เขากึ่งนั่ง อ๋องฉีกึ่งนอน สองคนเหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า ชะตาลิขิตให้ผูกพันกัน"พี่ห้า เสด็จพ่อเรียกให้ท่านช่วยข้าหย่าจริงหรือ?” อ๋องฉีรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย ตอนนั้นที่ไปคุยกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังไล่เขาให้ไสหัวไปอยู่เลย“ใช่แล้ว พระองค์รับสั่งว่า ไม่อาจทำร้ายหน้าของมหาสนาบดีฉู่ได้” อวี่เหวินห่าวลำบากใจเหลือเกิน ไม่ว่าจะหย่าหรือเลิกราไป อย่างไรเสียก็มีแม่หม้าย แบบนี้จะไม่ทำร้ายหน้าตระกูลฉู่ได้อย่างไรกัน?“เสด็จพ่อเรียกท่านจัดการอย่างไร? พระองค์น่าจะคิดหนทางจัดการได้มิใช่หรือ? เสด็จพ่อหัวดีกว่าพวกเราเสียอีก”หลังของอวี่เหวินห่าวสะดุ้งโหยงขึ้นจากที่นั่งเล็กน้อย ให้ความเจ็บปวดบรรเทาลงบ้าง และร้องโอดโอยออกมาเบา ๆ ด้วยความเจ็บ “ถ้าเสด็จพ่อคิดหาหนทางที่ไม่ทำร้ายหน้าของมหาเสนาบดีฉู่ได้ คืนนี้พี่ชายของเจ้าอย่างข้าคนนี้ก็ไม่ต้องรับโทษแบบนี้หรอก เสด็จพ่อทำอะไรไม่ได้ และยิ่งไม่สามารถออกราชโองการมาได้อีก มิฉะนั้นแล้ว หน้าของมหาเสนาบดีฉู่จะเอาไปไว้ที่ไหน?”“เช่นั้นท่านคิดวิธีออกหรือไม่?” อ๋องฉีเอ่ยถาม“เจ้าคิดดีแล้ว?” อวี่เหวินห่าวหันไปถามอ๋องฉีอ๋องฉีหันกลับมามองเขาอย่างนิ่ง ๆ "ยังมีทางอ
คำถามนี้ทำให้อวี่เหวินห่าวชะงักไปครู่หนึ่งเพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันและแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องคิด ตั้งแต่เหล่าหยวนตั้งครรภ์ เขาก็รักจนไม่อาจเสแสร้งเป็นอื่นได้อีกตอนนี้อ๋องฉีถามขึ้นมา เขาก็นึกอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลอะไร? ปล่อยวางได้ก็คือปล่อยวางได้ “พี่ห้า” อ๋องฉีเห็นว่าเขาลังเลไม่พูดไม่จา จึงดันตัวเองลุกขึ้นมาเล็กน้อย และมองเขาด้วยความตกใจ “นี่อย่าบอกนะว่าท่านยังคงชอบนางอยู่?”อวี่เหวินห่าวเหลือบตามองไปทางเขา “อย่าได้พูดจาเหลวไหล พี่สะใภ้ห้าของเจ้ายิ่งขี้งอนอยู่”“แล้วท่านยังชอบอยู่หรือไม่?” อ๋องฉีเอ่ยถามอวี่เหวินห่าวส่ายหน้า “ไม่ได้ชอบ”“แล้วท่านทำอย่างไร? ถึงได้ลืมนางได้รวดเร็วเช่นนี้”อวี่เหวินห่าวคิดแล้วคิดอีก เขาทำอย่างไร? เขาไม่ได้ทำอะไรเลยผ่านไปสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้น เหมือนนึกอะไรดี ๆ ออก “เพราะว่ามีพี่สะใภ้ห้าของเจ้าไงล่ะ”“จะบอกว่ามีคนอื่น ก็จะลืมอีกคนได้งั้นหรือ? ถ้าใช้วิธีนี้ก็ต้องหาผู้หญิงอื่นมาสักคนใช่ไหม?” ท่าทางอ๋องฉีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่อวี่เหวินห่าวได้แต่บ่นพึมพำในใจ เขาเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน แต
สามีภรรยาบ้านอื่นจะหย่า แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเจ้าห้ากัน? ลำเอียง เรียกเขาเข้าวังไปโบยกลางดึก นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆซูยี่ประคองอวี่เหวินห่าวไปถึงเตียงนอน อวี่เหวินห่าวค่อย ๆ หย่อนตัวลงมากับเตียง ซูยี่เลิกเสื้อของท่านอ๋องขึ้นและถอดกางเกงออก อาซื่อและลวี่หยารีบหันหน้าหนี และออกไปอย่างรวดเร็วอวี่เหวินห่าวรู้สึกท่อนล่างมันเย็นโหว่งแปลก ๆ จึงหันกลับไปด้วยความตกใจและเจ็บแผล เขากัดฟันพูด “ซูยี่ ไสหัวไปให้พ้น”ซูยี่ตกใจจนชะงักไป “ไม่รักษาแผลหรือขอรับ?”หยวนชิงหลิงไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี จึงโบยมือให้ซูยี่ “ซูยี่ เจ้าออกไปก่อน ไปยกน้ำร้อนมา”ซูยี่ขานรับคำสั่ง มองไปทางสีหน้าของท่านอ๋องที่อยากจะกินคนด้วยความสงสัย รู้สึกว่านับวันท่านอ๋องยิ่งรับใช้ยากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากซูยี่ออกไปแล้ว อวี่เหวินห่าวก็บ่นออกมาอย่างหงุดหงิดใจ “ซูยี่เก็บไว้ข้างกายข้าไม่ได้แล้ว”หยวนชิงหลิงมองรอยแดงช้ำเป็นวงบนขาของเขา แม้ว่าจะไม่ได้เหมือนครั้งก่อนที่ถูกโบยจนเนื้อแตก แต่ก็ถูกโบยจนเนื้อช้ำบวมเป็นสีดำเป็นวงกว้างขนาดนี้ ใต้ผิวหนังก็มีการช้ำเลือด แถมผิวที่ปริออกก็มีเลือดออกซิบออกมานางเปิดกล่องยา หยิบยาฆ่
ถังหยางกับหยวนชิงหลิงหันมามองทางเขา พร้อมกันอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินหยวนชิงหลิงรีบพูดว่า “ยังมีเหลืออีกยี่สิบไม้? เสด็จพ่อให้ท่านแก้ปัญหาอันใดอีก?”อวี่เหวินห่าวจึงเล่าต่อ “เสด็จพ่อบอกว่า ต้องรีบคิดแผนการให้เจ้าเจ็ดหย่ากับฉู่หมิงชุ่ยให้เรียบร้อย และไม่ทำร้ายหน้าของมหาเสนาบดีฉู่อีกด้วย”ถังหยางส่ายหน้า “เกรงว่าคงไม่อาจที่จะไม่ทำร้ายหน้าของมหาเสนาบดีฉู่ได้นี่สิขอรับ มีแม่หม้ายแบบนี้ จะเหลือหน้าอะไรได้อีก ใครจะไปสนว่าหย่าร้างหรือเลิกร้างกัน?”อวี่เหวินห่าวนอนเกยคางกับหมอน คิ้วได้รูปของเขาขมวดแน่นด้วยความเคร่งเครียด “มีหรือข้าจะไม่รู้? แต่เสด็จพ่อทรงมีพระบัญชาลงมาเช่นนี้”หยวนชิงหลิงรู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมา “เรื่องหย่าร้างเดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้าตาชื่อเสียง แค่คนสองคนไม่อาจร่วมทางต่อไปด้วยกันได้ แม้ไปต่อไม่ได้ก็คงเกิดความขุ่นเคืองต่อกัน เรื่องความขุ่นเคืองใจนี่มันก็ส่งผลต่อชื่อเสียง จัดการไม่ง่ายเลยจริง ๆ”ถังหยางก็กล่าวเสริมว่า “ครั้งนี้ซวยแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย คู่สามีภรรยาอ๋องฉีหย่ากัน แต่ผู้คนในจวนอ๋องฉู่ต้องมาลำบากไปด้วยเช่นนี้”หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ
“ข้าก็ยังปวดใจอยู่ดี” หยวนชิงหลิงที่ซบลงบนหน้าอกเขา พูดไปพลาง สะอื้นไปพลางพวกเขาอยู่ด้วยกันจนมาถึงตอนนี้ ก็ประมาณครึ่งปีได้แล้ว นับตั้งแต่ถูกลอบสังหารจนมาถึงตอนนี้ ถูกโบยได้รับบาดเจ็บมาไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา?ตอนนี้สภาพร่างกายเขาก็ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่นักอวี่เหวินห่าวที่ทำได้เพียงแค่ลูบผมปลอบโยนนาง “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าลำบากมากกว่านี้อีกสักหน่อย หรือโดนโบยมากกว่านี้ ก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยสักนิด”เขายื่นมือไปประคองนางให้นอนลง “อย่าพิงแบบนี้เลย ระวังจะโดนท้องเอาได้”เขาวางมือลงบนท้องน้อยของนาง และกอดนางจากด้านข้าง จูบนางและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นอนเถอะ อย่าคิดอะไรเหลวไหลเลยนะ เรื่องใหญ่แค่ไหน ย่อมมีทางออกเสมอ”หยวนชิงหลิงมองหน้าเขา และคิดถึงสถานการณ์ของสองพี่น้องที่แตกต่างกัน ลึก ๆ ภายในใจนั้นยังรู้สึกเป็นห่วงและกังวล แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้อ๋องฉีเองก็ช่างน่าสงสาร เรื่องนี้นั้นจะโทษอ๋องฉีก็ไม่ได้นางหวังว่าเรื่องหย่างร้างนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น ชีวิตในภาคหน้าอย่าได้ถูกคนผู้นี้ก่อกวนอีกวันรุ่งขึ้น หลังจากเจ้าห้าไปทำงานแล้ว นางก็ไปหานางข้าหลวงสี่ และพูดคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องนี้
อีกด้าน ทางด้านนางข้าหลวงสี่ได้ยินคนมารายงานว่ามหาเสนาบดีฉู่ได้มาถึงแล้ว จึงได้เตรียมน้ำชาด้วยตนเอง และยังสั่งให้หูหมิงบอกห้องครัวเตรียมอาหารอีกสองอย่างเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ตอนเขามาก็ไม่เคยกินข้าวที่นี่มหาเสนาบดีฉู่มาถึงแล้วก็นั่งดื่มชากับนางอยู่ครู่หนึ่ง อาหารก็ยกมาเสิร์ฟพอดีมหาเสนาบดีฉู่มาที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กินอาหารที่นี่หูหมิงที่เข้ามารับใช้ เขาก็ได้ตบรางวัลให้หูหมิงเป็นเงินก้องหนึ่ง หูหมิงตกใจซะจนไม่กล้ายื่นมือออกมารับนางข้าหลวงสี่หัวเราะเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ยังไม่ขอบคุณท่านใต้เท้าอีก?”หูหมิงรีบกล่าวขอบคุณ มหาเสนาบดีฉู่มองเขาออกไปแล้วก็นั่งยืดตัวตรงกินข้าวกับผู้หญิงที่ชอบครั้งแรก ต้องให้รางวัลให้มาก นี่มันเป็นหน้าตาของผู้ชาย ต้องให้ความสำคัญเสียหน่อยนางข้าหลวงสี่ยิ้ม และกล่าวว่า “อาหารพวกนี้ข้าไม่ได้ลงมือทำ ถ้ารู้ว่าท่านจะมาแล้วล่ะก็ ข้าคงเข้าครัวทำอาหารให้ท่านด้วยตัวเองสักสองอย่าง”“วันหลังยังมีโอกาสอีกมากนัก” มหาเสนาบดีฉู่มองนาง แม้ยิ้มไม่เก่งเหมือนในอดีต แต่แววตานั้นอ่อนโยนขึ้นมาก“ได้สิ!” นางข้าหลวงสี่ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นมากินข้าวเถอ
มหาเสนาบดีฉู่จึงกล่าวว่า “ข้าติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่ถึงสองครั้ง ถ้าเรื่องนี้ข้าสามารถเป็นกำลังช่วยเหลือได้ ข้าก็ยินดี”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจออกมา และเอ่ยถาม “ท่านติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่เรื่องอันใดถึงสองครั้ง ? ”มหาเสนาบดีฉู่กินข้าว และพูดอย่างคลุมเครือว่า “พระชายาฉู่ช่วยเจ้าไว้ตั้งสองครั้งมิใช่หรือ?”นางข้าหลวงสี่นิ่งอึ้งมองตรงไปยังเขา น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าไปหมด นางยกมือเช็ดน้ำตา และพูดกลบเกลื่อน “กินข้าวกันเถอะ”มหาเสนาบดีฉู่ลอบมองนาง และไม่รู้ว่าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากไหนมามอบให้นาง “เอาไว้เช็ดน้ำตาเถิด วันหลังอย่าได้ร้องไห้ง่ายดายเช่นนี้ เจ็บตาเสียเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้ดี แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่อาจละเลยได้ ชีวิตนี้ไม่รู้จะเหลืออีกนานเท่าไหร่แล้ว”นางรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา “ผ้าเช็ดหน้าจากไหนกัน? ตาเฒ่าอย่างท่านทำไมถึงพกผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงามเช่นนี้ได้?”“ข้าเอารองเท้าหัวเสือมามอบให้พระชายา และใช้ผ้านี่ห่อรองเท้าหัวเสือไว้” มหาเสนาบดีฉู่ตอบนางนางข้าหลวงสี่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ท่านสั่งคนทำรองเท้าหัวเสือ? ท่านเพิ่งเคยมอบของขวัญให้พระชายาเป็นครั้งแรก”“ก็ต้องพกมาให้บ้าง คนเร
สถานการณ์ทางด้านจวนอ๋องฉีนั้นช่างเงียบสงบหยวนหยงอี้อยู่กับอ๋องฉี เดิมทีอยู่เพื่อปกป้องเขา ไม่ให้ฉู่หมิงชุ่ยมาก่อเรื่องสร้างความรำคาญแต่ฉู่หมิงชุ่ยกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจวันนั้นมหาเสนาบดีฉู่ได้สั่งคนมาส่งจดหมายฉบับหนึ่ง หลังจากฉู่หมิงชุ่ยอ่านมันแล้วก็ออกจากบ้านไปในทันที ตกดึกนางเพิ่งจะกลับมาหลังจากกลับมาแล้ว ก็ตรงเข้าไปหาอ๋องฉีหยวนหยงอี้ระแวดระวังเป็นอย่างมาก จึงห้ามไม่ให้นางเข้าไปฉู่หมิงชุ่ยเหลือบมองหยวนหยงอี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขา มีเจ้าอยู่ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ข้าแค่อยากกล่าวลากับเขาสักคำ”“อำลา?” หยวนหยงอี้ตกใจจนผงะไปในแววตาของฉู่หมิงชุ่ยมีความโศกเศร้าเจือปนอยู่เล็กน้อย นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และกล่าวว่า “ใช่แล้ว ท่านปู่สั่งให้คนมามอบจดหมายให้ข้า ยอมรับการตกลงเรื่องหย่า รอเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไป เพียงแต่ ข้าทำร้ายเขา สุดท้ายก็เป็นข้ามิใช่หรือ ข้ามาเพื่อขอโทษเขา จะได้ไม่ติดค้างผู้ใดอีกในภายภาคหน้า”หยวนหยงอี้เชื่ออย่างสุดใจว่าคน ๆ หนึ่งไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้โดยไร้เหตุผล แต่ว่านางพูดเช่นนี้ และต
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม