มีเจ้าหน้าที่รีบเข้าไปประสานมือ “ท่านอ๋อง พระชายามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”อวี่เหวินห่าวเงยหน้าขึ้น “พระชายามา?”นางมาทำอะไร? ตอนนี้ก็ก็ดึกแล้ว ทำไมไม่นอน?เขาลุกขึ้นเดินออกไป เห็นลวี่หยาพยุงหยวนชิงหลิงเข้ามาเขารีบเดินเข้าไปกุมมือนางและถามเสียงเบา “ทำไมดึกดื่นขนาดนี้ยังมาอีก?”หยวนชิงหลิงมองใบหน้าซีดขาวที่เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียของเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ “วันนี้องค์หญิงบอกข้าว่าฝ่าบาทรงมีพระบัญชาให้เวลาท่านเจ็ดวันไขคดี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมท่านไม่บอกข้า?”เขาพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วง ยังไม่ครบกำหนดเจ็ดวัน และข้าเชื่อมั่นว่าจะไขคดีนี้ได้ก่อนกำหนด”หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาโกหก ถ้าไขคดีด่อนกำหนดได้จริง ทำไมเขาไม่กลับบ้านกลับช่องนางปล่อยให้เขาพยุงเข้าไปข้างนั้นและพูดว่า “เรื่องไขคดีข้าไม่เข้าใจ แต่ว่าข้ารู้เรื่องยาอยู่บ้าง ขอให้ข้าดูศพหน่อย บางทีข้าอาจจะค้นพบเบาะแสอย่างอื่นได้”“ดูศพไม่ได้?” อวี่เหวินห่าวรีบปฏิเสธทันที “คนตายมีอะไรน่าดู?”คนตายมาแล้วตั้งหลายวัน แม้ว่าห้องเก็บศพจะสร้างจากน้ำแข็ง แต่ศพเริ่มบวมอืดส่งกลิ่นเหม็นแล้ว นางจะทนกลิ่นแบบนั้นได้ยังไง?“แต่ตอนนี้พว
ซูยี่ส่ายหน้าแล้วพูดออกมาอย่างบอกไม่ถูก “กระหม่อมมิได้เป็นคนเช่นนั้น”“ข้าเคยช่วยเจ้า ตอนข้าขอให้เจ้าช่วย เจ้ากลับไม่ช่วยข้า แบบนี้ก็คือเนรคุณคน”ซูยี่ลำบากใจมาก มองใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวไร้เยื่อใยของพระชายาอยู่สักครู่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีลวี่หยาก้าวไปข้างหน้าพูดวิงวอนขอร้อง “ซูยี่ เจ้าก็เห็นช่วงนี้ล้วนยุ่งอยู่กับคดีนี้ พระชายาอาจช่วยเรื่องนี้ได้ เจ้าเองก็ช่วยพระชายาสักครั้งเถอะ ถ้าหากถูกท่านอ๋องรู้เข้า เจ้าก็แค่บอกว่าเป็นคำสั่งของพระชายา เจ้าไม่กล้าฝ่าฝืน”ซูยี่คิดว่าท่านอ๋องอาจไล่เขาไปแต่ว่าการไขคดีในตอนนี้ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ช่วงนี้พระชายามักทำเรื่องน่าอัศจรรย์ใจมาโดยตลอด บางทีให้พระชายาไปดู อาจพบอะไรขึ้นมาก็ได้เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ซูยี่เงยหน้าขึ้นพูด “งั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาไม่ควรอยู่ที่นั่นนาน ๆ แม้ว่าห้องเก็บศพจะไม่มียามเฝ้า แต่ก็จะมีการลาดตระเวนเป็นครั้งคราว ถ้าถูกพบเข้า ต้องไปรายงานให้ท่านอ๋องทราบเป็นแน่”“ข้าเชื่อฟังเจ้า!” หยวนชิงหลิงตอบตกลงแล้วหันไปคุยลวี่หยา “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ถ้าท่านอ๋องมา เจ้าก็บอกว่าข้าไปห้องน้ำ”“เพคะ ทราบแล้ว” ลวี่หยาพูดซูยี่ถือตะเ
บางทีคงต้องผ่าศพออกดูแล้วแต่ว่าศพที่บวมอืดจนใหญ่แล้วแบบนี้ นางผ่าคนเดียวมันยากเกินไปคิดดูแล้ว นางหยิบแม่เหล็กออกมา แล้วยกกวาดไปทั่วตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของศพเมื่อกวาดไปที่บริเวณหัวใจ แม่เหล็กมีปฏิกิริยา บริเวณหัวใจก็มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยหยวนชิงหลิงวางแม่เหล็กลง มองสังเกตบริเวณหัวใจอย่างละเอียด พบว่าที่บริเวณหัวใจมีเหมือนรอยเข็มทิ่มขนาดเล็กมาก เหมือนขนอ่อนบนร่างกาย แม้ว่าศพจะบวมอืดจนมีขนาดใหญ่ รอยเข็มนั้นกลับไม่เด่นชัดมากนักมองดูแล้ว ต้องตัดผ่าหัวใจแล้วการชันสูตรศพ ไม่เป็นเรื่องง่ายดายนางเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้มากนัก แค่เคยเรียนคาบชันสูตรศพตอนสมัยเรียนแพทย์นางได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ ไม่มีแรง มองแล้วคงต้องให้ซูยี่มาช่วยซูยี่รออยู่ข้างนอกอย่างร้อนรน จู่ ๆ เห็นประตูเปิดออก เขาก็ตกใจจนกระโดดขึ้นมา “พระ...พระชายา!”“เข้ามา เจ้ามาช่วยข้าหน่อย” หยวนชิงหลิงเรียกซูยี่มองเห็นที่หัวนางคาดไฟฉาย “ท่าน นี่มันคืออะไร?”“อย่าพูดจาเหลวไหล รีบเข้ามาช่วยข้าเร็ว ข้าพบแล้ว” หยวนชิงหลิงพูดซูยี่ที่ได้ยินว่าค้นพบแล้ว ก็รีบตามนางเข้าไปทันทีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา ซูยี่เกือบจะอาเจี
ประโยคนี้ หยุดการตำหนิของอวี่เหวินห่าวไปในทันทีเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพและเจ้าพนักงานก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อได้ยินหยวนชิงหลิงพูดเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก้าวไปข้างหน้าทันทีและกล่าวว่า “”พระชายา พวกเขาไม่มีทางถูกพิษถึงตายได้แน่นอน กระหม่อมล้วนตรวจสอบพวกเขาหลายครั้งแล้ว ไม่มีอาการของการถูกพิษพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าเข้ามาดูที่หัวใจของผู้ตายทุกคนล้วนมีเข็มพิษ เข็มสองเล่มนี้ปักทะลุเข้าหัวใจของผู้ตาย ข้าพึ่งนำออกมา พิษยังคงถูกเก็บไว้อยู่ในหัวใจ บนเข็มต้องหลงเหลือพิษอยู่แน่ เจ้าลองตรวจสอบดู” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก้าวเข้ามาวิเคราะห์ตรวจสอบอย่างละเอียด อวี่เหวินห่าวจูงหยวนชิงหลิงแล้วพูดกับนาง “เจ้ากลับไปนอนที่สำนักผู้ตรวจการด้านหลัง หลังจากนั้นข้าจะรีบกลับไป”หยวนชิงหลิงที่เชื่อฟังไม่ได้โต้เถียง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่อยากช่วยท่าน อย่าโกรธกันเลยนะ”“ไปเถอะ” อวี่เหวินห่าวจูงนางออกไป “เจ้าได้ช่วยข้าแล้ว แต่การค้นพบนี้ดีมาก ส่วนที่เหลือให้พวกเขาจัดการเถอะ เจ้ากลับไปส่วนด้านหลังก่อน ข้าจะเรียกคนไปต้มน้ำร้อนให้เจ้าอาบ”“ได้ยินว่ามีพยานผู้พบเห็นเหตุการณ์อยู่ที่นี้ด้วยคนหนึ่ง ข้า
ในจวนมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่แห่งหนึ่งเพียงแต่เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่แปลกไปเสียหน่อย ยามฤดูร้อนไม่มีน้ำไหลออกมา แต่จะมีน้ำไหลตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ก่อนหน้านี้บ่อน้ำพุร้อนยังไม่มีน้ำ แต่เมื่อสองวันก่อนถังหยางมารายงานว่า ตาน้ำเริ่มมีน้ำไหลออกมา บ่อน้ำพุร้อนเองก็คงเริ่มมีน้ำเต็มแล้วเนื่องจากก่อนหน้านั้นนางยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ อวี่เหวินห่าวจึงไม่พานางมา อีกทั้งยังยุ่งวุ่นวายเรื่องการไขคดีนี้อีกด้วยวันนี้ความกดดันที่เหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่กดทับเอาไว้ได้หลุดออกไปแล้ว และทั้งคู่ก็ตัวเหม็นไปหมด ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายที่บ่อน้ำพุร้อนดีที่สุด บ่อน้ำพุร้อนอยู่ที่ด้านหลังของตำหนักเสี้ยวเยว่ ตาน้ำร้อนมีสองแห่งและอยู่ใกล้กันมาก ศาลาที่สร้างคลุมทับบ่อน้ำพุร้อนเองก็ไม่เล็กเลย มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของห้องๆหนึ่งเลยก็ว่าได้หยวนชิงหลิงมองบ่อน้ำพุร้อนนี้ บ่อน้ำพุร้อนนี้ยังมีชื่อเรียกอีกด้วย ชื่อว่า “บ่อน้ำพุผี”นางถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “ทำไมถึงเรียกว่าบ่อน้ำพุผีล่ะ? ชื่อนี้ฟังดูแล้วน่ากลัวจัง” นางไม่มีความทรงจำอะไรเลยกับบ่อน้ำพุร้อนนี้เลยสักนิด เคยได้มาเห็นที่นี้ไหมก็ไม่รู้ใช่แล้ว เจ้
นางยกมุมปากขึ้นด้วยความเพลิดเพลินเป็นอย่างมากจากสัมผัสอันใกล้ชิดแบบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเขาจะสระผมให้นาง นี่ทำให้นางคาดไม่ถึงที่จริงแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เขาปรากฏกตัวในชีวิตนาง ทั้งเผด็จการ เอาแต่ใจ โหดร้ายและเย็นชานึกไม่ถึงจริง ๆ ใครจะไปคิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายอบอุ่นเหมือนหมาโกลเด้นตัวใหญ่แบบนี้? “เล่าเรื่องพวกผู้หญิงของท่านมาเลยนะ!” หยวนชิงหลิงหลับตาพูด“ไม่มี มีแต่เอาใจตามใจเจ้าคนเดียว!” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างยิ้ม ๆหยวนชิงหลิงพูด “ไม่เชื่อหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของท่าน”อวี่เหวินห่าวหน้าแดง โชคดีที่หยวนชิงหลิงหันหลังให้เขา จึงไม่มีทางมองเห็นได้“ใครพูดว่าไม่ใช่?” เขาแก้ตัวเสียงอ่อนหยวนชิงหลิงหันกลับมามองเขา “ข้าบอกว่าไม่ ข้าแค่สงสัยเท่านั้น จะไม่หึงหวงจริง ๆ ท่านบอกมาเถอะ ครั้งแรกมันเกิดอะไรขึ้น?”อวี่เหวินห่าวหลบตาไม่สบตานาง “เจ้านะเจ้า ทำไมต้องถามอะไรแบบนี้? มีอะไรน่าถาม?”“ก็แค่สงสัยเท่านั้น ข้าอยากฟัง ท่านก็รีบบอกสิ” หยวนชิงหลิงเอามือโอบรอบคอของเขา เจือไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“ไม่บอก!” อวี่เหวินห่าวจับตัวนางหันไปและสระผมให้นางต่อ หยวนชิงหลิงถอนหายใจเสียงเ
อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปจับหน้านางให้ค่อย ๆ หันมา “เจ้าโกรธใช่ไหม? ไหนบอกว่าไม่โกรธ เจ้ามันคนโกหก”หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างอ่อนโยน “ไม่โกรธจริง ๆ ข้าบอกกว่าไม่โกรธก็คือไม่โกรธ ท่านก็รีบอาบน้ำเถอะ ข้าจะรอท่านที่ตำหนัก”นางพูดจบก็ขึ้นไปบนฝั่ง“เจ้าอาบเสร็จแล้วเหรอ?” อวี่เหวินห่าวตกใจ มองใบหน้ายิ้มแย้มองนาง ดูเหมือนไม่ได้โกรธจริง“อาบเสร็จแล้ว ท่านก็รีบอาบเถอะ ท่านยังไม่ได้สระผมเลย ข้ากลับไปรอท่านที่ตำหนักก่อน” หยวนชิงหลิงหยิบชุดคลุมมาสวมแล้วจูบเขากลางอากาศ มันมีเสน่ห์เย้ายวนจนพูดไม่ถูกเลยทีเดียวอวี่เหวินห่าวผิดหวังมากแต่ทว่ากลับห้องก็ดีเหมือนกัน“งั้นก็ได้ เจ้ากลับไปรอข้าที่ห้องก่อน ข้าจะรีบไปหา” เขาดำลงไปในน้ำ สองมือรีบขยี้หัวสระผม หยวนชิงหลิงหันออกไปแล้วหยิบเสื้อผ้าของเขาทั้งสะอาดและสกปรกออกไปด้วยออกไปที่บ่อน้ำพุผีข้างนอก นางพูดกับฉีหลัวและลวี่หยาว่า “ท่านอ๋องรับสั่งว่าคืนนี้พักที่ตำหนักเฝิงอี้ พวกเจ้าทั้งคู่ไปรับใช้ที่ตำหนักเฝิงอี้เถอะ ไม่ได้อยู่หลายวัน นำที่นอนไปทำความสะอาดเสียหน่อย ”“เพคะ พระชายา!” ฉีหลัวและลวี่หยาไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับท่านอ๋องแล้วเดินตามนางออกไปหยวนชิงห
แน่นอนเขาเห็นใครบางคนวิ่งราวกับบินมา วิ่งได้ไวมาก อย่างกับโดนผีร้ายตามไล่กัดหางซูยี่และถังหยางได้เพ่งมองดูดี ๆ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกนั้นมันท่านอ๋องใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?อวี่เหวินห่าวไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในมือถือโต๊ะวางชุดชาเล็ก ๆ นั้นปิดซ่อนความน่าอับอายนั้นและรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ตาที่จ้องมองสองคนนั้นด้วยความโกรธ “ถ้าเรื่องคืนนี้หลุดรอดออกไปได้ ระวังลิ้นของพวกเจ้าเอาไว้ด้วย!”“ท่านอ๋อง ธรณีประตู!”สายเกินไปแล้ว ภายใต้ความโกลาหลนั้น มือที่ถือโต๊ะวางชุดชาเพื่อบดบังสายตา เมื่อขาสะดุ้ดล้มลง คนก็ล้มเสียงดังลงตามไปด้วย“สวรรค์ ซูยี่ รีบเข้าไปประคองท่านอ๋องขึ้นมา ไม่ ๆ เจ้ารีบไปหยิบเสื้อผ้ามาคลุมตัวก่อนเร็ว ไอหย๊า นางข้าหลวงมาแล้ว... นางข้าหลวงสี่ท่านหยุดยืนตรงนั้นก่อน อย่าพึ่งเข้ามา เกิดเรื่องขึ้นแล้ว...”นางข้าหลวงสี่เดิมทีนางเข้ามาเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมพระชายาถึงโกรธ ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้น นางจึงรีบวิ่งเหมือนบินเข้าไปตำหนักเสี้ยวเยว่วุ่นวายอยู่ชั่วขณะหนึ่งอวี่เหวินห่าวห่อผ้านวม ยื่นขาออกมาให้ซูยี่นวดเหล้ายาสมุนไพร หลังของเขาเหยียดตร
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม