บ่ายวันนั้น ภายในห้องทำงานเงียบจนน่าประหลาด นารานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเหมือนทุกวัน…นิ่ง เงียบ และมีระยะห่างกับโลกภายนอกพอ ๆ กับแสงที่ไม่อาจลอดถึงกลางอกเธอได้
บรรยากาศเงียบเกินไปสำหรับใครบางคนที่เคยหัวเราะง่าย แม้แค่เรื่องเล็ก ๆ ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก็ปรากฏหน้าประตู ตามด้วยเสียงเคาะเบา ๆ สองครั้ง ก่อนประตูจะเปิดออกอย่างไม่รอคำอนุญาต พราวฟ้าโผล่หน้าเข้ามาในห้อง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประจำตัว ดวงตากลอกไปทางเพื่อนสาวที่ยังคงก้มหน้าอยู่กับเอกสารตรงหน้า “นาราเพื่อนรัก ฉันหิว ไปกินข้าวกัน" ไม่มีคำทักทาย ไม่มีเกริ่นนำ เพราะความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ใต้คำว่า หิว นั้นชัดเจนพอแล้ว เธอเดินเข้ามาในห้องอย่างคุ้นเคย ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟามุมห้อง แล้วเท้าคางมองนาราอย่างใช้สายตาสแกนไปทุกมุมใบหน้า “นี่เธอจะตั้งใจทำงานต่อไปทั้งที่ท้องว่างจริง ๆ เหรอ" "หรือว่าเพราะมัวแต่คิดเยอะ เลยลืมเวอีกฝั่งหนึ่งของร้าน ธีภพยังคงมองตรงมาที่โต๊ะนั้น โต๊ะที่เขาจำได้ทุกแสง ทุกมุม ทุกการนั่งของเธอ ดวงตาคมแฝงอารมณ์ที่ซ่อนลึก แต่ไม่อาจปิดความไหววูบในเสี้ยววินาทีเมื่อเห็นสีหน้าเธอ เขาค่อย ๆ วางช้อนในมือลง ขยับตัวเหมือนจะลุก …แต่ยังไม่ทันยืนเต็มความสูง “คุณธีภพคะ” เสียงหวานเรียบนิ่งของหญิงสาวตรงข้ามดังขึ้นพอดี หล่อนเลิกคิ้วมองเขาด้วยแววตาคล้ายสงสัย คล้ายจับสังเกต “มองอะไรอยู่คะ? หรือมีใครที่รู้จัก?” ธีภพชะงัก มือที่กำลังจะพยุงตัวลุกค้างอยู่กลางอากาศเพียงเสี้ยววินาที ก่อนเขาจะยกยิ้มจาง ๆ …ไม่ตอบคำ แล้วค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงอย่างเดิม “ไม่มีอะไรครับ แค่รู้สึกว่าเห็นคนรู้จัก” ประโยคนั้นออกจากปากเขา แต่ไม่ได้ส่งถึงหัวใจ เพราะสายตาของเขา ยังคงเฝ้ามองเธออยู่เงียบ ๆ แม้ในมุมที่ไม่มีสิทธิ์ ... ที่โต๊ะริมหน้าต่าง นารายกมือขึ้นแตะแก้มตนเองแผ่ว ๆ เธอไม่แน่ใจว่ามันร้อนเพราะบรรยากาศภายนอก หรือเพราะหัวใจภายในกำลังลุกไหม้ พราวฟ้ายังไม่พูด แต่สีหน้าเธอนุ่มลง คล้ายอยากจะดึงนาราออกจากตรงนั้นทันที แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยชวน เสียงของนาราก็ดังขึ้นเบา ๆ “…เรานั่งกินตรงน
เขาไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้เอ่ยคำอธิบาย ไม่มีคำแก้ตัว มีเพียงแต่อ้อมกอด ที่สื่อชัดเจนถึงความรู้สึกที่เขาไม่สามารถเอ่ยได้ด้วยคำพูดใด ๆ เหมือนเขากลัวว่า… ถ้าเธอเดินจากไปในครั้งนี้ เขาอาจไม่มีโอกาสได้กอดเธออีกเลยตลอดชีวิต และนารา… เธอก็ไม่ขัดขืน ไม่ผลักไส ไม่แม้แต่จะสะบัดตัวหนี เธอแค่นิ่ง ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนนั้น เหมือนคนที่กำลังกลั้นลมหายใจของตัวเองไว้ เพราะไม่รู้ว่า ถ้าสูดลมเข้าไปอีกสักวินาที...หัวใจจะแตกสลายตรงนั้นเลยหรือเปล่า เวลาผ่านไปช้า ๆ ในความเงียบ จนกระทั่งเสียงของนาราก็ดังขึ้น เบา…และเรียบนิ่งเกินกว่าจะบอกได้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร “…คุณกอดฉันพอแล้วหรือยังคะ” เพียงเท่านั้น คำถามที่เหมือนไม่ใช่คำถาม แต่คล้ายกำแพงที่เธอกั้นไว้…เริ่มปิดกลับอีกครั้ง ธีภพชะงัก หัวใจเขากระตุกวูบ ...อ้อมแขนนั้นก็คลายออกจากร่างของเธอ มือของเขาเลื่อนออกมาอย่างเชื่องช้า ไม่อยากปล่อย แต่ก็ไม่มีสิทธิ์จะรั้ง ดวงตาของเขาสบกับเธอ แต่เธอไม่ได้มองตอบ นาราเพียงแค่หลุบตาลง ซ่อนทุกความเปราะบางไว้ใต้เปลือกตาเรียบนิ่ง ทั้งที่ในอก…เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่ม “คุณธีภพ
แสงแดดบ่ายแก่เอียงอ่อนลงเมื่อรถกลับมาถึงวรเมธินทร์กรุ๊ป สายลมต้นฤดูหนาวปะทะใบหน้า แต่กลับไม่ได้ปลุกความสดชื่นขึ้นในแววตาของนาราเลยสักนิด เธอก้าวลงจากรถอย่างเงียบงัน พราวฟ้าเดินเคียงข้างอยู่เงียบ ๆ ไม่พูด ไม่ซักถาม มีเพียงเงาที่ทอดยาวคู่กันบนพื้นหินเย็นเงียบของอาคารสูง เมื่อเดินมาถึงโถงล็อบบี้ นาราชะลอฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองพราวฟ้าอย่างรู้สึกผิดแผ่ว ๆ “ฟ้า แกยังมีถ่ายสัมภาษณ์กับรายการเย็นนี้ใช่ไหม?” เสียงเธอเบา แต่เจือความอ่อนโยนที่คนฟังสัมผัสได้เสมอ พราวฟ้าขมวดคิ้วเบา ๆ “ฉันเลื่อนไปแล้ว ไม่สำคัญเท่าแกหรอกนารา” แต่คนตรงหน้ากลับส่ายหน้าน้อย ๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางมากจนแทบมองไม่เห็น “พอแล้ว…วันนี้แค่มาอยู่ข้าง ๆ ก็พอแล้ว” “กลับไปเถอะฟ้า ไปทำหน้าที่ของเธอให้เต็มที่ ฉันอยู่ได้” คำว่า “อยู่ได้” ของเธอ แผ่วลงจนคล้ายเสียงกระซิบที่กลั่นออกมาจากหัวใจอ่อนล้า พราวฟ้าจ้องใบหน้าของเพื่อนรักอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้าอย่างอ่อนใจ “ก็ได้…แต่ถ้ามีอะไร เธอต้องโทรหาฉันทันที เข้าใจไหม” นาราพยักหน้าเบา ๆ ไม่มีเสียง ไม่มีคำรับปาก แต่แววตาเธออ่อนลงพอจะสื่อคำขอบคุณที่
เธอทรุดตัวลงข้างเตียงอย่างคนที่หมดแรง มือข้างหนึ่งค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบกรอบรูปใบหนึ่งขึ้นมา รูปนั้น คือภาพถ่ายของ กานต์ ชายหนุ่มในสูทสีเทาอมฟ้า รอยยิ้มอบอุ่นที่เคยเป็นทุกอย่างของเธอ และดวงตาที่มองเธอด้วยความรักไม่มีวันเปลี่ยน นารากอดกรอบรูปไว้แนบอก หลับตาลงแน่นเหมือนกำลังขออ้อมแขนจากใครสักคนที่ไม่มีวันได้กลับมา เสียงสะอื้นไม่ดัง แต่น้ำตาหยดแรก…ก็หลุดลงมาบนแก้มอย่างไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป “กานต์…ทำไมทุกอย่างมันถึงเจ็บขนาดนี้…” เสียงเธอแผ่ว เหมือนกระซิบกับเงา เธอกัดปากแน่น มือกำกรอบรูปนั้นแนบอก น้ำตาหยดแล้ว…หยดเล่า ราวกับบาดแผลที่เธอกลั้นไว้มาทั้งวัน สุดท้ายก็ไม่มีที่ให้หลบอีกแล้ว “ขอโทษนะ…” “ขอโทษที่ฉันยังลืมคุณไม่ได้ ขอโทษ…ที่หัวใจฉันมันยังสับสน ขอโทษ…ที่ปล่อยให้ใครอีกคนเข้ามาในความรู้สึกของเรา” เสียงเธอสั่นพร่า “แต่ฉันเจ็บจริง ๆ กานต์ ฉันไม่ไหวแล้ว…” เธอร้องไห้อย่างเงียบงัน กอดกรอบรูปแน่นราวกับจะยึดมันไว้ไม่ให้หลุดจากชีวิต ทั้งที่รู้ดี…ว่าความรักนั้น มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ในห้องนอนอันเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมหายใจสะอื้นของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้
กลิ่นข้าวหอมมะลิหุงร้อนใหม่ลอยแตะจมูก ธีภพลืมตาขึ้นช้า ๆ หลังจากซุกตัวอยู่อย่างเงียบงันบนตักแม่มาครู่ใหญ่ ความอบอุ่นที่เคยเป็นเพียงความทรงจำ วันนี้กลับมาโอบกอดเขาอีกครั้ง เสียงของคุณสุวิมลดังขึ้นเบา ๆ ข้างหู “ภพ...ลุกไปกินข้าวหน่อยนะลูก แม่ทำของที่ลูกเคยชอบไว้” ธีภพพยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่ลุกขึ้นตามแรงมือที่ประคองอย่างอ่อนโยน แล้วเดินไปยังโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ที่มีแสงไฟสีอุ่นส่องลงมาบนจานข้าวเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความรัก เขากินช้า ๆ ไม่ได้เพราะไม่หิว แต่เพราะทุกคำมีรสชาติของความคิดถึงปนอยู่ ข้าว…ไข่เจียว…ต้มจืดไชเท้าใส่หมูบด ทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กชายคนหนึ่งในโลกที่ไม่ต้องต่อสู้กับใคร “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะภพ…” เสียงคุณสุวิมลเอ่ยเบา ๆ ขณะนั่งลงข้างลูกชาย “…แม่ยังอยู่ข้างลูกเสมอ แค่ลูกอย่าเงียบเกินไปจนแม่เข้าไม่ถึง” ธีภพยิ้มจาง ๆ ในดวงตาเขายังมีแววเศร้า…แต่ลึกลงไป กำลังเริ่มมีเปลวไฟเล็ก ๆ ลุกขึ้นใหม่ หลังจากเก็บจาน เขาขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ เสียงฝักบัวไหลรินช่วยชำระเศษซากความอ่อนแอออกจากร่างกาย และเมื่อเขาเปลี่ยนชุดนอ
เช้าวันรุ่งขึ้น ธีภพและคุณสุวิมลมาถึงโรงพยาบาลตามนัด ห้องตรวจของหมอวรัตถ์ยังคงเงียบสงบเหมือนทุกครั้ง แต่สำหรับธีภพวันนี้ ความเงียบกลับยิ่งทำให้หัวใจเขาสั่นไหว หมอวรัตถ์ยิ้มทักทายอย่างอบอุ่น ขณะเชิญให้ทั้งสองนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะตรวจ “สวัสดีครับคุณภพ สวัสดีครับคุณแม่ วันนี้มาเช็กสุขภาพใช่ไหมครับ?” ธีภพพยักหน้าเล็กน้อย “ครับ ผมรู้สึกว่า...บางทีร่างกายมันยังแปลก ๆ อยู่” หมอวรัตถ์พยักหน้าและเปิดแฟ้มตรวจสุขภาพเบื้องต้น เขาเริ่มต้นถามคำถามพื้นฐาน “หลังจากที่ได้รับการผ่าตัดมาแล้ว คุณภพรู้สึกยังไงบ้างครับ? อาการดีขึ้นไหม? สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้นไหม?” ธีภพนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปตามที่เขารู้สึกจริง “ดีขึ้นครับ ในแง่ของร่างกายไม่มีอาการเจ็บปวดอะไร แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลก ๆ อยู่ในร่างกาย มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง...มันเหมือนมีใครบางคนอยู่ในความคิดของผมตลอดเวลา” หมอวรัตถ์นั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือสงสัย เพราะเป็นคำถามที่เคยได้ยินจากผู้ป่วยบางรายหลังการผ่าตัดหัวใจมาแล้ว “อาการเช่นนั้น เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้
ลาริสาหัวเราะเบา ๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนหวาน "ลูกก็คิดเผื่อไว้บ้างค่ะคุณแม่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนั้นเมื่อไหร่" เมื่อประตูห้องรับแขกถูกเปิดออก เสียงทุ้มลึกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น "กลับมาแล้วเหรอลูก ไปกับแม่วันนี้เป็นยังไง สนุกไหม?" คุณวิศรุต เกริกไกร รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผู้ที่ใครต่างยำเกรงในแวดวงการเมือง กลับมีแววตาอ่อนโยนเพียงแค่เห็นลูกสาวคนเดียวก้าวเข้ามา "สนุกค่ะคุณพ่อ ได้ผ้าคลุมไหล่ผืนใหม่ที่ลูกเล็งไว้พอดีเลย คุณแม่ก็ช่วยเลือกด้วย" คุณภาวินีทรุดตัวนั่งลงข้างลูกสาว สัมผัสแผ่วเบาแตะที่มือเธออย่างอ่อนโยน "ผืนที่ลูกเลือก แม่ว่ามันเรียบแต่ดูดี สีพาสเทลหวาน ๆ เหมาะกับลูกอย่างมาก" คุณวิศรุตพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ดวงตาหลุบลงอย่างใช้ความคิดก่อนเอ่ยถาม "แล้วเรื่องคุณธีภพ... ที่พ่อให้ลองคบหาดู ลูกคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง?" ลาริสาชะงักนิดหน่อย ดวงตาใสหลุบต่ำเพียงครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ "ลูกยังไม่ได้ตัดสินอะไรแน่ชัดค่ะคุณพ่อ เพิ่งได้พูดคุยกันไม่นาน แต่จากที่ได้สัมผัส... เขาเป็นคนสุภาพ พูดน้อยแต่มีเหตุผล ดูมั่นคงและมีวุฒิภาวะดีค่ะ" คุณวิศรุตนิ่งไปเพียงอึดใจ สายตาคล้
"เริ่มจากวันนี้ ขยายอาณาเขตธุรกิจของเราออกไปทุกด้านให้เร็วที่สุด" เสียงของธีภพเยือกเย็นแต่ทรงพลัง ราวกับไม่มีที่ว่างให้ความลังเลใด ๆ "ผมต้องการให้ซาเลียนยืนอยู่ในทุกอุตสาหกรรมที่เดชาสกุลวงศ์เคยครอบครอง" ภานุวัฒน์หันมามองอย่างเข้าใจ ไม่มีคำถามไม่มีข้อแม้ "ใหญ่กว่า... แกร่งกว่า... และเป็นคู่แข่งที่พวกเขาจะไม่มีวันลบออกจากเส้นทางได้" ธีภพสบตาเพื่อนสนิทที่ร่วมฝ่าฟันมาด้วยกัน ในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเงียบงัน แต่ชัดเจนราวกับเปลวเพลิง "ฉันจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องนาราได้อีกต่อไป... และฉันจะไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของพ่ออีกแล้ว" แผนเกมเริ่มต้นขึ้นแล้ว ไม่ใช่เพื่อเอาชนะเพียงธุรกิจ แต่เพื่อสร้างอาณาจักรที่เขาจะใช้ปกป้อง...ผู้หญิงเพียงคนเดียว .............. หลายวันผ่านไปหลังจากเหตุการณ์ในร้านอาหาร ช่วงเวลานั้นสำหรับนาราค่อย ๆ กลายเป็นเพียงอดีตไกล ๆ ที่เธอไม่อยากย้อนกลับไปมอง ธีภพไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย และเธอก็ค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ความเคยชินที่สบายใจนัก แต่ก็เป็นความจำเป็นที่ต้องยอมรับ พราวฟ้ายังคงแวะเวียนมาหาเธออยู่เสมอ แม้จะไม่บ่อยเท
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย