ซูยี่มองดูหยวนชิงหลิงเดินออกไปอย่างโกรธเคือง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่านางกวนใจท่านอ๋องอย่างไร จึงถูกตบตีอีกแล้ว” ถังหยางเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นคิ้วของอวี่เหวินห่าวมีเลือดไหล บนใบหน้าที่ซีด ๆ ก็มีรอยตบเหมือนกัน อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขึมว่า “ซูยี่ รีบไปเอาผงยามา” ซูยี่เดินไปดูและพูดอย่างโกรธเคือง “นางกล้าตบท่านอ๋องเหรอ?” “รีบไปเอาผงยามาสิ!” ถังหยางผลักเขา อวี่ เหวินห่าวพูดอย่างเบา ๆ “ไม่จำเป็น” ถังหยางกลับยืนยันว่าต้องการ แต่พอซูยี่หยิบผงมา อวี่เหวินห่าวก็กลับพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องใส่ยา จริง ๆ นางใส่ยาให้แล้ว” ซูยี่งงมาก อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ท่านอ๋อง นางกล้าที่จะตบท่าน ทำไมท่านยังใช้ยาของนางอยู่? นางตอนนี้จะยิ่งหยิ่งทะนง” อวี่เหวินห่าวไม่สนใจเขา เพียงพูดกับถังหยาง “เจ้าเอายาไปให้นาง ยาจื่อจินน่าจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ยินนางพูดว่าผีหลอก” “เกิดภาพหลอนหรือ?” ถังหยางก็เข้าใจทันที “พระชายาเข้าใจท่านอ๋องผิดแล้ว” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างเย็นชา “เข้าใจผิดอะไรกัน ข้าทำเพื่อให้นางตกใจตื่น รอให้ข้าดีขึ้น นางจะต้องถูกตบตีหนักๆ
ตลอดทางที่ออกไป รู้สึกว่าปอดขยายได้เต็มที่ หายใจก็สะดวกขึ้นมาก ดูเหมือนว่ายานี้จะขยายปอด ปอดขยายตัว หายใจสะดวก ทำให้สมองไม่ขาดออกซิเจนที่จะทำให้เกิดภาพหลอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้นยาจื่อจินและยาถอนพิษแบบนี้ เป็นใครกันแน่? เมื่อมาถึงตำหนักเสี่ยวเยว่อีกครั้ง ถังหยางและซูยี่ตามหยวนชิงหลิงเข้าไป ราวกับว่าป้องกันนางเป็นอย่างดี และยังกล้าที่จะตบท่านอ๋องด้วย? ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เมื่ออวี่เหวินห่าวเห็นนาง สีหน้ายังคงซีด ๆ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นเลือดไหลออกจากบาดแผลของเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย คำว่าขอโทษนางก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ ที่ข้างเตียงจัดการกับบาดแผลให้กับเขา “นั่งแบบนี้ไม่เจ็บเหรอ?” อวี่เหวินห่าวพูดขึ้นทันที จนทำให้หยวนชิงหลิงตกตะลึง นางมองมาที่เขา เขาก็มองตรงมาที่นางด้วยสายตาที่สับสน“ไม่เจ็บมาก!” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเบา ๆ“ขอโทษ!” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น มุมปากของหยวนชิงหลิงขยับเล็กน้อย โบยสามสิบครั้ง พูดมาคำเดียวขอโทษ นางไม่ต้องการญาติดีปรองดองด้วย ระหว่างพวกเขาต้องมีกำแพงกั้นไว้ถึงจะปลอดภัย ฉะนั้น นางน่าจะพูดอย่างเคร
หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไร” อวี่เหวินห่าวไม่ตอบ แต่ถามกลับ “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็นฝีมือของอ๋องจี้?” หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “สัญชาตญาณ” แน่นอนว่านางไม่ใช่คนประเภทที่ต้องพึ่งสัญชาตญาณ เพียงแต่จากการวิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในสมองของนาง คาดว่าคืออ๋องจี้ อวี่เหวินห่าวมองปุ๊บก็รู้ทันที “ข้าไม่เชื่อคำพูดพวกนี้ เจ้าแค่พูดไปเรื่อย” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเบา ๆ “เป็นสัญชาตญาณจริง ๆ ” เธอหงุดหงิดที่เมื่อกี้ตัวเองพูดมาก นางไม่อยากสร้างปัญหา การวิเคราะห์เหล่านี้ที่พูดออกมาเป็นจริง ๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์กับเธอเลย กลับยิ่งทำให้เขาคิดว่าตัวเองขณะที่อยู่จวนเจ้าพระยาจิ้ง จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว คนที่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์มักจะมีการสัมผัสที่ไหวพริบในสถานการณ์ อ๋องจี้เป็นลูกชายคนโต มีผลงานด้านการรบ แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังชื่นชม และเขายังสามารถควบคุมกลุ่มข้าราชบริพารด้วย มั่นใจว่าตำแหน่งรัชทายาทต้องได้มา และเลือดเนื้อเชื้อไของค์อื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีความทะเยอทะยานก็ตาม โดยอาศัยอำนาจปัจจุบันของอ๋องจี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเขากำจัดอว
ปีนี้ถังหยางอายุ 35 ปี แต่ก่อนเขาเคยเป็นทหารผ่านศึกฝีมือดีในสนามรบเฟิงเยว่ ยิ่งกว่านั้นคือเขายังติดสอยห้อยตามอวี่เหวินห่าวมีชีวิตรอดกลับมาด้วยกัน นับว่าเป็นคนมีประสบการณ์โชกโชน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชายผู้แข็งแกร่งคนนี้ ใบหน้าแดงก่ำ ถอนหายใจตลอด พระชายาจะพูดอ้อมค้อมหน่อยได้ไหม?“ใช่ไหมล่ะ?” หยวนชิงหลิงเมื่อเห็นเขาดูมีทีท่าที่ตกใจถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “ถังหยาง นี่เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่?” เสียงตวาดดังขึ้นมาจากด้านใน เสียงตวาดที่ดังสนั่นจนเกือบจะทำให้กำแพงทะลุได้ แน่นอน! มันเป็นสิ่งที่ไม่ยากเกิน ความสามารถของอวี่เหวินห่าวที่เขาจะทำได้ ถังหยางถือกระโถนฉี่วิ่งหนีไปแล้วหยวนชิงหลิงเหม่อมองอย่างลอย ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปอย่างช้า ๆ สีหน้าของอวี่เหวินห่าว ทั้งเก้อเขินทั้งโกรธ ผสมปนเปกันราวกับจานสี ดวงตาลุกโชนไปด้วยความโกรธ จ้องมองไปที่หยวนชิงหลิงอย่างไม่ละสายตา เหมือนกับจะกลืนกินนางทั้งเป็นอย่างไงอย่างงั้น “เอ่อ…” หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโกรธมากขนาดนั้น “ถังหยางบอกว่าพระองค์ยังมีบาดแผลอยู่”“เขาพูดเรื่องไร้สาระ!” อวี่เหวินห่าวกัดฟันพูด หยว
อันที่จริงในใจหยวนชิงหลิงเองนั้นก็รู้สึกจำใจ นางอยากจะดูหรือ? นางอยากจะรักษาบาดแผลบริเวณตรงนั้นของเขารึไง? แต่หากเกิดการติดเชื้อ แล้วเขาตายไป นางเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้ไท่ซ่างหวงหรือกับตัวนางเองเข้าใจได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะตายไปจริง ๆ ก็เป็นเพราะเขานั้นหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่บาดแผลนั้นเบี่ยงออกห่างจากเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขา ตรวจดูจากด้านข้าง แผลลึกมาก ไม่รู้ว่าวิธีไหนที่จะสามารถห้ามเลือดได้ เขาน่าจะเทผงห้ามเลือดเอง เพราะข้าง ๆ มีผงเหนียว ๆ ติดอยู่ ขณะที่นางกำลังคิดและเงยหน้าเหลือบมองอวี่เหวินห่าว อวี่เหวินห่าวชกหมัดออกไป หยวนชิงหลิงรีบหดหัวกลับอย่างรวดเร็ว และในทันใดนั้นก็เห็นใบหน้าของเขาแดงก่ำราวกับปลอกประทัด “ยังต้องเย็บแผล!” หลังจากหยวนชิงหลิงฆ่าเชื้อเสร็จ ก็พูดอย่างจริงจัง “ไม่!” อวี่เหวินห่าวปฏิเสธเสียงแข็ง อวี่เหวินห่าวรู้สึกโกรธจนขนลุกขนชัน อีกทั้งผมทุกเส้นกำลังถูกไฟความโกรธแผดเผาอยู่ “งั้นเอางี้!” หยวนชิงหลิงหยิบกล่องยาขึ้นมา หายาชาที่ใช้สำหรับทา แล้วพูดว่า “ข้าจะให้ยาห้ามเลือดแก่พระองค์ ซึ่งสามารถช่วยให้แผลนั้นสมานตัวได้โดยเร็วที่สุด” “งั้นก็รี
หยวนชิงหลิงฟุบหลับไป ในความฝัน เธอถูกไล่ฆ่า ถูกมีดดาบไล่ฟันตลอดทาง นางวิ่งหาที่หลบซ่อน ในที่สุดก็ถูกไล่ไปถึงทางตัน ดาบเล่มใหญ่ถูกยกขึ้น เธอมองผ่านนิ้วมือที่บังใบหน้าไป เห็นใบหน้าอันน่าสะพรึงของอวี่เหวินห่าว เมื่อดาบถูกฟันลงมา เลือดก็สาดกระเซ็นบนใบหน้าของเธอ เธอกรีดร้องและตื่นขึ้น มีความรู้สึกเปียกบนใบหน้า เมื่อใช้มือลูบ ๆ เป็นน้ำนี่เอง เธอเงยหน้าขึ้นเห็นอวี่เหวินห่าวถือถ้วยอยู่ในมือ ปากชามคว่ำลง ในชามนั้นคือว่างเปล่า หน้าของเขาดูเย่อหยิ่งและร้ายกาจ บนหัวเตียงจะมีถ้วยน้ำวางอยู่ตลอด เพื่อให้เขาสามารถเอื้อมมือไปเอามาดื่มได้เมื่อกระหาย หยวนชิงหลิงโกรธมาก เธอปรนนิบัติรับใช้เขา รักษาเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แทนที่จะกล่าวขอบคุณ แต่กลับถูกเขากลั่นแกล้ง แต่ว่า นางก็ไม่ได้แสดงความโกรธออกมา กลับกัน นางมองเขาด้วยความเห็นใจ “น่าสงสารจริง ๆ เป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงส่ง สู้รบกับศัตรูมานับไม่ถ้วน และตอนนี้กลับทำได้แค่สาดน้ำใส่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพื่อแก้แค้นเท่านั้น” อวี่เหวินห่าวสีหน้าโกรธเคือง ยกมือขึ้นขว้างถ้วยใส่นาง ถ้วยนั้นไม่ได้โดนตัวของหยวนชิงหลิงแต่กลับหล่นลงที่หัวของเขาเอง
หยวนชิงหลิงตามถังหยางไปที่ห้องโถงใหญ่ ระหว่างทาง ถังหยางได้บอกเหตุผลกับนางแล้ว เรื่องที่นางแอบรักษาไท่ซ่างหวงโดยพลการฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องแล้ว ทรงโกรธมาก จึงสั่งให้ขันทีมู่หรูพาคนมาเชิญนางเข้าไปในวังเพื่อไตร่สวนด้วยตนเอง ในใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง นางเข้าใจกฏของวังหลวงดี นางไม่ใช่หมอหลวง ไม่ใช่หมอ ไม่มีคุณสมบัติที่จะรักษาไท่ซ่างหวงได้ ขันทีมู่หรูนั่งรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นยืน และพูดอย่างเบา ๆ “พระชายาฉู่ ฮ่องเต้ให้มาเชิญพระองค์เข้าวัง” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามเพียงคำถามเดียวว่า "ไท่ซ่างหวงเป็นอย่างไรบ้าง?" “ไท่ซ่างหวงถูกวางยาพิษและหมดสติไป” ขันทีมู่หรูกล่าวอย่างเย็นชา หยวนชิงหลิงหลับตาลง ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะทรงหาผู้ทำผิด หากเป็นเพียงแค่การให้การรักษาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ย่อมไม่มีความผิด เช่นนั้นนางก็ไม่มีทั้งความผิดและความชอบ แต่หากมีบางอย่างผิดพลาดขึ้น เช่นนั้นโทษทั้งหมดจะต้องตกเป็นของนาง ทั้งยัง เป็นการถูกวางยาพิษ เมื่อเดินตามขันทีมู่หรูออกไปถึงประตูจวน จึงเห็นหัวหน้าองครักษ์กู้ซีก็อยู่ด้วย แววตา
หยวนชิงหลิงไม่กล้าปฏิเสธ โดยรู้ว่าเขาต้องมีหลักฐานแน่ ๆ จึงตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท ใช่ เพคะ” “เจ้าเรียนทักษะทางการแพทย์มาจากไหน” จักรพรรดิหมิงหยวนถามอีกครั้ง ขณะที่หยวนชิงหลิงเข้ามาในวัง นางคิดอยู่แล้วว่าจักรพรรดิหมิงหยวนจะต้องถามแน่ ดังนั้น นางจึงคิดข้อแก้ตัวไว้ก่อนแล้ว “ทูลฝ่าบาท เมื่อหม่อมฉันยังเด็ก พบกับหญิงสาวเจียงหูท่านนึ่ง นางอาศัยอยู่ที่เมืองปักกิ่งมาระยะหนึ่งแล้ว นางถูกชะตาหม่อมฉันมาก จึงขอให้หม่อมฉันเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากนาง” “เจ้าเรียนนานหรือยัง?” “หนึ่งปี” “ท่านอาจารย์ของเจ้าชื่ออะไร” จักรพรรดิหมิงหยวนกดดันทุกย่างก้าว และถามคำถามให้ถึงที่สุด หยวนชิงหลิงกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่รู้ ท่านอาจารย์ไม่เคยเปิดเผย” ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญมากกับคำพูดที่ไม่มีความโน้มน้าวใจ แต่ยังไงก็ยังไม่หลุดออกมา “เจ้ารักษาอาการป่วยไท่ซ่างหวง เป็นคำสั่งของเจ้าห้า?”หยวนชิงหลิงส่ายหัว “ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้” “ไม่รู้?” จักรพรรดิหมิงหยวนเม้มริมฝีปาก หรี่ตา และพูดอย่างเย็นชา “ครั้งแรกที่เจ้าให้ไท่ซ่างหวงทานยา คือเจ้