เพียงเพราะตนเองคุกเข่านานเกินไป แต่ก็ไม่ได้สนใจพอกลับมาถึงเรือน อวี้ม่านหว่าก็หลั่งน้ำตา เมื่อเห็นหมอประจำจวนพันแผลให้เขา “ท่านพี่ฟู่ เห็นท่านเป็นเช่นนี้ ข้าปวดใจเหลือเกินเจ้าค่ะ”ฉีจื่อฟู่ได้ยินก็ซาบซึ้งใจแค่ตนเองทุกข์นิดหน่อย ม่านหวาก็หลั่งน้ำตาแล้ว แต่จือจือเล่า? นางเป็นคนทำร้ายตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้!ท่านพ่อตำหนิที่เมื่อวานตนเองไม่ยอมไปเกลี้ยกล่อมจือจือ หากไม่ใช่เพราะไม่กล้าขัดคำสั่งบิดา เขาคงอยากจะถามว่า เมื่อเทียบกับท่าทีของพวกนางที่มีต่อเขา เขาไม่ควรอยู่ข้างกายม่านหวาหรอกหรือ?หลังหมอประจำจวนจากไป ฉีจื่อฟู่ก็นอนลง พลางกล่าวช้า ๆ ว่า “เจ้าเป็นองค์หญิง เพราะติดตามข้า ช่วงนี้กลับโดนตบตีอยู่เสมอ แถมยังไม่ได้รับความเคารพนับถืออีก ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย!”อวี้ม่านหวา “ตราบใดที่สามารถอยู่กับท่านพี่ฟู่ได้ ข้ายินดี เพียงแต่...”ฉีจื่อฟู่มองนางทีหนึ่ง ในดวงตาล้วนเต็มไปด้วยความระมัดระวัง “เพียงแต่อะไรหรือ?”จือจือรักเขาเพราะมีเงื่อนไข ว่าต้องรับประกันตำแหน่งภรรยาเอกของนาง แถมยังต้องหมุนรอบตัวนาง และทำทุกอย่างเพื่อนางก่อน มิเช่นนั้นนางก็จะสร้างความวุ่นวายให้ตนเองหรือว่าความรักที่
หรงจือจือ “เป็นไปได้หรือไม่ ว่านกแก้วตัวนี้จะจำทางผิดเอง?”เจาซี “...ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?หรงจือจือมองพวงดอกไม้นั่นอย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่ากิ่งก้านที่อยู่ในพวง เคยถูกขัดเงาอย่างประณีตมาก่อน จนกลมกลึงอย่างยิ่ง แม้หน้าผากนางจะมีบาดแผลเล็ก ๆ หากสวมเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก็ไม่อาจทำให้หน้าผากเจ็บได้แต่เจาซีในเวลานี้ ยังนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “คุณหนู จู่ ๆ ข้าน้อยนึกขึ้นได้ว่า ตอนพวกเราพบท่านเสนาบดีที่ได้รับบาดเจ็บในปีนั้น บนศีรษะของท่าน ก็สวมพวงดอกไม้ ดูสวยงามมากทีเดียว หรือว่าจะเป็น...”ท่านเสนาบดีคิดว่าท่านชอบ?ดอกไม้ของปีนั้น ล้วนเป็นดอกไม้ที่พบตอนไปเก็บผลไม้ป่าในป่า หลังหรงจือจือเด็ดมันลงมา ก็สานทำเป็นพวงดอกไม้ แล้วสวมบนศีรษะ อายุสิบหกปีเป็นวัยแห่งความไร้เดียงสาพอดีแม้อารมณ์ในตอนนี้จะแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่พอมองสิ่งที่งดงามเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้อารมณ์ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัวหรงจือจือก็รู้ว่าเจาซีกำลังคาดเดาถึงผู้ใดแต่ไม่มีหลักฐาน จึงไม่มีอะไรน่าคาดเดา นางวางพวงดอกไม้ลง “ลองดูวันพรุ่งนี้ ว่าจะมีคนมาขอรับไปหรือไม่”เจาซี “เจ้าค่ะ! หากวันพรุ่งนี้ตอนกลางวันยังไม่มีใครมา ท่านก็สวมเ
เห็นข้าจากมาแล้ว นางจะต้องรู้ว่าตนเองทำเกินไป จากนั้นไม่นาน นางก็จะเข้ามาขอโทษข้าเป็นแน่”ดังนั้นเขาจึงไม่ไปเรือนจวี่ แต่กลับมาที่เรือนของตนเอง เพราะกลัวว่าหรงจือจือจะคิดว่าม่านหวายังอยู่ จึงอายเกินกว่าจะขอโทษตนเองเขาคิดแทนจือจือรอบคอบเช่นนี้แล้ว นางไม่ยังไม่มาอีก ก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย ชิวยี่ตกตะลึง “ฮะ? ฮูหยินรองจะมาหรือขอรับ?”ความจริงท่าทีที่ฮูหยินรองมีต่อคุณชายในตอนนี้ ดูเฉยชามากจริง ๆ นางถึงขนาดเข้าไปฟ้องบ้านมารดาให้เปลี่ยนจวนโหวให้กลายเป็นคนธรรมดาได้ แล้วยังจะสงสารคุณชายอยู่อีกหรือ? นี่ไม่เหมือนท่าทางของความสงสารเลยปากของฉีจื่อฟู่พูดเช่นนั้น แต่ความจริงเมื่อนึกถึงท่าทีในช่วงนี้ของจือจือ ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนักตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่รู้ว่าพูดให้ชิวยี่ฟัง หรือว่าปลอบใจตนเองกันแน่ “เจ้าลืมแล้วหรือ? เมื่อก่อนจือจือดีต่อข้าเช่นนั้น ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้ นางจะปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?”“ก็แค่อารมร์ฉุนเฉียวของพวกผู้หญิง อยากให้ข้าสงสาร และเอาใจใส่นางเหมือนสงสารม่านหวาบ้างก็เท่านั้น!”เมื่อพูดจบ ฉีจื่อฟู่ก็สงบลงไปบ้างแล้ว หลังอาบน้ำและล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียง ก็รอหรง
ชิวยี่ “...ขอรับ!”อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่อวี้ม่านหวายังตะลึงงันตอนนี้หรงจือจือเกลียดชังและเย็นชาต่อฉีจื่อฟู่ จนแทบจะเขียนอยู่บนใบหน้าแล้ว เขายังคงพูดคำเช่นนี้ออกมาได้ ก็ไม่รู้ว่าสติเลอะเลือนไปหรือไม่ไม่รอให้นางจะพูดอะไรฉีจื่อฟู่ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่ามองว่าช่วงนี้จือจือมักไม่สนใจข้า ความจริงแล้วนางงอนข้าอยู่เท่านั้น เพียงแต่ความโกรธของนางรุนแรงเกินไปหน่อย”“ข้าแค่ต้องให้โอกาสนางอีกสักหน่อย นางต้องยอมอ่อนข้อเป็นแน่”อวี้ม่านหวาถึงกับไม่กล้าบอกเขาว่าพูดถูกอย่างที่ผ่านมา เพราะกังวลว่าหากตนเองส่งเสริมเขาแล้ว หรงจือจือกลับไม่ไปส่งจริง ๆ หากเขาต้องหิวทั้งวัน และกลับมาโทษตนเองที่ส่งเสริมเขามั่วซั่วจะทำอย่างไร?หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คิดวิธีที่ไม่ข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ “ช่วงนี้ฮูหยินรองค่อนข้างเอาแต่ใจ หากไม่ไปจริง ๆ......ท่านพี่ฟู่นำขนมใส่กล่องไปบ้างไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ พอถึงที่ว่าการแล้วหิวขึ้นมา ก็ยังพอกินรองท้องได้บ้าง”จากนั้นฉีจื่อฟู่ก็โบกมือ พลางกล่าว “ไม่ล่ะ! หากนำไป จือจือจะคิดว่าข้าจริงใจได้อย่างไร? เรื่องของซี่อวี่เจ้าวางใจ วันนี้ข้าจะไปสอบถามที่อยู่ของนา
หากเป็นเมื่อก่อน อย่างน้อยหรงจือจืออาจจะใส่ใจจริง ๆ แต่ตอนนี้ นางยังมีอะไรให้ต้องใส่ใจอีกหรือ?นางดื่มรังนกเสร็จ ก็หัวเราะช้า ๆ “แก้เคล็ด? เช่นนั้นหวังว่าในคืนเข้าหอของถานผิงถิง นางถานจะมีความสุขขึ้นมาได้จริง ๆ แล้วกัน!”ทำชุดแต่งงานสีแดงสดให้ถานผิงถิงงั้นหรือ?รอให้ถึงวันนั้น เกรงว่านางถานจะมองทุกอย่างที่เป็นสีแดงในจวนนี้แล้ว ต้องรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมดเจาอู้กล่าว “เนื่องจากถานผิงถิงบาดเจ็บที่ใบหน้า ทั้งสองสกุลจึงต้องการให้งานแต่งนี้จัดขึ้นโดยเร็วที่สุด คิดว่าความเศร้าเสียใจของนางถานที่จะเกิดขึ้นหลังจากความปีติยินดีถึงขีดสุด คงจะเกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้แล้วเจ้าค่ะ”หรงจือจือ “หลังนางถานส่งสินสอดถึงมือนางหลิว อันธพาลที่นางหลิวเลี้ยงไว้คนนั้น ช่วงนี้คงมีเงินอยู่ในมืออีกแล้วใช่หรือไม่?”เจาอู้ “จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ? เขายังไปบ่อนอีกด้วย เมื่อคืนเขาเสียเงินไปเยอะมาก เล่นพนันทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าจะเสียเงินไปหกพันตำลึงเชียวเจ้าค่ะ!”“พูดขึ้นมาก็บังเอิญ ที่เขาไปก็คือบ่อนที่ก่อนหน้านี้ตงหลิงเคยพาคุณชายสี่ไป หากไปอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะพบกับคุณชายสี่ก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ!”เจาซีเข้
เจ้าหน้าที่พวกนั้นหนังศีรษะชาวาบ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าท่านเสนาบดีหมายความว่าอย่างไร เหตุใดดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก? ระดับชั้นที่ต่ำต้อยอย่างพวกเขา ไม่เคยมีโอกาสพบหรงจือจือมาก่อน วันนี้ขอหวังสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง?พวกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย แต่อยากเห็นก็เท่านั้นเองตอนที่ยังไม่เข้าใจความคิดของผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ที่ฉลาด มักจะรู้จักรักษาความสงบนิ่งอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยิ่งพูดยิ่งผิดพวกเขาตัวสั่น ต่างก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเสิ่นเยี่ยนซูมองพวกเขาอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ก็หมุนกายเดินเข้าไปในโถงหลักที่ว่าการของศาลหลงสิง เจ้าหน้าที่องครักษ์หลงสิงส่วนใหญ่ ล้วนทำงานกันอยู่ด้านในโถงหลักแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นรวมทั้งฉีจื่อฟู่ด้วยเห็นเสิ่นเยี่ยนซูเข้ามา ทุกคนต่างคุกเข่าลง “คารวะท่านสมุหราชเลขาธิการขอรับ!”เสิ่นเยี่ยนซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไม่ต้องมากพิธี”ฉีจื่อฟู่เงยหน้ามองอย่างระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะอัครมหาเสนาบดีเสิ่น ม่านหวาคงไม่ใช่แค่อนุ ตนเองก็ไม่ใช่เป็นแค่ขุนนางชั้นหกเล็ก ๆ นี้เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ฝ่าบาทยังเคารพอีกฝ่ายในฐานะท่านเสนาบดี แต่
ดังนั้นอวี่เหวินจ้านเองก็ไม่กล้าหิว ได้แต่รออยู่ข้าง ๆทันใดนั้น ท้องของฉีจื่อฟู่ก็ร้องโครกครากขึ้น หางตาของเขาเห็นบรรดาเพื่อนร่วมงานต่างกำลังกินข้าว กลิ่นอาหารตลบอบอวล ทำให้ยิ่งรู้สึกหิวเข้าไปใหญ่ความหิวโหยของเขายากจะอดกลั้นยิ่งกว่าเซิ่งเฟิง เนื่องจากตอนเช้าเขายังไม่ได้กินข้าวเช้ามาเนื่องจากท่านเสนาบดีอยู่ ทุกคนจึงกินข้าวกันอย่างเงียบเชียบ แทบจะไม่ส่งเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ฉะนั้นเสียงท้องร้องของทุกคน จึงดังชัดเจนอย่างมากท้องของฉีจื่อฟู่ร้องสองครั้ง ท้องของเซิ่งเฟิงร้องครั้งหนึ่งและยังมีเสียงท้องร้องของอวี่เหวินจ้านประสมขึ้นเป็นครั้งคราวผู้ที่คล้ายกับไร้ซึ่งความอยากอาหารใด ๆ ไม่หิวเลยจริง ๆ และไม่มีเสียงท้องร้องดังออกมาเลย มีเพียงเฉินเยี่ยนซูผู้เดียวเท่านั้นขุนนางผู้หนึ่งที่นั่งข้างฉีจื่อฟู่ ถูกเสียงท้องร้องของเขาทำให้หนวกหูจนทนไม่ไหวอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ก็ยังอดทนไม่ไหวที่จะกระซิบถามฉีจื่อฟู่ว่า “ใต้เท้าฉี ท่านบอกว่าวันนี้ภรรยาของท่าน จะมาส่งข้าวให้ท่านมิใช่หรือ?”เซิ่งเฟิงค้นพบว่า เสนาบดีของตนดูราวกับไม่สนใจใด ๆ ทว่ากลับเงี่ยหูฟังขึ้นมาเงียบ ๆ แล้วฉีจื่อฟู่อิหลักอิเห
เฉินเยี่ยนซูย่อมเข้าใจแล้วว่า จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นหรงจือจือ ที่พูดว่าส่งข้าว เกรงว่าฉีจื่อฟู่จะคิดเองเออเองท่านสมุหราชเลขาธิการที่อารมณ์ดีลุกขึ้น แล้วมองไปที่อวี่เหวินจ้านทีหนึ่ง “ทำงานได้ไม่เลว”อวี่เหวินจ้านใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านเสนาบดีที่ชมขอรับ!”เขาประจบสอพลอเช่นนี้ นอกจากเพราะไม่อยากล่วงเกินท่านเสนาบดีแล้ว ยังมีอีกข้อหนึ่งก็คือ ท่านเสนาบดีเป็นคนที่เขาเลื่อมใสมาตลอดวันนี้ได้รับการยอมรับจากคนที่เคารพ หากอวี่เหวินจ้านมีหางงอกออกมา เกรงว่าคงเบิกบานใจจนกระดิกหางเป็นป๋องแป๋งก็มิปานเพียงแต่หลังส่งท่านเสนาบดีกลับไปแล้ว อวี่เหวินจ้านก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ตกลงท่านเสนาบดีชมว่าตนทำได้ดีตรงไหนกันดังนั้นจึงนำม้วนกระดาษทั้งหมดที่ท่านเสนาบดีอ่านเมื่อครู่ กลับมาครุ่นคิดและหาข้อดีของตนรอบหนึ่ง จากนั้นถึงแอบพอใจเงียบ ๆหากเซิ่งเฟิงยังไม่ไป ได้เห็นท่าทางนี้ของเขาแล้ว ไม่แน่อาจจะเตือนเขาประโยคหนึ่งว่า “ไม่ต้องเอากลับไปครุ่นคิดแล้ว ไม่มีอะไรที่ท่านทำได้ดีหรอก เพียงแต่ท่านเสนาบดีอารมณ์ดี จึงเอ่ยปากชมท่านส่ง ๆ ไปเท่านั้นเอง”...ฉีจื่อฟู่กลับจวนด้วยอารมณ์เดือดดาล ทว่าก็ย
ครั้นหรงจือจือได้ยินดังนั้น มุมปากก็กระตุกรอยยิ้มแสนพอใจออกมา เหตุใดฉีจื่อเสียนจึงยังมาขอยืมเงินได้? ย่อมเป็นเพราะสองวันนี้เล่นพนันจนเสพติดไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจติดหนี้ที่บ่อนด้วยนี่ช่างเป็นเรื่องดีที่มาพร้อมกันสองเรื่องจริง ๆอวี้หมัวมัวกล่าว “ให้ไล่เขาไปไหมเจ้าคะ?”หรงจือจือ “ไม่ ให้เขาเข้ามา”อวี้หมัวมัว “เจ้าค่ะ”เรื่องที่ช่วงนี้หรงจือจือไม่ยอมพบใคร แต่พบเพียงฉีจื่อเสียน ทำเอาฉีจื่อเสียนคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง รีบสาวเท้าก้าวยาวเข้าไปทันทีหลังพบหรงจือจือ เขาก็กล่าวเข้าประเด็นทันที “ท่านพี่สะใภ้ ขอข้ายืมเงินสักหนึ่งร้อยตำลึงได้หรือไม่?”ฉีจื่อเสียนอายุยังน้อย ที่จวนให้เงินเขาเพียงเดือนละหกสิบตำลึง ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว เขาเอ่ยปากทีก็จะเอาหนึ่งร้อย เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้มีรายจ่ายที่อยู่นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจริง ๆเขากังวลอยู่เล็กน้อยว่าหรงจือจือจะปฏิเสธแต่ไม่คิดเลยว่าหรงจือจือจะยอมง่าย ๆ “เจาซี เจ้าไปเอาเงินมา”ครั้นฉีจื่อเสียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พร้อมมองไปที่หรงจือจือแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่สะใภ้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่พูดกับท่านไม่ได้”“ท่านพี่ก็แค
แม้ว่านิสัยของฉีจื่อฟู่จะไม่ดีสักไม่เท่าไร แต่คนผู้นี้ไหวพริบดีมาก ความสามารถในการทำประโยชน์ให้แว่นแคว้นไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นตอนแรกก็คงไม่ปั่นหัวคนต้าเจาของพวกเขา จนหัวหมุนได้หรอกตนจึงจับข้อด้อยร้ายแรงเรื่องความหลงตัวเองนี้ของเขา ถึงได้มีโอกาสแฝงตัวอยู่ข้างกายเขาหากอีกฝ่ายได้รับความไว้วางใจจากองครักษ์หลงสิงยิ่งขึ้น เช่นนั้นตนก็สามารถสืบหาข่าวได้เยอะยิ่งขึ้นซี่อวี่ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง “หากท่านอ๋องรองรู้ว่าองค์หญิงพยายามอย่างเต็มที่เช่นนี้ คิดว่าก็คงชื่นชมพระองค์เช่นกัน!”อวี้ม่านหวากล่าว “พี่รองเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของต้าเจา ข้าเองก็เช่นกัน หรือว่าเป็นเพราะข้าคือสตรี ถึงได้เทียบเขาไม่ติด? ผู้ที่ใจเสาะมีเพียงพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนแรกเสด็จพ่อถึงยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้แก่เขา!”ซี่อวี่ “แต่ว่าองค์หญิงเพคะ เด็กในท้องของพระองค์...”อวี้ม่านหวา “กะอีแค่มารหัวขนก้อนหนึ่งเท่านั้น! หลังมาถึงสกุลฉี ข้ายังคิดว่าหรงจือจือจะลงมือทำให้ข้าแท้ง จะได้ยืมเด็กคนนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับฉีจื่อฟู่ยิ่งแย่ลง และบีบให้นางออกไปจากสกุลฉีเสีย”“แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับไม่ลงมือ มิหนำซ้ำยังบอกว่าเห็
เฉินเยี่ยนซูย่อมเข้าใจแล้วว่า จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นหรงจือจือ ที่พูดว่าส่งข้าว เกรงว่าฉีจื่อฟู่จะคิดเองเออเองท่านสมุหราชเลขาธิการที่อารมณ์ดีลุกขึ้น แล้วมองไปที่อวี่เหวินจ้านทีหนึ่ง “ทำงานได้ไม่เลว”อวี่เหวินจ้านใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านเสนาบดีที่ชมขอรับ!”เขาประจบสอพลอเช่นนี้ นอกจากเพราะไม่อยากล่วงเกินท่านเสนาบดีแล้ว ยังมีอีกข้อหนึ่งก็คือ ท่านเสนาบดีเป็นคนที่เขาเลื่อมใสมาตลอดวันนี้ได้รับการยอมรับจากคนที่เคารพ หากอวี่เหวินจ้านมีหางงอกออกมา เกรงว่าคงเบิกบานใจจนกระดิกหางเป็นป๋องแป๋งก็มิปานเพียงแต่หลังส่งท่านเสนาบดีกลับไปแล้ว อวี่เหวินจ้านก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ตกลงท่านเสนาบดีชมว่าตนทำได้ดีตรงไหนกันดังนั้นจึงนำม้วนกระดาษทั้งหมดที่ท่านเสนาบดีอ่านเมื่อครู่ กลับมาครุ่นคิดและหาข้อดีของตนรอบหนึ่ง จากนั้นถึงแอบพอใจเงียบ ๆหากเซิ่งเฟิงยังไม่ไป ได้เห็นท่าทางนี้ของเขาแล้ว ไม่แน่อาจจะเตือนเขาประโยคหนึ่งว่า “ไม่ต้องเอากลับไปครุ่นคิดแล้ว ไม่มีอะไรที่ท่านทำได้ดีหรอก เพียงแต่ท่านเสนาบดีอารมณ์ดี จึงเอ่ยปากชมท่านส่ง ๆ ไปเท่านั้นเอง”...ฉีจื่อฟู่กลับจวนด้วยอารมณ์เดือดดาล ทว่าก็ย
ดังนั้นอวี่เหวินจ้านเองก็ไม่กล้าหิว ได้แต่รออยู่ข้าง ๆทันใดนั้น ท้องของฉีจื่อฟู่ก็ร้องโครกครากขึ้น หางตาของเขาเห็นบรรดาเพื่อนร่วมงานต่างกำลังกินข้าว กลิ่นอาหารตลบอบอวล ทำให้ยิ่งรู้สึกหิวเข้าไปใหญ่ความหิวโหยของเขายากจะอดกลั้นยิ่งกว่าเซิ่งเฟิง เนื่องจากตอนเช้าเขายังไม่ได้กินข้าวเช้ามาเนื่องจากท่านเสนาบดีอยู่ ทุกคนจึงกินข้าวกันอย่างเงียบเชียบ แทบจะไม่ส่งเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ฉะนั้นเสียงท้องร้องของทุกคน จึงดังชัดเจนอย่างมากท้องของฉีจื่อฟู่ร้องสองครั้ง ท้องของเซิ่งเฟิงร้องครั้งหนึ่งและยังมีเสียงท้องร้องของอวี่เหวินจ้านประสมขึ้นเป็นครั้งคราวผู้ที่คล้ายกับไร้ซึ่งความอยากอาหารใด ๆ ไม่หิวเลยจริง ๆ และไม่มีเสียงท้องร้องดังออกมาเลย มีเพียงเฉินเยี่ยนซูผู้เดียวเท่านั้นขุนนางผู้หนึ่งที่นั่งข้างฉีจื่อฟู่ ถูกเสียงท้องร้องของเขาทำให้หนวกหูจนทนไม่ไหวอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ก็ยังอดทนไม่ไหวที่จะกระซิบถามฉีจื่อฟู่ว่า “ใต้เท้าฉี ท่านบอกว่าวันนี้ภรรยาของท่าน จะมาส่งข้าวให้ท่านมิใช่หรือ?”เซิ่งเฟิงค้นพบว่า เสนาบดีของตนดูราวกับไม่สนใจใด ๆ ทว่ากลับเงี่ยหูฟังขึ้นมาเงียบ ๆ แล้วฉีจื่อฟู่อิหลักอิเห
เจ้าหน้าที่พวกนั้นหนังศีรษะชาวาบ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าท่านเสนาบดีหมายความว่าอย่างไร เหตุใดดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก? ระดับชั้นที่ต่ำต้อยอย่างพวกเขา ไม่เคยมีโอกาสพบหรงจือจือมาก่อน วันนี้ขอหวังสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง?พวกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย แต่อยากเห็นก็เท่านั้นเองตอนที่ยังไม่เข้าใจความคิดของผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ที่ฉลาด มักจะรู้จักรักษาความสงบนิ่งอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยิ่งพูดยิ่งผิดพวกเขาตัวสั่น ต่างก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเสิ่นเยี่ยนซูมองพวกเขาอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ก็หมุนกายเดินเข้าไปในโถงหลักที่ว่าการของศาลหลงสิง เจ้าหน้าที่องครักษ์หลงสิงส่วนใหญ่ ล้วนทำงานกันอยู่ด้านในโถงหลักแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นรวมทั้งฉีจื่อฟู่ด้วยเห็นเสิ่นเยี่ยนซูเข้ามา ทุกคนต่างคุกเข่าลง “คารวะท่านสมุหราชเลขาธิการขอรับ!”เสิ่นเยี่ยนซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไม่ต้องมากพิธี”ฉีจื่อฟู่เงยหน้ามองอย่างระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะอัครมหาเสนาบดีเสิ่น ม่านหวาคงไม่ใช่แค่อนุ ตนเองก็ไม่ใช่เป็นแค่ขุนนางชั้นหกเล็ก ๆ นี้เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ฝ่าบาทยังเคารพอีกฝ่ายในฐานะท่านเสนาบดี แต่
หากเป็นเมื่อก่อน อย่างน้อยหรงจือจืออาจจะใส่ใจจริง ๆ แต่ตอนนี้ นางยังมีอะไรให้ต้องใส่ใจอีกหรือ?นางดื่มรังนกเสร็จ ก็หัวเราะช้า ๆ “แก้เคล็ด? เช่นนั้นหวังว่าในคืนเข้าหอของถานผิงถิง นางถานจะมีความสุขขึ้นมาได้จริง ๆ แล้วกัน!”ทำชุดแต่งงานสีแดงสดให้ถานผิงถิงงั้นหรือ?รอให้ถึงวันนั้น เกรงว่านางถานจะมองทุกอย่างที่เป็นสีแดงในจวนนี้แล้ว ต้องรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมดเจาอู้กล่าว “เนื่องจากถานผิงถิงบาดเจ็บที่ใบหน้า ทั้งสองสกุลจึงต้องการให้งานแต่งนี้จัดขึ้นโดยเร็วที่สุด คิดว่าความเศร้าเสียใจของนางถานที่จะเกิดขึ้นหลังจากความปีติยินดีถึงขีดสุด คงจะเกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้แล้วเจ้าค่ะ”หรงจือจือ “หลังนางถานส่งสินสอดถึงมือนางหลิว อันธพาลที่นางหลิวเลี้ยงไว้คนนั้น ช่วงนี้คงมีเงินอยู่ในมืออีกแล้วใช่หรือไม่?”เจาอู้ “จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ? เขายังไปบ่อนอีกด้วย เมื่อคืนเขาเสียเงินไปเยอะมาก เล่นพนันทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าจะเสียเงินไปหกพันตำลึงเชียวเจ้าค่ะ!”“พูดขึ้นมาก็บังเอิญ ที่เขาไปก็คือบ่อนที่ก่อนหน้านี้ตงหลิงเคยพาคุณชายสี่ไป หากไปอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะพบกับคุณชายสี่ก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ!”เจาซีเข้
ชิวยี่ “...ขอรับ!”อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่อวี้ม่านหวายังตะลึงงันตอนนี้หรงจือจือเกลียดชังและเย็นชาต่อฉีจื่อฟู่ จนแทบจะเขียนอยู่บนใบหน้าแล้ว เขายังคงพูดคำเช่นนี้ออกมาได้ ก็ไม่รู้ว่าสติเลอะเลือนไปหรือไม่ไม่รอให้นางจะพูดอะไรฉีจื่อฟู่ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่ามองว่าช่วงนี้จือจือมักไม่สนใจข้า ความจริงแล้วนางงอนข้าอยู่เท่านั้น เพียงแต่ความโกรธของนางรุนแรงเกินไปหน่อย”“ข้าแค่ต้องให้โอกาสนางอีกสักหน่อย นางต้องยอมอ่อนข้อเป็นแน่”อวี้ม่านหวาถึงกับไม่กล้าบอกเขาว่าพูดถูกอย่างที่ผ่านมา เพราะกังวลว่าหากตนเองส่งเสริมเขาแล้ว หรงจือจือกลับไม่ไปส่งจริง ๆ หากเขาต้องหิวทั้งวัน และกลับมาโทษตนเองที่ส่งเสริมเขามั่วซั่วจะทำอย่างไร?หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คิดวิธีที่ไม่ข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ “ช่วงนี้ฮูหยินรองค่อนข้างเอาแต่ใจ หากไม่ไปจริง ๆ......ท่านพี่ฟู่นำขนมใส่กล่องไปบ้างไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ พอถึงที่ว่าการแล้วหิวขึ้นมา ก็ยังพอกินรองท้องได้บ้าง”จากนั้นฉีจื่อฟู่ก็โบกมือ พลางกล่าว “ไม่ล่ะ! หากนำไป จือจือจะคิดว่าข้าจริงใจได้อย่างไร? เรื่องของซี่อวี่เจ้าวางใจ วันนี้ข้าจะไปสอบถามที่อยู่ของนา
เห็นข้าจากมาแล้ว นางจะต้องรู้ว่าตนเองทำเกินไป จากนั้นไม่นาน นางก็จะเข้ามาขอโทษข้าเป็นแน่”ดังนั้นเขาจึงไม่ไปเรือนจวี่ แต่กลับมาที่เรือนของตนเอง เพราะกลัวว่าหรงจือจือจะคิดว่าม่านหวายังอยู่ จึงอายเกินกว่าจะขอโทษตนเองเขาคิดแทนจือจือรอบคอบเช่นนี้แล้ว นางไม่ยังไม่มาอีก ก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย ชิวยี่ตกตะลึง “ฮะ? ฮูหยินรองจะมาหรือขอรับ?”ความจริงท่าทีที่ฮูหยินรองมีต่อคุณชายในตอนนี้ ดูเฉยชามากจริง ๆ นางถึงขนาดเข้าไปฟ้องบ้านมารดาให้เปลี่ยนจวนโหวให้กลายเป็นคนธรรมดาได้ แล้วยังจะสงสารคุณชายอยู่อีกหรือ? นี่ไม่เหมือนท่าทางของความสงสารเลยปากของฉีจื่อฟู่พูดเช่นนั้น แต่ความจริงเมื่อนึกถึงท่าทีในช่วงนี้ของจือจือ ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนักตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่รู้ว่าพูดให้ชิวยี่ฟัง หรือว่าปลอบใจตนเองกันแน่ “เจ้าลืมแล้วหรือ? เมื่อก่อนจือจือดีต่อข้าเช่นนั้น ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้ นางจะปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?”“ก็แค่อารมร์ฉุนเฉียวของพวกผู้หญิง อยากให้ข้าสงสาร และเอาใจใส่นางเหมือนสงสารม่านหวาบ้างก็เท่านั้น!”เมื่อพูดจบ ฉีจื่อฟู่ก็สงบลงไปบ้างแล้ว หลังอาบน้ำและล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียง ก็รอหรง
หรงจือจือ “เป็นไปได้หรือไม่ ว่านกแก้วตัวนี้จะจำทางผิดเอง?”เจาซี “...ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?หรงจือจือมองพวงดอกไม้นั่นอย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่ากิ่งก้านที่อยู่ในพวง เคยถูกขัดเงาอย่างประณีตมาก่อน จนกลมกลึงอย่างยิ่ง แม้หน้าผากนางจะมีบาดแผลเล็ก ๆ หากสวมเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก็ไม่อาจทำให้หน้าผากเจ็บได้แต่เจาซีในเวลานี้ ยังนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “คุณหนู จู่ ๆ ข้าน้อยนึกขึ้นได้ว่า ตอนพวกเราพบท่านเสนาบดีที่ได้รับบาดเจ็บในปีนั้น บนศีรษะของท่าน ก็สวมพวงดอกไม้ ดูสวยงามมากทีเดียว หรือว่าจะเป็น...”ท่านเสนาบดีคิดว่าท่านชอบ?ดอกไม้ของปีนั้น ล้วนเป็นดอกไม้ที่พบตอนไปเก็บผลไม้ป่าในป่า หลังหรงจือจือเด็ดมันลงมา ก็สานทำเป็นพวงดอกไม้ แล้วสวมบนศีรษะ อายุสิบหกปีเป็นวัยแห่งความไร้เดียงสาพอดีแม้อารมณ์ในตอนนี้จะแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่พอมองสิ่งที่งดงามเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้อารมณ์ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัวหรงจือจือก็รู้ว่าเจาซีกำลังคาดเดาถึงผู้ใดแต่ไม่มีหลักฐาน จึงไม่มีอะไรน่าคาดเดา นางวางพวงดอกไม้ลง “ลองดูวันพรุ่งนี้ ว่าจะมีคนมาขอรับไปหรือไม่”เจาซี “เจ้าค่ะ! หากวันพรุ่งนี้ตอนกลางวันยังไม่มีใครมา ท่านก็สวมเ