ทว่านางถานเห็นด้วยเสียที่ไหน? แม้ในสายตาของนางถานเงินในคลังจวนโหว ก็เป็นเงินของนางเช่นกัน แต่อย่างไรเงินสินเดิมก็ไม่เหมือนกันเดิมทีเงินสินเดิมทั้งหมดเป็นของตน ขณะนางคิดทุกบัญชี ก็ไม่เคยคิดจะนำออกมาตอนแรกที่จวนตกที่นั่งลำบากที่สุด ตอนร้านรวงไม่มีกำไร นางก็ใช้ให้คนเบื้องล่างไปบอกให้หรงจือจือชักตั๋วเงินจากสินเดิมที่สกุลหรงให้ไปโปะที่ร้าน นางตัดใจแตะต้องสินเดิมของตัวเองไม่ได้ซิ่นหยางโหวไม่จัดการเรื่องในจวน และไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นอันที่จริงจนถึงตอนนี้สินเดิมของนางยังไม่ได้ถูกแตะเลยแม้แต่อีแปะเดียว เงินที่ใช้ในวันปกติ สินสอดที่เตรียมให้ฉีจื่อฟู่ ล้วนใช้ของจวนโหวทั้งสิ้นตอนนี้ครั้นเอ่ยปากขึ้นมาก็จะให้นางชักออกมากึ่งหนึ่ง ให้ตายนางก็ไม่ยอมอยู่แล้วนางรีบสวนกลับ “ไม่ได้! ไม่ได้เป็นอันขาด!”หรงจือจือมองนางคล้ายกับอยู่เหนือความคาดหมายทีหนึ่ง “ฮะ? แต่ว่าตอนแรกสินเดิมของท่านแม่ ท่านพ่อของน้องผิงก็เป็นคนเตรียมให้ท่านมิใช่หรือ?”“ตอนนี้ท่านลุงไม่อยู่แล้ว ท่านชักออกมาเป็นสินสอดทองหมั้นให้น้องถิงกึ่งหนึ่งก็ไม่เต็มใจหรือ? น้องถิงเข้ามาเป็นอนุชั้นสูงเชียวนะเจ้าคะ อนุชั้นสูงในราชวงศ์เรา
เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง! หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ —— ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปก
ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ
ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต
หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า
หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี
หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท
นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!” นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!” แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร? หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?” นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่
ทว่านางถานเห็นด้วยเสียที่ไหน? แม้ในสายตาของนางถานเงินในคลังจวนโหว ก็เป็นเงินของนางเช่นกัน แต่อย่างไรเงินสินเดิมก็ไม่เหมือนกันเดิมทีเงินสินเดิมทั้งหมดเป็นของตน ขณะนางคิดทุกบัญชี ก็ไม่เคยคิดจะนำออกมาตอนแรกที่จวนตกที่นั่งลำบากที่สุด ตอนร้านรวงไม่มีกำไร นางก็ใช้ให้คนเบื้องล่างไปบอกให้หรงจือจือชักตั๋วเงินจากสินเดิมที่สกุลหรงให้ไปโปะที่ร้าน นางตัดใจแตะต้องสินเดิมของตัวเองไม่ได้ซิ่นหยางโหวไม่จัดการเรื่องในจวน และไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นอันที่จริงจนถึงตอนนี้สินเดิมของนางยังไม่ได้ถูกแตะเลยแม้แต่อีแปะเดียว เงินที่ใช้ในวันปกติ สินสอดที่เตรียมให้ฉีจื่อฟู่ ล้วนใช้ของจวนโหวทั้งสิ้นตอนนี้ครั้นเอ่ยปากขึ้นมาก็จะให้นางชักออกมากึ่งหนึ่ง ให้ตายนางก็ไม่ยอมอยู่แล้วนางรีบสวนกลับ “ไม่ได้! ไม่ได้เป็นอันขาด!”หรงจือจือมองนางคล้ายกับอยู่เหนือความคาดหมายทีหนึ่ง “ฮะ? แต่ว่าตอนแรกสินเดิมของท่านแม่ ท่านพ่อของน้องผิงก็เป็นคนเตรียมให้ท่านมิใช่หรือ?”“ตอนนี้ท่านลุงไม่อยู่แล้ว ท่านชักออกมาเป็นสินสอดทองหมั้นให้น้องถิงกึ่งหนึ่งก็ไม่เต็มใจหรือ? น้องถิงเข้ามาเป็นอนุชั้นสูงเชียวนะเจ้าคะ อนุชั้นสูงในราชวงศ์เรา
ซึ่งก็คือให้ฉีอวี่เยียนเข้าคุกแล้ว ใบหน้าของบุตรสาวก็ไม่มีวันหาย!นางพลันคว้าแขนของหรงจือจือเอาไว้ “ฮูหยินซื่อจื่อ เจ้าอย่าเพิ่งไป อย่างไรเจ้าก็เป็นคนดูแลหุงหาอาหารในจวน เรื่องนี้เจ้าเองก็ควรหารือร่วมกับเราสิถึงจะถูก!”หลังกล่าวกับหรงจือจือจบนางหลิวก็มองนางถานอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หาวิธีพูดออกมาไม่ได้ หลานสะใภ้จะมาได้อย่างไร? เจ้าไม่แม้แต่จะฟังด้วยซ้ำ หรือคิดจะให้ผิงถิงของข้ากลืนความเดือดดาลนี้ลงไปโดยไร้สาเหตุเช่นนั้นหรือ?”ครั้นเห็นนางหลิวโวยวายเช่นนี้นางถานเองก็จนใจ ได้แต่มองหรงจือจือแล้วกล่าวว่า “ได้ นางหรง เจ้าว่ามาสิ! หากเจ้าพูดอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลออกมาไม่ได้ วันนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”นางเองก็ปวดหัวแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีในตอนนี้ถานผิงถิงเองก็มองหรงจือจืออย่างระมัดระวังเช่นกัน อันที่จริงนางเองก็ไม่เชื่อว่าหรงจือจือจะมีเจตนาดี และคิดหาวิธีดี ๆ ให้ตนจริง ๆเรื่องอื่นไม่พูดถึง สองสามปีมานี้ตนเคยสะอิดสะเอียนหรงจือจือมาแล้วเท่าไร เคยสร้างปัญหาให้หรงจือจือ ตัวนางย่อมจำได้ขึ้นใจครั้นเห็นสายตาของทุกคนต่างจ้องมองมาที่ต
หรงจือจือยังไม่ทันเดินเข้าไปในสวนฉางโซ่ง ก็ได้ยินเสียงร่ำไห้โวยวายของนางหลิวแล้ว และยังมีเสียงร่ำไห้แตกสลายของถานผิงถิงด้วย“น้องถาน ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องหาคำอธิบายมาให้เราแม่ลูก! พี่ชายของเจ้ามีแค่ผิงถิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เจ้าแข็งใจยอมให้ทั้งชีวิตของผิงถิงพังทลายไปทั้งอย่างนี้จริง ๆ ได้หรือ?”“ท่านอาสะใภ้ ข้าเคารพท่าน เกรงใจท่านมาตลอด หลายปีมานี้เทียวมาที่จวนโหวอยู่บ่อย ๆปรนนิบัติท่านแทบจะเต็มที่กว่าปรนนิบัติท่านแม่ข้าเสียอีก ตอนนี้อวี่เยียนทำร้ายข้าถึงเพียงนี้ ท่านจะไม่ช่วยข้าเลยหรือ?”ครั้นหรงจือจือได้ยินคำพูดของถานผิงถิง มุมปากก็กระตุกการเย้ยหยันออกมาอันที่จริงเป็นเนื่องจากคำพูดนี้ของถานผิงถิง เป็นเรื่องจริง คงเป็นเพราะนางอยากเป็นฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนซิ่นหยางโหวเกินไป และอยากเป็นฮูหยินโหวในอนาคตมากเกินไป这几年一直对นางถาน百般讨好,就是她的亲生母亲刘氏,她都是往后放的。หลายปีมานี้เอาอกเอาใจนางถานสารพัดมาตลอด กระทั่งนางหลิวแม่ผู้ให้กำเนิดของนาง นางยังละทิ้งไว้เบื้องหลังวันนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว หลังนางหลิวครองตนเป็นม่าย ก็มีเพียงบุตรสาวผู้เดียว ทว่าในใจของบุตรสาวกลับมีแต่ท่านอาสะใภ้ ในสิบวันปรารถนาเป
“เกรงว่าจะมีเจตนาพูดให้กลัวจริง ๆ! ไม่แน่ว่าฮูหยินซื่อจื่ออาจเป็นคนเรียกให้หมอเทวดามาขู่ท่านให้กลัวก็ได้ พี่หญิงเองก็เช่นกัน ต่อให้มีอะไรไม่พอใจซื่อจื่อ ก็ไม่ควรทำเช่นนี้!”“เฮ้อ ข้าก็ช่างเลอะเลือนเสียจริง เหตุใดจึงเรียกฮูหยินซื่อจื่อว่าพี่หญิงอีกแล้ว เกรงว่านางได้ยินคงจะโกรธอีก...”ฉีจื่อฟู่กล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเรียกนางว่าพี่หญิงเป็นการให้เกียรตินาง! เจ้าวางใจ ต่อไปข้าจะคอยปกป้องเจ้าเอง จะไม่ยอมให้นางรังแกเจ้าอีก!”“นางเองก็เลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ ถึงขั้นเรียกหมอเทวดามาทำให้ข้ากลัว เพราะเรื่องหลังบ้านแค่นี้ หากทำข้ากลัวจนไม่กล้าไปที่ว่าการ เตะถ่วงอนาคตของข้า หรือว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับนางอย่างนั้นหรือ?”อวี้ม่านหวา “ซื่อจื่อใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ คิดว่าพี่หญิงคงโกรธจนขึ้นสมอง ไม่ได้ตั้งใจ...”ฉีจื่อฟู่ถูกนางโน้มน้าวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจุมพิตบนหน้าผากของนาง “เจ้าเป็นภรรยาที่ดีของข้าจริง ๆ!”หรงจือจือเทียบไม่ติดเลยชิวยี่ “...”พวกเขาพูดคุยกันถึงแค่ตรงนี้ ชิวยี่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ ย่อมไม่กล้าเอ่ยอะไรทั้งสิ้น เขากลัวว่าซื่อจื่อกับอนุอวี้จะสงสัยว่าตนถูกฮูหยินซื่อจื่อซื้อตัวไปจ
ส่วนทางด้านนั้น ฉีจื่อฟู่กลับมายังห้องของตนทั้งหน้าคล้ำดำหมองอวี้ม่านหวารีบเดินเข้ามา แล้วถามขึ้นว่า “ท่านพี่ฟู่ ท่านกับฮูหยินซื่อจื่อไม่ได้กระทบกระทั่งกันใช่หรือไม่?”ครั้นฉีจื่อฟู่ได้ยินดังนั้น ก็มองนางด้วยอารมณ์สับสน “เจ้าสนใจแค่เราทะเลาะกันหรือไม่ แต่ไม่สนใจว่าข้าระบายความโกรธแทนเจ้าหรือไม่สักนิดเลยหรือ?”อวี้ม่านหวาปาดหยาดน้ำตาพร้อมตอบ “ท่านพี่ฟู่ ขอแค่ท่านสบายใจ ดีกับฮูหยินซื่อจื่อ ข้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจนิดหน่อยจะเป็นไรไป”“สองสามวันมานี้ข้าเห็นท่านโมโห ก็เอาแต่นึกเสียใจว่าวันนั้นไม่ควรกลับมา ไม่ควรพูดเรื่องที่ถูกฮูหยินซื่อจื่อทรมานกับท่าน”“เพียงแต่ตอนนั้นในใจข้าน้อยเนื้อต่ำใจเกินไป ในเวลาเพียงชั่วครู่จึงไม่ได้คิดให้เยอะ ๆ เมื่อเห็นท่านพี่ฟู่ ก็คล้ายกับเห็นเสาหลัก ในตอนนี้ถึงได้อดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นข้าเองก็เลอะเลือน...”ขณะพูด ใบหน้าของนางก็เปี่ยมไปด้วยการตำหนิตนเอง ครั้นฉีจื่อฟู่ได้ยินเช่นนั้น ก็ซาบซึ้งจนโอบนางมาสวมกอดในอ้อมอก พร้อมเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า! ทั้งใจของเจ้ามีแต่ข้า ถูกรังแกจึงบอกข้า นี่มีความผิดอะไรกัน?”“ย
หากไม่ใช่เพราะการโวยวายของฉีจื่อฟู่ในวันนี้ ทำให้หรงจือจือสะอิดสะเอียน นางก็ไม่ได้คิดจะทวงเงินก้อนนี้กลับมาหรอกอวี้หมัวมัว “เจ้าค่ะ!”เจาซีรีบเอ่ย “บ่าวจะไปจัดการเรื่องนี้กับอวี้หมัวมัวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวความจำดี จะไม่ทำให้เงินที่ครอบครัวพวกเขาใช้ของคุณหนูตกหล่นแม้แต่สลึงเดียวแน่นอนเจ้าค่ะ”อวี้หมัวมัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ถือว่าเจ้าฉลาดเฉียบแหลม!”หรงจือจือกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าไม่รังเกียจที่จะลำบาก เช่นนั้นก็ไปจัดการกับอวี้หมัวมัวเถอะ จะได้แบ่งอวี้หมัวมัวมารับผิดชอบสองสามส่วนด้วยพอดี”เจาซีตอบตกลงด้วยความปลาบปลื้มจังหวะนี้เจาอู้ก็เข้ามา แล้วกล่าวกับหรงจือจือด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณหนูเจ้าคะ คนของเราติดตามอยู่สองวัน ในที่สุดก็มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ในหอน้ำชา ในจดหมายที่ผู้ติดตามของท่านสมุหราชเลขาธิการให้คุณหนู ข่าวที่เกี่ยวกับฮูหยินถานมารดาของถานผิงถิงเหล่านั้น เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ”หรงจือจือไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยก่อนหน้านี้คิดว่าเฉินเยี่ยนซูเป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกับบิดา บางทีการเข้าใกล้ตน เป็นเพราะมีเจตนาร้ายแอบแฝง ทว่านึกย้อนไปคิดดูแล้ว ตนคล้า
เมื่อได้ยินเขาพล่ามประโยคนี้ เจาซีก็เดือดดาลจนตัวสั่นเทา นางสงสัยไม่ใช่แค่ครั้งเดียวจริง ๆ ว่า จวนซิ่นหยางโหวที่ดูคล้ายกับที่ที่มนุษย์อาศัย อันที่จริงแล้วเป็นรังสุนัข เจ้านายที่เลี้ยงดูมา คนหนึ่งเห่าเก่งกว่าอีกคนดีที่คุณหนูหย่ากับฉีจื่อฟู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคุณหนูบ้านนางได้ถูกชาติสุนัขเหล่านี้พาติดร่างแห ซวยไปด้วยกันเป็นแน่หรงจือจือคร้านจะโต้แย้งไปมาอะไรกับฉีจื่อฟู่อีกจึงกล่าวอย่างไม่รีบไม่ช้าว่า “หากซื่อจื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็กลับไปเถอะ หากท่านไม่พอใจข้า ขอเพียงท่านพ่อตกลง ซื่อจื่อเขียนหนังสือปลดข้าจากการเป็นภรรยาได้ตลอดเวลา”ฉีจื่อฟู่ “เจ้า...เจ้าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ว่าท่านพ่อไม่มีทางยอมให้ข้าเขียนหนังสือปลดเจ้าจากการเป็นภรรยา ถึงได้โอหังเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? หรงจือจือ ข้ามองเจ้าผิดไปแล้วจริง ๆ!”หรงจือจือตอบกลับชืด ๆ “อืม เช่นนั้นต่อไปซื่อจื่อก็จับตาดูให้ดี ๆ ล่ะว่า ข้าตัวจริงเป็นเช่นไร”นางสิไม่มีทางสนใจว่าในสายตาของฉีจื่อฟู่ นางเป็นคนดีหรือว่าคนเลวเขาคือคนสำคัญมากอย่างนั้นหรือ?เขาก็แค่รองเท้าซอมซ่อที่ตนเคยสวมแล้วรู้สึกว่ากัดเท้า กระทั่งยังทิ่มแทง ไม่คิดจะเอาแล้วก็แค่นั้น
ครั้นฉีจื่อฟู่ฟังหรงจือจือกล่าวจบ ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดเจ้าต้องพูดกลับผิดเป็นถูก? เรื่องพวกนั้นที่เจ้าเอ่ยมามันก็เป็นแค่ของนอกกายเท่านั้น หากเจ้าสนใจข้าจริง จะสนใจเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน?”หรงจือจือแสยะยิ้ม ใช่ หากสนใจเขา ก็ควรทำเป็นว่าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นไม่เอาศักดิ์ศรี ไม่เอาหน้าตา ไม่เอาฐานะตำแหน่ง ไม่เอาความทระนง เหลือเพียงการเสียสละที่ไม่โกรธไม่เกลียด และการมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีหน้ามีตาโชคดีที่ในวันนี้ตนไม่สนใจเขาแล้วเพียงแต่พูดเรื่องพวกนี้กับเขา ก็ไม่มีความหมายอะไร เขาไม่มีทางฟังเข้าหูอยู่แล้ว มีแต่จะเปลืองน้ำลายเท่านั้นนางเพียงกล่าวเสียงเอื่อย “เจาซี เจ้าบอกซื่อจื่อไปสิ เหตุใดวันนั้นข้าถึงลงโทษอนุอวี้”เจาซีขานรับเสียงหนึ่ง “เจ้าค่ะ”จากนั้นก็ถ่ายทอดคำพูดที่อวี้ม่านหวาเหยียดหยามหรงจือจือในวันนั้น ให้ฉีจื่อฟู่ฟังทีละคำทีละประโยคหลังฉีจื่อฟู่ได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยขึ้นทั้งหน้าคล้ำดำเขียว “ไร้สาระ! ม่านหวานิสัยอ่อนโอน ใช่คนพรรค์นั้นเสียที่ไหน?”หรงจือจือ “ใช่ นางไม่ใช่คนที่จะพูดจาพรรค์นี้ ข้าอาจจะเป็นคนชั่วที่จงใจใส่ร้ายนาง ในเมื่อในใจของซื่อจื่อมีความเห็นที
หรงจือจือมองประเมินฉีจื่อฟู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าทีหนึ่ง คร้านจะระเบิดอารมณ์ใส่เขาเพียงถามเสียงเอื่อยว่า “ไม่รู้ว่าที่ซื่อจื่อลุกจากเตียงได้ ก็รีบมาหาข้าทันที มีอะไรจะชี้แนะหรือ? หรือเพียงแค่ต้องการจะประณามที่ข้าไม่สนใจท่าน?”ฉีจื่อฟู่เพียงรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ อะไรที่เรียกว่าแค่ต้องการจะประณาม?หรือว่าข้อนี้ยังไม่ร้ายแรงพออีกหรือ?นางผู้เป็นฮูหยินของตน ไม่แยแสสามีเช่นนี้ นี่เป็นปัญหาใหญ่แค่ไหนนางไม่รู้หรือ?เขาตอบกลับทั้งหน้าคล้ำดำเขียว “ข้าว่าเจ้าคงร่ำเรียนคุณธรรมสตรีและเตือนสตรี[1]เสียเปล่าแล้ว!”หรงจือจือจิบน้ำชาคำหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่แยแส “ก่อนหน้านี้ข้าก็ทำตามหนังสือสองเล่มนั้น แต่ดูท่าตอนนี้ หนังสือสองเล่มนั้นจะไม่ใช่หนังสือดีเด่นอะไร ทำตามแล้วไม่เห็นจะมีจุดจบที่ดีอะไร”ฉีจื่อฟู่เห็นกิริยาท่าทางของนาง ใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง “เจ้ายังติดใจเรื่องที่ข้าจะลดภรรยาเอกเป็นอนุก่อนหน้านี้อยู่อีกหรือ? เรื่องนี้มันก็ผ่านไปนานแล้ว? เหตุใดเจ้าจึงใจกว้างอีกหน่อยไม่ได้เล่า?”หรงจือจือวางจอกน้ำชาลงอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าเองก็แค่ไม่ได้ไปเยี่ยมซื่อจื่อเท่านั้น คงเป็นเพราะซื่อจื่อ