แชร์

บทที่ 171

ผู้เขียน: สั่งไม่หยุด
ฮ่องเต้น้อยพอใจมากที่วัน ๆ ไม่ทำอะไร แต่คุณูปการกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ ใครเล่าอยากจะตรวจอ่านฎีกาทั้งวัน

......

ตอนที่พระราชโองการมาถึงจวนซิ่นหยางโหว

ทุกคนในจวนล้วนออกมาฟังพระราชโองการ พระราชโองการมอบให้สกุลฉี หรงจือจือไม่ใช่คนของสกุลฉีแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกไปฟัง ต่อให้คนในราชสำนักถามหาความรับผิดชอบ ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้บ้าง ดังนั้นนางจึงไม่มา

คนของสกุลฉีเพียงคิดว่ามีสิ่งดี ๆ กำลังเกิดขึ้น ไหนเลยจะสนใจว่าหรงจือจือจะมาหรือไม่ แต่พอฟังเจตนารมณ์ของราชโองการจบ ก็รู้สึกราวกับท้องฟ้าถล่มลงมาแล้ว

นางถานถึงขนาดอยากจะไปเรือนหลันเพื่อฆ่าหรงจือจือ!

ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการยังกล่าวอีกว่า “ข้าน้อยขออนุญาตตักเตือนอีกสักประโยค ตอนนี้ในจวนของท่าน มีเพียงฉีจื่อฟู่ผู้เดียวที่เป็นขุนนางขั้นหก ส่วนแม่นางหรงกลับเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของขุนนางระดับสูงขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ต่อไปพวกท่านยังคงอย่าล่วงเกินจะดีกว่า!”

ระหว่างทางมาถ่ายทอดพระราชโองการ เขาได้พบกับเซินเฮ่อแพทย์แผนจีนกรมขุนนาง ลูกศิษย์ของท่านเสนาบดี ใต้เท้าเซินให้ตนเองมาบอกประโยคนี้ ขันทีที่ไหนจะไม่รู้ว่า ความคิดของใต้เท้าเซิน
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 172

    ฉีอวิ่น “....”ขันทีน้อย “อย่าให้ใต้เท้าของสำนักฮั่นหลินต้องรอจนหงุดหงิดเลย!”ผู้ที่รับผิดชอบในการติเตียน ก็คือบัณฑิตขั้นห้าของสำนักฮั่นหลินท่านหนึ่ง หากเป็นเมื่อก่อน ตำแหน่งขุนนางแค่นี้ ย่อมไม่คู่ควรให้ซิ่นหยางโหวชายตามองด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ฉีอวิ่นเป็นคนธรรมดาแล้ว ยังมีค่าพอให้คนอื่นรอที่ไหนกัน?เขาขานรับด้วยหน้าถอดสีเสียงหนึ่ง “ขอรับ!”ขันทีน้อยนั่นยังตักเตือนฉีจื่อฟู่อีกหนึ่งประโยคว่า “ใต้เท้าฉี อย่าลืมโขกศีรษะด้วยนะขอรับ!”พูดจบเขาก็แอบกลอกตา ปกติไปประกาศพระราชโองการที่ไม่ดีในบ้านผู้ใด ทั้งครอบครัวจะกอดกันร้องไห้ และปลอบใจซึ่งกันและกันมีเพียงสกุลฉีเท่านั้น ที่โทษซึ่งกันและกัน คิดว่าความผิดเป็นของคนรอบกาย วันนี้เขาก็ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วฉีจื่อฟู่ขานรับด้วยความหงุดหงิดแต่ก่อนฉีอวิ่นจะออกไป ยังมองฉีจื่อฟู่ด้วยความดุร้ายอีกหนึ่งครั้ง “หลังโขกศีรษะแล้วไปเกลี้ยกล่อมหรงจือจือให้ข้า แล้วบอกให้นางไปขอร้องพ่อตาเจ้าเพื่อครอบครัวเราด้วย!”ในความคิดของฉีอวิ่น ในเมื่อมหาราชครูหรงมีอิทธิพลทำให้ครอบครัวเขาถูกปลดจากตำแหน่งได้ก็สามารถมีอิทธิพลให้ครอบครัวพวกเขากลับมาสู่จุดสูงสุดได้อีก

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 1  

    เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง! หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ —— ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปก

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 2  

    ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 3  

    ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 4  

    หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 5  

    หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 6  

    หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 7  

    นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!” นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!” แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร? หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?” นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่

บทล่าสุด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 172

    ฉีอวิ่น “....”ขันทีน้อย “อย่าให้ใต้เท้าของสำนักฮั่นหลินต้องรอจนหงุดหงิดเลย!”ผู้ที่รับผิดชอบในการติเตียน ก็คือบัณฑิตขั้นห้าของสำนักฮั่นหลินท่านหนึ่ง หากเป็นเมื่อก่อน ตำแหน่งขุนนางแค่นี้ ย่อมไม่คู่ควรให้ซิ่นหยางโหวชายตามองด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ฉีอวิ่นเป็นคนธรรมดาแล้ว ยังมีค่าพอให้คนอื่นรอที่ไหนกัน?เขาขานรับด้วยหน้าถอดสีเสียงหนึ่ง “ขอรับ!”ขันทีน้อยนั่นยังตักเตือนฉีจื่อฟู่อีกหนึ่งประโยคว่า “ใต้เท้าฉี อย่าลืมโขกศีรษะด้วยนะขอรับ!”พูดจบเขาก็แอบกลอกตา ปกติไปประกาศพระราชโองการที่ไม่ดีในบ้านผู้ใด ทั้งครอบครัวจะกอดกันร้องไห้ และปลอบใจซึ่งกันและกันมีเพียงสกุลฉีเท่านั้น ที่โทษซึ่งกันและกัน คิดว่าความผิดเป็นของคนรอบกาย วันนี้เขาก็ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วฉีจื่อฟู่ขานรับด้วยความหงุดหงิดแต่ก่อนฉีอวิ่นจะออกไป ยังมองฉีจื่อฟู่ด้วยความดุร้ายอีกหนึ่งครั้ง “หลังโขกศีรษะแล้วไปเกลี้ยกล่อมหรงจือจือให้ข้า แล้วบอกให้นางไปขอร้องพ่อตาเจ้าเพื่อครอบครัวเราด้วย!”ในความคิดของฉีอวิ่น ในเมื่อมหาราชครูหรงมีอิทธิพลทำให้ครอบครัวเขาถูกปลดจากตำแหน่งได้ก็สามารถมีอิทธิพลให้ครอบครัวพวกเขากลับมาสู่จุดสูงสุดได้อีก

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 171

    ฮ่องเต้น้อยพอใจมากที่วัน ๆ ไม่ทำอะไร แต่คุณูปการกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ ใครเล่าอยากจะตรวจอ่านฎีกาทั้งวัน......ตอนที่พระราชโองการมาถึงจวนซิ่นหยางโหวทุกคนในจวนล้วนออกมาฟังพระราชโองการ พระราชโองการมอบให้สกุลฉี หรงจือจือไม่ใช่คนของสกุลฉีแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกไปฟัง ต่อให้คนในราชสำนักถามหาความรับผิดชอบ ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้บ้าง ดังนั้นนางจึงไม่มาคนของสกุลฉีเพียงคิดว่ามีสิ่งดี ๆ กำลังเกิดขึ้น ไหนเลยจะสนใจว่าหรงจือจือจะมาหรือไม่ แต่พอฟังเจตนารมณ์ของราชโองการจบ ก็รู้สึกราวกับท้องฟ้าถล่มลงมาแล้วนางถานถึงขนาดอยากจะไปเรือนหลันเพื่อฆ่าหรงจือจือ!ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการยังกล่าวอีกว่า “ข้าน้อยขออนุญาตตักเตือนอีกสักประโยค ตอนนี้ในจวนของท่าน มีเพียงฉีจื่อฟู่ผู้เดียวที่เป็นขุนนางขั้นหก ส่วนแม่นางหรงกลับเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของขุนนางระดับสูงขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ต่อไปพวกท่านยังคงอย่าล่วงเกินจะดีกว่า!”ระหว่างทางมาถ่ายทอดพระราชโองการ เขาได้พบกับเซินเฮ่อแพทย์แผนจีนกรมขุนนาง ลูกศิษย์ของท่านเสนาบดี ใต้เท้าเซินให้ตนเองมาบอกประโยคนี้ ขันทีที่ไหนจะไม่รู้ว่า ความคิดของใต้เท้าเซิน

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 170

    มีใครไม่รู้บ้างว่า โดยปกติแล้วท่านอัครเสนาบดีจะยอมฟังแค่คำทัดทานของมหาราชครูหรงและไม่เคยโมโหใส่ส่วนคนอื่นนั้น…หึๆๆ จบไม่สวยสักคนกระนั้นจะไม่จำยอมต่อคนเช่นนี้ก็ไม่ได้อีก เป็นเพราะหลังจากที่คนผู้นี้ขึ้นมาสำเร็จราชการแทน อาณาเขตของแคว้นต้าฉีก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และแคว้นต้าฉีก็ทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ฮ่องเต้หย่งอันก็ยังพูดเป็นประจำว่า “เราไม่ได้ทำอะไรเลยก็กลายเป็นจักรพรรดิที่สร้างผลงานมากกว่าปฐมฮ่องเต้”ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของอัครเสนาบดีเฉินฮ่องเต้หย่งอันตรัส “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน เช่นนั้นก็ปลดซิ่นหยางโหวลงจากตำแหน่ง ลดขั้นให้เป็นสามัญชน เรียกให้เขามาคุกเข่าฟังโอวาทที่หน้าวัง ให้ประชาชนมายืนดู! ส่วนฉีจื่อฟู่…”เขาว่าจบแล้วแอบมองเฉินเยี่ยนซูปราดหนึ่งเฉินเยี่ยนซูพูดอย่างนิ่งเรียบ “ให้ฉีจื่อฟู่คำนับศีรษะไปทางภูเขาอู่หลิงที่หน้าสกุลฉี คำนับจนกว่าโลหิตจะไหลนอง เอาให้บาดเจ็บหนักกว่าแม่นางสกุลหรงสิบเท่า!”ฮ่องเต้หย่งอัน “ตกลงตามนี้! สำนักฮั่นหลินจงร่างพระราชโองการ!”ขุนนางซึ่งรับหน้าที่เขียนและตรวจสอบพระราชโองการลุกขึ้นโดยพลัน “กระหม่อมน้อมรับบัญชา!”เรื่องนี้เป็นอันจบลง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 169

    หลังจากแสดงความเคารพนับถือและความไว้วางใจต่อเฉินเยี่ยนซูแล้ว จึงค่อยประทับลงที่บัลลังก์มังกรของตัวเองนี่เป็นคำขอของอดีตฮ่องเต้ ก่อนที่ฮ่องเต้น้อยจะว่าราชกิจต้องทำแบบนี้ทุกครั้ง นอกจากนี้ เฉินเยี่ยนซูยังได้รับการละเว้นการคุกเข่าต่อหน้าประมุขเช่นกัน ฮ่องเต้น้อยยินยอมพร้อมใจต่อเรื่องนี้ มองว่าเป็นสิ่งที่สมควรแล้วทุกคนคุกเข่าแสดงความเคารพ “ถวายพระพรฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”ฮ่องเต้หย่งอัน “ทุกคนลุกขึ้นได้”ขันทีอาวุโสหยางพูดเสียง “หากมีธุระก็รีบกราบทูล หากไม่มีอะไรก็เลิกประชุมได้!”“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพะย่ะค่ะ! ซื่อจื่อซิ่นหยางโหวทำร้ายบุตรสาวสายตรงของมหาราชครูหรง ทำให้แม่นางหรงได้รับบาดเจ็บ สมควรลงโทษสถานหนัก!”“ฝ่าบาท เขาเป็นขุนนางของราชสำนักแต่กลับประพฤติตนเหลวไหลเช่นนี้ ตอนแรกก็จะปลดภรรยาเอกให้เป็นอนุ ต่อมาก็ทำร้ายร่างกายหญิงสาวชนชั้นสูง ช่างไร้สาระยิ่งนัก!”“ก่อนหน้านี้สกุลฉีทำให้นายหญิงผู้เฒ่าหรงโมโหจนอกแตกตาย ทั้งยังมีหน้ามาพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าหรงป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แม้ท่านมหาราชครูหรงจะโมโหแต่ก็อาจโทษว่าเป็นความผิดของพวกเขาทั้งหมด ทว่าคร

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 168

    แต่ในจังหวะนี้เอง อวี้ม่านหวากลับร้องไห้เสียงดังยิ่งขึ้น “ท่านพี่ฟู่ ข้าไม่ไหวแล้ว ท้องของข้า…”ฉีจื่อฟู่หันกลับไปอุ้มอวี้ม่านหวาเขามองหรงจือจือปราดหนึ่งและพูดว่า “จือจือ ข้าจะไปตามหมอให้ม่านหวาก่อน เสร็จแล้วจะกลับมาดูเจ้า”ข้างกายจือจือมีบริวารที่ให้ความเป็นห่วงอยู่มากมาย แต่ม่านหวามีเพียงแค่เขาฉีจื่อฟู่พูดจบก็จากไปอย่างเร่งรีบเจาซีรีบประคองหรงจือจือให้ลุกขึ้น นางโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ อดด่าไม่ได้ว่า “คุณหนู ซื่อจื่อช่างสารเลวยิ่งนัก!”คุณหนูของนางถูกซื่อจื่อผลักแท้ๆ ทว่าเขากลับหันไปเป็นห่วงนังแพศยานั่นอวี้หมัวมัวปวดใจมากเช่นกันเมื่อนึกถึงว่าก่อนหน้านี้ตัวเองบอกให้คุณหนูมีทายาทสายตรงให้กับซื่อจื่อและเป็นฮูหยินโหว นางก็อยากจะตบหน้าตัวเองสำหรับคนแบบซื่อจื่อแล้ว เขาสมควรขาดลูกสิ้นหลานหลังจากกลับเข้าเรือนไปตรวจสอบก็พบว่าหรงจือจือไม่ได้มีบาดแผลร้ายแรงนัก มีเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่บริเวณหน้าผากและมีเลือดออก เพียงแค่ใช้โอสถรักษาก็พอแล้ว ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแต่อย่างใดเจาซีน้ำตาไหลไม่หยุด ประหนึ่งว่านางเป็นคนที่ล้มกระแทกเองอย่างไรอย่างนั้นหรงจือจือมีอาการสงบมาก “การล้มของข้าไม่สูญ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 167

    อวี้ม่านหวาเบิกตาโพลง นางเข้าใจแล้ว “ตัวท่านเองสู้ข้าไม่ได้ ก็เลยหาคนมาสู้กับข้าแทนใช่หรือไม่?”“ตัวท่านไม่อาจคว้าหัวใจซื่อจื่อมาครองก็เลยอิจฉาข้า หวังให้ข้าอยู่โดดเดี่ยวเหมือนตัวท่านเองใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคงรู้สึกเหงาในยามราตรี ก็เลยอิจฉาที่ข้ามีท่านพี่ฟู่อยู่เคียงข้างสินะ!”หรงจือจือตบหน้าอวี้ม่านหวาดัง “เพี้ยะ” ทำให้เสียงของอวี้ม่านหวาเงียบลง พูดด้วยสีหน้าเย็นยะเยียบว่า “สู้เจ้าไม่ได้งั้นรึ? ข้าตบเจ้า เจ้าไม่เพียงโต้ตอบคืนไม่ได้ แต่ยังขัดขืนไม่ได้ด้วย ตัวเจ้าเป็นเพียงอนุ มีคุณสมบัติอะไรมาสู้กับข้าที่เป็นนายหญิงใหญ่? สงสัยจะเลอะเลือนสินะ!”“ท่านพี่ฟู่ของเจ้าไม่มาอยู่กับข้า ข้ามีแต่จะยินดีด้วยซ้ำ เจ้าเก็บเขาไว้ข้างกายทุกคืนได้เลย อย่ามาทำให้ข้าสะอิดสะเอียน!”“นอกจากนี้ หากเจ้ายังพูดถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ ข้าได้ยินหนึ่งรอบก็จะตบเจ้าหนึ่งรอบ!”อวี้ม่านหวากุมหน้าตัวเอง “ผู้ใดจะไปเชื่อที่ท่านพูดกัน? ท่านกำลังหึงหวงชัดๆ!”หรงจือจือปรายตามองไปที่ท้องของนางปราดหนึ่ง “เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ เจ้าควรดีใจที่ตัวเองกำลังตั้งท้องอยู่ ข้าจะไม่ลงมือต่อเด็ก นี่เป็นยันต์คุ้มชีวิตของเจ้า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 166

    ครานี้ไม่ต้องให้หรงจือจือพูด อวี้หมัวมัวพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าเลอะเลือนหรืออย่างไร คุณชายสี่ได้ลิ้มรสความหวานตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่นพนัน เช่นนี้วันหน้าจึงจะอยากไปอีก”“หากพ่ายแพ้ตั้งแต่ครั้งแรก วันหน้ายังจะอยากเล่นพนันอีกหรือ? มีแต่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีโชคและไม่ไปบ่อนอีก”เจาซีเพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้ “ที่แท้ก็เป็นแบบนั้นนี่เอง!”หากเป็นเมื่อก่อน ชุนเซิงฟังเรื่องพวกนี้แล้วและรู้ว่าฉีจื่อเสียนจะเดินทางผิด ไม่แน่ว่าภายในใจจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นแม้แต่น้อย คุณชายสี่ให้เขาปลอมตัวเป็นอีกฝ่าย ส่วนพวกตัวเองสองคนกลับไปเที่ยวเล่นหากฮูหยินทราบเข้า เขาคงไม่รอดชีวิต อีกฝ่ายไม่เคยคิดถึงความเป็นความตายของเขาด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ช่วงสองวันนี้เลย คุณชายสี่มักจะดุด่าทุบตีเขาเป็นประจำ นี่ทำให้ชุนเซิงรู้สึกว่าคุณชายสี่เจอแบบนี้ก็สมควรแล้ว ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ!ชุนเซิงพูดว่า “เช่นนั้นบ่าวขอตัวกลับไปรายงานก่อน หากมีข้อมูลอะไรอีกจะมารายงานให้ท่านทราบ”หรงจือจือพยักหน้า บอกให้เจาซีไปหยิบโอสถรักษาบาดแผลมามอบให้ชุนเซิง “โอสถนี้จะช่วยบรรเทาบาดแผลที่ศีรษะของเจ้า บนข

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 165

    หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “เจ้าไปบอกเขาว่าช่วงนี้ท่านพ่ออารมณ์ไม่ดี ข้ายังไม่กล้าไปคุยให้ รอให้ท่านพ่ออารมณ์เย็นลงแล้วข้าค่อยลองดูอีกครั้ง!”ตอนที่ท่านพ่อรับปากว่าจะช่วยแก้แค้น เขาบอกนางว่าสามารถขอความช่วยเหลือจากเขาได้ที่หรงจือจือไม่กลับไปขอความช่วยเหลือจากมหาราชครูหรงทันทีไม่ใช่เพราะกลัวท่านพ่อไม่พอใจแต่อย่างไร แต่เป็นเพราะอยากให้ฉีจื่อเสียนอยู่ว่างสักสองสามวัน ตงหลิงจะได้ทำประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น ชุนเซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปแล้ว หากฮูหยินซื่อจื่อไม่ยอมตอบตกลง บ่าวกลับไปแล้วคงถูกคุณชายสี่ตำหนิว่าไร้ความสามารถและทุบตี!”หรงจือจือมองเขาปราดหนึ่ง “ตั้งแต่ที่ตงหลิงกลับมา ชีวิตเจ้าไม่ได้ดีขึ้นหรือ?”ชุนเซิงมีสีหน้าเศร้ารันทด “เพิ่งกลับมาแค่สองวัน เขาก็ใช้ความสามารถในการประจบสอพลอมาทำให้คุณชายสี่ไม่สบอารมณ์ต่อบ่าว บ่าวถูกตบหน้าไปสองครั้งแล้ว ศีรษะมีรอยนูนปูดที่ถูกคุณชายสี่ทุบตี”ตอนนี้เขารู้สึกโชคดี โชคดีที่เจ้านายในใจเขาคือฮูหยินซื่อจื่อที่คอยช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด ไม่ใช่คุณชายสี่มิเช่นนั้นตอนนี้จะขมขื่นเพียงใดก็ไม่รู้ หลังจากบ่นจบ ชุนเซิงก็พูดต่อ “ยังมีอ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 164

    หรงจือจือกล่าวอย่างราบเรียบ “ที่ข้าอยากทำไม่ได้มีแค่นี้ แต่ต้องดูก่อนว่าเจ้าอันธพาลนี่มีความสามารถเพียงใด”ในจดหมายที่เซิ่งเฟิงส่งถึงนางระบุไว้ว่า อันธพาลซึ่งมีนามว่าซือถือกุ้ยที่นางหลิวพอจะมีความสามารถอยู่ ความจริงแล้วนางหลิวไม่ใช่สตรีชนชั้นสูงคนแรกที่ถูกเขาหลอกเอาเงินไปจนหมด สองปีมานี้เขาหลอกบรรดาฮูหยินแม่ม่ายกับฮูหยินที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับสามีมาไม่รู้ตั้งเท่าไรหลังจากที่หลอกเอาเงินจนหมดก็จะหาข้ออ้างมาทะเลาะและเลิกรากันเพื่อไปหาเหยื่อคนถัดไป ทุกคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับเขา บัดนี้ล้วนแต่สิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากที่บรรดาฮูหยินถูกหลอก พวกนางไม่กล้าเปิดเผยเรื่องดังกล่าวเพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ หลังจากที่เขาหลอกเงินและไปหาเหยื่อคนถัดไป เขาจะย้อนกลับไปหลอกบรรดาฮูหยินพวกนั้นด้วยว่า ตัวเองถูกบังคับให้ทำเช่นนี้และทำไปเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น กับสตรีคนอื่นแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย มอบความรู้สึกที่แท้จริงให้แค่พวกนาง ไม่เคยลืมไปจากใจหลอกให้บรรดาฮูหยินยกโทษให้ตน จะได้ไม่เกลียดที่เขาใจร้าย ให้พวกนางโทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่มีเงินน้อยแทน แต่ละคนจะได้คิ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status