สีหน้าของเซิ่งเฟิงคล้ำดำเขียวไปหมดแล้วอวี้ม่านหวาเห็นว่าฆ่าหรงจือจือไม่สำเร็จ แล้วยังได้ยินพวกเขาเรียกท่านราชเลขาธิการ ก็แสยะยิ้มออกมา “ฆ่าหรงจือจือไม่ได้ ฆ่าเฉินเยี่ยนซูก็ได้เช่นกัน!”พูดพลางก็ชักกระบี่ออกมา กำลังคิดจะแทงกระบี่มาอีกครั้งทว่าเซิ่งเฟิงจะปล่อยให้นางสมปรารถนาเสียที่ไหน?ครั้นกระบี่ยาวในมือตวัดไป กระบี่ยาวของอวี้ม่านหวาก็กระเด็นออกไป อวี้ม่านหวาเองก็รู้ดีว่า ข้างกายเฉินเยี่ยนซูมีองครักษ์วรยุทธ์ขั้นสูงหลายคนครั้นเห็นท่วงท่าของเซิ่งเฟิง ก็รู้ชัดว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้หรงจือจือเห็นคนตรงหน้า ก็กล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ท่านราชเลขาธิการ อาการบาดเจ็บของท่าน...”สีหน้าของเฉินเยี่ยนซูซีดเป็นอย่างมาก ทว่าก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “ไม่เป็นไร”ทว่าในตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ อวี้ม่านหวาฆ่าเฉินเยี่ยนซูไม่สำเร็จ ก็ชักปิ่นออกมาอีกจากนั้นหมุนตัวแทงไปที่ฉีจื่อฟู่ “เป็นเพราะคนเลวทรามอย่างท่าน! ขโมยความลับของแคว้นเจาไปมากมายขนาดนั้น ถึงทำให้แคว้นข้าต้องสลาย บ้านข้าต้องแตกสาแหรกขาด!”“หากข้าหลีกหนีความตายไม่พ้น ฉีจื่อฟู่ท่านก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า!”อวี่เหวิ
หรงจือจือเลิกคิ้ว ในใจผุดความรำคาญที่ยากจะอธิบายขึ้นมา พลางทอดสายตามองเขาราวกับเห็นสิ่งสกปรกที่สกปรกสามส่วน เป็นส่วนเกินมากกว่าสามส่วน หนำซ้ำยังอัปมงคลอีกสี่ส่วนก็มิปานสายตาเช่นนี้ทิ่มแทงจนฉีจื่อฟู่ถอยหลังก้าวหนึ่งหรงจือจือกล่าวขึ้นชืด ๆ “ที่จวนของใต้เท้าฉีมีหมอประจำจวนมิใช่หรือ? ท่านได้รับบาดเจ็บ มาบอกข้ามีประโยชน์อะไร?”“วิชาแพทย์ช่วยชีวิตคนรอดได้เพราะโชคช่วยเช่นที่ข้ามี ไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายท่านเสียหน่อย!”“ท่านราชเลขาธิการต้องบาดเจ็บเพราะข้า ข้าก็สมควรเป็นห่วงบ้าง อย่างไรใต้เท้าฉีรีบไปเรียกหมอที่จวนเถอะ”ตอนที่เฉินเยี่ยนซูมา เขาอยู่ห่างจากนางมากกว่าฉีจื่อฟู่ ทว่าอีกฝ่ายยังมารับดาบแทนตนได้ทว่าฉีจื่อฟู่ที่ปากเอาแต่บอกว่าคนที่รักก็คือตน ทว่ามีเพียงตอนที่คิดจะลากตนไปขอความเมตตาให้อวี้ม่านหวา เมื่อครู่ถึงได้พอจะมีเรี่ยวแรงเดินมายื้อยุดฉุดกระชากตนข้างกายตนได้ผู้ใดคือคนที่ควรค่าให้หรงจือจือเป็นห่วง มองเห็นได้อย่างชัดเจนหลังกล่าวจบ ก็ไม่มองฉีจื่อฟู่เพิ่มอีกเลยสีหน้าของฉีจื่อฟู่ซีดเผือดขึ้นเรื่อย ๆ ขอบตาเองก็แดงก่ำ ในที่สุดหมอประจำจวนก็มาถึงแล้ว และจัดการบาดแผลให้ฉีจื่อฟ
“ข้าไม่ได้มีหน้าที่เก็บกวาดความยุ่งเหยิงให้พวกเจ้าทุกครั้ง คนบ้าที่เจ้ายั่วยุด้วยตัวเอง ตัวเองปลอบไม่อยู่ เหตุใดจึงมาโทษข้าล่ะ?”“ส่วนที่ซวยไปพร้อมกับสกุลฉี นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเอาแต่ร้องขอในก่อนหน้านี้มิใช่หรือ?”“วันส่งท้ายปีเก่าวันแรกที่ข้าแต่งงานเข้าสกุลฉี เจ้ามาพูดอะไรกับท่านอาของเจ้าแต่เช้าตรู่ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว?”หรงจือจือไม่มีทางลืมวันนั้นตอนนั้นนางแต่งเข้ามาอยู่ในสกุลฉียังไม่ถึงสองเดือน วันที่มีแต่ลมและหิมะ ฉีจื่อฟู่ไปแคว้นเจาแล้ว นางเห็นว่าหิมะตกหนัก จึงตั้งใจเย็บเสื้อตัวนอกขนสุนัขจิ้งจอกอุ่นร่างกายไปให้นางถานยังไม่ทันเดินถึงประตู ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของนางถานกับถานผิงถิงนางถานกล่าว “นางหรงแต่งงานกับลูกชายข้าเพราะอยากเข้ามาพึ่งใบบุญ ในใจของข้ายังจำสิ่งนี้ได้ดี”แม้ถานผิงถิงจะเข้าใจผิดว่า ในตอนนั้นลูกพี่ลูกน้องของตนยังรักษาโรคอยู่ในจวน ก็ยังกล่าวกับนางถานดังเดิมว่า “อาหญิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ก็ควรค่าให้ท่านจดจำด้วยหรือ?”“ท่านพี่เขาเป็นคนมีความสามารถ หากเป็นข้า ไม่ว่าท่านพี่จะมีชาติกำเนิดอะไร ไม่ว่าท่านพี่จะสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไร ข้าก็ยินดีทั้งนั้น”“สิ่งที่หรง
ทันใดนั้นเขาก็ไม่สนสุขภาพของตนเอง รีบเรียกให้ชิวยี่ประคองตนลุกขึ้นมาจากเตียง ไปนั่งบนรถเข็นที่แค่นั่งก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมากในสามปีก่อน ก่อนจะถูกชิวยี่เข็นออกไประหว่างทางเขายังเร่งรัดตลอด “ชิวยี่ เจ้าเร็วหน่อยสิ! หากไปช้า เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว”ชิวยี่พูดอยู่ในใจ ด้วยท่าทีไม่แยแสคุณชายเลยแม้แต่น้อยของฮูหยินรองเมื่อคืน ต่อให้ไปเร็วก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ทว่าอย่างไรก็ไม่ดีที่จะฉีกหน้าคุณชายจึงทำได้เพียงสับฝีเท้าให้เร็วขึ้นหรงจือจือพร้อมคนเพิ่งออกมาจากประตูบุปผาย้อยของเรือนชั้นใน ครั้นเหยียบเข้าไปในเรือนชั้นนอกของสกุลฉี ก็ถูกผู้อาวุโสของสกุลฉีขวางเอาไว้ทีแรกได้ยินว่ามหาราชครูหรงสั่งให้คนยกเกี้ยวมา ระหว่างทางเจอเพื่อนร่วมงานจึงสอบถาม ไม่คิดเลยว่าจะกล่าวอย่างเปิดเผยว่ามารับลูกสาวที่หย่าร้างกลับบ้านผู้อาวุโสของสกุลฉีที่อยู่ใกล้จวนสกุลฉีได้ยินข่าวต่างก็รีบมาพากันโน้มน้าวหรงจือจือกันอื้ออึง “นางหรง! เมืองหลวงแห่งนี้มีสตรีสูงศักดิ์บ้านไหน ที่หลังแต่งงานออกไปแล้วยังโวยวายหย่ากลับบ้านมารดาบ้าง? เจ้าทำเช่นนี้มันไร้สาระมิใช่หรือ?”“แม้จะไม่ลงรอยกับจื่อฟู่ ระหว่างผัวเมีย มีคู่ไหนบ้า
หรงจือจือได้ยินดังนั้นก็ขำพรืด เวลาไหนแล้ว สกุลฉียังคิดจะใช้ตนช่วยให้พวกเขาพ้นผิดอีก ฝันหวานจริง ๆ!ครั้นเห็นว่านางไม่ได้เถียงกลับมาในทันที คนสกุลฉีก็ยังคิดว่าคำพูดของพวกเขา โน้มน้าวหรงจือจือได้ท่านปู่ฉีจิ่วรีบฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “นางหรง เจ้าคิดดูสิ ตอนนี้คือช่วงที่สกุลฉีลำบากที่สุด!”“ขอเพียงเจ้ายอมอยู่ที่จวนสกุลฉีต่อ ช่วยทำให้เราข้ามผ่านความยากลำบากไปได้ ก็จะเป็นผู้มีพระคุณของสกุลฉีเราแล้ว เราจะจดจำความดีของเจ้าเอาไว้!”“นับตั้งแต่นี้ จะไม่มีผู้ใด เขย่าตำแหน่งภรรยาเอกของเจ้าได้แล้ว ต่อไปหากจื่อฟู่เลอะเลือนอีก เราจะดุด่าเขาแน่นอน!”ใบหน้าของหรงจือจือเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนแรกที่ข้าแต่งงานเข้ามา ข้าคุกเข่าหมอบกราบขึ้นภูเขาเพื่อขอยาให้ฉีจื่อฟู่ ตอนที่โขกหัว ทุกท่านก็บอกว่าข้ามีความรู้สึกลึกซึ้งมีความหมายต่อฉีจื่อฟู่มิใช่หรือ?”“หลังจากนั้นพวกท่านทำกับข้าอย่างไร? พวกท่านคนสกุลฉี คู่ควรให้ข้าก้าวข้ามความยากลำบากไปกับพวกท่านหรือ?”ส่วนตำแหน่งภรรยาเอกของฉีจื่อฟู่ กระทั่งหมายังไม่แยแสเลยด้วยซ้ำ!ฉีอวิ่นกล่าว “ลูกสะใภ้แสนดี คนธรรมดามิใช่นักปรา
กล่าวจบ ไม่คิดเลยว่าเขาจะโซเซคุกเข่าลงจริง ๆหรงจือจือหลบออกไปหลายก้าวนางจะยอมรับการคุกเข่าของฉีจื่อฟู่ ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้จริง ๆ หรือ? เช่นนี้หากแพร่ออกไป ต่อให้ตนมีเหตุผล ก็อาจทำให้เกิดชื่อเสียงที่ไม่ดี ตกไปยังเหล่าพี่หญิงน้องหญิงของสกุลหรงคนอื่น ๆ ได้หรงจือจือ “ใต้เท้าฉี ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ไม่มีผู้ใดจงใจจะเหยียดหยามคนในครอบครัวของท่าน พวกเขาเป็นคนขวางข้าเอาไว้ หากท่านเป็นห่วงพวกเขาจริง ๆ ก็ให้พวกเขาทั้งหมดกลับไปเสีย”ฉีจื่อฟู่กล่าวขึ้นพลางขมวดคิ้ว “จือจือ พวกผู้อาวุโสเองก็ทำเพื่อเราสองคนทั้งนั้น”หรงจือจือเย้ยหยันเบา ๆ เพื่อนางหรือเพื่อสกุลฉีของพวกเขากันแน่?ฉีจื่อฟู่มองไปที่มหาราชครูหรง แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อตา ขอข้าคุยกับจือจือเพียงลำพังสักหน่อยได้หรือไม่?”มหาราชครูหรงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ใช่พ่อตาของเจ้า และไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้น”ผู้อาวุโสสกุลฉีกลับพากันตำหนิมหาราชครูหรงว่าไม่ได้เรื่อง “มหาราชครูหรง ถึงฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับท่านมาก แต่ท่านจะหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้ไม่ได้นะ!”“เขาผัวเมียมีอะไรจะพูดกัน พ่อตาอย่างท่านกลับขวางเอา
ฉีจื่อฟู่หลับตาลงอย่างห่อเหี่ยวใจ ใช่ เขารู้ นี่เป็นเรื่องที่มารดาทำออกมาได้เขาจะลืมได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หรงจือจือพาตนกลับไปเล่นละครที่สกุลหรง ใส่ใจฮูหยินผู้เฒ่าหรงถึงเพียงนั้น ระหว่างพวกเขากลายเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางอภัยให้สกุลพวกเขาฉีจื่อฟู่กล่าวทั้งลำคอแห้งผาก “ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้อยู่ต่อเพราะตัดใจจากข้าไม่ได้ ข้ากลับคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอด...”หรงจือจือไม่ได้ปฏิเสธ นางคิดว่าฉีจื่อฟู่ควรรู้ตัวนานแล้วฉีจื่อฟู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้น...ในใจของเจ้า เคยมีเยื่อใยต่อข้าบ้างหรือไม่?”หรงจือจือถามกลับชืด ๆ “ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”ฉีจื่อฟู่เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงกล่าวต่อว่า “ที่จริงสามปีก่อนข้ามักคิดว่า คล้ายกับเจ้ารักข้า แล้วก็คล้ายกับไม่รักเลยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจ สิ่งที่เจ้าสนใจคือข้า หรือว่าชื่อเสียงสะใภ้ใหญ่คุณธรรมของเจ้ากันแน่”และด้วยเหตุนี้ เขาถึงไปคบกับอวี้ม่านหวา และจงใจกลับมาหาเรื่องนาง เขาอยากพิสูจน์ว่านางรักเขาเป็นอย่างยิ่งและเขาเองก็อยากเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนางเป็นอย่างยิ่งหรงจือจือเองก็รู้สึกว่า ควรพูดให้ชัดเจนจึงกล่าวขึ้นอย่างไม
หรงจือจือมองไปที่เขา จงใจกล่าวคำฟังไม่เข้าหูสุด ๆ ออกมา “ท่านคิดเองว่าตอนนี้จะชดเชยอะไรข้าได้? ตอนนี้ขนาดยืนท่านยังยืนไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ท่านมีตรงไหนที่คู่ควรกับข้า?”“ท่านพาอวี้ม่านหวากลับมา หากโดนโทษหนัก ท่านไม่ทำให้ข้ากับสกุลหรงพลอยติดร่างแหไปด้วย ก็เป็นการชดเชยให้ข้าที่ดีที่สุดแล้ว มิใช่หรือ?”นางรู้ว่าแม้ฉีจื่อฟู่จะดูราวกับไร้ยางอาย คิดเข้าข้างตัวเอง ทว่าคนผู้นี้รักศักดิ์ศรีเป็นอย่างมากนางกล่าวเช่นนี้ ต้องทำให้เขาถอยไปได้แน่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆสีหน้าของฉีจื่อฟู่ซีดเผือดไปหมด เขาหลับตาลงพลางกล่าว “เจ้าไปเถอะ! ข้าจะไม่ขวางเจ้าเอาไว้! ทีแรกข้าเองก็ป่วยจนกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าเคยดูแลข้ามาครั้งหนึ่ง ข้าไม่มีหน้าให้เจ้ามาดูแลเป็นครั้งที่สองแล้ว”เขารู้ว่า หรงจือจือพูดอย่างชัดเจนขนาดนี้แล้ว ตนก็จนปัญญาจะรั้งให้นางอยู่แล้วเช่นกันหรงจือจือสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามองทว่าฉีจื่อฟู่เรียกให้นางหยุด “จือจือ อย่างไรข้าก็เคยสร้างความดีความชอบในการรบชนะเอาไว้ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะให้ข้าไปตาย”“ท่านย่าของเจ้าถูกท่านแม่ข้าบีบให้ตาย เจ้าเองก็ฆ่าท่านแม่ของข้า นับว
ทว่าฮูหยินหลี่กลับไม่รู้วิธีปฏิบัติและกฎของสกุลดังในเมืองหลวงเลย หนำซ้ำตอนนี้ยังคิดว่าตนจัดงานเลี้ยงได้ดีอย่างยิ่งอีกฉีกยิ้มพร้อมกล่าวกับหรงเจียวเจียวว่า “ข้ายังต้องออกไปรับแขก พวกเจ้าเข้าไปเล่นกันก่อน พวกฮูหยิน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จากแต่ละจวนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปสนุกกันเองเถอะ”ส่วนพวกผู้ใหญ่ พวกบัณฑิต ย่อมอ่านกวีแต่งบทกลอน พูดคุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองอยู่อีกที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีทางอยู่รวมกับพวกเด็ก ๆ เหล่านี้งานเลี้ยงเขียนกวีของแคว้นต้าฉี แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดเช่นนี้หรงเจียวเจียวฉีกยิ้มหวานพลางตอบกลับ “ท่านป้าไปเถิด พวกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินหลี่เรียกหลี่เซียงเหยาบุตรสาวของตนมา “เหยาเหยา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงสามของเจ้าให้ดี อย่าให้คนมาล่วงเกิน จำขึ้นใจหรือยัง?”หลี่เซียงเหยามองหรงจือจือทีหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกล่าวว่า “จำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”ครั้นสิ้นเสียง ก็เดินฉีกยิ้มไปกอดแขนของหรงเจียวเจียว ทำทีท่าสนิทกันเป็นอย่างมากตอนหลี่เซียงเหยายังไม่มาเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่ของตนโดดเด่นอย่างไร ในใจของนางโหยหาเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตนมา
เหวินหมัวมัว “นี่...เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”นางหวังยังรีบไปกำชับข้างหูนางอีกว่า “ถ้าไม่สะดวกจะเรียกกลับมา ก็อย่าให้พวกนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเป็นอันขาด”เหวินหมัวมัว “เจ้าค่ะ”นางลุกลี้ลุกลนออกไปจากจวน นางหวังร้อนใจกระวนกระวายดั่งด้ายพันกัน หากไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกจะไปงานเลี้ยงเขียนกวี นางแทบอยากจะรุดหน้าไปด้วยตัวเองแล้ว...ในขณะนี้ จวนสกุลหลี่จวนสกุลหลี่แม้จะเป็นจวนที่ซื้อมาใหม่ ทว่าในหลายวันนี้ก็ซ่อมแซมอย่างดีไปยกหนึ่ง ฮูหยินหลี่เสียแรงตกแต่งไปอย่างมากครั้นเห็นพวกเด็ก ๆ จากสกุลหรงมาถึงท่านลุง ท่านป้าสะใภ้สกุลหลี่ ก็ฉีกยิ้มออกมารับหน้า “ท่านพี่มีใจแล้วจริง ๆ ถึงให้พวกเจ้ามา นับเป็นเกียรติกับเราจริง ๆ”หรงจือจือในฐานะพี่สาวคนโต ย่อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นสิ่งสมควรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเขียนกวีของจวนท่านป้าสะใภ้ ก็ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว”ฮูหยินหลี่มองนางทีหนึ่ง ทว่าในสายตากลับมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะนางหวังส่งจดหมายมา บอกให้นางให้ความร่วมมือพูดฉีกหน้าหรงจือจือสักครา ทำให้ต่อไปนางไม่กล้าทำตัวบ้าคลั่งต่อหน้า
“ครั้งนี้เจ้าจะได้พูดกับนางให้เข้าใจด้วยพอดี ให้นางพิจารณาตัวเองเสีย เหตุใดเป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน พี่สาวนางแต่งงานครั้งที่สองแล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉินมาสู่ขอแล้ว แต่นางกลับยังทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าเหี่ยว ๆ ไปซุกไว้ที่ไหน!”ครั้นนางหวังได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเพียงราวกับบนหน้าตนถูกคนฟาดสองฉาด เจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมดสิ่งเดียวที่เจียวเจียวกับจือจือแตกต่างกัน ก็คือคนหนึ่งตนอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ ส่วนอีกคนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอบรมสั่งสอนมานี่ไม่เท่ากับกำลังว่าตนสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเท่ายายแก่ที่ตายไปแล้วนั่นหรอกหรือ?มหาราชครูหรงพูดจบ ก็ยังกล่าวต่อทั้งสายตาเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ในเมื่อจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี สินเดิมจะน้อยไม่ได้ ไม่รวมกับสินติดตัวเจ้าสาวที่ท่านแม่ให้จือจือในก่อนหน้านี้ เจ้าก็เตรียมเพิ่มให้นางอีกหน่อยแล้วกัน”นางหวังเดือดดาลจนเสียงหาย “ท่านพี่! การแต่งงานดี ๆ ของเจียวเจียวถูกจือจือแย่งไป ท่านยังให้ข้าเตรียมสินเดิมให้จือจือเพิ่มอีก ท่านอยากบีบเจียวเจียวให้ตายหรืออย่างไร?”มหาราชครูหรง “พอได้แล้ว! พูดจาเพ้อเจ้อแย่งงานแต่งอะไรกัน เจ้าอย่าได้พูดอีกเชียวนะ ลูกสาวท
เห็นนางหวังดีอกดีใจ และพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้คำพูดที่มหาราชครูหรงอยากจะกล่าว แทบจะติดอยู่ที่คอหอยพูดไม่ออกนางหวังยังพูดเป็นต่อยหอย “ท่านพี่ ข้าว่า เราต้องให้สินเดิมเจียวเจียวเพิ่มอีกหน่อย จะให้น้อยกว่าจือจือไม่ได้ อย่างไรก็แต่งงานกับท่านเสนาบดี จะให้คนดูถูกได้อย่างไร...”มหาราชครูหรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “พอได้แล้ว”นางหวังอึ้งไป ครั้นเห็นว่าสีหน้าของมหาราชครูหรงไม่ดีจริง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”ในตอนนี้มหาราชครูหรงถึงตอบกลับว่า “จับคู่ผิดแล้ว! คนที่อัครมหาเสนาบดีเฉินอยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่เจียวเจียว!”นางหวังฉงนไปเลย “ฮะ? ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ใช่เจียวเจียวแล้วจะเป็นผู้ใดได้? หรือว่าในใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่ดีกว่าเจียวเจียวของเราอีกหรือ?”นางหวังยิ่งกล่าว ก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านพี่กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”มหาราชครูหรงลูบหว่างคิ้วพลางตอบกลับ “ข้าไม่มีทางเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นเป็นอันขาด! คนที่ท่านเสนาบดีต้องการคือจือจือ ไม่
เฉินเยี่ยนซูแทบจะเดือดดาลจนโพล่งขำ “เช่นนั้นท่านมหาราชครูเคยคิดหรือไม่ เป็นบุตรสาวของท่านเหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดคนหนึ่งไร้เดียงสาใสซื่อได้ แต่อีกคนกลับไม่เข้มแข็งไม่ได้?”“ท่านหญิงก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุยี่สิบปีผู้หนึ่ง ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายขนาดนี้ ลำบากมามากมายขนาดนี้ มหาราชครูยังคิดจะให้นางเข้มแข็งอย่างไร?”มหาราชครูหรงพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยขึ้นพร้อมเปลี่ยนเรื่องว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับท่านเสนาบดี อย่างไรจือจือก็เคยผ่านการหย่ามาก่อน สู้สตรีบริสุทธิ์อย่างเจียวเจียวได้เสียที่ไหน? นี่ถึงได้...”เฉินเยี่ยนซูพูดแทรกขึ้นมา “ท่านมหาราชครู นายหญิงผู้เฒ่าหรงให้ท่านดูแลท่านหญิงให้ดี ข้าคิดว่าที่เรียกว่าดูแล นอกจากเป็นห่วงในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเคารพในด้านตัวตนด้วย”“ในในของท่านดูถูกท่านหญิงแล้ว คิดว่านางสู้คุณหนูสามของจวนท่านไม่ได้ หรือว่านี่ไม่ใช่ความอัปยศอย่างหนึ่งสำหรับนาง?”“นางก็แค่แต่งงานผิดคน ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร ตามที่ข้ารู้ การแต่งงานในตอนแรกนั้นนางไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นเหยื่อ และยิ่งเป็นค
เฉินเยี่ยนซูราวกับเดือดดาลจนขำ เขาวางจอกชาในมือลง “เยี่ยมจริง ๆ มหาราชครูหรงยกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับข้า แล้วก็คิดจะให้นางแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย”“ที่ข้ามาเพราะอยากขอคำอธิบาย มหาราชครูไม่มีเจตนาจะขอโทษไม่พูดถึง แต่ยังจะยัดเยียดบุตรสาวให้ข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราไปตัดสินกันต่อหน้าฝ่าบาทเถอะ!”ครั้นมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จะเรียกว่ายัดเยียดบุตรสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร? หรือว่าหากเปลี่ยนเจียวเจียว ท่านเสนาบดีก็ไม่พอใจอีก?”เฉินเยี่ยนซูมองเขาทีหนึ่ง “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย มีเพียงท่านหญิงแห่งหนานหยางผู้เดียวเท่านั้น”มหาราชครูหรงเริ่มรู้สึกว่า ตนถูกคำของนางหวังหลอกเข้าแล้ว บางทีผู้ที่เฉินเยี่ยนซูต้องการตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสตรีที่เขาชื่นชม แต่มิใช่สตรีที่มุ่งแต่จะแต่งงานกับเขามหาราชครูหรงที่รู้สึกว่าตนคล้ายตัวตลก ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เฉินเยี่ยนซูเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเข้าใจแล้ว คิดว่าท่านพ่อตาก็คงจะไม่ถอนหมั้นใช่หรือไม่?”การเรียกท่านพ่อตานี้ แสดงถึงความเคารพออกมาอีกสองสามส่วน ทำให้ในใจของมหาราช
เขาจงใจพูดไล่หลังหรงจือจือด้วยเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินหรงเจียวเจียวหน้าแดงด้วยความเขินอายโดยพลัน นางกระทืบเท้าว่า “ท่านพี่!”แต่หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด นางไม่แม้แต่จะหันมามองนี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อโมโหหนักกว่าเดิม เขากัดฟันว่า “นางมีนิสัยแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่สกุลฉีจะรังเกียจ! คงมีแต่ต้องแต่งงานไปอยู่ตระกูลเล็กๆ และพึ่งพาการปกป้องจากท่านพ่อไปจนตาย ข้ารู้สึกสงสารว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยซ้ำ!”แต่พูดถึงตรงนี้ หรงซื่อเจ๋อก็ต้องสำลักคำพูดตัวเองนั่นเพราะนึกถึงเรื่องที่หรงจือจือบอกให้เขาแต่งงานไปอยู่สกุลฉีเมื่อคราก่อน หากนางได้ยินว่าเขาสงสารฉีจื่อฟู่ เกรงว่าคงพูดแบบนั้นให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอีก เขารีบปิดปากเงียบหรงเจียวเจียว “พอแล้วๆ ท่านรีบขึ้นรถม้าเถิด! หากไปสาย ท่านพ่อคงตำหนิว่าพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์”หรงซื่อเจ๋อจำใจต้องขึ้นรถม้าเป็นเพราะแผลที่หลังเขายังไม่หายดีและกลัวว่าท่านพ่อจะโบยตีอีกรอบหรอกนะ มิเช่นนั้นเขาจะด่าหรงจือจือชุดใหญ่……รถม้าของพวกเขาเพิ่งจะออกจากสกุลหรงได้ไม่นานรถม้าของจวนราชเลขาธิการก็มาถึงหน้าจวนสกุลหรง มหาราชครูหรงทราบเรื่องแล้วยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอ
หรงจือจือสะกดกลั้นความโมโหในใจ ตอนนี้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกที่มีเพียงคนตรงไปตรงมาแบบเจาซีที่จะมีได้!หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ มันก็มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากไปที่จวนราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปบอกว่าตัวเองยินดีแต่งงานกับเฉินเยี่ยนซู หรงเจียวเจียวจะได้เลิกเห่าเสียทีนางยกยิ้มมุมปากมองหรงเจียวเจียว “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูวันที่เจ้าได้แต่งเข้าจวนราชเลขาธิการ น้องสามต้องพยายามเข้าล่ะ อย่าได้พลาดเด็ดขาด”นางอยากรู้เหมือนกันว่าหรงเจียวเจียวจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดหรงเจียวเจียวแค่นเสียงเบาและวางท่ามั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้นเชิญพี่หญิงเบิกตาดูให้ดีได้เลย!”“ถึงเวลานั้นก็อย่าอิจฉาจนร้องไห้ล่ะ ข้าได้ยินว่าบุรุษที่ท่านพ่อหาให้ท่านเป็นแค่เสมียนกรมเล็กๆ นี่ต่างหากที่น่าขัน!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “หวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะยังยิ้มออกนะ”ฟังจากที่เฉินเยี่ยนซูพูด เขาจะมาคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป หรงเจียวเจียวคงทำหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไม่ได้อีกหรงเจียวเจียวมีหรือจะรู้ว่าหรงจือจือคิดอะไรอยู่?นางพูดด้วยความดูถูก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะยิ
“แต่ราชเลขาธิการเฉินผู้นี้ เขาเป็นคนประเภทที่ข้ารู้สึกชื่นชมตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ข้ากลัวว่าหากแต่งงานกับเขาจริงๆ เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตัวข้าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเขาได้”“ความจริงแล้วเขาเป็นตัวเลือกที่อันตรายสำหรับข้า”“หลังจากที่ท่านย่าจากไป ข้าก็ชอบคิดอยู่เสมอ หากข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเอง ห้ามให้ผู้ใดมีโอกาสกรีดแทงหัวใจข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้”ในการพบกันเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วหรงจือจือเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเฉินเยี่ยนซู หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันสองสามวัน บทสนทนาที่มีร่วมกับเขาก็ทำให้นางประทับใจเช่นกันแต่ตอนนั้นนางรู้ตัวว่าตัวเองมีการหมั้นหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทว่าบัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว ส่วนเขาก็มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน มีบางครั้งที่นางเผลอมองนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนวันนี้ก็มีอาการหน้าแดง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร?เคราะห์ดีที่เฉินเยี่ยนซูต้องการแต่งงานกับนางเพื่อให้ช่วยดูแลอาการป่วย ไม่ใช่เพราะพึงใจในตัวนาง มิเช่นนั้น นาง