แม้อยากจะเอาจักรยานมาใช้แค่ไหน แต่ครั้งนี้โจวเพ่ยชิงกลับยั้งความคิดของตนเอง ก่อนจะเดินไปรอเกวียนกลับเข้าหมู่บ้าน
‘เฮ้อ... เมื่อเช้าแกก้าวเท้าไหนออกมาจากบ้านนะ เพ่ยชิง ดันเจอทั้งไปทั้งกลับเลย’ โจวเพ่ยชิงบ่นในใจ
ไม่รู้เพราะอะไร ถึงได้เจอสองคนนี้ทั้งไปทั้งกลับ
“แหม ซื้อข้าวของมามากมาย ไม่รู้ว่าผลาญเงินของพี่ฮั่นตงไปเท่าไร” ลู่เสี่ยวเหมยคล้ายกับบ่นลอย ๆ แต่คำพูดพวกนี้กลับกระทบไปยังโจวเพ่ยชิงเต็ม ๆ
โจวเพ่ยชิงถอนหายใจอย่างระอา ก่อนจะตอบกลับไปอย่างเจ็บแสบ ไม่ทิ้งคราบนางร้ายประจำหมู่บ้าน
“แล้วยังไง อิจฉาเหรอ ว่าแต่ทำไมของเธอน้อยจัง หรือว่าไม่มีเงิน ฉันให้ยืมเอาไหม พอดีว่าสามีฉันส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือน เดือนละเกือบยี่สิบหยวน หากไม่มีบอกได้นะ ฉันยินดีให้ยืม”
“กะ แก นังเพ่ยชิง!!”
คราวนี้ลู่เสี่ยวเหมยโกรธจัด ไม่คิดว่าจะโดนย้อนกลับอย่างนี้ ปกติต่อให้โจวเพ่ยชิงจะร้ายกาจ แต่ร้ายแบบไม่ค่อยมีสมอง ไม่คิดว่าครั้งนี้จะกล้าเล่นงานเธอกลับอย่างนี้
“จะเสียงดังทำไม ฉันรู้ว่าฉันชื่อเพ่ยชิง” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทียียวนเล็กน้อย
ต่อให้กลับมาครั้งนี้เธอเปลี่ยนแปลงตนเองก็จริง แต่ใช่ว่าจะเป็นกับทุกคน สำหรับเธอ ดีมาดีกลับ แต่ถ้าร้ายมาเธอร้ายกลับเป็นร้อยเท่า เธอไม่ยอมให้เสียชื่อหญิงร้ายกาจประจำหมู่บ้านหรอกนะ
“เพ่ยชิง เธออย่าตำหนิหรืออย่าดูถูกพวกเราเลย ฉันรู้ว่าพี่ฮั่นตงส่งเงินให้เธอกับลูกทุกเดือน เพียงแต่เธอไม่รู้หรือ ว่าการเป็นทหารนั้นมันลำบากและเสี่ยงอันตรายแค่ไหน เธอควรจะใช้สอยอย่างประหยัด แต่นี่อะไร ซื้อข้าวของมากมายมาปรนเปรอตนเอง”
“เดี๋ยวก่อนนะหลันจี เธอพูดอย่างนี้มันไม่ถูก เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันซื้อของปรนเปรอตัวเอง ก่อนจะใส่ร้ายฉัน ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนดีหรือไม่ ฉันรู้ว่าเธอหมายปองสามีฉัน เนื่องด้วยพี่ฮั่นตงเป็นชายที่หล่อเหลา เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่ฉันและพี่ฮั่นตงแต่งงานกันห้าปีกว่าแล้ว เธอควรตัดใจได้แล้วนะ หรือไม่ เธอควรจะไปบอกพี่ฮั่นตงให้มาหย่ากับฉัน ถ้าเขายอมฉันก็ยินดี”
ชาวบ้านที่กำลังรอเกวียนและเดินผ่านไปมา มองทั้งสามคนด้วยความสนใจ ยิ่งเจอบทสนทนาของโจวเพ่ยชิง หลายคนจึงหันมามองสองสหายรักอย่างไม่วางตา
เจอสายตาของใครหลายคนมองมาอย่างตำหนิ หม่าหลันจีและลู่เสี่ยวเหมยรู้สึกอับอายมาก จนต้องเดินหลบไปยืนมุมอื่น
ไม่นานเกวียนของหมู่บ้านก็มาถึง จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางกลับหมู่บ้านด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
เมื่อมาถึงหมู่บ้านโจวเพ่ยชิงจ่ายค่าเกวียนเสร็จ เธอหอบหิ้วสิ่งของและสะพายตะกร้าขึ้นหลัง ก่อนจะมุ่งตรงกลับบ้านทันที
ระหว่างนั้นมีสายตาชาวบ้านที่ว่างงานนั่งจับกลุ่มแทะเมล็ดฟักทองมองอย่างอิจฉาและไม่พอใจ รวมถึงสายตารังเกียจผสมอยู่ด้วย ทว่าหญิงสาวกลับไม่สนใจ เวลานี้เธอกำลังคิดถึงลูกทั้งสองคน หากอาเฉินและซานซานเห็นของฝากจะดีใจแค่ไหนกันนะ
“แม่กลับมาแล้ว อาเฉิน ซานซานเปิดประตูให้แม่หน่อย”
“แม่ / แม่กลับมาแล้ว เย้!”
สองพี่น้องทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของแม่ จึงรีบวิ่งออกมาเปิดประตูรั้วให้แม่ทันที พอเห็นว่าแม่ของตนหอบหิ้วของมากมาย จึงได้เอ่ยปากและช่วยถือเข้ามาในบ้าน
ณ หมู่บ้านอี้เจี๋ยน เมืองไห่โจว มณฑลเหอหนาน โจวเพ่ยชิง หญิงร้ายกาจและขี้เกียจประจำหมู่บ้าน แม้ว่าหน้าตาจะสะสวยและรูปร่างชวนมอง แต่กลับไม่มีใครคิดจะแต่งเธอเข้าบ้าน เนื่องจากวัน ๆ เธอไม่คิดจะทำอะไร นอกจากกินกับนอน นอกจากสองสิ่งนี้ หญิงสาวแทบไม่ทำอะไรเลย“เพ่ยชิง วันนี้ไม่ทำงานเหรอ” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถาม“เห็นหรือเปล่าล่ะ ตาก็ไม่ได้บอดนี่นา”“นี่ฉันอายุคราวแม่หล่อนแล้วนะ ฉันถามดี ๆ จะตอบดี ๆ ไม่ได้หรือไง”“ฉันตอบแบบนี้ ไม่ดีตรงไหน”มือข้างหนึ่งกำเมล็ดฟักทองไว้ ปากก็กำลังแทะในขณะที่ตอบ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ชวนมองเลยสักนิดเดียว ชาวบ้านคนนี้หน่ายใจกับอาการปากร้ายของโจวเพ่ยชิง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอาและเดินจากไปอย่างไม่ชอบใจโจวเพ่ยชิงนั้นแอบชอบหลี่ฮั่นตง ลูกชายคนรองบ้านหลี่ ซึ่งเวลานี้เขาคือนายทหารอนาคตไกล“เอ๊ะ! นั่นมันพี่ฮั่นตงนี่ เขาจะไปไหนกันนะ ตามไปดีกว่า” ทันทีที่เห็นชายในดวงใจ โจวเพ่ยชิงดวงตาเป็นประกาย รีบตามไปทันที“พี่ฮั่นตง ครั้งนี้กลับมาหลายวันหรือไม่คะ”หม่าหลันจี ลูกสาวคนรองบ้านหม่า เธอแอบชอบหลี่ฮั่นตงเช่นกัน และคงเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ชายหนุ่มสนทนาด้วยอย่างเป็นกันเอง“อืม ครั
“พ่อคะ พี่ใหญ่ พี่รอง หากมีโอกาส หรือชาติหน้ามีจริงฉันขอเกิดมาเป็นลูกของพ่อและน้องสาวของพี่ทั้งสองอีกนะ ชาตินี้ฉันทำเลวกับทุกคนมามาก หากได้เกิดมาในครอบครัวของทุกคนอีกครั้ง ฉันสัญญาว่าจะเป็นคนดี และอยู่ทดแทนบุญคุณของทุกคนไปจนวันที่หมดลมหายใจ”หญิงสาวย้อนนึกถึงในวันวานที่เธอได้กระทำไม่ดีต่อคนมากมาย รวมถึงสามีและลูกทั้งสองคน หวังว่าทุกคนจะให้อภัยกับสิ่งที่ได้กระทำลงไปในชาตินี้ จากนั้นโจวเพ่ยชิงก็ตกตายไปในสถานที่ที่น่ารังเกียจนี้“เพ่ยชิง”เสียงเรียกจากใครบางคน ทำให้โจวเพ่ยชิงหันกลับมามอง หลังจากที่ร่างโปร่งใสยืนมองร่างของตนเองอยู่พักใหญ่“คุณตาเป็นใครหรือคะ”“ไม่ต้องรู้ว่าตาเป็นใครหรอก ตาอยากจะถามว่าเพ่ยชิงอยากกลับไปหาทุกคนหรือไม่”“อยากสิคะคุณตา ฉันอยากกลับไปหาทุกคน อยากไปขอโทษครอบครัว พี่ฮั่นตง และอยากดูแลลูกทั้งสองจนเติบใหญ่”โจวเพ่ยชิงตอบแบบไม่ต้องคิด เธอไม่รู้หรอกนะว่าชายชุดขาวตรงหน้านี้เป็นใคร ขอเพียงเขาทำให้เธอกลับไปได้ก็พอ“อย่างนั้นตาจะให้เจ้ากลับไป แต่มีข้อแม้ ใบหน้าเจ้าจะยังมีแผลเป็นตรงแก้ม สิ่งนี้จะอยู่ติดตัวเจ้าไปตลอด เจ้าตกลงหรือไม่”ชายชุดขาวเอ่ยถึงข้อตกลง หากเขาช่วยให้เธอ
“น้ำ ขอน้ำหน่อย” เสียงกระแอมดังขึ้นก่อนจะร้องหาน้ำดื่ม“แม่! / เพ่ยชิง!”เวลานี้เสียงร้องเรียกปนไปด้วยความดีใจของทุกคนดังขึ้น เมื่อเห็นว่าโจวเพ่ยชิงนั้นมีสติแล้ว“ค่อย ๆ กินนะเพ่ยชิง ร่างกายยังไม่สู้ดีนัก” นางซูหนานประคองร่างของลูกเลี้ยงขึ้นมาให้ดื่มน้ำโจวเพ่ยชิงดื่มน้ำไปหลายอึกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เมื่อปรับสายตาได้แล้ว จึงมองไปยังลูกทั้งสองคนด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแม่เลี้ยงด้วยคำที่เธอไม่เคยพูดมาก่อนหน้านี้“ขอบคุณนะคะแม่”นางซูหนานนิ่งค้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากลูกเลี้ยง เธอรอคำนี้จากโจวเพ่ยชิงมานานเหลือเกิน และไม่คิดว่าวันนี้จะได้ยินจริงๆ“อืม ไม่เป็นไร ลูกฟื้นก็ดีแล้ว”นางซูหนานปาดน้ำตาเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเรียกหลานทั้งสองที่ยืนหลบอยู่มุมห้องให้เข้ามาหา“ซานซาน อาเฉิน มาหาแม่สิลูก เมื่อครู่นี้ยายเห็นร้องหาแม่กันอยู่ไม่ใช่หรือไง รีบเข้ามาสิ เวลานี้แม่ของหลานฟื้นแล้ว”“ค่ะ / ครับ” ทั้งสองค่อย ๆ เดินเข้ามาหาแม่ของตนอย่างหวาดกลัว“ไม่ต้องกลัว แม่สัญญาว่าหลังจากนี้ จะไม่ตีลูกอีกแล้ว มาหาแม่เถอะนะ”ความเปลี่ยนแปลง และน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างอ่อน
นางซูหนานมองลูกเลี้ยงอย่างไม่เชื่อหู ไม่คิดว่าจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จะทำให้โจวเพ่ยชิงเปลี่ยนไปขนาดนี้“เรื่องหย่าค่อย ๆ คิดเถิดนะลูก นี่เพิ่งฟื้นขึ้นมา เดี๋ยวแม่จะไปเอาข้าวมาให้กินจะได้มีแรง ส่วนแผลบนใบหน้าก็อย่าคิดมาก ค่อย ๆ เสาะหาหมอดี ๆ ต่อให้ค่ารักษาจะแพง แม่เชื่อว่าพ่อและพี่ชายทั้งสองของลูก คงยินดีที่จะหาเงินมารักษาใบหน้าให้กับลูก”“ช่างเถอะค่ะแม่ หากแผลเป็นนี้จะอยู่ติดตัวฉันไปตลอดชีวิตฉันยินดี ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่แม่เคยทำให้ ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นเพียงลูกเลี้ยง และขอโทษสำหรับทุกสิ่ง ที่ฉันเคยกระทำต่อแม่และน้องเล็ก”“อืม อย่าคิดมาก เดี๋ยวแม่จะไปเอาข้าวมาให้”นางซูหนานพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน ที่ผ่านมาเธอไม่ติดใจและไม่เคยโกรธลูกเลี้ยงอย่างโจวเพ่ยชิงเลยโจวเพ่ยชิงมองตามแผ่นหลังแม่เลี้ยงจนลับสายตา ก่อนจะคิดและทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นชาติที่แล้ว เวลานี้สามีอย่างหลี่ฮั่นตงยังคงปกติ แต่อีกไม่กี่ปีเขาจึงจะบาดเจ็บ และนั่นจะทำให้เขาเป็นชายพิการแม้เธอจะยืนยันว่าจะหย่า และรู้ว่าอีกสามปีเขาจะบาดเจ็บกลับมา แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักของการหย่าเธอคิดจะเตือนเขาทางอ้อมให้ดูแลตัวเองให้ดี พร้อมกับส่ง
“พี่ใหญ่ เหมือนซานซานจะได้กลิ่นอาหาร บ้านไหนกินข้าวกันเวลานี้เหรอ”หลี่ซานซานนั่งอยู่ตรงแคร่หน้าบ้านเอ่ยถามพี่ชาย เพราะได้กลิ่นอาหารนั่นเอง แต่ทว่าบ้านนี้และชาวบ้านทั่วไป กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่ลงงานในคอมมูนมากกว่า ที่จะเตรียมอาหารเผื่อไว้มื้อเที่ยง เนื่องจากต้องใช้แรงงานเยอะ แล้วบ้านไหนกันนะ ที่ทำมื้อเที่ยงได้หอมน่ากินชวนน้ำลายไหลอย่างนี้ พูดไปเด็กน้อยก็เผลอเอามือลูบท้องตนเองอย่างลืมตัว พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ“ไม่รู้เหมือนกัน น้องหิวเหรอ”“นิดหน่อยค่ะ”เมื่อเจอคำถามของพี่ชาย เด็กน้อยอย่างซานซานจึงตอบกลับอย่างไม่ปิดบัง แต่แม่มักจะบอกเสมอว่า บ้านเราควรจะกินแค่สองมื้อก็พอเพราะไม่ได้ใช้แรงงาน จึงไม่กล้าคิดว่ากลิ่นอาหารหอมๆ จะมาจากบ้านของตนเองทว่าสองพี่น้องยังไม่ทันได้สนทนาอะไรกันมากนัก กลับได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกเสียก่อน “อาเฉิน ซานซาน มากินมื้อเที่ยงลูก แม่ทำไว้แล้ว เดี๋ยวจะหายร้อน”“ไปกันเถอะ แม่เรียกหาแล้ว”หลี่รุ่ยเฉินแม้จะแปลกใจ แต่เมื่อแม่เรียกหา เด็กน้อยจึงจูงมือน้องสาวเข้าบ้าน แต่พอมาถึงกลับเจอข้าวผัดจานใหญ่สองจานวางไว้บนโต๊ะกินข้าว นี่จึงทำให้
หลังจากบอกกล่าวลูกเรียบร้อยแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาจากบ้านเพื่อขึ้นเกวียนให้ทันรอบบ่าย แต่ก่อนจะออกจากบ้าน เธอเอาผ้าลายลูกไม้สีชมพูอ่อนออกมาจากมิติ เพื่อปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ เพราะกลัวชาวบ้านและคนทั่วไปจะตกใจกับแผลตรงใบหน้าตนเองในระหว่างที่เดินไปขึ้นเกวียน มีชาวบ้านไม่น้อยต่างเมียงมองและซุบซิบมายังเธอ ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับไม่สนใจ ยังคงเดินไปยังจุดหมายของตนเองต่อ“กล้าเนอะ หน้าผีขนาดนั้นยังกล้าเดินออกมาให้ชาวบ้านกลัวอีก” ลู่เสี่ยวเหมยพูดจาถากถาง เมื่อเห็นโจวเพ่ยชิงเดินมาในอดีตทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไม่น้อย อีกทั้งลู่เสี่ยวเหมยเองยังเป็นสหายรักกับหม่าหลันจี จึงมองโจวเพ่ยชิงเป็นศัตรูมาตลอด และไม่คิดที่จะญาติดีด้วย“แล้วทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะ ฉันหน้าผีแล้วมันหนักส่วนไหนของเธอไม่ทราบ เสี่ยวเหมย” โจวเพ่ยชิงย้อนกลับอย่างไม่เกรงกลัว และไม่คิดจะไว้หน้าเหมือนกันแม้ว่าจะย้อนกลับมาและตั้งใจจะเป็นคนดี แต่เธอจะดีกับคนที่ควรจะดีเท่านั้น อีกทั้งต่อให้เธอจะหน้าผีแบบนี้ไปชั่วชีวิต เธอก็ยินดี แต่ไม่ใช่จะยอมให้ใครมาด่าหรือเยาะเย้ยเธออย่างนี้ อย่างที่ลู่เสี่ยวเหมยกำลังทำ“ฉันละสงสารพี่ฮั่นตงเสียจร
แม่หลี่คิดตามคำพูดของลูกสะใภ้รอง ก่อนจะหันมามองหม่าหลันจีและลู่เสี่ยวเหมยเชิงตั้งคำถาม ทว่าทั้งสองกลับไม่ตอบ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นเสียเอง “เรื่องที่เพ่ยชิงพูดมาเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนหรือไม่ ก่อนหน้านี้แม้ฉันจะอยากได้หม่าหลันจีมาเป็นสะใภ้ แต่เวลานี้เจ้ารองแต่งงานแล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายชีวิตของเขา ส่วนเธอ หม่าหลันจี เธอเองน่าจะหาคู่ครองได้แล้วนะ อย่ารอเจ้ารองอีกเลย ต่อให้เพ่ยชิงพูดเรื่องหย่า แต่หากไม่มีใครไปกดดัน ฉันเชื่อว่าเพ่ยชิงคงไม่พูดคำนี้ออกมา คิดและทบทวนให้ดี” แม่หลี่พูดจบแล้วจึงเดินจากไปอีกคน เรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เวลานี้เจ้ารองของเธอมีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว จะหย่าหรือไม่ อยู่ที่ทั้งสองคนตัดสินใจแต่เธอเชื่อว่าฮั่นตงไม่มีวันหย่าหรอก ขนาดลูกสะใภ้เธอร้ายกาจยังไง ยังไม่มีคำว่าหย่าออกมาจากปากลูกชายของเธอเลยสักครั้งเดียว อีกอย่าง เวลานี้เหมือนเพ่ยชิงจะเปลี่ยนตัวเองแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮั่นตงจะหย่า อีกทั้งลูกชายเธอรักลูกทั้งสองคนมาก ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ครอบครัวแตกแยกแน่นอน“นังนั่นมันล้างสมองป้าสะใภ้หลี่หรือยังไงกันนะ ถึงได้พูดเข้าข้างมันอย่างนี้ แล้วที่เธอรอมาหลาย
“แม่หนูจะรับแลกเหรอ แต่ของพวกนี้มันไม่มีค่าอะไรมากนัก ป้าขอแค่อาหารพอประทังชีวิตและยาลดไข้ให้ลูกชายก็พอ”“ถ้าอย่างนั้นป้ารอฉันตรงนี้ก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวฉันมา ห้ามไปไหนนะ และเก็บของพวกนี้ไว้ก่อน อย่าให้ใครเห็นเดี๋ยวจะเป็นอันตราย ฉันไปไม่นาน”“จริงเหรอแม่หนู แม่หนูยอมรับแลกใช่ไหม”“ค่ะป้า รอก่อนนะ”โจวเพ่ยชิงยิ้มให้ป้าและพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะขี่จักรยานออกมาและหามุมลับตาเพื่อเอาของออกมาให้ย่าหลานคู่นี้“อาหารแห้ง เนื้อสัตว์ ยารักษาโรค ป้าคนนั้นต้องการอะไรอีกหรือเปล่านะ” โจวเพ่ยชิงเลือกของใส่ตะกร้าให้ป้าคนนั้น พร้อมกับทบทวนข้าวของที่จะมอบให้กับป้าคนนั้น“ผ้าห่ม เสื้อผ้า” เธอยังคงเลือกของไม่หยุด สุดท้ายก็เต็มสองตะกร้า “ตายละ เยอะแบบนี้สองคนนั้นจะเอากลับยังไง”โจวเพ่ยชิงได้ของถึงสองตะกร้าใหญ่ ข้าวของพวกนี้เธอไม่ได้เสียเงินซื้อจึงไม่รู้สึกเสียดายสักนิด เธอต้องการส่งต่อให้กับคนที่ยากลำบากเช่นกันเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการโจวเพ่ยชิงจึงออกมาจากมิติ และเอาตะกร้าทั้งสองผูกไว้กับจักรยาน ก่อนจะขี่กลับไปหาย่าหลานคู่นั้น“มาแล้วค่ะป้า” โจวเพ่ยชิงพอมาถึงก็จอดรถจักรยานและเรียกหาทั้งสองคนด้วยความดีใจ“พี
แม้อยากจะเอาจักรยานมาใช้แค่ไหน แต่ครั้งนี้โจวเพ่ยชิงกลับยั้งความคิดของตนเอง ก่อนจะเดินไปรอเกวียนกลับเข้าหมู่บ้าน‘เฮ้อ... เมื่อเช้าแกก้าวเท้าไหนออกมาจากบ้านนะ เพ่ยชิง ดันเจอทั้งไปทั้งกลับเลย’ โจวเพ่ยชิงบ่นในใจไม่รู้เพราะอะไร ถึงได้เจอสองคนนี้ทั้งไปทั้งกลับ“แหม ซื้อข้าวของมามากมาย ไม่รู้ว่าผลาญเงินของพี่ฮั่นตงไปเท่าไร” ลู่เสี่ยวเหมยคล้ายกับบ่นลอย ๆ แต่คำพูดพวกนี้กลับกระทบไปยังโจวเพ่ยชิงเต็ม ๆโจวเพ่ยชิงถอนหายใจอย่างระอา ก่อนจะตอบกลับไปอย่างเจ็บแสบ ไม่ทิ้งคราบนางร้ายประจำหมู่บ้าน“แล้วยังไง อิจฉาเหรอ ว่าแต่ทำไมของเธอน้อยจัง หรือว่าไม่มีเงิน ฉันให้ยืมเอาไหม พอดีว่าสามีฉันส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือน เดือนละเกือบยี่สิบหยวน หากไม่มีบอกได้นะ ฉันยินดีให้ยืม”“กะ แก นังเพ่ยชิง!!”คราวนี้ลู่เสี่ยวเหมยโกรธจัด ไม่คิดว่าจะโดนย้อนกลับอย่างนี้ ปกติต่อให้โจวเพ่ยชิงจะร้ายกาจ แต่ร้ายแบบไม่ค่อยมีสมอง ไม่คิดว่าครั้งนี้จะกล้าเล่นงานเธอกลับอย่างนี้“จะเสียงดังทำไม ฉันรู้ว่าฉันชื่อเพ่ยชิง” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทียียวนเล็กน้อยต่อให้กลับมาครั้งนี้เธอเปลี่ยนแปลงตนเองก็จริง แต่ใช่ว่าจะเป็นกับทุกคน สำหรับเธอ ดีมา
“ทั้งหมดสามร้อยหยวนค่ะ ว่าแต่ลูกค้ามีคนมาช่วยขนใช่ไหมคะ” หญิงสาวรับเงินมา แต่ไม่วายเป็นห่วงลูกค้า“ฉันมีคนมาด้วย เรื่องนี้แม่ค้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ แต่ฉันต้องการสั่งวัตถุดิบทุกสัปดาห์และให้ไปส่งที่บ้านได้ไหม ตามรายการนั้นเลย ยกเว้นข้าวสาร”“ตามจำนวนนี้เหรอคะ”“ใช่แล้ว ถ้าหากต้องการสั่งของเพิ่ม แม่ค้าส่งสองรอบได้ไหม ฉันยินดีให้ค่าส่ง”“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอที่อยู่ด้วย สัปดาห์หน้าฉันจะนำสินค้าไปส่งให้ค่ะ” แม้จะลังเลและกลัวว่าจะถูกตรวจสอบ แต่ในเมื่อเธอมีมิติจะกลัวอะไร รอไปถึงหน้าบ้านนั้นก่อนค่อยเอาของออกมาก็ได้ป้าแม่บ้านจึงยื่นที่อยู่ให้ ทำให้โจวเพ่ยชิงรู้ว่าที่นี่คือบ้านของท่านนายพลคนหนึ่ง เธอจึงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น“ฉันจะไม่โดนจับใช่ไหมคะลูกค้า”“ฮ่า ๆ ไม่หรอก หากโดนจับ ฉันคงโดนด้วยแล้ว เรียกฉันว่าป้าซือเถอะ”“จริงด้วยนะคะป้าซือ ฉันชื่อเพ่ยชิงค่ะ ยินดีที่ได้ทำการค้าด้วยกันนะคะ”“ยินดีเช่นกัน วันนี้ป้ากลับก่อนนะ สัปดาห์หน้าอย่าลืมไปส่งของล่ะ”หลังจากป้าซือกลับไป ยังคงมีลูกค้ามาถามซื้ออาหารอีกไม่น้อย วันนี้จึงทำเธอให้มีเงินเข้ากระเป๋าหลายพันหยวน แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่า “อีกไ
เมื่อนำแป้งมาทาทับยิ่งทำให้ลูกค้าพอใจ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เธอยังหยิบกระบอกน้ำมาราดตรงท้องแขนที่ทาทั้งกันแดดและแป้งทันที “เห็นไหมคะ ทุกอย่างกันน้ำ ไม่ต้องกลัวว่าหากมีเหงื่อแล้วจะทิ้งคราบต่าง ๆ ไว้ แต่ลูกค้าไม่ต้องกังวลว่าจะล้างไม่ออก สบู่ก้อนนี้ช่วยได้ค่ะ”เวลานี้ไม่เพียงแต่ลูกค้าคนที่เธอกำลังสาธิตให้ดู แต่กลับมีลูกค้าสตรีหลายคนรุมล้อมดูเช่นกัน โจวเพ่ยชิงเอาสบู่ก้อนที่ยื่นให้ลูกค้าดู มาล้างทำความสะอาดเครื่องสำอางออก ซึ่งล้างออกได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นที่พอใจของลูกค้าทั้งหมด“แม่ค้าขายยังไง ฉันไม่เคยเห็นสินค้าดีอย่างนี้มาก่อนเลย”ลูกค้าที่ได้สัมผัสและลองใช้เครื่องสำอางด้วยตัวเองพูดออกมาอย่างตื่นเต้น ต่อให้ราคาจะแพงแค่ไหนเธอก็พร้อมที่จะซื้อ“แป้งตลับละสิบสองหยวน ครีมกันแดดหลอดละสิบหยวนค่ะ ส่วนสบู่ก้อนละสามหยวน หากลูกค้ารับเป็นชุด ฉันจะแถมครีมทาผิวให้ด้วย แม้ราคาจะแพงกว่าสินค้าที่มีขายในสหกรณ์ แต่ฉันรับประกันคุณภาพนะคะ อีกทั้งสามารถใช้ได้เป็นเดือน ๆ เลยนะ”โจวเพ่ยชิงบอกราคา ซึ่งราคานี้แม้จะดูแพงกว่าที่ขายในสหกรณ์ แต่เธอเชื่อว่าคุณภาพนั้นต่างกัน“แม้ราคาแพงไปสักหน่อยแต่ฉันชอบ และคุณภาพดีกว่
ก่อนจะถึงตลาดมืด โจวเพ่ยชิงแวะเข้าตรอกที่อยู่ลับตาคน เพื่อจะเอาจักรยานเข้าเก็บในมิติ และปลอมตัวโดยโพกผ้าปิดหน้า เหลือแต่ดวงตาเท่านั้น ก่อนจะหยิบของหลายอย่างออกมาจากมิติห้างสรรพสินค้าใส่ไว้ในตะกร้าและใส่ลังกระดาษออกมาเมื่อถึงทางเข้าตลาดมืด เธอเดินมาแจ้งรหัสผ่านกับคนเฝ้าทางเข้าทั้งสอง เมื่อเข้ามาแล้วจึงแบกตะกร้าเข้าไปอย่างที่ใครหลายคนทำ สายตาสอดส่องไปยังเป้าหมาย แม้ว่าจะไม่เคยค้าขายมาก่อน แต่ก็เคยมาจับจ่ายซื้อของบ่อย จนรู้ว่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในนี้ทำกันอย่างไร เมื่อได้สถานที่เหมาะเจาะ จึงหยิบผ้าออกมาปู และหยิบของที่ต้องการขายออกมาจากตะกร้า โดยที่เนื้อสัตว์เธอยังไม่เอาออกมา“เสื้อผ้าสวย ๆ ราคาถูก ๆ มาแล้วค่ะ ดูกันได้นะคะ ราคาไม่แพงอย่างที่คิด อาหารก็มีนะคะ” โจวเพ่ยชิงตะโกนเรียกลูกค้าอย่างที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทำกัน เธอไม่กลัวว่าใครจะสงสัย เพราะของที่เอาออกจากมิติจะไม่มีฉลากยี่ห้อและชื่อผู้ผลิตติดไว้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอพอใจไม่น้อย ไม่ต้องมานั่งแกะฉลากออกหรือเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่“เสื้อเชิ้ตนี่ขายยังไง ขอแกะดูได้ไหม”ลูกค้าท่านหนึ่งกำลังเดินหาเสื้อและกางเกงทำงานให้กับสามี เมื่อเห็นเสื้อผ้
“แม่หนูจะรับแลกเหรอ แต่ของพวกนี้มันไม่มีค่าอะไรมากนัก ป้าขอแค่อาหารพอประทังชีวิตและยาลดไข้ให้ลูกชายก็พอ”“ถ้าอย่างนั้นป้ารอฉันตรงนี้ก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวฉันมา ห้ามไปไหนนะ และเก็บของพวกนี้ไว้ก่อน อย่าให้ใครเห็นเดี๋ยวจะเป็นอันตราย ฉันไปไม่นาน”“จริงเหรอแม่หนู แม่หนูยอมรับแลกใช่ไหม”“ค่ะป้า รอก่อนนะ”โจวเพ่ยชิงยิ้มให้ป้าและพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะขี่จักรยานออกมาและหามุมลับตาเพื่อเอาของออกมาให้ย่าหลานคู่นี้“อาหารแห้ง เนื้อสัตว์ ยารักษาโรค ป้าคนนั้นต้องการอะไรอีกหรือเปล่านะ” โจวเพ่ยชิงเลือกของใส่ตะกร้าให้ป้าคนนั้น พร้อมกับทบทวนข้าวของที่จะมอบให้กับป้าคนนั้น“ผ้าห่ม เสื้อผ้า” เธอยังคงเลือกของไม่หยุด สุดท้ายก็เต็มสองตะกร้า “ตายละ เยอะแบบนี้สองคนนั้นจะเอากลับยังไง”โจวเพ่ยชิงได้ของถึงสองตะกร้าใหญ่ ข้าวของพวกนี้เธอไม่ได้เสียเงินซื้อจึงไม่รู้สึกเสียดายสักนิด เธอต้องการส่งต่อให้กับคนที่ยากลำบากเช่นกันเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการโจวเพ่ยชิงจึงออกมาจากมิติ และเอาตะกร้าทั้งสองผูกไว้กับจักรยาน ก่อนจะขี่กลับไปหาย่าหลานคู่นั้น“มาแล้วค่ะป้า” โจวเพ่ยชิงพอมาถึงก็จอดรถจักรยานและเรียกหาทั้งสองคนด้วยความดีใจ“พี
แม่หลี่คิดตามคำพูดของลูกสะใภ้รอง ก่อนจะหันมามองหม่าหลันจีและลู่เสี่ยวเหมยเชิงตั้งคำถาม ทว่าทั้งสองกลับไม่ตอบ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นเสียเอง “เรื่องที่เพ่ยชิงพูดมาเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนหรือไม่ ก่อนหน้านี้แม้ฉันจะอยากได้หม่าหลันจีมาเป็นสะใภ้ แต่เวลานี้เจ้ารองแต่งงานแล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายชีวิตของเขา ส่วนเธอ หม่าหลันจี เธอเองน่าจะหาคู่ครองได้แล้วนะ อย่ารอเจ้ารองอีกเลย ต่อให้เพ่ยชิงพูดเรื่องหย่า แต่หากไม่มีใครไปกดดัน ฉันเชื่อว่าเพ่ยชิงคงไม่พูดคำนี้ออกมา คิดและทบทวนให้ดี” แม่หลี่พูดจบแล้วจึงเดินจากไปอีกคน เรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เวลานี้เจ้ารองของเธอมีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว จะหย่าหรือไม่ อยู่ที่ทั้งสองคนตัดสินใจแต่เธอเชื่อว่าฮั่นตงไม่มีวันหย่าหรอก ขนาดลูกสะใภ้เธอร้ายกาจยังไง ยังไม่มีคำว่าหย่าออกมาจากปากลูกชายของเธอเลยสักครั้งเดียว อีกอย่าง เวลานี้เหมือนเพ่ยชิงจะเปลี่ยนตัวเองแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮั่นตงจะหย่า อีกทั้งลูกชายเธอรักลูกทั้งสองคนมาก ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ครอบครัวแตกแยกแน่นอน“นังนั่นมันล้างสมองป้าสะใภ้หลี่หรือยังไงกันนะ ถึงได้พูดเข้าข้างมันอย่างนี้ แล้วที่เธอรอมาหลาย
หลังจากบอกกล่าวลูกเรียบร้อยแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาจากบ้านเพื่อขึ้นเกวียนให้ทันรอบบ่าย แต่ก่อนจะออกจากบ้าน เธอเอาผ้าลายลูกไม้สีชมพูอ่อนออกมาจากมิติ เพื่อปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ เพราะกลัวชาวบ้านและคนทั่วไปจะตกใจกับแผลตรงใบหน้าตนเองในระหว่างที่เดินไปขึ้นเกวียน มีชาวบ้านไม่น้อยต่างเมียงมองและซุบซิบมายังเธอ ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับไม่สนใจ ยังคงเดินไปยังจุดหมายของตนเองต่อ“กล้าเนอะ หน้าผีขนาดนั้นยังกล้าเดินออกมาให้ชาวบ้านกลัวอีก” ลู่เสี่ยวเหมยพูดจาถากถาง เมื่อเห็นโจวเพ่ยชิงเดินมาในอดีตทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไม่น้อย อีกทั้งลู่เสี่ยวเหมยเองยังเป็นสหายรักกับหม่าหลันจี จึงมองโจวเพ่ยชิงเป็นศัตรูมาตลอด และไม่คิดที่จะญาติดีด้วย“แล้วทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะ ฉันหน้าผีแล้วมันหนักส่วนไหนของเธอไม่ทราบ เสี่ยวเหมย” โจวเพ่ยชิงย้อนกลับอย่างไม่เกรงกลัว และไม่คิดจะไว้หน้าเหมือนกันแม้ว่าจะย้อนกลับมาและตั้งใจจะเป็นคนดี แต่เธอจะดีกับคนที่ควรจะดีเท่านั้น อีกทั้งต่อให้เธอจะหน้าผีแบบนี้ไปชั่วชีวิต เธอก็ยินดี แต่ไม่ใช่จะยอมให้ใครมาด่าหรือเยาะเย้ยเธออย่างนี้ อย่างที่ลู่เสี่ยวเหมยกำลังทำ“ฉันละสงสารพี่ฮั่นตงเสียจร
“พี่ใหญ่ เหมือนซานซานจะได้กลิ่นอาหาร บ้านไหนกินข้าวกันเวลานี้เหรอ”หลี่ซานซานนั่งอยู่ตรงแคร่หน้าบ้านเอ่ยถามพี่ชาย เพราะได้กลิ่นอาหารนั่นเอง แต่ทว่าบ้านนี้และชาวบ้านทั่วไป กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่ลงงานในคอมมูนมากกว่า ที่จะเตรียมอาหารเผื่อไว้มื้อเที่ยง เนื่องจากต้องใช้แรงงานเยอะ แล้วบ้านไหนกันนะ ที่ทำมื้อเที่ยงได้หอมน่ากินชวนน้ำลายไหลอย่างนี้ พูดไปเด็กน้อยก็เผลอเอามือลูบท้องตนเองอย่างลืมตัว พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ“ไม่รู้เหมือนกัน น้องหิวเหรอ”“นิดหน่อยค่ะ”เมื่อเจอคำถามของพี่ชาย เด็กน้อยอย่างซานซานจึงตอบกลับอย่างไม่ปิดบัง แต่แม่มักจะบอกเสมอว่า บ้านเราควรจะกินแค่สองมื้อก็พอเพราะไม่ได้ใช้แรงงาน จึงไม่กล้าคิดว่ากลิ่นอาหารหอมๆ จะมาจากบ้านของตนเองทว่าสองพี่น้องยังไม่ทันได้สนทนาอะไรกันมากนัก กลับได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกเสียก่อน “อาเฉิน ซานซาน มากินมื้อเที่ยงลูก แม่ทำไว้แล้ว เดี๋ยวจะหายร้อน”“ไปกันเถอะ แม่เรียกหาแล้ว”หลี่รุ่ยเฉินแม้จะแปลกใจ แต่เมื่อแม่เรียกหา เด็กน้อยจึงจูงมือน้องสาวเข้าบ้าน แต่พอมาถึงกลับเจอข้าวผัดจานใหญ่สองจานวางไว้บนโต๊ะกินข้าว นี่จึงทำให้
นางซูหนานมองลูกเลี้ยงอย่างไม่เชื่อหู ไม่คิดว่าจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จะทำให้โจวเพ่ยชิงเปลี่ยนไปขนาดนี้“เรื่องหย่าค่อย ๆ คิดเถิดนะลูก นี่เพิ่งฟื้นขึ้นมา เดี๋ยวแม่จะไปเอาข้าวมาให้กินจะได้มีแรง ส่วนแผลบนใบหน้าก็อย่าคิดมาก ค่อย ๆ เสาะหาหมอดี ๆ ต่อให้ค่ารักษาจะแพง แม่เชื่อว่าพ่อและพี่ชายทั้งสองของลูก คงยินดีที่จะหาเงินมารักษาใบหน้าให้กับลูก”“ช่างเถอะค่ะแม่ หากแผลเป็นนี้จะอยู่ติดตัวฉันไปตลอดชีวิตฉันยินดี ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่แม่เคยทำให้ ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นเพียงลูกเลี้ยง และขอโทษสำหรับทุกสิ่ง ที่ฉันเคยกระทำต่อแม่และน้องเล็ก”“อืม อย่าคิดมาก เดี๋ยวแม่จะไปเอาข้าวมาให้”นางซูหนานพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน ที่ผ่านมาเธอไม่ติดใจและไม่เคยโกรธลูกเลี้ยงอย่างโจวเพ่ยชิงเลยโจวเพ่ยชิงมองตามแผ่นหลังแม่เลี้ยงจนลับสายตา ก่อนจะคิดและทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นชาติที่แล้ว เวลานี้สามีอย่างหลี่ฮั่นตงยังคงปกติ แต่อีกไม่กี่ปีเขาจึงจะบาดเจ็บ และนั่นจะทำให้เขาเป็นชายพิการแม้เธอจะยืนยันว่าจะหย่า และรู้ว่าอีกสามปีเขาจะบาดเจ็บกลับมา แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักของการหย่าเธอคิดจะเตือนเขาทางอ้อมให้ดูแลตัวเองให้ดี พร้อมกับส่ง