หรงจือจือพยักหน้าก่อนจะอธิบายถึงจุดประสงค์ในการมาแบบย่อสุดท้ายพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่านอกจากภายในสกุลฉีแล้ว อวี้ม่านหวายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอีกหรือไม่ ไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ด้วยเหตุนี้จึงขอความช่วยเหลือจากพี่หญิงสกุลเซินเพื่อส่งข่าวนี้ให้ท่าน หวังว่าท่านราชเลขาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจ”เซิ่งเฟิงพูดขึ้นว่า “แม่นางหรงทำถูกแล้ว! พวกข้าจับตาดูซี่อวี่ผู้นั้นตั้งแต่ก่อนที่จะถูกรับเข้าสกุลฉีเสียอีก”“หลังจากฉีจื่อฟู่รับนางกลับไป พวกข้าก็คอยจับตาดูสกุลฉีอย่างลับๆ ดูว่าจะมีคนมาติดต่อกับอวี้ม่านหวาหรือซี่อวี่หรือไม่”“แต่ในช่วงก่อนนี้ พวกข้าไม่อาจมั่นใจได้ว่าอวี้ม่านหวาเป็นสายลับหรือไม่ ต้องขอบคุณที่วันนี้แม่นางช่วยยืนยัน”หรงจือจือมองเขาด้วยความประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะในการพบหน้าสองสามครั้งก่อนหน้านี้ ท่าทีที่เซิ่งเฟิงมีต่อนางค่อนข้างนิ่งเฉย ทว่าวันนี้กลับสุภาพมีมารยาทมาก ทำให้นางตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย เซิ่งเฟิงเห็นหรงจือจือมองมาก็ยิ้มยิงฟันให้นางอย่างประจบประแจง หากไม่ติดที่ตัวเองไม่สะดวกที่จะเข้าไปเอาอกเอาใจ เขาคงเลียนแมวอย่างคุณชายหลีแล้ว ตอนนี้เขามองว่าการเอาใจแม่นางหรงจะเป็นผลด
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หรงจือจือย่อมไม่กล้าถามอีก นางย่อเข่าพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หากวันหน้าพบเจอเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับแคว้นเจาจะส่งคนไปแจ้งให้ท่านทราบ”เฉินเยี่ยนซู “อืม”หลังจากที่หรงจือจือจากไปแววตาเย็นยะเยียบของเฉินเยี่ยนซูพลันหม่นลง เขาสั่งอย่างราบเรียบว่า “บอกให้ขันทีอาวุโสหยางค้นตำหนักบรรทมของฝ่าบาทให้ทั่ว หากยังมีตำราไร้สาระหลงเหลือก็ทำลายทิ้งให้หมด”เซิ่งเฟิง “…ขอรับ”ฝ่าบาทช่างน่าสงสารยิ่งนัก! หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทบอกให้ใส่อัญมณีลงไป คุณหนูสกุลหรงก็คงไม่พูดว่าสมบัติมีราคาแพงเกินไปจนอยากส่งคืนให้กับเจ้าของเช่นนี้ดูแล้วท่านราชเลขาธิการน่าจะเข้าใจหรงจือจือมากกว่า หากมีเพียงพวงบุปผา นางก็คงไม่พูดเช่นนี้ แต่เพราะฝ่าบาทที่อ่านตำราไร้สาระที่ทำให้นายท่านเสียความมั่นใจและใส่อัญมณีลงไป ครานี้เป็นอย่างไรเล่า? กระทั่งฝ่าบาทก็ยังถูกลงโทษไปด้วยเฉินเยี่ยนซู “ยึดจิ้งหรีดที่ฝ่าบาทเพิ่งได้รับมาด้วย”เซิ่งเฟิงรู้สึกสงสารฮ่องเต้ “ข้าน้อยรับบัญชา!”การเล่นจิ้งหรีดเป็นงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของฮ่องเต้ ท่านราชเลขาธิการมีการดูแลและควบคุมอย่างเข้มงวด ทุกๆ สิบวันจะอนุญาตให้เล่นเพียงแ
ฉีจื่อฟู่ผิดจากคนอื่นที่ขอเงินจากนางถานได้ยาก หากเขาเป็นคนไปขอเงินจากอีกฝ่าย มันจะเป็นอะไรที่ง่ายมากเขาไม่ได้บอกนางถานว่าจะเอาเงินไปทำอะไร เพียงแต่ให้คำมั่นสัญญาต่อนางถานว่า เมื่อวันหน้าตัวเองได้รับรางวัลหรืออะไรอย่างอื่นจากราชสำนัก เขาจะรีบนำมาคืนท่านแม่โดยเร็วที่สุด นางถานจึงมอบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงให้กับเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะในสายตานางถานแล้ว บุตรชายคนโตของนางสมบูรณ์แบบทุกประการ ก่อนหน้านี้สามารถสร้างผลงานครั้งใหญ่ที่แคว้นเจา หากจะสร้างผลงานอีกในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยาก!ไม่นานนัก ฉีจื่อฟู่ก็มาถึงยังเรือนหลันหรงจือจือรู้ว่าเขานำเงินมาคืนจึงไม่ได้ให้คนขวางไว้และคลายการปิดเรือน อย่างไรเสีย หลังจากเหตุการณ์ปลดตำแหน่งเป็นต้นมา คนสกุลฉีก็ไม่กล้าหาเรื่องนางมั่วซั่วอีกฉีจื่อฟู่นำตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงออกมามอบให้หรงจือจือ “นี่คือเงินสามพันตำลึง ส่วนที่เกินมาขอยกให้เจ้า!”หรงจือจือหัวเราะเยาะแล้วให้อวี้หมัวมัวหาเงินมาทอนให้ฉีจื่อฟู่นางกล่าวอย่างนิ่งเรียบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยกินไม่เคยใช้ของๆ จวนโหวแม้แต่น้อยแต่กลับถูกท่านตำหนิ ตอนนี้ข้าคงไม่กล้ารับเงินที่เกินมาสองร้
แต่หลังจากกลับมาในทุกๆ วันจะมีของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาฝากหรงจือจือ ไม่ว่าหรงจือจือจะต้องการหรือไม่ เขาก็ยืนกรานที่จะวางไว้ที่นี่หรงจือจือไม่เก็บไว้กับตัวแม้แต่ชิ้นเดียว สั่งให้เจาซีนำไปมอบให้ถานผิงถิงหรือไม่ก็อวี้ม่านหวาทั้งหมด วันนี้ อวี้หมัวมัวนำข่าวมารายงานหรงจือจือด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนู ช่วงนี้นางถานเกลียดชังท่านเป็นพิเศษ บ่าวไปดึงตัวยายเฉินมาเป็นพวกตามที่ท่านสั่ง นึกไม่ถึงว่าจะสำเร็จจริงๆ”“หลังจากที่ยายเฉินถูกท่านสั่งโบยเมื่อคราก่อน นางถานกลับไม่สนใจความเป็นความตายของนางแม้แต่น้อย ปล่อยให้บ่าวรับใช้ที่ประจบสอพลอเจ้านายและเหยียบย่ำผู้ที่อยู่ต่ำกว่ารังแกนาง ยารักษาบาดแผลหลายตัวที่ยายเฉินใช้ก็เป็นของที่คนของพวกเราแอบส่งไปให้”“ด้วยเหตุนี้ นางจึงโกรธแค้นนางถาน มองว่าตัวเองทำงานรับใช้นางถานด้วยความภักดีมาตลอดชีวิต ทว่านางถานกลับไม่เห็นถึงความดีของนางแม้แต่น้อย”“ประกอบกับบ่าวมีการมอบผลประโยชน์เล็กน้อยให้กับนาง ตอนนี้นางจึงไม่ได้อยู่ฝั่งนางถานอีกต่อไปแล้ว! นางบอกกับบ่าวว่า นางถานวางแผนที่จะกล่าวหาท่านเรื่องมีชู้ในวันตรุษจีนเล็ก”แววตาหรงจือจือเย็นยะเยียบปานน้ำแข็งเมื่อฟังถึ
หรงจือจือลุกขึ้นถอยห่างออกมาสองสามก้าวเพื่อหลบมือเขาทันทีแววตาของฉีจื่อฟู่ทอประกายเศร้าเสียใจเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาจ้องไปที่นาง “เจ้าเกลียดข้ามากขนาดนั้นเชียวหรือ?”หรงจือจือไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น “ถูกต้อง”แววตาของฉีจื่อฟู่หมองหม่น เขาพูดอย่างขุ่นเคือง “แต่วันนั้นข้าอธิบายชัดเจนแล้ว เจ้ายกโทษให้ข้าสักครั้งจะเป็นอะไรไป?”“ตอนนั้นข้าอยู่แคว้นเจา ต้องกล้ำกลืนความอัปยศอย่างไร้ทางเลือก! อีกอย่าง ข้าก็บอกไปแล้วว่ารักเจ้ามาโดยตลอด”เดิมทีหรงจือจือคร้านจะพูดมาก แต่นางขบขันกับเขามากจริงๆ “ที่ควบคุมความปรารถนาของตัวเองไม่ได้จนไปทำให้อวี้ม่านหวาตั้งท้องนี่เรียกว่าไร้ทางเลือกหรือ? ที่ยืนกรานจะให้ข้าเป็นอนุให้ได้ก็เรียกว่าไร้ทางเลือกหรือ? ที่เกือบจะทำให้ท่านย่าของข้าต้องตายก็เรียกว่าไร้ทางเลือกเช่นกันใช่หรือไม่?”“ฉีจื่อฟู่ เพียงเพราะท่านมีความรู้สึกอันน้อยนิดให้กับข้า เรื่องต่างๆ ที่ท่านทำร้ายข้าจึงไม่นับว่ามีอยู่จริงอย่างนั้นหรือ?”“เพียงเพราะมีความรักอันไร้ค่าของท่าน ข้าก็เลยต้องยกโทษให้กับความเลวทราม ความโหดร้าย จอมปลอม เห็นแก่ตัว และไร้มโนธรรมของท่านกับครอบครัวของท่านอย่างนั้นหรือ
เดิมทีหรงจือจืออึดอัดเป็นอย่างมาก เสวนากับคนอย่างฉีจื่อฟู่ จะมีหน้ามาอารมณ์ดีเสียที่ไหน?ทว่าในจังหวะนี้เองกลับถูกคำพูดของเจาซีหยอกเย้าให้หัวเราะออกมาครั้นเห็นคุณหนูหัวเราะได้สักที เจาซีก็แค่นเสียงฮึก่อนจะกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ โชคดีที่คุณหนูไม่ได้ให้อภัยเขา! บ่าวเห็นท่าทางไร้เหตุผลของเขาแล้วก็เดือดปุด ๆ ขึ้นมา! เพียงแต่ หากเขาขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งอนุสองคนจริง ๆ วันข้างหน้าในจวนแห่งนี้คุณหนู...”หรงจือจือยกจอกชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล เราอยู่ได้ไม่กี่วันหรอก”เหตุการณ์ที่นางจะเอาชีวิตนางถาน และเหตุการณ์ที่อัครมหาเสนาบดีเฉินจะจับกลุ่มคนที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นที่ล่มสลายออกมา ใกล้จะจบลงแล้ว รอเพียงการสถานการณ์เอื้ออำนวยเท่านั้นหากไม่มีสถานการณ์เอื้ออำนวย หรงจือจือก็จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง!...หลังฉีจื่อฟู่ไปจากตรงนี้ ก็เก็บสีหน้าของตนทันที ไม่อยากให้คนอื่นเห็นท่าทางโดดเดี่ยวของตนพูดตามตรง ตอนแรกที่เขาล้มป่วยนอนอยู่บนเตียง ยังไม่เคยท้อแท้ใจอย่างเช่นวันนี้มาก่อนเลยเรื่องของความรู้สึก ทรมานใจคนจริง ๆครั้นเห็นชิวยี่เดินเข้ามา ฉีจื่อฟ
ฮ่องเต้หย่งอันได้ยินเช่นนั้นก็หน้าคล้ำดำเขียว ไม่เคยเห็นผู้ใดไม่ให้ความสำคัญกับอนาคตตัวเองขนาดนี้มาก่อน เสียแรงที่ตนเห็นว่าอีกฝ่ายสร้างคุณงามความดี ยังคิดจะหารือกับท่านอัครมหาเสนาบดีว่าจะเลื่อนขั้นให้อีกฝ่ายดีหรือไม่คิดไม่ถึงว่าฉีจื่อฟู่กำลังทำให้ตนผิดหวังในจุดนี้ อย่างที่ไม่เคยผิดหวังมาก่อน เรื่องที่ทำให้ตนรู้สึกโกรธนั้น ก็เรียกได้ว่าไตร่ตรองมาอย่างดี และใส่ใจทุกรายละเอียด!ผู้ตรวจการจางพลันเกรี้ยวกราดจนยืนไม่อยู่แล้ว เขาออกมากล่าวว่า “ใต้เท้าฉี ตั้งแต่โบราณมา มีที่ไหนภรรยายังอยู่ แต่เขียนฎีกาขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งฮูหยินตราตั้ง? กฎที่พึงปฏิบัติของบรรพบุรุษ ตอนนี้เจ้าไม่แยแสเลยแม้แต่น้อยหรือ?”ฉีจื่อฟู่กล่าว “ใต้เท้าจาง ข้าเพียงรู้สึกละอายต่อม่านหวาเท่านั้น หากไม่ได้เป็นเพราะข้ามีภรรยาเอกอยู่แล้ว นางเองก็คงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้”“อีกอย่างฮูหยินตราตั้งนี้ เดิมทีจือจือก็ไม่แยแสอยู่แล้ว นางคิดว่าขั้นหกต่ำเกินไป ไม่คู่ควรกับนาง!”ครั้นเขากล่าวออกไป ในท้องพระโรงก็พากันฮือฮาก่อนหน้านี้ในสายตาของทุกคน หรงจือจือคือแม่ศรีเรือนอันดับหนึ่ง ตอนนี้ฉีจื่อฟู่กลับบอกว่าอีกฝ่ายดูถูกฮูหยินตราตั้งนี้ จ
ขอตำแหน่งให้หรงจือจือ ทุกคนยังรู้สึกได้ว่าเขาเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่แน่ฝ่าบาทเองก็อยากให้โอกาสเขาอีกหน่อย ทว่าขอให้ม่านหวามันเรื่องอะไรกัน?ทว่ารั้งสายธนูไปแล้วมีลูกศรที่ไหนหันหัวกลับบ้าง? เขาจะกลับคำบอกว่าตนไม่ขอแล้วไม่ได้ฮ่องเต้หย่งอันยังลังเลอยู่เล็กน้อย “แต่ว่า...นี่มันไม่สอดคล้องกับกฎที่พึงปฏิบัตินะ!”แววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นเยียบ “ใต้เท้าฉีกระทำการโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่สนกฎพึงปฏิบัติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เหตุใดฝ่าบาทต้องขวางด้วยเล่า? ในเมื่อเขาสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ขอเพียงแค่รางวัลเช่นนี้ ฝ่าบาทสนองความต้องการก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นเขากล่าวเช่นนี้ออกมา สายตาถากถางของขุนนางในราชสำนักมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉีจื่อฟู่แต่จะกระทำโดยไม่ยับยั้งชั่งใจบ่อย ๆ ไม่ได้หรือเปล่า?สีหน้าของฉีจื่อฟู่เองก็ซีดเผือด เข้าใจดีว่าภายใต้ความบุ่มบ่ามของตน และกระทำการเลอะเลือน อัครมหาเสนาบดีเฉินประเมินตนเช่นนี้ คิดว่าคงยิ่งไม่ชอบตนเข้าไปกันใหญ่แน่ ไม่ง่ายเลยกว่าตนจะสร้างความดีความชอบขึ้นมาได้ ไม่คิดเลยว่าจะถูกตนทำลายลง!ฮ่องเต้น้อยเบะปาก “ในเมื่อท่านอัครมหาเสนาบดียืนกร
ทว่าฮูหยินหลี่กลับไม่รู้วิธีปฏิบัติและกฎของสกุลดังในเมืองหลวงเลย หนำซ้ำตอนนี้ยังคิดว่าตนจัดงานเลี้ยงได้ดีอย่างยิ่งอีกฉีกยิ้มพร้อมกล่าวกับหรงเจียวเจียวว่า “ข้ายังต้องออกไปรับแขก พวกเจ้าเข้าไปเล่นกันก่อน พวกฮูหยิน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จากแต่ละจวนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปสนุกกันเองเถอะ”ส่วนพวกผู้ใหญ่ พวกบัณฑิต ย่อมอ่านกวีแต่งบทกลอน พูดคุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองอยู่อีกที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีทางอยู่รวมกับพวกเด็ก ๆ เหล่านี้งานเลี้ยงเขียนกวีของแคว้นต้าฉี แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดเช่นนี้หรงเจียวเจียวฉีกยิ้มหวานพลางตอบกลับ “ท่านป้าไปเถิด พวกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินหลี่เรียกหลี่เซียงเหยาบุตรสาวของตนมา “เหยาเหยา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงสามของเจ้าให้ดี อย่าให้คนมาล่วงเกิน จำขึ้นใจหรือยัง?”หลี่เซียงเหยามองหรงจือจือทีหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกล่าวว่า “จำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”ครั้นสิ้นเสียง ก็เดินฉีกยิ้มไปกอดแขนของหรงเจียวเจียว ทำทีท่าสนิทกันเป็นอย่างมากตอนหลี่เซียงเหยายังไม่มาเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่ของตนโดดเด่นอย่างไร ในใจของนางโหยหาเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตนมา
เหวินหมัวมัว “นี่...เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”นางหวังยังรีบไปกำชับข้างหูนางอีกว่า “ถ้าไม่สะดวกจะเรียกกลับมา ก็อย่าให้พวกนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเป็นอันขาด”เหวินหมัวมัว “เจ้าค่ะ”นางลุกลี้ลุกลนออกไปจากจวน นางหวังร้อนใจกระวนกระวายดั่งด้ายพันกัน หากไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกจะไปงานเลี้ยงเขียนกวี นางแทบอยากจะรุดหน้าไปด้วยตัวเองแล้ว...ในขณะนี้ จวนสกุลหลี่จวนสกุลหลี่แม้จะเป็นจวนที่ซื้อมาใหม่ ทว่าในหลายวันนี้ก็ซ่อมแซมอย่างดีไปยกหนึ่ง ฮูหยินหลี่เสียแรงตกแต่งไปอย่างมากครั้นเห็นพวกเด็ก ๆ จากสกุลหรงมาถึงท่านลุง ท่านป้าสะใภ้สกุลหลี่ ก็ฉีกยิ้มออกมารับหน้า “ท่านพี่มีใจแล้วจริง ๆ ถึงให้พวกเจ้ามา นับเป็นเกียรติกับเราจริง ๆ”หรงจือจือในฐานะพี่สาวคนโต ย่อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นสิ่งสมควรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเขียนกวีของจวนท่านป้าสะใภ้ ก็ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว”ฮูหยินหลี่มองนางทีหนึ่ง ทว่าในสายตากลับมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะนางหวังส่งจดหมายมา บอกให้นางให้ความร่วมมือพูดฉีกหน้าหรงจือจือสักครา ทำให้ต่อไปนางไม่กล้าทำตัวบ้าคลั่งต่อหน้า
“ครั้งนี้เจ้าจะได้พูดกับนางให้เข้าใจด้วยพอดี ให้นางพิจารณาตัวเองเสีย เหตุใดเป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน พี่สาวนางแต่งงานครั้งที่สองแล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉินมาสู่ขอแล้ว แต่นางกลับยังทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าเหี่ยว ๆ ไปซุกไว้ที่ไหน!”ครั้นนางหวังได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเพียงราวกับบนหน้าตนถูกคนฟาดสองฉาด เจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมดสิ่งเดียวที่เจียวเจียวกับจือจือแตกต่างกัน ก็คือคนหนึ่งตนอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ ส่วนอีกคนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอบรมสั่งสอนมานี่ไม่เท่ากับกำลังว่าตนสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเท่ายายแก่ที่ตายไปแล้วนั่นหรอกหรือ?มหาราชครูหรงพูดจบ ก็ยังกล่าวต่อทั้งสายตาเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ในเมื่อจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี สินเดิมจะน้อยไม่ได้ ไม่รวมกับสินติดตัวเจ้าสาวที่ท่านแม่ให้จือจือในก่อนหน้านี้ เจ้าก็เตรียมเพิ่มให้นางอีกหน่อยแล้วกัน”นางหวังเดือดดาลจนเสียงหาย “ท่านพี่! การแต่งงานดี ๆ ของเจียวเจียวถูกจือจือแย่งไป ท่านยังให้ข้าเตรียมสินเดิมให้จือจือเพิ่มอีก ท่านอยากบีบเจียวเจียวให้ตายหรืออย่างไร?”มหาราชครูหรง “พอได้แล้ว! พูดจาเพ้อเจ้อแย่งงานแต่งอะไรกัน เจ้าอย่าได้พูดอีกเชียวนะ ลูกสาวท
เห็นนางหวังดีอกดีใจ และพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้คำพูดที่มหาราชครูหรงอยากจะกล่าว แทบจะติดอยู่ที่คอหอยพูดไม่ออกนางหวังยังพูดเป็นต่อยหอย “ท่านพี่ ข้าว่า เราต้องให้สินเดิมเจียวเจียวเพิ่มอีกหน่อย จะให้น้อยกว่าจือจือไม่ได้ อย่างไรก็แต่งงานกับท่านเสนาบดี จะให้คนดูถูกได้อย่างไร...”มหาราชครูหรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “พอได้แล้ว”นางหวังอึ้งไป ครั้นเห็นว่าสีหน้าของมหาราชครูหรงไม่ดีจริง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”ในตอนนี้มหาราชครูหรงถึงตอบกลับว่า “จับคู่ผิดแล้ว! คนที่อัครมหาเสนาบดีเฉินอยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่เจียวเจียว!”นางหวังฉงนไปเลย “ฮะ? ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ใช่เจียวเจียวแล้วจะเป็นผู้ใดได้? หรือว่าในใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่ดีกว่าเจียวเจียวของเราอีกหรือ?”นางหวังยิ่งกล่าว ก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านพี่กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”มหาราชครูหรงลูบหว่างคิ้วพลางตอบกลับ “ข้าไม่มีทางเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นเป็นอันขาด! คนที่ท่านเสนาบดีต้องการคือจือจือ ไม่
เฉินเยี่ยนซูแทบจะเดือดดาลจนโพล่งขำ “เช่นนั้นท่านมหาราชครูเคยคิดหรือไม่ เป็นบุตรสาวของท่านเหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดคนหนึ่งไร้เดียงสาใสซื่อได้ แต่อีกคนกลับไม่เข้มแข็งไม่ได้?”“ท่านหญิงก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุยี่สิบปีผู้หนึ่ง ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายขนาดนี้ ลำบากมามากมายขนาดนี้ มหาราชครูยังคิดจะให้นางเข้มแข็งอย่างไร?”มหาราชครูหรงพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยขึ้นพร้อมเปลี่ยนเรื่องว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับท่านเสนาบดี อย่างไรจือจือก็เคยผ่านการหย่ามาก่อน สู้สตรีบริสุทธิ์อย่างเจียวเจียวได้เสียที่ไหน? นี่ถึงได้...”เฉินเยี่ยนซูพูดแทรกขึ้นมา “ท่านมหาราชครู นายหญิงผู้เฒ่าหรงให้ท่านดูแลท่านหญิงให้ดี ข้าคิดว่าที่เรียกว่าดูแล นอกจากเป็นห่วงในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเคารพในด้านตัวตนด้วย”“ในในของท่านดูถูกท่านหญิงแล้ว คิดว่านางสู้คุณหนูสามของจวนท่านไม่ได้ หรือว่านี่ไม่ใช่ความอัปยศอย่างหนึ่งสำหรับนาง?”“นางก็แค่แต่งงานผิดคน ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร ตามที่ข้ารู้ การแต่งงานในตอนแรกนั้นนางไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นเหยื่อ และยิ่งเป็นค
เฉินเยี่ยนซูราวกับเดือดดาลจนขำ เขาวางจอกชาในมือลง “เยี่ยมจริง ๆ มหาราชครูหรงยกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับข้า แล้วก็คิดจะให้นางแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย”“ที่ข้ามาเพราะอยากขอคำอธิบาย มหาราชครูไม่มีเจตนาจะขอโทษไม่พูดถึง แต่ยังจะยัดเยียดบุตรสาวให้ข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราไปตัดสินกันต่อหน้าฝ่าบาทเถอะ!”ครั้นมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จะเรียกว่ายัดเยียดบุตรสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร? หรือว่าหากเปลี่ยนเจียวเจียว ท่านเสนาบดีก็ไม่พอใจอีก?”เฉินเยี่ยนซูมองเขาทีหนึ่ง “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย มีเพียงท่านหญิงแห่งหนานหยางผู้เดียวเท่านั้น”มหาราชครูหรงเริ่มรู้สึกว่า ตนถูกคำของนางหวังหลอกเข้าแล้ว บางทีผู้ที่เฉินเยี่ยนซูต้องการตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสตรีที่เขาชื่นชม แต่มิใช่สตรีที่มุ่งแต่จะแต่งงานกับเขามหาราชครูหรงที่รู้สึกว่าตนคล้ายตัวตลก ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เฉินเยี่ยนซูเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเข้าใจแล้ว คิดว่าท่านพ่อตาก็คงจะไม่ถอนหมั้นใช่หรือไม่?”การเรียกท่านพ่อตานี้ แสดงถึงความเคารพออกมาอีกสองสามส่วน ทำให้ในใจของมหาราช
เขาจงใจพูดไล่หลังหรงจือจือด้วยเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินหรงเจียวเจียวหน้าแดงด้วยความเขินอายโดยพลัน นางกระทืบเท้าว่า “ท่านพี่!”แต่หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด นางไม่แม้แต่จะหันมามองนี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อโมโหหนักกว่าเดิม เขากัดฟันว่า “นางมีนิสัยแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่สกุลฉีจะรังเกียจ! คงมีแต่ต้องแต่งงานไปอยู่ตระกูลเล็กๆ และพึ่งพาการปกป้องจากท่านพ่อไปจนตาย ข้ารู้สึกสงสารว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยซ้ำ!”แต่พูดถึงตรงนี้ หรงซื่อเจ๋อก็ต้องสำลักคำพูดตัวเองนั่นเพราะนึกถึงเรื่องที่หรงจือจือบอกให้เขาแต่งงานไปอยู่สกุลฉีเมื่อคราก่อน หากนางได้ยินว่าเขาสงสารฉีจื่อฟู่ เกรงว่าคงพูดแบบนั้นให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอีก เขารีบปิดปากเงียบหรงเจียวเจียว “พอแล้วๆ ท่านรีบขึ้นรถม้าเถิด! หากไปสาย ท่านพ่อคงตำหนิว่าพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์”หรงซื่อเจ๋อจำใจต้องขึ้นรถม้าเป็นเพราะแผลที่หลังเขายังไม่หายดีและกลัวว่าท่านพ่อจะโบยตีอีกรอบหรอกนะ มิเช่นนั้นเขาจะด่าหรงจือจือชุดใหญ่……รถม้าของพวกเขาเพิ่งจะออกจากสกุลหรงได้ไม่นานรถม้าของจวนราชเลขาธิการก็มาถึงหน้าจวนสกุลหรง มหาราชครูหรงทราบเรื่องแล้วยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอ
หรงจือจือสะกดกลั้นความโมโหในใจ ตอนนี้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกที่มีเพียงคนตรงไปตรงมาแบบเจาซีที่จะมีได้!หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ มันก็มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากไปที่จวนราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปบอกว่าตัวเองยินดีแต่งงานกับเฉินเยี่ยนซู หรงเจียวเจียวจะได้เลิกเห่าเสียทีนางยกยิ้มมุมปากมองหรงเจียวเจียว “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูวันที่เจ้าได้แต่งเข้าจวนราชเลขาธิการ น้องสามต้องพยายามเข้าล่ะ อย่าได้พลาดเด็ดขาด”นางอยากรู้เหมือนกันว่าหรงเจียวเจียวจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดหรงเจียวเจียวแค่นเสียงเบาและวางท่ามั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้นเชิญพี่หญิงเบิกตาดูให้ดีได้เลย!”“ถึงเวลานั้นก็อย่าอิจฉาจนร้องไห้ล่ะ ข้าได้ยินว่าบุรุษที่ท่านพ่อหาให้ท่านเป็นแค่เสมียนกรมเล็กๆ นี่ต่างหากที่น่าขัน!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “หวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะยังยิ้มออกนะ”ฟังจากที่เฉินเยี่ยนซูพูด เขาจะมาคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป หรงเจียวเจียวคงทำหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไม่ได้อีกหรงเจียวเจียวมีหรือจะรู้ว่าหรงจือจือคิดอะไรอยู่?นางพูดด้วยความดูถูก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะยิ
“แต่ราชเลขาธิการเฉินผู้นี้ เขาเป็นคนประเภทที่ข้ารู้สึกชื่นชมตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ข้ากลัวว่าหากแต่งงานกับเขาจริงๆ เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตัวข้าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเขาได้”“ความจริงแล้วเขาเป็นตัวเลือกที่อันตรายสำหรับข้า”“หลังจากที่ท่านย่าจากไป ข้าก็ชอบคิดอยู่เสมอ หากข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเอง ห้ามให้ผู้ใดมีโอกาสกรีดแทงหัวใจข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้”ในการพบกันเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วหรงจือจือเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเฉินเยี่ยนซู หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันสองสามวัน บทสนทนาที่มีร่วมกับเขาก็ทำให้นางประทับใจเช่นกันแต่ตอนนั้นนางรู้ตัวว่าตัวเองมีการหมั้นหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทว่าบัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว ส่วนเขาก็มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน มีบางครั้งที่นางเผลอมองนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนวันนี้ก็มีอาการหน้าแดง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร?เคราะห์ดีที่เฉินเยี่ยนซูต้องการแต่งงานกับนางเพื่อให้ช่วยดูแลอาการป่วย ไม่ใช่เพราะพึงใจในตัวนาง มิเช่นนั้น นาง