หิมะตกหนักจึงทำให้การเดินทางยากลำบาก องครักษ์ของซีหยางเว่ยเจียงรายงานว่า ที่หมู่บ้านข้างหน้ามีงานเทศกาล ระหว่างรอให้หิมะละลาย ทั้งสองพระองค์สามารถเที่ยวเล่นที่นั่นได้ก่อนเมื่อพร้อมค่อยออกเดินทางอีกครั้ง
ซีหยางเว่ยเจียงจึงจำใจพานางไปเที่ยวเล่นในเมือง ความสัมพันธ์ของเขาและนางในเวลานี้แน่นแฟ้นขึ้นเป็นเท่าตัว อยากหยุดเวลาเช่นนี้เอาไว้เหลือเกิน
เนื่องด้วยขาของนางเป็นอุปสรรคต่อการเดิน ทั้งสองคนจึงไม่ได้เร่งรีบนัก
“คืนนี้เราพักที่โรงเตี๊ยมดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลับไปที่ค่ายพักแรม” ซีหยางเว่ยเจียงเสนอ
ซึ่งนางเองก็เห็นด้วยกับเขา ถ้ามืดค่ำกว่านี้เดินทางออกไปขึ้นรถม้าเพื่อกลับค่ายพักแรมที่คนของพวกเขาตั้งเอาไว้คงไม่สะดวกเท่าไร ประกอบกับขาของนางเดินนาน ๆ ไม่ได้ จะให้เขาแบกไปจนถึงค่ายก็กลัวหลังเขาจะหักเสียก่อน
“ก็ดีเหมือนกัน เราสองคนจะได้อยู่ฉลองงานเทศกาลในเมือง” นางกระชับมือของซีหยางเว่ยเจียง ยิ้มให้เขา
รอยยิ้มนั้น เขาอยากให้นางยิ้มให้เขาเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และตลอดไป แต่ลางสังหรณ์กำ
ไม้เท้าของนางที่พิงอยู่กับกำแพงถูกใครสักคนเตะจนหล่นลงไปอยู่ที่พื้น หลี่จื้อฉิงค่อย ๆ ย่อกายลงเอื้อมมือไปเก็บไม้เท้าของตนเอง แต่มันกลับถูกผู้คนที่มาร่วมงานเทศกาล เหยียบย่ำ และเตะให้ออกห่างจากนางไปเรื่อย ๆ หลี่จื้อฉิงถอดใจ ไม่ตามไปเก็บทั้งที่ไม้เท้าอันนั้นเป็นของที่ท่านตาทำให้กับนาง เพราะกลัวว่าตนจะพลัดหลงกับซีหยางเว่ยเจียงตอนที่นางถอดใจไป และกลับไปยืนพิงกับกำแพงเฝ้ารอให้ซีหยางเว่ยเจียงกลับมา ไม้เท้าอันนั้นกลับถูกใครบางคนนำมาส่งคืนให้กับนาง“ในที่สุดก็หาท่านเจอเสียที” รอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มที่เพิ่งจะปรากฏตัวหลี่จื้อฉิงกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“จือจือ ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอเสียที”คนตัวเล็กเม้มปากของตนเอง สัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับบุรุษที่มีท่าทีคุกคามนาง แต่กลับหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด“จะไปไหน” ไช่เสิ่งเจี๋ยคว้ามือข้างที่นางใช้จับไม้เท้า
ไช่เสิ่งเจี๋ยตั้งใจพาตัวนางกลับ แต่กลับถูกซีหยางเว่ยเจียงรั้งเอาไว้ และพูดคุยกันครู่หนึ่ง หากไม่ใช่ว่าเพราะที่หนีรอดปลอดภัยออกมาจากฉางหมิงได้เป็นเพราะฮ่องเต้หยุนเหมินละก็ เขาคงจะสังหารมันเสียตั้งแต่ตอนนี้“นางลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว ไช่เสิ่งเจี๋ย หากอยากให้นางมีความสุข เจ้าอย่าได้รื้อฟื้นความทรงจำของนางให้กลับคืนมาอีก ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น ความทุกข์ในอดีตที่นางเคยได้รับก็ลืมไปหมดแล้วเช่นกัน” ซีหยางเว่ยเจียงทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะปล่อยให้เขาพาตัวของหลี่จื้อฉิงกลับมาพร้อมกัน ใบหน้าของนางซีดเซียว ไช่เสิ่งเจี๋ยถลกกระโปรงนางขาข้างขวาของนางที่เคยเรียวสวยไร้ริ้วรอย บัดนี้มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ มองผิวเผินภายนอกดูปกติดี แต่เห็นนางเดินกะโผลกกะเผลก นางกลายเป็นสตรีพิการไปแล้วหรือลืมความทุกข์ความเจ็บปวดไปหมดแล้วงั้นหรือ และเป็นเขาที่จำได้อยู่เพียงผู้เดียวฮ่าฮ่า!!เขาได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นประตูห้องพักภายในโรงเต
ตื่นเช้ามา นางแทบจะนอนทับอยู่บนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ย หลี่จื้อฉิงค่อย ๆ กระดึ๊บตัวเองออกมาจากอ้อมอกของเขา โดยพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อย นางรู้สึกว่าเขาตื่นแล้วแต่ยังคงแกล้งหลับอยู่เช่นนั้น“ถ้าตื่นแล้วก็ปล่อยข้าเถอะ” นางดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา“อีกสักพักเถอะ” อยากหยุดเวลานี้เอาไว้เสียจริง ๆ“มันเช้าแล้ว ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องไปทำ” นั่นสิ หน้าที่? ว่าแต่นางต้องทำอะไร ปกติเมื่อตื่นเช้านางจะลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ที่สำนักศึกษาประจำหมู่บ้าน พอซีหยางเว่ยเจียงพานางออกมา วันทั้งวันนางก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถม้าถ้าไม่อ่านหนังสือก็เดินหมาก กิจวัตรประจำวันของนางเปลี่ยนไปมากเมื่อกลับไปยังวังหลวงแห่งเฉียนซีเขาก็มีวิธีการเอาคืนนาง แน่นอนว่าตอนที่เขาอยู่ฉางหมิงถูกปฏิบัติเช่นไร นางก็จะได้รับบทเรียนเช่นเดียวกันกับเขามื้อเช้าก่อนออกเดินทาง มีเหลียนซูเยว่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิดเป็นหลี่จื้อฉิงจริ
หลี่จื้อฉิงฟื้นบนรถม้าที่บุนวมเป็นอย่างดี หัวเล็ก ๆ ของนางหนุนอยู่บนตักของไช่เสิ่งเจี๋ยถ้านางเดาไม่ผิด แม้ว่านางจะร้องขอให้เขาปล่อยนางทิ้งเอาไว้ที่ตำบลนั้น แต่เขาไม่ยอมปล่อย พาตัวนางกลับเฉียนซีแทบจะทันทีที่ทุกอย่างพร้อมแล้วนางขอไปนั่งแยกรถม้าคนละคันกับเขา แต่บุรุษผู้นี้เอาแต่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมให้นางกระทำตามอำเภอใจ ส่วนเหลียนซูเยว่ตั้งแต่ปะทะคารมกันในวันนั้น นางก็ไม่ได้ยุ่มย่ามอะไรกันอีก หลี่จื้อฉิงขอร้องให้เสี่ยวซีอย่าได้ไปบอกเรื่องนี้กับไช่เสิ่งเจี๋ย คราแรกนางเองก็ไม่ยอม แต่เป็นเพราะหลี่จื้อฉิงคุกเข่า เสี่ยวซีจึงจำใจยอมสิ่งที่นางอยากรู้ที่สุดในเวลานี้ คือหนึ่งในอดีตนางร้ายกาจเพียงไหน สองนางทำร้ายอะไรเขาไปบ้าง สามเขาสังหารมารดาของนางและขับไล่บิดาของนางให้ไปร่อนเร่ตกระกำลำบากจริงไหม แล้วที่เขาช่วงชิงนำตัวนางมาจากซีหยางเว่ยเจียงเป็นเพราะเหตุผลใดมือเล็กกระตุกชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยเบา ๆ“หิวหรือ”“ไม่ใช่ ท่านเห็นข้าเป็นหมูหรือไง” นางแหวใส่&ldq
อาการบาดเจ็บที่หน้าแข้งด้านขวารุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ หลี่จื้อฉิง ค่อย ๆ ประคับประคองร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลไปตามเส้นทางอันมืดมิดในป่าชานเมือง เสียงลมหายใจของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและอ่อนแรง โชคดีที่ในป่ายามค่ำคืนนั้นมืดสนิท อีกทั้งยังเป็นคืนข้างแรม ทำให้การเคลื่อนไหวของนางยังไม่ถูกจับได้ร่างเล็กเห็นโพรงไม้เล็ก ๆ ที่พอจะยัดเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นได้ จึงค่อย ๆ เสือกตัวเข้าไปแอบ แม้จะไม่รู้ว่าด้านในเต็มไปด้วยสิ่งใด ขืนเดินป้วนเปี้ยนทั้งที่ขาเจ็บเช่นนี้ หากไม่ถูกคนกลุ่มนั้นสังหาร ก็คงหนาวตาย เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้ามายังทิศที่นางหลบซ่อน หลี่จื้อฉิงใช้มือเล็กปิดปากของตนเองเอาไว้ไม่กล้าปริปากส่งเสียงใด ๆ ออกไปในเวลานี้ไม่มีผู้ใดที่นางไว้ใจได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งมารดาและบิดาของนางเอง“ท่านหญิงออกมาเถอะ องค์หญิงใหญ่ให้พวกเราออกมาตามหาท่าน” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นตะโกนร้องเรียก“เสด็จแม่ทรงคิดถึงท่านหญิงนะพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นยังคงเอ่ยถึงสตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นเจ้านายของตนเองแต่ใครจะเชื่อกัน หากก่อนหน้านั้นนางไม่ไปได้ยินแผนการลับของหลี่หย่าถิงผู้เป็นม
อากาศคิมหันต์ฤดูร้อนอบอ้าวจนน่าหงุดหงิด สตรีแสนงดงามปรายตามองบ่าวไพร่อย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อหลายวันก่อนนางถูกพระมารดาต่อว่า และลงโทษในเรื่องที่ไร้เหตุผล คนผู้นั้นอยากลงมือกระทำการเช่นใดกับนางก็ย่อมได้ แม้แต่เสด็จพ่อก็มิอาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จนบางครั้งหลี่จื้อฉิงมีความคิดว่า นางนั้นใช่บุตรสาวที่แท้จริงหรือไม่“ท่านหญิงเพคะ” หญิงรับใช้เคาะประตูห้องเอ่ยเรียกสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ด้านในเพียงแผ่วเบาคนตัวเล็กที่อยู่ในชุดเนื้อผ้าบางเบาเตรียมตัวจะเจ้าเข้านอน ส่งสัญญาณให้นางกำนัลในห้องเปิดประตู ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก กาน้ำชาร้อน ๆ ถูกเขวี้ยงใส่หน้าของหญิงรับใช้ที่มารบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของนางในยามดึก“ถ้าไม่มีเหตุผลดี ๆ ในการมารบกวนข้า ข้าจะลงโทษเจ้า” คนตัวเล็กแผดเสียงดังอย่างไม่พอใจ“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ปะเป็น...องค์หญิงใหญ่ องค์หญิงทรงมีประสงค์จะพบท่านหญิงเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นรีบคุกเข่าลงกับพื้นเมื่อได้ยินว่าเป็นความต้องการของพระมารดา หลี่จื้อฉิงย่อมต้องปฏิบัติตาม เรื่องที่นางถูกเรียกให้ไปพบนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใดมิอาจนึกออก เป็นเพราะเสด็จแม่ของนางล้วนแล้วแต่ทำเรื่องที่มิอาจคาดเดา“เข
สิ้นประโยคใบหน้าที่ยิ้มพรายแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกมิอาจกักเก็บความรู้สึกได้อีกต่อไป“เสด็จแม่หมายความว่ายังไงนะเพคะ” ร่างเล็กยืนตัวสั่น ผินหน้าสลับไปมาระหว่างก้อนเนื้อกลิ่นเหม็นเน่า และพระมารดาของนาง“เด็กดี” รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องปฏิเสธ หลี่หย่าถิงชื่นชอบสีหน้าเช่นนั้นของบุตรสาวเสียจริง สิ้นหวัง เคียดแค้น และเจ็บปวด “ลูกสาว...ที่ล้ำค่าของข้า เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า อายุสิบเจ็ดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มีชายใดมาสู่ขอ ข้าเองก็ปฏิบัติตนเป็นมารดาที่ดี มอบบุรุษให้เจ้าหนึ่งคน”“เสด็จแม่ ละ...ลูกไม่ต้องการ” นางกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยพูดให้นางได้คือเสด็จพ่อ เวลานี้มีเพียงเสด็จพ่อเท่านั้นคล้ายกับรู้อยู่แล้วว่า บุตรสาวที่แสนน่ารักของตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่“ราชบุตรเขยไม่อยู่น่ะ ได้ยินว่า เสด็จพ่อของเจ้าออกไปบำเพ็ญพรตที่ภูเขาเซียน แต่อย่าเป็นห่วงไปเลยเด็กดี” นางจับเส้นผมของหลี่จื้อฉิงมาม้วนเล่น จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นการใช้กรงเล็บ ไล่จิกไปที่หนังศีรษะของบุตรสาว “หรือเจ้าไม่ชอบของขวัญที่แม่มอบให้” น้ำเสียงของหลี่หย่าถิงที่กล่าวกับบุตรสาวนั้นเยือกเย็นจับใจ“เสด็จ
ภาพที่นางใช้มีดเล่มเล็กเฉือนเอวของตนเองอยู่ภายใต้สายตาของไช่เสิ่งเจี๋ย เขาคิดไม่ถึงว่าสตรีที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมเช่นนางจะกล้าทำร้ายตนเองดีกว่าขอร้องเขา ชายหนุ่มมองเหยียดร่างเล็กที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เดินเข้าไปใช้เท้าของตนเองสะกิดเบา ๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่านางหมดลมหายใจไปแล้วหรือยัง“ข้ายังไม่ตาย” ผู้ที่นอนอยู่เอ่ย “เอาเท้าสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้” แม้จะทรมานทั้งจากกำยานและบาดแผลที่เอว แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเย่อหยิ่ง“ท่านหญิงจื้อฉิงยังมีชีวิตอยู่อีกหรือนี่” ไช่เสิ่งเจี๋ยคุกเข่าลง“เจ้าตัวเหม็นเน่าถอยออกไปให้ห่าง ๆ” ยิ่งเขาเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเท่าใด กลิ่นเหม็นก็ยิ่งตีขึ้นจมูกจนนางอยากจะอาเจียน“จะตายอยู่แล้วท่านยังกล้าปากดี” เขาต่อปากต่อคำ จับร่างเล็กพลิกกลับดี ๆ จากนั้นอุ้มขึ้นเตียง“ข้าจะอ้วก” ถึงแม้จะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเท่าใดนัก แต่นางก็ไม่เคยต้องพบกับสิ่งโสมมเช่นนี้ คนตัวเล็กดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของก้อนเนื้อเหม็นเน่า ความจริงนางมีสิ่งที่จะทำให้เขาเชื่อฟัง แต่นางไม่อยากทำ เพราะดูจากเสียงหวีดร้องในตำหนักบูรพาเมื่อก่อนหน้านั้นเขาดูทรมานไช่เสิ่งเจี๋ยไม่ได้ตอบสิ่งใด นางไม่มีแรงดิ้น
หลี่จื้อฉิงฟื้นบนรถม้าที่บุนวมเป็นอย่างดี หัวเล็ก ๆ ของนางหนุนอยู่บนตักของไช่เสิ่งเจี๋ยถ้านางเดาไม่ผิด แม้ว่านางจะร้องขอให้เขาปล่อยนางทิ้งเอาไว้ที่ตำบลนั้น แต่เขาไม่ยอมปล่อย พาตัวนางกลับเฉียนซีแทบจะทันทีที่ทุกอย่างพร้อมแล้วนางขอไปนั่งแยกรถม้าคนละคันกับเขา แต่บุรุษผู้นี้เอาแต่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมให้นางกระทำตามอำเภอใจ ส่วนเหลียนซูเยว่ตั้งแต่ปะทะคารมกันในวันนั้น นางก็ไม่ได้ยุ่มย่ามอะไรกันอีก หลี่จื้อฉิงขอร้องให้เสี่ยวซีอย่าได้ไปบอกเรื่องนี้กับไช่เสิ่งเจี๋ย คราแรกนางเองก็ไม่ยอม แต่เป็นเพราะหลี่จื้อฉิงคุกเข่า เสี่ยวซีจึงจำใจยอมสิ่งที่นางอยากรู้ที่สุดในเวลานี้ คือหนึ่งในอดีตนางร้ายกาจเพียงไหน สองนางทำร้ายอะไรเขาไปบ้าง สามเขาสังหารมารดาของนางและขับไล่บิดาของนางให้ไปร่อนเร่ตกระกำลำบากจริงไหม แล้วที่เขาช่วงชิงนำตัวนางมาจากซีหยางเว่ยเจียงเป็นเพราะเหตุผลใดมือเล็กกระตุกชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยเบา ๆ“หิวหรือ”“ไม่ใช่ ท่านเห็นข้าเป็นหมูหรือไง” นางแหวใส่&ldq
ตื่นเช้ามา นางแทบจะนอนทับอยู่บนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ย หลี่จื้อฉิงค่อย ๆ กระดึ๊บตัวเองออกมาจากอ้อมอกของเขา โดยพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อย นางรู้สึกว่าเขาตื่นแล้วแต่ยังคงแกล้งหลับอยู่เช่นนั้น“ถ้าตื่นแล้วก็ปล่อยข้าเถอะ” นางดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา“อีกสักพักเถอะ” อยากหยุดเวลานี้เอาไว้เสียจริง ๆ“มันเช้าแล้ว ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องไปทำ” นั่นสิ หน้าที่? ว่าแต่นางต้องทำอะไร ปกติเมื่อตื่นเช้านางจะลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ที่สำนักศึกษาประจำหมู่บ้าน พอซีหยางเว่ยเจียงพานางออกมา วันทั้งวันนางก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถม้าถ้าไม่อ่านหนังสือก็เดินหมาก กิจวัตรประจำวันของนางเปลี่ยนไปมากเมื่อกลับไปยังวังหลวงแห่งเฉียนซีเขาก็มีวิธีการเอาคืนนาง แน่นอนว่าตอนที่เขาอยู่ฉางหมิงถูกปฏิบัติเช่นไร นางก็จะได้รับบทเรียนเช่นเดียวกันกับเขามื้อเช้าก่อนออกเดินทาง มีเหลียนซูเยว่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิดเป็นหลี่จื้อฉิงจริ
ไช่เสิ่งเจี๋ยตั้งใจพาตัวนางกลับ แต่กลับถูกซีหยางเว่ยเจียงรั้งเอาไว้ และพูดคุยกันครู่หนึ่ง หากไม่ใช่ว่าเพราะที่หนีรอดปลอดภัยออกมาจากฉางหมิงได้เป็นเพราะฮ่องเต้หยุนเหมินละก็ เขาคงจะสังหารมันเสียตั้งแต่ตอนนี้“นางลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว ไช่เสิ่งเจี๋ย หากอยากให้นางมีความสุข เจ้าอย่าได้รื้อฟื้นความทรงจำของนางให้กลับคืนมาอีก ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น ความทุกข์ในอดีตที่นางเคยได้รับก็ลืมไปหมดแล้วเช่นกัน” ซีหยางเว่ยเจียงทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะปล่อยให้เขาพาตัวของหลี่จื้อฉิงกลับมาพร้อมกัน ใบหน้าของนางซีดเซียว ไช่เสิ่งเจี๋ยถลกกระโปรงนางขาข้างขวาของนางที่เคยเรียวสวยไร้ริ้วรอย บัดนี้มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ มองผิวเผินภายนอกดูปกติดี แต่เห็นนางเดินกะโผลกกะเผลก นางกลายเป็นสตรีพิการไปแล้วหรือลืมความทุกข์ความเจ็บปวดไปหมดแล้วงั้นหรือ และเป็นเขาที่จำได้อยู่เพียงผู้เดียวฮ่าฮ่า!!เขาได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นประตูห้องพักภายในโรงเต
ไม้เท้าของนางที่พิงอยู่กับกำแพงถูกใครสักคนเตะจนหล่นลงไปอยู่ที่พื้น หลี่จื้อฉิงค่อย ๆ ย่อกายลงเอื้อมมือไปเก็บไม้เท้าของตนเอง แต่มันกลับถูกผู้คนที่มาร่วมงานเทศกาล เหยียบย่ำ และเตะให้ออกห่างจากนางไปเรื่อย ๆ หลี่จื้อฉิงถอดใจ ไม่ตามไปเก็บทั้งที่ไม้เท้าอันนั้นเป็นของที่ท่านตาทำให้กับนาง เพราะกลัวว่าตนจะพลัดหลงกับซีหยางเว่ยเจียงตอนที่นางถอดใจไป และกลับไปยืนพิงกับกำแพงเฝ้ารอให้ซีหยางเว่ยเจียงกลับมา ไม้เท้าอันนั้นกลับถูกใครบางคนนำมาส่งคืนให้กับนาง“ในที่สุดก็หาท่านเจอเสียที” รอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มที่เพิ่งจะปรากฏตัวหลี่จื้อฉิงกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“จือจือ ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอเสียที”คนตัวเล็กเม้มปากของตนเอง สัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับบุรุษที่มีท่าทีคุกคามนาง แต่กลับหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด“จะไปไหน” ไช่เสิ่งเจี๋ยคว้ามือข้างที่นางใช้จับไม้เท้า
หิมะตกหนักจึงทำให้การเดินทางยากลำบาก องครักษ์ของซีหยางเว่ยเจียงรายงานว่า ที่หมู่บ้านข้างหน้ามีงานเทศกาล ระหว่างรอให้หิมะละลาย ทั้งสองพระองค์สามารถเที่ยวเล่นที่นั่นได้ก่อนเมื่อพร้อมค่อยออกเดินทางอีกครั้งซีหยางเว่ยเจียงจึงจำใจพานางไปเที่ยวเล่นในเมือง ความสัมพันธ์ของเขาและนางในเวลานี้แน่นแฟ้นขึ้นเป็นเท่าตัว อยากหยุดเวลาเช่นนี้เอาไว้เหลือเกินเนื่องด้วยขาของนางเป็นอุปสรรคต่อการเดิน ทั้งสองคนจึงไม่ได้เร่งรีบนัก“คืนนี้เราพักที่โรงเตี๊ยมดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลับไปที่ค่ายพักแรม” ซีหยางเว่ยเจียงเสนอซึ่งนางเองก็เห็นด้วยกับเขา ถ้ามืดค่ำกว่านี้เดินทางออกไปขึ้นรถม้าเพื่อกลับค่ายพักแรมที่คนของพวกเขาตั้งเอาไว้คงไม่สะดวกเท่าไร ประกอบกับขาของนางเดินนาน ๆ ไม่ได้ จะให้เขาแบกไปจนถึงค่ายก็กลัวหลังเขาจะหักเสียก่อน“ก็ดีเหมือนกัน เราสองคนจะได้อยู่ฉลองงานเทศกาลในเมือง” นางกระชับมือของซีหยางเว่ยเจียง ยิ้มให้เขารอยยิ้มนั้น เขาอยากให้นางยิ้มให้เขาเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และตลอดไป แต่ลางสังหรณ์กำ
ไม่รู้สึกถึงความคุ้นเคยเลยสักอย่าง แม้แต่กระทั่งตัวของซีหยางเว่ยเจียงเอง นางก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคย หลี่จื้อฉิงมองทัศนียภาพของแคว้นหยุนเหมินมาตลอดการเดินทาง บ้านเรือนประชาชน เป็นภาพที่นางไม่คุ้นตา และแทบไม่มีความรู้สึกผูกพันกับที่นี่เลยสักนิด หญิงสาวพยายามนึกอยู่หลายครั้งว่าที่นี่คือที่ไหน ตรงนั้นคืออะไร แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างขนบธรรมเนียมบางอย่างของหยุนเหมินนางก็จำไม่ได้มันเป็นเรื่องน่าแปลก เพราะในขณะที่นางจำเนื้อหาในตำราซานสือจิ้งได้ แต่กลับจำเรื่องกฎระเบียบของที่นี่ไม่ได้เลย“ฝ่าบาท” นางสะกิดเรื่องบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับนาง“ว่าอย่างไร” สิ่งเดียวที่เขากลัวนั่นก็คือ กลัวว่าสักวันนางจะจำเรื่องราวในอดีตได้ ทุกครั้งที่นางเรียกเขา และทำสีหน้าเช่นนั้น ซีหยางเว่ยเจียงจึงรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้มแย้ม ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องการครอบครองนางเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาก็คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้“ก่อนหน้าที่ฝ่าบาทจะครองราชย์ หม่อมฉันเคยเรียกพระองค์ว่าอย่างไรเหรอเพคะ” มีช
เกาเจี๋ยและสือโต้วถอยร่นออกมาอยู่ด้านนอก ปล่อยให้ครรลองทุกอย่างมันดำเนินต่อไป โดยที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปกีดขวางได้ทั้งสองคนแปลงกายกลับมาอยู่ในร่างเดิม เฝ้ามองคนสองคนสนทนากัน“เจ้าหมอนั่นโกหกท่านอา” สือโต้วบ่น“ก็ทุกอย่างมันถูกลิขิตมาให้เป็นเช่นนี้ พวกเราจะไปทำอะไรได้ล่ะ” เกาเจี๋ยโบกพัดขนนกยูงของตนเองไปมา “อย่างไรเราก็ต้องส่งนางกลับเข้าสู่ห้วงวัฏสงสารเดิมแบบที่ควรจะเป็น เรายื่นมือเข้ามาสอดก็นับว่าวุ่นวายเกินพอแล้ว หากท่านซือมิ่งรู้ มีหวังพวกเราได้ถูกบ่นจนหูชา”“ว่าแต่แล้วไข่ใบนั้นท่านเอาเขาไปเก็บไว้ที่ไหน”ในวันที่หลี่จื้อฉิงตกลงมาจากผาตัดใจ ในครรภ์ของนางมีหนึ่งชีวิต พวกเขาทั้งสองคนจึงอาสานำเด็กคนนั้นไปใส่ไว้ในไข่ ใช้พลังเซียนบำรุงดูแลอยู่ในตำหนักเซียนของมหาเทพ แล้วจึงลงมาช่วยเหลือนางบนโลกมนุษย์ พวกเขาเองมิอาจปล่อยให้ความพยายามของมหาเทพสูญเปล่าได้ จึงไม่สนว่าเมื่อกลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบนแล้ว และนางรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จะลงโทษเขาหรือไม่
ได้รับข่าวจากนายอำเภอในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น ส่งรายงานมาว่า พบสตรีที่อาจจะเป็นคนที่เขากำลังตามหาอยู่ ซีหยางเว่ยเจียงก็รีบขี่ม้าเร็วออกมาจากจากเมืองหลวงในทันที ใช้เวลาราวหนึ่งสัปดาห์เขาจึงมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง“นางอยู่ไหน” เขาถามเข้าเรื่องในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้เอ่ยเรื่องอื่นจ้าวตู้รู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้แห่งหยุนเหมินจะเสด็จประพาสมายังหมู่บ้านเล็ก ๆ ของตน จึงให้ชาวบ้านออกมาเตรียมต้อนรับ แต่อีกฝ่ายดูท่าจะอยากพบคนมากกว่า จึงรีบตอบคำถามของนายเหนือหัว“อยู่ที่บ้านของผู้เฒ่าเกาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“นำทางไป” ซีหยางเว่ยเจียงขึ้นม้าและให้จ้าวตู้วิ่งนำทางบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้า ซีหยางเว่ยเจียงไม่อยากให้นางตื่นตระหนกตกใจ เพราะจากคำรายงานของนายอำเภอกล่าวว่านางความจำเสื่อมและได้รับบาดเจ็บ ได้พบหน้ากันในเวลานี้ไม่แน่ว่านางอาจจะจำเขาไม่ได้“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ไม่ต้องตามมา”
เขาตามหาหลี่จื้อฉิงมาตลอดสามปี เวลานี้ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถรวบรวมแผ่นดินเฉียนซีให้เป็นปึกแผ่นได้แล้ว และขึ้นครองราชย์สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดินเฉียนซี ฉางหมิงที่เคยรุ่งเรืองทรงอำนาจ ถูกเขาเผาทำลายทิ้งจนราบคาบ หลี่หย่าถิงถูกเขาจับตรึงเอาไว้กับโซ่ตรวนขนาดใหญ่ ไม่ยอมให้นางเห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป บัญชีหนี้แค้นที่ติดค้างเขาเอาไว้ถูกเอาคืนทบต้นทบดอกฉางหมิงกลายเป็นประเทศราชของเฉียนซีที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไช่เสิ่งเจี๋ยปลดปล่อยเชื้อพระวงศ์ที่ถูกจับมาเป็นตัวประกันกลับคืนสู่ดินแดนบ้านเกิดของตน รวมถึงบิดาของหลี่จื้อฉิงกับคนรักของเขา เหล่าทหารและคนของที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับเขาถูกตัดหัวประหารทั้งสิ้น ปั๋วจวินถูกเขาจับและตัดศีรษะเสียบประจานเอาไว้ที่กำแพงเมือง ครอบครัวของเขาถูกยึดทรัพย์ และใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก คุณหนูปั๋วจำใจต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของขุนนางในเฉียนซี ส่วนปั๋วเจิ้งเวลานี้กลายเป็นเพียงนายกองธรรมดาไช่เสิ่งเจี๋ยทำทุกอย่างเพื่อสนองให้กับสิ่งที่ตนเองและประชาชนเฉียนซีสูญเสียไป มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาติดค้างในใจ นั่นก็คือการหายตัวไปของนา