"ตอนเมื่อสิบหกปีที่แล้วพวกข้าเองก็ยังเด็กอยู่ ตอนนั้นพี่ข้าอายุได้เพียง3ขวบส่วนข้าเองก็ได้เพียงขวบเดียว และที่ข้าละเล่าให้เจ้าทั้งสองฟังนี้ ข้าเองก็ได้ฟังผู้อื่นมาอีกทีนะ"จางซินกล่าวขึ้นมา เพราะตนเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดดี ทำให้สองคนสนใจกว่าเดิมนัก"วันนี้เจ้าจะได้เริ่มเล่าหรือป่าวล่ะ"ซิงอีกล่าวถามเพราะนางตั้งใจฟังมาก"เอาเริ่มตรงไหนก่อนดีล่ะพี่หยง"จางซินถามความคิดเห็นพี่ชาย"เอาเป็นว่าแนะนำก่อนเลยว่าเราคือคนตระกูลจาง ที่เป็นตระกูลอันดับสามของมิติเชื่อมจิต เนื่องจากที่ตระกูลเราเป็นหมอยา ผู้คนจึงนับถือมากและได้เป็นหนึ่งในสามของตระกูลใหญ่ ตระกูลลำดับหนึ่งคือตระกูลซู ตระกูลลำดับสองคือตระกูลอี้ ส่วนตระกูลเราคือตระกูลจางลำดับที่สาว ส่วนลำดับที่สี่คือตระกูลหวัง และตระกูลหวังกับตระกูลจางก็มีอะไรที่มันจะเทียบเท่ากันได้ทุกอย่างยกเว้นแต่ว่าตระกูลจางนั้นมีหยกเย้ ที่พวกเจ้าเอาออกมาให้ข้าดูนั่นแหละ และมารดาของข้าเป็นอนุคนที่สองของตระกูลจาง ซึ่งมารดาของข้า คือซูหนี่ที่เป็นบุตรสาวของตระกูลซูที่อยู่ในลำดับที่หนึ่ง แต่แม่ข้าก็เป็นบุตรของอนุในลำดับที่ห้า แต่เรื่องนี้ข้าไม่สามารถรับรู้ได้ ว่าทำไมท่า
"อย่างนั้นก็คือพวกเราทั้งสี่เป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน แต่คนล่ะแม่นั้นหรือ"จินเป่ากล่าว"แล้วทำไมเจ้าทั้งสองไม่ช่วยท่านแม่ของเจ้าล่ะ เจ้าพูดเหมือนตอนนั้นเจ้าก็ไร้เดียงสาอยู่ แต่เจ้าไม่ได้มีความคิดเองเอียงไปทางท่านแม่ของเจ้าเลยเหรอ แล้วจางซินก็ยอมมากับพี่จางหยงหรอ"ซิงอีถามขึ้นเพราะตนเองก็งงๆ"ข้าเองก็ไม่รู้ความสักเท่าไหร่ ถูกคนของท่านแม่ของพวกเจ้ารับพาตัวมาตอนกลางคืน เพราะตื่นอีกทีข้าก็อยู่ที่สำนักเก่าๆของท่านอาจารย์แล้ว พี่หยงเองก็เล่าให้ข้าฟังเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เล่าเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ "จางซินกล่าวขึ้น"เพราะว่าพวกข้าไม่ใช่สิข้าคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับท่านแม่ ที่จะทำกับท่านพ่อและก็ท่านแม่พวกเจ้าแบบนี้ และพวกเจ้าขนาดนี้และอีกอย่าง ข้าก็ไม่ชอบความไม่ยุติธรรมที่ท่านแม่ทำลงไป และข้าเองก็ไม่คิดที่จะรับตำแหน่งประมุขของตระกูลจางด้วย ในเมื่อประมุขของตระกูลจางต้องเป็นของจางเหมย เพราะที่มิติเชื่อมจิตแห่งนั้นผู้ที่แกร่งและเป็นผู้สืบทอดตระกูลสายหลัก จำเป็นต้องเป็นประมุข ถึงแม้จะเป็นสตรีก็ตาม ซึ่งณเวลานี้เราก็สามารถดูได้แล้วว่าจินเป่านั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ แต่ที่ข้ารู้ว่าท่านแม่ไม่ได้
ถึงแม้จะรู้แล้วว่าครอบครัวของตัวเองอยู่ที่ใดก็จริง แต่จินเป่าเองก็ไม่สบายใจเพราะรู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ถูกจับขังไว้เช่นนี้ แถมยังถูกทำลายฐานวรยุทธอีก และอีกอย่างพวกตนทั้งสี่ก็เป็นพี่น้องคนละแม่กัน แล้วพี่ซิงอีเองกับจางหยงก็มีใจให้กัน นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันจะแต่งงานกันได้หรือไม่ เพราะโลกที่ตนจากมานั้นมีกฎเกฑเรื่องนี้อยู่ จินเป่าได้แต่คิดแทนพี่สาวของตัวเอง"เจ้าคิดสิ่งใดอยู่หรือจินเป่า หรือเจ้าคิดถึงข้ากันแน่ระหว่างที่เราจากกันตั้งเป็นปีเลยนะ ที่เจ้าไปจากข้าและไม่กลับมาหาข้าอีกเลย"เสียงห่าวอู๋อวี่ดังขึ้น ทำให่จินเป่าหลุดออกจากความคิดของตน และหันมายิ้มให้ชายหนุ่มเล็กน้อย"คุณชายสี่มาพอดีเลยพวกข้าอยากสอบถามอะไรสักหน่อย"จางหยงกล่าวขึ้นอย่างขัดจังหวะของทั้งสอง เหมือนพี่ชายที่คอยหวงน้องสาว ทั้งที่จินเป่ายังไม่ตอบอะไรเลย"มีอะไรหรือ เราเดินไปคุยกันในเรือนดีหรือไม่ "ห่าวอู๋อวี่กล่าวเสียงขรึมและเดินเข้าไปในเรือนของตัวเอง ทุกคนที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่ก็ยิ้มออกมา เมื่อห่าวอู๋อวี่มาถึง"แล้วคุณชายใหญ่ล่ะไม่มาด้วยหรอกหรือ"จางซินถาม ทำให้จางหยงมองหน้านางขึ้นมา"เ
ในคืนของวันนั้นจินเป่าต้องการรู้อะไรบางอย่าง จึงนำถังน้ำขนาดใหญ่และนำไปวางไว้หน้าห้องพักของจางซินและใส่น้ำอมฤตของตัวเองลงไปจนเต็ม และเข้านอนไป"เจ้าทำอะไรหรือ ถึงกลับมาป่านนี้ไม่ใช้ว่าไปหาคุณชายสี่หรอกนะ"เสียงซิงอีที่งัวเงียถามมา"พี่ซิงอีนอนเถอะข้าแค่ต้องการพิสูจน์อะไรเล็กน้อย"จินเป่ากล่าวและหลับตาลงและเข้าไปในมิติ เพื่อที่จะดูต้นหยางเหมยที่ตอนนี้กำลังมีผลถึงสิบสามผลแนะ และอยู่ๆการเชื่อมต่อกับกระต่ายหยกก็หายไป เหมือนอยู่คนละมิติกัน"ลี่หลินข้ารู้สึกว่าเจ้ากระต่ายหยกนั้นมันหายไปแล้ว สัมผัสถึงมันไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่ามันถูกใครฆ่าตายแล้วหรือ"จินเป่ากล่าวกับลี่หลิน"มันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแรงกว่าข้าอีก มันไม่มีทางปล่อยให้ตัวมันเองตายหรอกเจ้านายท่านวางใจเถอะ"ลี่หลินกล่าวขึ้นทางด้านจางซินได้กลิ่นหอมหวานของน้ำอมฤต ก็ตื่นขึ้นมาและพบถังน้ำอมฤตอยู่หน้าห้อง นางยังไม่ได้ทันที่จะไตร่ตรองสิ่งใดก็เก็บน้ำอมฤตนั้นเข้ามาในมิติทั้งหมดทันที หลังจากที่เก็บเข้าไปแล้วมิติของนางนั้นก็อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำอมฤต มิติติดกายของนางได้มาจากสายเลือดของตระกูลจาง ที่บังเอิญมีหนึ่งในร้อยคนเท่านั้น ภายในเก็บของได้มากมาย
หลังจากออกจากถ้ำอมฤตแล้วทั้งหกก็มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือทันที อีกาดำสามขาจื่ออี้เฉินบินไปด้วยความเร็วเป็นเวลาครึ่งวันห่าวอู่อวี่ก็ให้มันร่อนลงเพื่อพักก่อน""เราคงออกมาไกลแล้วล่ะ พักสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น จินเป่าจึงหยิบน้ำอมฤตให้จื่ออี้เฉินกระบอกหนึ่ง"นายหญิงท่านห่อน้ำอมฤตใส่กระบอก ตอนไหนกันข้าไม่เห็นจะรู้เลย ท่านนี้ช่างรอบคอบเสียจริง นายท่านของข้าส่วนมากจะบรรจุใสขวดเล็กจิ๋ว ไม่ได้ใส่กระบอกเช่นนี้ เพราะกระบอกเช่นนี้อาจทำให้น้ำอมฤตต้องหมดฤทธิ์เป็นแน่ "จื่ออี้เฉินถามขึ้นพลางจิบน้ำอมฤตเพียงเล็กน้อยพลังงานทั้งหมดที่หายไปก็กลับคืนมา มันช่างดีกว่าน้ำอมฤตของตนเสียจริง จื่ออี้เฉินได้แต่คิดในใจ"น้ำอมฤตจำเป็นแก่พวกเรามาก ข้าเลยตัดกระบอกไม้ไผ่มาตั้งหลายอันแนะ ในนี้ใส่น้ำอมฤตไว้ได้ทุกอันเลย และต้นไผ่ที่เราตัดมานั้นยังเป็นไผ่วิเศษที่เก็บฤทธิ์น้ำอมฤตได้ดีด้วย "ซิงอีกล่าวพลางถือถุงมิติออกมาและก็หยิบกระบอกน้ำออกมาให้ดู และยื่นให้ทุกคนและตัวเองก็ดื่ม "อาหารตอนนี้เราต้องการอาหาร ของที่ข้าใส่หีบมามีแต่อาหาร แล้วแม่นางจางจะรู้หรือไม่ล่ะว่าอยู่ที่ถุงมิติใบไหนกันแน่ มีตั้งสามใบแนะ"
"ให้คนจับตาดูว่าคนเหล่านั้นยังอยู่ในจวนหรือป่าว ทำไมต้องปิดเรือนเงียบ แต่คนของเรารายงานว่าคุณหนูกับคุณชายจางไม่ได้ออกจากจวนแต่อย่างใดแต่มันมีอะไรแปลกๆไม่น้อย"บุรุษที่มาจากมิติเชื่อมจิตคุยกัน ในโรงเตี๊ยมชื่อดังในเมืองตะวัน ในเมืองตะวันทุกทีมีสายสืบของคนใหญ่คนโตมากมายเรื่องที่ผู้นำตระกูลห่าวอู๋ต้องการอยากรู้จึงสืบได้ไม่ยากเลย"คนกลุ่มนั้นต้องการตัวสหายของคุณชายทั้งสองนี้เอง พวกเขามาจากต่างเมืองหรอ เราจะต้องจัดการอย่างไรดี ถ้าส่งตัวสหายทั้งสองของคุณชายสี่ไป ข้าก็ไม่อยากมีปัญหากับคุณชายสี่ แต่ถ้าไม่ส่งตัวคนไปพวกเราอาจมีปัญหาตามมา เอาอย่างนี้ห้ามคนเข้าออกจวนห่าวอู๋ไปก่อนและเรียกๆคุณหนูคุณชายและฮูหยินมา"ท่านผู้นำตระกูลห่าวอู๋กล่าวขึ้นบ่าวรับใช้จึงรีบไปตามฮูหยินและคุณหนูกับคุณชายทั้งสองมา"ท่านพี่มีสิ่งใดถึงเรียกน้องและพวกลูกๆมาเจ้าคะ"ฮูหยินห่าวอู๋ถามขึ้นเมื่อมาถึงเรือนแล้ว"ทุกคนนั่งลงก่อนวันนี้ที่ข้าให้บ่าวไปตามพวกเจ้ามา เพราะว่าพวกเราน่าจะมีปัญหากับคนนอกเมืองเสียแล้ว ท่านอาจารย์ที่แม่นางตระกูลหลี่พามานั้นเป็นผู้ที่ออกตามหาสหายของคุณชายสี่ ซึ่งข้าคิดว่าน่าจะมีปัญหากันแน่ แต่ตอนนี้เร
"ไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้นเลยทำไมถึงเป็นแบบนี้แล้วทำไมคนถึงเฝ้าเยอะแยะขนาดนี้มันเป็นเพราะสิ่งใด ไปจับผู้หนึ่งผู้ใดมาสอบถามให้มันรู้เรื่อง พินิจจิตใจมันเลยไม่ต้องถามอะไรให้มันมากกว่า"บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในมิติเชื่อมจิตกล่าวขึ้น พอบังคับจับบุรุษผู้หนึ่งมาได้ก็พินิจจิตใจทันที ผู้นั้นเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายใหญ่ และในสมองของเขาก็ไม่รู้อะไรเลยรู้เพียงว่าทั้งหกนั้นได้เข้ามาในถ้ำแห่งนี้ พวกนั้นขนหีบของมามากมาย และไม่ได้ออกมาอีกเลย“แล้วของกับคนมันหายไปได้อย่างไรกันนะ หาคนที่มีความรู้มากกว่านี้หน่อยเถอะเอาคนที่รู้จักถ้ำแห่งนี้ ไม่งั้นก็หัวหน้าอ่ะ”บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ลูกน้องจึงไปนำตัวคนมาใหม่ จึงได้ความเพิ่มเติมว่าคุณชายสี่สามารถพาทุกคนออกจากถ้ำนี้ได้โดยอีกาดำสามขาที่เป็นผู้เฝ้าที่นี่ และทั้งหกน่าจะไปได้นานแล้ว"อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วว่า พวกนั้นหายไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้นานแล้ว ขนาดหัวหน้าตระกูลห่าวอู๋เองนั้น ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าบุตรและสหายพวกนั้นหายไปไหน เป็นดังที่แม่นางผู้นั้นกล่าวจริงๆเอาแบบนี้พรุ่งนี้เช้าเตรียมตัวออกเดินทางไปจากที่นี่เถอะ พวกนั้นน่าจะรู้ตัวแล้ว และรีบหนีไปแต่ข
ทางด้านทั้งหกคนเมื่อออกจากเมืองตะวันและหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งคืนพอตอนเช้าก็รีบเดินทางต่อโดยใช้ทางเท้า พวกเข้าทั้งหกเข้าไปในป่าใหญ่ ที่ไม่ค่อยรกสักเท่าไหร่"ป่าแห่งนี้ชื่อว่าอะไรหรือและเราจะต้องเดินทางเท้ากี่วันกัน"จินเป่าถามขึ้นขณะเดินเข้าป่าได้สักหนึ่งก้านธูป ก็รู้สึกเหนื่อยหอบ เหงื่องไหลท่วมตัว"เดินเพียงหนึ่งก้านธูปเจ้าก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ข้าเห็นตอนที่พวกเราเรียนอยู่ที่สำนักตะวันเลือน เจ้าก็เดินป่าออกจะบ่อย แถมแข็งแรงกว่าใครๆเสียอีก หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าอุ้มกันนะ หรือจะขึ้นหลังข้าดี"ห่าวอู๋อวี่ถามขึ้นอย่างยิ้มๆ"คุณชายสี่ก็เหมือนผู้ที่ติดตามพวกเราจังเลยนะ เพราะเวลาที่พวกเราเดินป่าพวกเราก็ไปกันเพียงสี่คน แต่คุณชายสี่เหมือนจะรู้ดีมากเลย"จางซินถามแบบยิ้มๆเช่นกัน"ป่าแห่งนี้คือป่าม่าน เราจะบินผ่านหรือหายตัวผ่านไม่ได้เด็ดขาด ม่านก็แปลว่าช้าลง เราจะใช้เวลาอย่างน้อยก็สามวัน ถึงจะผ่านพ้นป่านี้ไปได้ และเราจะใช้สัตว์อสูรกันอีกครั้ง ตอนที่พวกขามาก็ไม่พบสิ่งใดที่น่ากังวลสักเท่าไหร่ พบแต่สัตว์อสูเล็กๆน้อยๆเท่านั้น"จางหยงกล่าวให้ทุกคนฟัง"ท่านพี่ข้ากำลังจะตอบอยู่แล้วเชียว ท่านพี่แย่งข้าตอบตลอด
"ข้าว่าพวกเรายังอยู่ที่เดิมนะ เพราะพวกเราก็อยู่ในทะเลเหมือนเดิม"ห่าวอู๋มู่ลี่กล่าวขึ้น"เราเดินไปในป่าสักนิดนึงแล้วเราค่อยพักเถอะอยู่แถวนี้มันอันตรายเกินไปเพราะจุดนี้จะเป็นทางเข้าทางออกจากนิติแห่งนี้และก็มีคนรู้จักที่นี้พอสมควรด้วย"จางหยงกล่าวขึ้นเพราะว่าพวกตนเคยมามิตินิมิตรแล้ว จึงชวนทุกคนเข้าไปพักในป่าจะดีกว่า ทุกคนจึงลากตัวเองขึ้นจากน้ำและเดินโซซัดโซเซขึ้นไปในป่าเมื่อเข้าไปในป่าก็พบกับต้นไม้ใหญ่สองต้นเหมือนเป็นทางเข้าพวกเขาทั้งหกจึงมุ่งไปทางต้นไม้ใหญ่ เมื่อพ้นจากต้นไม้ใหญ่ทั้งสองต้นนั้นแล้วความรู้สึกเหมือนไอวิเศษ พุ่งเข้ามาในร่างกายของคนทั้งสี่คน เป็นไอวิเศษที่มีแรงกดดันมหาศาล ซึ่งแรงกดดันนี้จางซินกับจางหยงจับถึงความผิดปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งสี่คนจึงทรุดตัวลงแล้วนั่งขัดสมาธิเพื่อที่จะขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายใน ขนาดยืนพวกเขาทั้งสี่ยังลำบากแล้วจะให้เดินทางไปยังมิติเชื่อมจิตได้อย่างไร ระหว่างมิติสามัญกับมิตินิมิตรแห่งนี้ช่างมีไอวิเศษที่แตกต่างกันมากนัก ทั้งสี่คนนั่งขับเคลื่อนวรยุทธภายในใช้เวลาเราสองกานธูปทั้งสี่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาไอวิเศษที่กดดันพวกเขามานั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาเลื่อนวรยุทธแต่
เมื่อทั้งสองเดินมาตรงจุดพักที่อยูไกลสายตา แถบนี้คือทะเลทรายถ้ามองเองก็ไม่ค่อยชัดเจน นางจึงสั่งให้กระต่ายหยกทำงานอย่างเคย กระต่ายหยกแปลงร่างเป็นแมลงตัวเล็กๆอยู่บริเวณนั้นนานแล้ว มันจึงสื่อมาว่าจางซินรักษาทั้งสองเพียงคนเดียว และตอนนี้พลังของนางน่าจะน้อยลงทำให้จางหยงถ่ายทอดพลังช่วยนาง"การรักษาด้วยพลังรักษาด้วยมิติมันหนักหนาเลยหรือ"จินเป่าถามห่าวอู๋อวี่"หากรักษาคนต่อคนก็ไม่ยากเย็นหรอก แต่ถ้ารักษาสองคนแล้วมีผู้รักษาเพียงคนเดียว ก็ต้องอาศัยพลังวรยุทธของคนอื่นร่วมด้วยทำไมหรือ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวให้ฟังและถามขึ้น"ป่าวหรอกก็แสดงว่าจางหยงไม่มีมิติธาตุนะ เรารอสักหน่อยค่อยกลับดีกว่า"จินเป่ากล่าวขึ้น พอรอให้การรักษาสมบูรณ์แล้วทั้งสองก็กลับจุดพัก"ไม่เจอพวกนั้นเลยหรืออาจเป็นเพราะเรามองไม่เห็นมัน แล้วมันไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆหรือป่าวจึงไม่พบรังมัน"จินเป่ากล่าวขึ้น พลางมองหน้าซิงอี"พวกเจ้าหายารักษาทั้งสองได้แล้วหรือดีจังเลย งั้นเดียววันนี้ข้าเตรียมอาหารให้นะ"จินเป่ากล่าวและเตรียมอาหารให้ทุกคน ปกตินางเป็นคุณหนูสามไม่ได้ทำสิ่งใด เลยสักอย่าง แต่ร่างเดิมของนางต้องทำเองทุกอย่างจึงทำให้นางเก่งเรื่องอาหา
หลังจากที่ทุกคนกินปลาย่างเสร็จจางซินและจางหยงยืนยันที่จะเดินทางต่อเลยทุกคนจึงตกลงที่จะเดินทางต่อ"ถ้าเรายังไม่เดินทางต่อนะตอนนี้ข้าเกรงว่าคนที่อยู่มิติเชื่อมจิตจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียวที่ตามพวกเราอยู่ในเมืองตะวันน่ะสิ ข้ากลัวว่าจะมีคนหลายกลุ่มเลยแหละ เพราะฉะนั้นเรารีบเดินทางต่อเถอะ เราเดินทางไปถ้าเราเหนื่อยก็พักเพราะทะเลทรายไร้กลางคืนแห่งนี้จะไม่มีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ใช้เวลาที่เราเหนื่อยก็แล้วกัน ทสำหรับการหยุดพักของพวกเรา"จางหยงกล่าวขึ้น และทั้งสี่ก็เดินทางต่อไป"ข้าออกมาจากป่าม่านได้อย่างไรกันหรือซิงอี "จางซินถามขึ้น"คุณชายใหญ่แบกเจ้ามานะสิ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเจ้าหนักมากเลย คุณชายใหญ่แบบเจ้าแทบไม่ไหวด้วย เขาแบกเจ้าถายในหนึ่งวันก็ต้องพักตั้งหลายรอบแหนะ"ซิงอีเองก็แกล้งแหย่พี่สาวเล่นๆ ทำให้คนเดินร่วมทางรู้สึกขำขันไปด้วย ทำให้จางซินเองถึงกับหน้าแดงเลยทีเดียว"คุณชายใหญ่ต้องขอขอบคุณท่านมากนะ ที่ท่านช่วยแบกข้ามา แต่ท่านไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับข้าใช้ไหม ท่านแบกข้าตั้งหนึ่งวันแนะ"จางซินกล่าวขึ้น"ใครจะคิดฉวยโอกาสกับเจ้ากัน เป็นข้
พอรุ่งเช้าทั้งสี่ก็ออกเดินทาง ห่าวอู๋มู๋ลี่เองอุ้มจางซิน ห่าวอู๋อวี่ก็แบกจางหยงขึ้นหลัง และเดินทางด้วยเท้าเพียงแค่สองวันก็พบกับทางออกจากป่าแล้ว ในแผนเดิมก็คือถ้าพ้นจากป่าจะให้นกฟีนิกซ์ของจางซิน พาพวกเขาไปแต่ตอนนี้นางสลบอยู่ถ้าจะรอก็กลัวจะเสียเวลาและพวกเขายังมีศัตรูตามไล่ล่าอีก"เอาแบบนี้ก็แล้วกันครั้งนี้ให้อีแร้งยักษ์ของท่านพี่มู๋ลี่พาพวกเราไปก่อน เพราะสองคนนี้ฟื้นขึ้นมาค่อยดูอีกทีว่าจะทำเช่นไรตอนนี้เราแค่มุ่งหน้าไปทางเหนือก็เท่านั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ห่าวอู๋มู๋ลี่ก็ปล่อยอีแร้งยักษ์ออกมา"ข้าจำเป็นต้องใช้เจ้าในการเดินทาง ให้เจ้าพุ่งไปแค่ทางทิศเหนืออย่างเดียวและถ้าจุดใดที่จะเป็นอันตรายแก่ตัวเจ้า ให้เจ้าลงจอดพวกเราต้องเดินทางเท้าเจ้าก็ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด ถ้าเจ้าเหนื่อยก็พักได้ทุกเมื่อ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวกับสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตัวเอง และกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันเพื่อรอรับสหายที่สลบทั้งสองคน จินเป่ากับห่าวอู๋อวี่ก็ดันจางซินขึ้นไปด้านบนก่อนและช่วยกันพลักจางหยงขึ้นไปตาม และคนที่เหลือก็ปีนขึ้นไป พอทุกคนขึ้นไปบนหลังอีแร้งยักษ์แล้วมันก็ถลาขึ้นไปบนอากาศทันที ห่าวอู๋มู๋ลี่เองก็เป็นห่วงสัต
"เจ้านาย เจ้านายลืมไปหรือป่าวว่าทุกคนทั้งสี่ที่ไม่เป็นอะไรเพราะในเลือดของทุกคนมีผลหลิวต้องแสงจันทร์ "เจ้ากระต่ายหยกสื่อให้เจ้านายรับรู้"อ่อใช้สิ่งที่จะถอนพิษได้ทุกพิษและไม่เป็นอันตรายด้วยคือผลหลิวต้องแสงจันทร์ และที่พวกท่านไม่เป็นอะไรเพราะในร่างกายมีฤทธิ์ต้านพิษของผลหลิวต้องแสงจันทร์อยู่นะสิ"จินเป่ากล่าวขึ้นพลางแบมือนำผลหลิวต้องแสงจันทร์ที่ตัดเป็นชิ้นๆแช่น้ำอมฤตไว้ออกมา ให้พี่ซิงอีหนึ่งขวด นางรีบนำไปให้จางหยงดื่มทันที จินเป่าจึงนำไปค่อยๆป้อนให้จางซิน โดยหยดน้ำอมฤตใส่ปากทีละน้อยและหยิบชิ้นของผลหลิวต้องแสงจันทร์ออกมาปีบเอาน้ำใส่ปากของนางให้หมด และฉีกเนื้อของผลหลิวต้องแสงจันทร์เป็นชิ้นเล็กๆป้อนให้นาง อาจจะเพราะความหวานความหอมของผลหลิวทำให้จางซินยอมที่จะกินลงไป ซิงอีเห็นนางทำก็ทำตามบ้าง"ตอนนี้เราก็ต้องรอเวลาอีกสามวันสองคนนี้ถึงจะตื่น เอาแบบนี้วันนี้เราก็ย่างปลากินกันก่อนนะ แล้วค่อยคิดกันไหม ทั้งสองคนข้าว่าดีขึ้นมากแล้วล่ะดูสีหน้าไม่ได้ซีดเซียวอีกแล้ว"จินเป่ากล่าวขึ้น ห่าวอู๋มู๋ลี่จึงก่อไฟด้วยตัวเอง"อวี่เจ้าเห็นไหมพี่ก่อไฟด้วยตัวเองได้ด้วยนะ สิ่งที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน"ห่าวอู๋มู๋ลี่
"เจ้าอยู่ที่ใดกันกระต่ายหยก ทำไมพวกข้าเข้าไปข้างในไม่ได้ มีเงามาโจมตีพวกข้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงาอะไรมันเร็วมาก"จินเป่าสื่อกับกระต่ายหยกโดยที่นางไม่ได้ขยับเขยื่อนตัวเลยสักนิดเพราะกลัวว่าเงานั้นจะโจมตีอีก เพราะระหว่างที่เงานั้นประทะกับห่าวอู๋อวี่เมื่อครู่นางรู้สึกเวียนหัวกับแรงกดดันนั้นมาก"เจ้านายน้ำอมฤตช่วยให้เจ้านายเข้ามาในด้านนี้ได้เร็วมากขึ้น ท่านไม่ต้องไปต่อสู้กับเงาของพวกนั้น เพียงท่านสาดน้ำอมฤต ไปอีกฝั่งแล้วท่านก็เข้ามากันได้เลย พวกนั้นมันเป็นพวกเงือกแต่หน้าตามันไม่ได้สะสวยเหมือนที่พวกท่านคิดหรอกนะ อย่าได้เห็นมันเลยจะดีกว่าใช้น้ำอมฤตนะเจ้านาย"เจ้ากระต่ายหยกสื่อสารพรางมองหน้าของปลาหลี่จิ๋ว ที่ทำปากจู๋อยู่ พอจินเป่ารู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจับมือห่าวอู๋อวี่และพยักหน้า มือข้างหนึ่งปล่อยน้ำอมฤตและอีกข้างก็กระตุกมือห่าวอู๋อวี่ เมื่อนางปล่อยน้ำอมฤตแล้วก็มีเงาดำพุ่งมาที่น้ำอมฤตนั้น แต่นางไม่ทันได้สังเกตุนางเงือกที่เจ้ากระต่ายหยกกล่าวขึ้นก็ถูกห่าวอู๋อวี่ลากตัวลงไปเสียก่อน และตอนนี้ก็เจอกับกระต่ายหยกที่กำลังมองหน้าปลาหลี่จิ๋วตัวสีขาวน่ารักนั้นอยู่ กระต่ายหยกของนางแม้มันจะบรรลุขั้นศักดิ
แสกสาก แสกสาก เจ้าคางคกตัวใหญ่สี่ม่วงเข้มค่อยๆเดินออกมาจากป่า มือข้างหนึ่งของมันถือสิ่งคล้ายๆกระบองตรงปลายมีหนามๆออกมา และตรงหัวของพวกมัน มีสิ่งแหลมๆเหมือนงาช้างไม่ผิด และด้านหลังเหมือนจะมีหน่อออกมาสามอัน แต่ละอันแหลมคมมาก ลายที่ตัวเหมือนลงอักขระยันต์อะไรซักอย่าง เดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งหกอย่างช้าๆ และอยู่ก็มีเสียงเดินตุบ ตุบ ตุบตุบ มาและสิ่งที่เห็นก็คือร่างของคางคกอีกตัว แต่มีลักษณะที่ใหญ่กว่าตัวที่อยู่กลุ่มที่เดินเข้ามาหาพวกนางก่อนหน้านี้ ใหญ่กว่าเป็นหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียวและมือที่ถือกระบองนั้นไม่ใช่กระบองธรรมดาอีกแล้วเป็นกระบองที่ตรงปลายเป็นหัวกระโหลกสัตว์ชนิดหนึ่ง"แม่นางจินเป่าเจ้าคิดว่าเงียบเหงาไม่ใช่หรือ นี่เป็นทางออกของเจ้าแล้วนะ ที่เจ้าจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป แต่ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราจะรอดหรือไม่ เพราะตอนข้ากับซินเออร์มาไม่ได้พบเจออะไรอย่างนี้ด้วย เอาอย่างไรดีล่ะ ที่นี่หายตัวก็ไม่ได้ เหาะก็ไม่ได้เสียด้วย แถมเหมือนถูกกดพลังไว้อีกต่างหาก"ห่าวอู๋มู่ลี่กล่าว ทั้งหกคนยื่นหันหลังชนกันเพื่อป้องกันการที่คางคกพิษจะเข้ามาทำร้ายผู้ใดผู้หนึ่ง "ลงมือก่อนได้เปรียบ เอาเลย"จินเป่ากล่าวพลา
ทางด้านทั้งหกคนเมื่อออกจากเมืองตะวันและหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งคืนพอตอนเช้าก็รีบเดินทางต่อโดยใช้ทางเท้า พวกเข้าทั้งหกเข้าไปในป่าใหญ่ ที่ไม่ค่อยรกสักเท่าไหร่"ป่าแห่งนี้ชื่อว่าอะไรหรือและเราจะต้องเดินทางเท้ากี่วันกัน"จินเป่าถามขึ้นขณะเดินเข้าป่าได้สักหนึ่งก้านธูป ก็รู้สึกเหนื่อยหอบ เหงื่องไหลท่วมตัว"เดินเพียงหนึ่งก้านธูปเจ้าก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ข้าเห็นตอนที่พวกเราเรียนอยู่ที่สำนักตะวันเลือน เจ้าก็เดินป่าออกจะบ่อย แถมแข็งแรงกว่าใครๆเสียอีก หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าอุ้มกันนะ หรือจะขึ้นหลังข้าดี"ห่าวอู๋อวี่ถามขึ้นอย่างยิ้มๆ"คุณชายสี่ก็เหมือนผู้ที่ติดตามพวกเราจังเลยนะ เพราะเวลาที่พวกเราเดินป่าพวกเราก็ไปกันเพียงสี่คน แต่คุณชายสี่เหมือนจะรู้ดีมากเลย"จางซินถามแบบยิ้มๆเช่นกัน"ป่าแห่งนี้คือป่าม่าน เราจะบินผ่านหรือหายตัวผ่านไม่ได้เด็ดขาด ม่านก็แปลว่าช้าลง เราจะใช้เวลาอย่างน้อยก็สามวัน ถึงจะผ่านพ้นป่านี้ไปได้ และเราจะใช้สัตว์อสูรกันอีกครั้ง ตอนที่พวกขามาก็ไม่พบสิ่งใดที่น่ากังวลสักเท่าไหร่ พบแต่สัตว์อสูเล็กๆน้อยๆเท่านั้น"จางหยงกล่าวให้ทุกคนฟัง"ท่านพี่ข้ากำลังจะตอบอยู่แล้วเชียว ท่านพี่แย่งข้าตอบตลอด
"ไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้นเลยทำไมถึงเป็นแบบนี้แล้วทำไมคนถึงเฝ้าเยอะแยะขนาดนี้มันเป็นเพราะสิ่งใด ไปจับผู้หนึ่งผู้ใดมาสอบถามให้มันรู้เรื่อง พินิจจิตใจมันเลยไม่ต้องถามอะไรให้มันมากกว่า"บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในมิติเชื่อมจิตกล่าวขึ้น พอบังคับจับบุรุษผู้หนึ่งมาได้ก็พินิจจิตใจทันที ผู้นั้นเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายใหญ่ และในสมองของเขาก็ไม่รู้อะไรเลยรู้เพียงว่าทั้งหกนั้นได้เข้ามาในถ้ำแห่งนี้ พวกนั้นขนหีบของมามากมาย และไม่ได้ออกมาอีกเลย“แล้วของกับคนมันหายไปได้อย่างไรกันนะ หาคนที่มีความรู้มากกว่านี้หน่อยเถอะเอาคนที่รู้จักถ้ำแห่งนี้ ไม่งั้นก็หัวหน้าอ่ะ”บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ลูกน้องจึงไปนำตัวคนมาใหม่ จึงได้ความเพิ่มเติมว่าคุณชายสี่สามารถพาทุกคนออกจากถ้ำนี้ได้โดยอีกาดำสามขาที่เป็นผู้เฝ้าที่นี่ และทั้งหกน่าจะไปได้นานแล้ว"อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วว่า พวกนั้นหายไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้นานแล้ว ขนาดหัวหน้าตระกูลห่าวอู๋เองนั้น ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าบุตรและสหายพวกนั้นหายไปไหน เป็นดังที่แม่นางผู้นั้นกล่าวจริงๆเอาแบบนี้พรุ่งนี้เช้าเตรียมตัวออกเดินทางไปจากที่นี่เถอะ พวกนั้นน่าจะรู้ตัวแล้ว และรีบหนีไปแต่ข