสบายใจมากขึ้น"จินเป่าเจ้าเป็นอะไรหรือป่าว บาดเจ็บหรือไม่ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย อยู่ๆข้าก็เหมือนถูกพลังมหาศาล และทุกอย่างก็ดับมืดไปหมดเลย"ซิงอีถามจินเป่าขึ้นมา"ข้าไม่เป็นสิ่งใดหรอกพี่ซิงอี ข้าสบายดีมากๆเลย พอดีท่านห่าวอู๋อวี่ไปช่วยพวกเราไว้ทันนะ"จินเป่าตอบ"ที่พวกเราได้ฟังจางหยงและจางซินคุย กับพวกที่มาซุ่มโจมตีพวกเรา ถ้าว่าทั้งสองคนนั้นต้องรู้จักหยกที่ได้มาจากบ่าวรับใช้ของอนุเป็นแน่ เจ้าสองคนพูดราวกับว่ากำลังตามหาพวกเราทั้งสอง แล้วมันจะมีสิ่งใดอีกล่ะที่จะยืนยันได้ว่า พวกเขาทั้งสองคือพี่ของเราล่ะจินเป่า"ซิงอีพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ จินเป่าเขาใจความหมายดี ตนรู้ว่าพี่สาวตนรู้สึกอย่างไรกับจางหยง ถ้าเป็นพี่น้องกันความรู้สึกนี้ก็ต้องจบลง และจางหยงเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับพี่ซิงอี นางไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี"เอาหยกนั้นไปให้พวกเขายืนยันเถอะ ว่าใช้ที่พวกเขาพูดคุยกันหรือไม่ ถ้าสิ่งนี้คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นน้องของทั้งสอง พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาอดีตอีกแล้ว ถ้าใช้เราก็กลับไปกับพวกเขา เจ้าจะไ
"ตอนเมื่อสิบหกปีที่แล้วพวกข้าเองก็ยังเด็กอยู่ ตอนนั้นพี่ข้าอายุได้เพียง3ขวบส่วนข้าเองก็ได้เพียงขวบเดียว และที่ข้าละเล่าให้เจ้าทั้งสองฟังนี้ ข้าเองก็ได้ฟังผู้อื่นมาอีกทีนะ"จางซินกล่าวขึ้นมา เพราะตนเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดดี ทำให้สองคนสนใจกว่าเดิมนัก"วันนี้เจ้าจะได้เริ่มเล่าหรือป่าวล่ะ"ซิงอีกล่าวถามเพราะนางตั้งใจฟังมาก"เอาเริ่มตรงไหนก่อนดีล่ะพี่หยง"จางซินถามความคิดเห็นพี่ชาย"เอาเป็นว่าแนะนำก่อนเลยว่าเราคือคนตระกูลจาง ที่เป็นตระกูลอันดับสามของมิติเชื่อมจิต เนื่องจากที่ตระกูลเราเป็นหมอยา ผู้คนจึงนับถือมากและได้เป็นหนึ่งในสามของตระกูลใหญ่ ตระกูลลำดับหนึ่งคือตระกูลซู ตระกูลลำดับสองคือตระกูลอี้ ส่วนตระกูลเราคือตระกูลจางลำดับที่สาว ส่วนลำดับที่สี่คือตระกูลหวัง และตระกูลหวังกับตระกูลจางก็มีอะไรที่มันจะเทียบเท่ากันได้ทุกอย่างยกเว้นแต่ว่าตระกูลจางนั้นมีหยกเย้ ที่พวกเจ้าเอาออกมาให้ข้าดูนั่นแหละ และมารดาของข้าเป็นอนุคนที่สองของตระกูลจาง ซึ่งมารดาของข้า คือซูหนี่ที่เป็นบุตรสาวของตระกูลซูที่อยู่ในลำดับที่หนึ่ง แต่แม่ข้าก็เป็นบุตรของอนุในลำดับที่ห้า แต่เรื่องนี้ข้าไม่สามารถรับรู้ได้ ว่าทำไมท่า
"อย่างนั้นก็คือพวกเราทั้งสี่เป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน แต่คนล่ะแม่นั้นหรือ"จินเป่ากล่าว"แล้วทำไมเจ้าทั้งสองไม่ช่วยท่านแม่ของเจ้าล่ะ เจ้าพูดเหมือนตอนนั้นเจ้าก็ไร้เดียงสาอยู่ แต่เจ้าไม่ได้มีความคิดเองเอียงไปทางท่านแม่ของเจ้าเลยเหรอ แล้วจางซินก็ยอมมากับพี่จางหยงหรอ"ซิงอีถามขึ้นเพราะตนเองก็งงๆ"ข้าเองก็ไม่รู้ความสักเท่าไหร่ ถูกคนของท่านแม่ของพวกเจ้ารับพาตัวมาตอนกลางคืน เพราะตื่นอีกทีข้าก็อยู่ที่สำนักเก่าๆของท่านอาจารย์แล้ว พี่หยงเองก็เล่าให้ข้าฟังเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เล่าเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ "จางซินกล่าวขึ้น"เพราะว่าพวกข้าไม่ใช่สิข้าคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับท่านแม่ ที่จะทำกับท่านพ่อและก็ท่านแม่พวกเจ้าแบบนี้ และพวกเจ้าขนาดนี้และอีกอย่าง ข้าก็ไม่ชอบความไม่ยุติธรรมที่ท่านแม่ทำลงไป และข้าเองก็ไม่คิดที่จะรับตำแหน่งประมุขของตระกูลจางด้วย ในเมื่อประมุขของตระกูลจางต้องเป็นของจางเหมย เพราะที่มิติเชื่อมจิตแห่งนั้นผู้ที่แกร่งและเป็นผู้สืบทอดตระกูลสายหลัก จำเป็นต้องเป็นประมุข ถึงแม้จะเป็นสตรีก็ตาม ซึ่งณเวลานี้เราก็สามารถดูได้แล้วว่าจินเป่านั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ แต่ที่ข้ารู้ว่าท่านแม่ไม่ได้
"คู่ต่อไปน่าจะไปได้แล้วล่ะ เสียงเงียบหายไปแล้ว"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น เนื่องจากส่วนมากเขามาเพียงลำพังย่อมไม่รู้สถานการณ์เมื่อมาหลายคน และเขาก็คิดเองว่าหากเดินผ่านสายฝนศาสตราวุธนั้น หากใช้คนเดินทางน้อยก็จะสะดวกต่อการกำจัดศาสตราวุธพวกนั้นแต่หากรวมกันเป็นกลุ่มเกรงว่าจะทำร้ายผู้ที่เดินทางร่วมกันเสี่ยงมากกว่าจึงตัดสินใจให้เดินไปครั้งละสองคน"เจ้าพาจินเป่าไปเถอะ พร้อมกับเจ้าสัตว์อสูรนี้ด้วย"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จินเป่าจึงขึ้นหลังห่าวอู๋อวี่ และกระต่ายหยกเองก็กรายร่างของมันเป็นเหมือนดังวัตถุโปร่งแสงสีเขียวหยกแล้วคลุมตัวของจินเป่าไว้ แล้วลี่หลินก็ยืนข้างห่าวอู๋อวี่แล้วออกเดินพร้อมกัน เมื่อลงพื้นดินไปสักพักก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว และก็ได้ยินเสียงกระทบกันดังขึ้น เหมือนเสียงนั้นจะดังกว่าครั้งที่แล้วเสียงโลหะกระทบกันถี่มาก แต่ไม่มีเสียงร้องใดๆเลย จินเป่ามองเห็นสายฝนสตราวุธลงมาห่าใหญ่ ร่างกายของเขาเองไร้รอยขีดข่วนใดๆทั้งสิ้น เพราะตัวกระต่ายหยกเองห่อหุ้มนางไว้ ลี่หลินใช้กริชด้ามสั้นที่ตนเคยให้ในการต่อต้านสายฝนศาสตราวุธเหล่านั้น นางร่ายรำดั่งเช่นนางรำทั้งหลบทั้งปัดสตราวุธเหล่านั้น ทางด้านห่าวอู๋อวี่เองถึงแม้ว
เมื่อปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนี้เป็นคนแรกที่จะปีนขึ้นไปด้านบนเนินสูงนั้น ห่าวอู๋อวี่ก็วางจินเป่าลงและนำสมุนไพรต้มที่มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นต้มให้ออกมาอุ่นและส่งให้ซิงอีเพื่อที่จะป้อนสมุนไพรให้จินเป่า ซิงอีรับน้ำยามาแล้วก็ยิ้มก่อนที่จะป้อน เดียวพวกเจ้าไปกันก่อนนะข้ากับจางหยงจะรอดูพวกเจ้าขึ้นไปก่อน หากมีเหตุผิดพลาดอย่างไรพวกข้าจะได้ช่วยเจ้าได้"ซิงอีหันหน้าไปกล่าวกับห่าวอู๋อวี่ หากจินเป่าตกลงมานางกับจางหยงก็จะต้องคอยรับ ถึงแม้จะไม่สูงมากแต่นางไม่มีแรงเลยสักนิดหากตกมาเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้นางเสียชีวิตได้เลย"เจ้านายเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปดูข้างบนเสียก่อนหากว่ามีอันตรายใดๆข้าจะได้จัดการให้"ลี่หลินกล่าวขึ้น เจ้ากระต่ายหยกก็พยักหัวตาม"ข้าอยากรู้จังว่าเจ้ากระต่ายหยกนั้นมันชื่ออะไร มันเหมือนไม่ค่อยรู้ภาษามนุษย์เลยเจ้านาย มันต้องเรียนภาษามนุษย์อีก"ข้าไม่ได้มีชื่อเรียกเหมือนพวกสัตว์อสูรแบบเจ้าหรอก แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษามนุษย์มากมาย เพราะข้าแค่อาศัยสื่อสารกับสิ่งที่ข้าองครักษ์ก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องให้สัตว์อสูรหรือมนุษย์มารับรู้'เสียงเด็กน้อยพูดขึ้น ทำให้ลี่หลินขันท่าทีของมัน ที่ไม่ต้องการสื่
หลังจากออกเดินทางจากวังหลวงก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายจึงทำให้พวกเขาใช้เวลาเพียงสองวันก็ถึงหมู่บ้านอมตะแล้ว ทำให้จางซินรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยเพราะตอนไปพวกเขารีบร้อน มารดาของของท่านอาจารย์ไป๋อวิ้นก็เอาแต่หยุดพักผ่อนตลอดเส้นทางทำให้พวกเขาล่าช้า "วันนี้พวกเจ้าพักผ่อนในหมู่บ้านข้าเสียก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปกัน อวิ้นจะพาพวกเจ้าเดินทาง"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น ทั้งเจ็ดจึงไปพักผ่อน"ที่ตอนพวกข้าเดินทางไปวังหลวงนะพวกเจ้ารู้ไหม มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนั้นหยุดพักผ่อนเป็นว่าเล่นเลย"จางซินระบายความโกรธออกมา"ปรมาจารย์ของเจ้าก็ชี้แจงแล้วนิ ว่ามารดาของเขาสามารถรับรู้ภัยได้ นางจึงจำเป็นต้องพาพวกเราหยุดบ่อยๆไง เพื่อป้องกันความผิดพลาดและภัยที่เกิดขึ้น"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"จินเป่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหน็ดเหนื่อยหรือไม่"ซิงอีถามขึ้นพร้อมกับป้อนน้ำอมฤตให้นาง ตลอดเส้นทางนางถูกห่าวอู๋อวี่อุ้มแทบตลอดเวลา เวลาลงเดินเองสักพักก็เหนื่อยหอบ จนซิงอีทนไม่ไหวเอ่ยปากให้ห่าวอู๋อวี่อุ้มนางบ้าง ให้นางขึ้นหลังบ้างแต่ห่าวอู๋อวี่เองก็เต็มมาก ครั้นหยุดพักซิงอีก็ปฏิบัติห่าวอู๋อวี่ดังน้องชายตัวเอง ทำให้ห่าวอู๋อวี่
"ปรมาจารย์ไป๋อวิ้น ทำไมมารดาของท่านกล่าวว่านางไม่สามารถที่จะเข้าไปในป่าอมตะนั้นได้ ในเมื่อพวกท่านก็อยู่หมู่บ้านอมตะนั้น"จางซินถามขึ้น จึงทำให้จินเป่าสนใจ จึงมองไปดูผู้ที่จางซินกำลังซักถามอยู่ก็เป็นปรมาจารย์ไป๋อวิ้น"ท่านอาจารย์"จินเป่ากล่าวออกมาได้เท่านี้ก็หมดแรง นางไม่สามารถพูดยาวๆได้ เพียงแค่ใช้แรงในการพูดก็หมดแรงเสียแล้วจะให้นางเดินทางไปได้อย่างไรกัน"เจ้าไม่ต้องพูดแล้วลูกศิษย์เจ้าพักผ่อนเถอะ แล้วเรื่องที่มารดาของข้าไม่สามารถเข้าป่าอมตะนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นกินรีชั้นสูง ที่พวกเจ้ารับรู้นั่นแหละ ถึงว่าข้าจะได้เป็นกินรีชั้นสูงแล้วแต่ข้าก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับมารดาของข้า นางสามารถรับรู้อันตรายที่อยู่เบื้องหน้าได้นางสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนข้าจุดนี้ค่ายังไม่สามารถที่จะฝึกฝนมันได้ ข้าจึงคิดว่าข้าจะไปกับพวกเจ้าได้ เพราะในเมื่อถ้าหากว่าคาดการณ์ถึงอันตรายได้แล้ว เราก็จะเลี่ยงอันตรายเหมือนที่เราเดินทางเข้ามาในวังหลวงนี้ไง เมื่อถึงจุดอันตรายมารดาของข้าก็จะให้พวกเราหยุดขบวนเดิน แล้วให้ผู้ที่เก่งกาจเข้าไปจัดการกับอันตราย แล้วเราก็เดินมากันแบบไร้อันตรายใดๆ แล้วที่มาร
ระหว่างที่จินเป่าฟังห่าวอู๋อวี่ท่องเกร็ดวิชาไปเรื่อยๆ ตอนนี้นางเองทำสิ่งใดไม่ได้ จึงลองขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายในและจดจำเคล็ดวิชาที่ห่าวอู๋อวี่ท่องออกมา นางรู้สึกว่าภายในของนางนั้นปั่นป่วนยิ่งนักไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนวรยุทธเหมือนเดิมอีกแล้ว นางจึงล้มเลิกความพยายามแล้วหันมาจดจ่อกับเคล็ดวิชานั้นแทน นางจดจำทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของห่าวอู๋อวี่ได้ดีทุกคำ จนในที่สุดก็ครบเจ็ดวันจินเป่าค่อยค่อยลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำอันโตของนางมองไปซ้ายมองไปขวา เหมือนกับหลายวันก่อนไม่มีผิด นางอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีม่วงลาเวนเดอร์ และมีน้ำสีดำม่วงอยู่รอบๆ กลิ่นน้ำนี้ก็หอมสมุนไพรเอาเสียมากๆ น้ำอุ่นกำลังพอดี จินเป่ารู้สึกไม่สบายหัว จึงมุดลงไปในน้ำสมุนไพรนั้นแล้วโพล่หัวขึ้นมา นางรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก นางมองออกว่าตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่สามารถกลับไปฝึกยุทธได้อีก แต่นางก็เคยไร้วรยุทธ์มาแล้วนิ แต่ตอนนั้นตอนที่นางมาอยู่ร่างนี้ใหม่ๆ ร่างกายนางไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนี้เท่านั้นเอง แต่สักวันคงจะดีขึ้น "วันนี้ครบวันที่เจ็ดแล้ว ร่างกายแม่นางน่าจะไม่เย็นอีกแล้วล่ะป่ะพวกเจ้าไปช่วยข้าเอาแม่นางขึ้นมาจากหม้อกัน"หว่าฮว่ากล่าว
"เอาเข้าจริงๆข้าก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันอะไรนั่นแค่เพียงท่านห่าวอู๋อวี่ท่องให้จินเป่าฟังแล้วนางจะดีขึ้น"ซิงอีกล่าวถามความคิดเห็นของสหายท่านอื่น"เจ้าต้องรู้จักเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันก่อนเจ้าลองถามองค์ชายรัชทายาทดูสิว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งใด"จางซินพูดขึ้น"ในเมื่อองค์ชายรัชทายาทนั้นเคยร่ำเรียนตำราดัชนีสุริยันต์แล้วทำไมไม่ให้องค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องให้จินเป่าฟังล่ะ"ซิงอีกล่าวขึ้นพลางมองไปยังองค์ชายรัชทายาท"ทำเป็นว่าหากองค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องเกล็ดวิชาดัชนีสุริยันให้จินเป่าฟังแล้วเจ้าจะยินยอมอย่างไรอย่างนั้น"จางหยงกล่าวถามขึ้น"มันก็ใช่ที่เจ้าพูดแต่ข้าก็ไม่รู้ไงว่าในเมื่อท่านห่าวอู๋อวี่ไม่รู้เคล็ดวิชาดัชนีสุริยันต์แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าไปท่องให้จินเป่าฟังแล้วจะดีขึ้น"ซิงอีถามขึ้นอีก"ผู้ใดท่องก็ดีขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าน้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่แม่นางผู้นี้คุ้นเคย และเจ้าสัตว์อสูรจิ๋วนั้นก็เลือกบุรุษผู้นั้นให้ท่องให้เจ้านายมันฟัง มันก็คงจะรู้ความพิเศษพิโสของบุรุษผู้นั้นอยู่ แม่นางผู้นี้ข้ามองดูเจ้าเป็นห่วงแม่นางที่อยู่ในหม้อกลั่นสมุนไพรอยู่หรอก แต่เจ้าก็ต้องหัดฟัง
เมื่อเจ้ากระต่ายกับลี่ลินเข้าไปอยู่ในห้องที่มีหม้อตุ๋นสมุนไพรของจินเป่าอยู่ ลี่หลินเองก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ หม้อหยกใบนั้น นางขับวรยุทธภายใน นางเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในป่านางต้องฝึกควบคุมวรยุทธไปด้วย ส่วนกระต่ายหยกนั้นเป็นสัตว์อสูรประจำต้นหลิวต้องแสงจันทร์ไม่จำเป็นต้องศึกษาเคล็ดวิชาหรือตำราใดๆและไม่ต้องขับเคลื่อนวรยุทธ หากว่ามันบาดเจ็บเพียงรักษาสักพักก็หายขึ้น มันไม่เหมือนสัตว์อสูรแบบหลีหลินถ้ามันบำเพ็ญตบะได้สูงมันก็จะไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกอะไรทั้งสิ้น"เจ้ากระต่ายหยกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าดัชนีสุริยันต์เล่มนี้มีอะไรพิเศษเจ้าถึงเร่งให้ข้าทวงจากองค์ชายรัชทายาทนัก"เสียงห่าวอู๋อวี่ดังขึ้น ทำให้เจ้ากระต่ายหยกดีใจยิ่งนัก ทีห่าวอู๋อวี่มาและเขาก็นำดัชนีสุริยันมาด้วย"ท่อง ต้องท่องเคล็ดวิชา ท่านอ่านเคล็ดวิชาให้เจ้านายฟังได้"เจ้ากระต่ายหยกพยายามพูดภาษามนุษย์พร้อมกับทำท่าทางชี้ไปที่ปากของตัวเองแล้วก็หูของมันเอง"เจ้าจะให้ข้าท่องเคร็ดวิชาดัชนีสุริยันให้นางฟังหรือ"ห่าวอู๋อวี่เองก็ถามขึ้นอย่างสงสัย เจ้าเด็ดน้อยพยักหน้าหงึกๆด้วยความดีใจ เขาเข้าใจความหมายของมัน หลี่หลินจึงลืมตาขึ้นมาดูว่าเขาพูดถึงอะไรกัน ห
"เสวุ่ยเจ้าไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่มาหนึ่งใบอยู่ในท้องพระคลังน่าจะมีอยู่หนึ่งหม้อ เจ้าไปตรวจดูแล้วให้องครักษ์ยกมาที่เรือนรับรอง"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น องค์ชายหกเลยพาทหารองครักษ์ไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่ ในท้องพระคลังมา เมื่อเขาเข้าไปดูก็พบหม้อสมุนไพรใบใหญ่สีเขียวหยกหนึ่งใบ ซึ่งน่าจะให้สตรีผู้นั้นเข้าไปได้จึงสั่งให้ทหารองครักษ์ยกออกมาให้ หมอหยกใบนั้นเป็นหยกสีเขียวมันแพะดูแล้วมีค่ายิ่งนัก เมื่อนำมาเรือนรับรองแล้วก็วางไว้กลางห้อง"ข้าขอเพียงสมุนไพรเท่านั้น แล้วบุรุษน่าจะออกไปด้านนอกได้แล้วกระมังเพราะว่าสตรีผู้นี้ต้องถอดเสื้อผ้าก่อนที่จะลงหม้อ จางซินข้าต้องพึ่งเจ้าอยู่หากเจ้ายังมีธุระที่จัดการยังไม่เสร็จ ช่วยข้าสักพักแล้วเดี๋ยวค่อยไป"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น"ข้าคือสัตว์อสูรของเจ้านายข้าสามารถช่วยเจ้านายได้เจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยท่านนะเจ้าคะ"ลี่หลินรีบพูดขึ้น"นางคือน้องสาวของข้าเหมือนกันเจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยอีกแรงนะเจ้าคะ"ซิงอีรีบกล่าวขึ้น"ได้เลยแม่หนูเพราะข้าต้องให้สตรีช่วยอยู่แล้วล่ะ ลำพังข้าคนเดียวไม่ไหวหรอก บุรุษทั้งหลายออกไปได้แล้วกระมัง เจ้าเด็กน้อยเจ้าอยู่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหน"หว่าฮว่ากล่าวข
"แม่ก็ว่าอยู่แล้วหล่ะว่านางต้องเจ็บสาหัดบ้าง ดูสิอยากได้เคล็ดวิชาดัชนีสุรียันนั้น เป็นไงล่ะจะได้ใช้อยู่หรือนั้น ทำกับลูกเราไว้เยอะเลย เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาททำให้เขามีสภาพย่ำแย่แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน"ฮองเฮากล่าวขึ้น นางนึกย้อนที่เห็นบุตรชายของตัวเองสภาพย่ำแย่ในการประลองยุทธในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุ"ท่านแม่หากเขาต้องการ เขาก็สมควรที่จะได้รับมัน ท่านแม่ดูไม่ออกเลยหรือว่าเป็น ลูกรับมือเขาไม่ได้ทุกกระบวนท่า แต่เขาก็ยอมให้ลูกชนะเขา เพื่อชื่อเสียงของลูกในยุทธภพแห่งนี้ และเป็นบุรุษผู้นั้นที่เอาชนะตงหมิงได้"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น"แต่ก็เป็นลูกไม่ใช่หรอที่ใช้ห่วงสันนิบาตนั้น ทำให้ตรงหมิงนั้นตายไปมันก็เท่ากับลูกเอาชนะเขาได้"ผู้เป็นแม่ยังอยากที่จะให้ลูกได้ชื่อเสียง"ฮองเฮาท่านไม่ใช่ว่าดูไม่ออกกระมัง เพียงแค่เจ้าเห็นองค์ชายรัชทายาทนั้นสบักสะบอมขนาดนั้น เจ้าก็มีความคิดแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ต้องยอมรับว่าคนที่อยู่มิติล่างเหล่านั้นทำให้เรื่องมันจบแบบง่ายๆ ครั้งนี้ข้าคิดว่าข้าจะให้เขาได้ลำดับหนึ่งของเวทีประลองยุทธในครั้งนี้ ในเมื่อสตรีผู้นั้นต้องการดัชนีสุริยันขนาดนั้นเจ้าต้องการมอบให้เขาหรือไม