ไม่แน่ว่าในตอนนั้นอาจมีปีศาจหรือสิ่งลี้ลับต่าง ๆ ตามไปด้วยการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหายแม้ว่าชูตงจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ต้องแยกจากเย่ซิว แต่เธอก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายอวิ๋นเหยานั่งอยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบสงบในสวนสมุนไพรในมือเธอถือหนังสือเล่มหนึ่งและค่อย ๆ พลิกหน้าหนังสือไปอย่างช้า ๆบนโต๊ะมีแก้วน้ำเปล่าตั้งอยู่ แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ความรู้สึกสงบสุขอย่างแท้จริงหูของเธอกระดิกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “มาหาฉันเช้าขนาดนี้มีอะไรเหรอ”เย่ซิวตอบตามตรง “สำนักเธอน่าจะใกล้เปิดแล้วใช่ไหม ตอนนี้เราก็ไปกันได้เลย”อวิ๋นเหยาบอกว่าสำนักของเธอจะเปิดทุกหนึ่งเดือนและวันนี้ก็เป็นวันที่ยี่สิบเก้าแล้วปกติแล้วหากสำนักเปิดทุกเดือนจริง ๆ ก็มักจะเปิดช่วงต้นเดือนหรือกลางเดือน และโอกาสที่จะเปิดปลายเดือนนั้นมีน้อยมากอวิ๋นเหยาปิดหนังสือลง ก่อนจะหันไปมองเย่ซิว “จริง ๆ แล้วมันเปิดวันที่หนึ่ง ถ้าจะไปตอนนี้ก็ได้นะ”เย่ซิวเรียกกระบี่หงส์โบยบินออกมาทันทีหลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่ระดับจินตานแล้ว สีสันของกระบี่เล่มนี้ก็ยิ่งสดใสยิ่งขึ้นทุกครั้งที่เรีย
“บำเพ็ญตนไปเรื่อย ๆ ก็ทะลวงระดับได้แล้ว” เย่ซิวพูดอย่างขอไปที เขาย่อมไม่มีทางบอกความจริงกับเธออวิ๋นเหยาแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา ไม่ได้ถามอีก ทว่าในใจกลับกระตือรือร้นมากขึ้นเธอเดาว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนเย่ซิวน่าจะได้รับถ้ำของยอดฝีมือโบราณมาจริง ๆ จากนั้นได้โอสถวิเศษบางอย่างมาจากในถ้ำนั้นไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถมาถึงระดับนี้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไรในใจก็คิดว่าถ้าเอาให้ฉัน ฉันทำได้เหมือนกัน“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว รีบไปกันเถอะ” เย่ซิวเร่งเร้าอวิ๋นเหยาเก็บความคิดกลับมา มือทั้งสองข้างทำท่ามุทรากระแสน้ำวนปรากฏขึ้นในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวข้างหน้า เธอกระโดดเข้าไปก่อน ตามหลังด้วยเย่ซิวอวิ๋นเหยาดำลงไปจนสุด กัดนิ้วของเธอแล้วใช้เลือดเป็นสื่อกลาง ควบแน่นกระจกขึ้นมาหนึ่งบาน ส่องแสงสีเลือดลงไปที่ก้นแม่น้ำจากนั้นก็เห็นว่าระลอกคลื่นกระจายออกไปทีละวง ๆ ปรากฏม่านกึ่งโปร่งแสงขึ้นมุทราของอวิ๋นเหยาเปลี่ยนไป ฝาครอบก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย จากนั้นเปลี่ยนเป็นเส้นทางเดิน เธอเดินนำเข้าไปก่อน ตามหลังด้วยเย่ซิวภาพตรงหน้าเบลอเลือน เท้าของเย่ซิวก็สัมผัสกับพื้นดินรอบด้านวิหกร้องขับขาน กลิ่นหอม
“บอกผมมาว่าจะหลอมรวมมันยังไง”อวิ๋นเหยาบอกเย่ซิวถึงวิธีการหลอมรวมอย่างละเอียดพลังจิตของเย่ซิวแผ่ไปที่ตัวเธออยู่ตลอด หลังจากที่เธอพูดจบ เขาก็ลงมือ พันธนาการเธอให้อยู่กับที่ทันทีน้ำเสียงของอวิ๋นเหยาเย็นเยียบ มุมปากของเธอเหยียดขึ้นอย่างประชดประชัน "ทำไม คุณจะฆ่าฉันเหรอ?"เย่ซิวไม่ตอบ แต่ออกจากที่นี่และไปยังสถานที่ที่สำนักหุ่นเชิดรวบรวมคัมภีร์โบราณต่าง ๆ เอาไว้เมื่อสักครู่นี้เขาได้ใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบทุกสิ่งที่นี่อย่างละเอียดแล้วแม้ว่าพลังจิตจะสัมผัสได้ว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้โกหก แต่เพื่อความปลอดภัย เย่ซิวจึงยังต้องพลิกผ่านคัมภีร์โบราณของพวกเขาก่อน ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เขาถึงจะรู้สึกสบายใจเมื่อผลักประตูอันหนักหน่วงบานนั้นออก เย่ซิวก็เห็นว่ามีคัมภีร์โบราณจำนวนมากอยู่ที่นี่ เกรงว่ามีนับแสนเล่มได้แบ่งพลังจิตออกเป็นหลายร้อยส่วน แล้วแผ่ไปที่คัมภีร์แต่ละเล่ม ทำการค้นหาอย่างรวดเร็วตอนนี้พลังจิตของเขาเรียกได้ว่าแข็งแกร่งมาก เทียบได้กับเครื่องสแกนเนอร์เมื่อสแกนมัน ภาพก็จะติดอยู่ในหัวและจะไม่มีวันลืมตลอดกาลในไม่ช้าเขาก็พบวิธีที่จะหลอมรวมกับสัตว์วิญญาณ เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองแล้ว อว
วิธีการหลอมสัตว์วิญญาณ คือจำเป็นต้องปล่อยให้สัตว์วิญญาณวิ่งผ่านเส้นลมปราณก่อนหนึ่งรอบถ้าลองเปรียบเทียบ ก็จะเหมือนกับการศึกษาเส้นทางก่อนล่วงหน้า ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อนยกตัวอย่างอีกครั้งเช่นคนคนหนึ่งมายังสถานที่หนึ่ง บางคนอาจจะชื่นชอบสถานที่นี้ แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ อวิ๋นเหยาจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ ขณะที่นับเวลาอย่างเงียบ ๆ และตั้งตารอช่วงเวลาที่เขาจะล้มลงส่วนเย่ซิวในตอนนี้ รู้สึกว่ามีบอลเพลิงกำลังพุ่งผ่านเส้นลมปราณในร่างกายของเขาไปอย่างต่อเนื่องแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของมันก็ชัดเจนมากเหมือนกันเส้นลมปราณขยายใหญ่ขึ้น แถมยังถูกเพลิงกิเลนแผดเผาจนแข็งแกร่งขึ้นด้วยนี่ก็เหมือนกับเหล็กชิ้นหนึ่ง เมื่อมันถูกตีด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจัด ความหนาแน่นของพลังงานก็ยิ่งสูงขึ้นยิ่งเส้นลมปราณกว้างและแข็งแกร่งมากเท่าใด ภาระที่เกิดจากพลังวิญญาณเมื่อมันขับเคลื่อนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้นสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในความช้าเร็วของการร่ายคาถาหลังจากที่สัตว์วิญญาณกิเลนวิ่งผ่านเส้นลมปราณทั้งหมดในร่าง
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้น ห้องทั้งห้อง พื้น และผนัง เกิดรอยแตกร้าวขึ้นทั่วทุกแห่งหนร่างกายของเย่ซิวเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลเปลวไฟอันไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งร่าง ควบแน่นเป็นชุดเกราะเปลวไฟลุกโชติช่วงชุดหนึ่งบนไหล่ทั้งสองข้างเป็นรูปทรงของแขนกิเลน บนหน้าอกคือหัวกิเลน ดูสง่างามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจล่วงเกินได้เมื่อเย่ซิวมองไปที่อวิ๋นเหยา ร่างกายของเธอก็สั่นอย่างรุนแรง บนใบหน้าเธอไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิงม่านตาคู่นั้นลุกโชนด้วยเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ เต็มไปด้วยพลังและการครอบงำที่ดุจดั่งว่าเหนือฟ้าใต้ปฐพีนี้เขาคือที่สุดมองผ่านดวงตาคู่นี้ อวิ๋นเหยาก็เห็นว่าในดวงตาของเย่ซิว เหมือนจะมีจักรพรรดิผู้ซึ่งจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กำลังสบตากับตัวเองผ่านห้วงมิติเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุดเพียงแวบเดียวก็ทำให้พลังใจของเธอทั้งหมดพังทลายลง เธอกระอักเลือดออกมาทันทีในเวลาเดียวกัน มันก็คลายการพันธนาการที่เย่ซิวทำไว้บนตัวของเธอแต่วิญญาณของตัวเองในตอนนี้ กลับถูกเงาของเย่ซิวลงตราประทับแต่วิญญาณของตัวเองในตอนนี้ กลับมีเงาของเย่ซิวประทับลงมา
รถสีชมพูขับออกจากโรงรถแล้วขับไปที่ท่าเรือคนขับรถเป็นชายวัยกลางคนพูดจาฉะฉานด้านหลังรถจวงเสี่ยวหยิงหมดสติไป และมีผู้หญิงร่างเล็กสองคนนั่งประกบอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาผู้ชายที่ขับรถมองจวงเสี่ยวหยิงผ่านกระจกมองหลังและอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก "ในที่สุดฉันก็หาเธอเจอ หลังจากพยายามอย่างหนัก ผู้หญิงคนนี้สวยมาก ทำเอาเลือดในกายพลุ่งพล่านไปหมด"ผู้หญิงที่นั่งทางฝั่งซ้ายของจวงเสี่ยวหยิงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า "ฉันขอแนะนำให้คุณอย่าคิดอะไรไม่เข้าท่าจะดีกว่า ผู้หญิงคนนี้เกี่ยวพันกับความรุ่งโรจน์ของทั้งประเทศเรา เธอจำเป็นต้องบริสุทธิ์และสะอาดอย่างแท้จริงถ้าคุณกล้าคิดอะไรชั่ว ๆ ฉันจะฆ่าคุณทันที”ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า "ในเมื่อเป็นแบบนี้งั้นเธอก็มาเล่นกับฉันแทนเถอะ"“กับคุณน่ะเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยสีหน้าดูถูก “ครั้งหนึ่งฉันเคยเปิดศึกกับผู้ชายสิบสองคนพร้อม ๆ กัน คิดว่าตัวเองไหวเหรอ?”“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว” ผู้หญิงที่นั่งฝั่งขวาของจวงเสี่ยวหยิงลดเสียงลงต่ำ “ขับเร็วขึ้นอีกหน่อย เราต้องกลับไปให้ไว และจะให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ไม่ได้เป็นอันขาด”จากนั้นชายคนนั้นก็เหยียบคันเร่งจนมิด ว
ครั้งนี้แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็น่าจะเป็นฝีมือคนกลุ่มเดิมนั้นพอดีเลย งั้นก็ใช้โอกาสนี้เก็บกวาดคนพวกนั้นให้ราบคาบเขารีบกลับมาโดยใช้เวลาที่เร็วที่สุด ร่างก็ร่อนลงที่ชั้นดาดฟ้าของบริษัทเวินหว่านเอ๋อร์ได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้แล้ว เมื่อเห็นเย่ซิว เธอก็ก้มศีรษะลงไป ใบหน้าเต็มไปด้วยการโทษตัวเอง "เป็นความประมาทเลินเล่อของฉันเอง ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น"“ไม่โทษคุณหรอก” เย่ซิวตบไหล่เธอ “ต่อไปแค่ระมัดระวังให้มากขึ้นก็พอ ผมไปก่อนนะ”พูดจบเขาก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์และออกเดินทางไปอย่างรวดเร็วในไม่ช้าข่าวการเดินทางไปยังประเทศอ่ายเหรินก่อนกำหนดของเย่ซิวก็แพร่กระจายไปยังประเทศสำคัญ ๆ ทั่วโลก…… ณ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งของประเทศอ่ายเหริน เฟยอวี่อ่านข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเย่ซิวที่เธอมีเกี่ยวกับข้อมูลของเย่ซิวเธอได้ทำการรวบรวมมาพอสมควรแล้ว กับคนคนนี้เธอสามารถพูดได้ว่ามีความเข้าใจในตัวเขาระดับหนึ่ง“แข็งแกร่งมาก ไม่มีครอบครัว ผู้หญิงที่อยู่รอบตัวแต่ละคนก็ทรงพลังเช่นกัน บางทีเขาอาจจะได้รับการสืบทอดพลังอันแข็งแกร่งบางอย่างมา จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเขาคือเรื่องความเจ้าชู้”เฟยอวี่ทำการ
เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มสูงขึ้น อำนาจของคาถาต่าง ๆ ที่เขาร่ายก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันแต่ขณะนี้แม้ว่าจะใช้วิชามองทะลุ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขามองทะลุไม่ได้จริง ๆนั่นเป็นผู้หญิงสวมที่ชุดกระโปรงยาวสีขาว บนชุดนั้นมีรูปดอกไม้หลากชนิดทั้งดอกโบตั๋น กุหลาบ ดอกบ๊วย ดอกเบญจมาศ และอื่น ๆเมื่อสายตาของเย่ซิวตกลงไปที่มัน ดอกไม้ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาก่อตัวเป็นม่านกั้นอันทรงพลังที่ขัดขวางการสำรวจของเย่ซิวดวงตาของเย่ซิวหรี่ลงชุดของผู้หญิงคนนี้ดูคุ้น ๆ เหมือนกับว่าตัวเองเคยเห็นมันจากที่ไหนสักแห่งหลังจากค้นหาในความทรงจำสักพักหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ในที่สุดชุดนี้เรียกว่าอาภรณ์ร้อยบุปผาครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสมบัติของสำนักร้อยบุปผาและมีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถสวมใส่มันได้กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชุดนี้ควรเป็นของประเทศหลงเถิง แต่ตอนนี้มันกลับถูกคนนอกคนหนึ่งแย่งชิงไปเฟยอวี่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อยเมื่อถูกสายตาของเย่ซิวจ้องมองสายตาของเขาจะมีพลังมากเกินไปแล้ว คลับคล้ายกับจะมองเห็นความลับทั้งหมดของตัวเองได้“คุณชายเย่ คุณคงเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว ถ้ายังไงไปพักที่บ้านของฉันสั
เย่ซิวยอมไปกับพวกเขาโดยลำพัง แสดงว่าเขาต้องมีบางอย่างที่ทำให้สามารถเมินเฉยต่อพวกเธอได้ ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหลืออยู่ก็ถูกเก็บกลับไปที่จริงแล้ว จุดประสงค์ที่พวกเขามาหาเย่ซิวในครั้งนี้ ก็มีความคิดที่จะล่อเขาไปแล้วร่วมกันรุมโจมตีแต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะเป็นไปไม่ได้แล้วเมื่อเก็บงำความคิดที่วุ่นวายในใจลงไป พูทก็หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนไหล่ของเย่ซิวแต่เพียงแค่โดนสายตาของเย่ซิวจ้องกลับมา เขาก็รีบหดมือกลับไปอย่างขัดเขิน“เอ่อ งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ น้องเขยสุดที่รัก ขึ้นรถของฉันสิ นี่เป็นรถยนต์ลอยตัวรุ่นใหม่ล่าสุดที่ประเทศจ้านฉงตี้วิจัยขึ้นมา”“โอ้ งั้นเหรอ งั้นผมต้องลองดูหน่อยแล้ว” เย่ซิวเผยสีหน้าสนใจขึ้นมาไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ลักษณะภายนอกดูไม่ต่างจากรถสปอร์ตมากนักแต่เส้นสายของตัวรถดูโฉบเฉี่ยวกว่า ใหญ่กว่า และเต็มไปด้วยความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีพูทเป็นคนเปิดประตูรถก่อน แล้วทำท่าเชื้อเชิญให้เย่ซิวขึ้นไปเย่ซิวกับพรีเอลล์นั่งที่เบาะหลังส่วนพูทเป็นคนขับพูทกดปุ่มสตาร์ทรถ ทันใดนั้นล้อทั้งสี่ของรถก็ถูกพับเก็บเข้าไ
“น้องเขยที่รัก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงพี่เขยบ้างไหม?”พูทเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเย่ซิว ก่อนจะกางแขนออกแล้วพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วแต่กลับโดนเย่ซิวเตะออกไปเต็มแรงจนร่างทั้งร่างลอยหวือไปนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นพูทดีดตัวขึ้นมาทันทีแบบไม่เสียฟอร์ม กระโดดลุกขึ้นยืนได้อย่างคล่องแคล่วเขาเกาหลังหัวพลางหัวเราะแห้ง ๆ โดยไม่รู้สึกกระดากอายแม้แต่นิดเดียวถ้าใครคิดว่าพูทเป็นแค่ผู้ชายซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา ก็คงถูกเขาหลอกจนไม่เหลือกระดูกสักชิ้นพรีเอลล์ที่เห็นเย่ซิวอีกครั้ง สีหน้าของเธอดูซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกผู้ชายคนนี้เคยทำให้เธอเหมือนลอยอยู่บนฟ้า แต่ก็เคยทำให้เธอโมโหจนแทบอยากจะฆ่าเขาให้ตายเหมือนกัน“พวกนายมาทำอะไรที่นี่?” เย่ซิวถามเสียงเรียบ“แน่นอนว่ามาเพราะคิดถึงน้องเขยอย่างนายสิ” พูททำท่าจะพูดจากวน ๆ แต่พอเห็นสีหน้าของเย่ซิวที่ดูไม่เป็นมิตร ก็รีบเปลี่ยนคำพูดแทบไม่ทัน “เอ่อ คือ พรีเอลล์คิดถึงนายน่ะ ฉันก็เลยมาด้วย”พรีเอลล์กลอกตา “พี่ชาย เลิกพูดอะไรไร้สาระเถอะ ทุกคนไม่ได้โง่นะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”พูทเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “เย่ซิว นายไม่ได้อยากไปที่นั่นหรอกเหรอ? ถ้าจะไปก็ต้องรีบแล้วนะ ถ
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณไม่ต้องซ่อมถนนอีกแล้ว""ได้ เข้าใจแล้ว"หยางถิงถิงแสดงท่าทางสงบนิ่ง ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วหากเป็นเมื่อก่อน เมื่อได้ยินข่าวนี้ เธอคงจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ"แล้วฉันล่ะ" น่าอีชี้มาที่ตัวเอง ถามด้วยสายตาเว้าวอน"ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถสร้างคุณค่าให้ฉันได้มากแค่ไหน" เย่ซิวมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า "บอกเวทมนตร์ฉันมาอย่างหนึ่ง แล้วเธอจะได้รับอิสระสามวัน""ได้! ฉันบอกคุณสิบอย่างเลยตอนนี้"เธอก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว ในเมื่อทรยศไปแล้ว ก็ขอให้มันสุดทางมีเพียงการมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้เย่ซิวใช้พลังจิตตรวจสอบเธอ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอพูดเกี่ยวกับเวทมนตร์ไม่มีอะไรผิดพลาดผู้หญิงคนนี้ก็ฉลาดดี ไม่กล้าใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ว่าง่ายและบอกเวทมนตร์สิบชนิดออกมาอย่างไม่ปิดบังเย่ซิวจึงได้เพิ่มศาสตร์ที่รู้จักเข้าไปอีกสิบวิธีจากนั้น เขาก็ปล่อยให้เธอไปตามใจผู้หญิงคนนี้ยังมีมารยาท กล่าวขอบคุณเย่ซิวก่อนจากไป"พี่ชายเย่ สอนวิชาเวทย์ให้ฉันหน่อยสิ"เมื่อน่าอีจากไป หยางถิงถิงก็จับแขนของเย่ซิวแล้วออดอ้อนก่อนหน้านี้ที่เธอทำตัวสงบนิ่งนั้น มีส
ภายในห้องทดลองชีวภาพหมายเลขเก้าซึ่งเป็นห้องทดลองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจ้านฉงตี้จากข้างใน มีเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวดังออกมาเป็นระลอกราวกับสิ่งมีชีวิตโบราณที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกหมีสงครามทองคำตัวหนึ่ง สูงกว่าสิบเมตร ขนทั่วร่างเป็นสีทองอร่าม แม้แต่ดวงตาก็เป็นสีทองมันเงยหน้าคำราม เสียงกึกก้องแผ่กระจายออกไปจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าภายในห้องทดลอง นักวิทยาศาสตร์ในเสื้อกาวน์สีขาวต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจนแทบแสบแก้วหู“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดก็สำเร็จ!”“หมีสงครามทองคำ นี่คือสายเลือดที่สมบูรณ์แบบที่สุด”“พลังของมันตอนนี้ มากกว่าพูทถึงหนึ่งร้อยเท่า!”“หมีสงครามทองคำตัวนี้สามารถฉีกกระชากจักรกลมังกรดำได้อย่างง่ายดาย”“แล้วมันจะสู้กับเย่ซิวได้ไหม?”“คงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก… แต่ตอนนี้พลังของมันยังไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด มันยังต้องการสารอาหารอีกมหาศาล”“รีบรายงานองค์จักรพรรดิ ขออนุมัติสารอาหารเพิ่ม! ตามการคำนวณของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เมื่อมันดูดซับพลังงานได้มากพอ มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และจะแข็งแกร่งกว่าเย่ซิวอย่างแน่นอน”……เย่ซิวพาน่าอี
เขานึกถึงสถานที่ที่พรีเอลล์เคยพูดถึง สถานที่ที่แม้แต่การระเบิดของระเบิดเอชก็ไม่อาจทำลายได้คงต้องไปดูสักหน่อย ว่าจะมีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้างเย่ซิวละสายตากลับมา แล้วหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากแหวนผนึก ก่อนจะโยนให้น่าอีใส่เสื้อผ้าแล้วตามฉันกลับไปหญิงคนนี้พลังไม่นับว่าอ่อนแอ จะปล่อยไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้อีกทั้งบนตัวเธอยังมีสิ่งที่มีค่าอีกมากมายที่สามารถค่อย ๆ รีดเค้นออกมาได้น่าอีเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะสวมเสื้อผ้าเธอกะเผลกเดินกะเผลกมาหยุดอยู่ข้างเย่ซิว โดยไม่เอ่ยคำใดเย่ซิวยกแขนโอบรัดเอวเธอ ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้ากลับไปยังสำนักโอสถ......ภายในประเทศจ้านอิงตี้ เมื่อจักรพรรดิอินทรีครามได้รับรายงานจากผู้ช่วย ความโกรธก็ปะทุขึ้นจนเขาขว้างถ้วยในมือจนแตกกระจาย"เย่ซิว! เป็นเย่ซิวอีกแล้ว! ดาวเทียมลาดตระเวนที่ส่งขึ้นไปอย่างยากลำบาก กลับถูกเขาทำลายลงอีกครั้ง! พลังของมันพัฒนาไปถึงระดับไหนกันแน่!"ในฐานะบุคคลที่ครอบงำทั่วโลกมานานหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกจนปัญญาและอัดอั้นขนาดนี้ แถมยังเต็มไปด้วยโทสะอย่างลึกล้ำผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าแ
“คุณจะทำอะไร อย่าเข้ามา...ช่วยด้วย...กรี๊ด!!”เสียงกรีดร้องของน่าอีถูกเสียงกึกก้องของกระแสโลหิตที่พลุ่งพล่านภายในร่างของเย่ซิวกลบจนสิ้นเธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมอบร่างกายในสถานการณ์เช่นนี้ตอนนี้เธอเหมือนใบไม้ไหวระริกกลางมหาสมุทรเดือดพล่าน ไร้หลักยึดเหนี่ยว พร้อมจะจมหายไปได้ทุกเมื่อเย่ซิวในขณะนี้กำลังต้องควบคุมสองวิชายุทธไปพร้อมกัน หนึ่งคือเก้าวัจนะลึกลับ อีกหนึ่งคือวิชาโลกีย์หลอมเซียนก็เพียงเพื่อให้ตนสามารถบำเพ็ญเพียรต่อไปได้โชคดีที่เส้นทางเดินลมปราณของทั้งสองวิชายุทธนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มิเช่นนั้น ครั้งนี้คงถึงจุดจบแล้วจริง ๆตู้ม!ไม่รู้ว่านานเท่าไร จู่ ๆ พลังของเย่ซิวก็พุ่งทะยานสู่ฟ้าโลหิตของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองจากกระหม่อมมีเสาเลือดพุ่งพรวดออกไป ทะลุผ่านเวิ้งฟ้า พุ่งสู่ชั้นบรรยากาศเหนือโลกบังเอิญทำลายดาวเทียมลาดตระเวนที่เพิ่งถูกปล่อยจากประเทศจ้านอิงตี้ไปอย่างจัง“นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของเก้าวัจนะลึกลับขั้นแรกอย่างนั้นหรือ?”เย่ซิวก้มมองร่างกายของตนเอง เขายังอดตกตะลึงกับสภาพของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ผิวกายกลายเป็นสีทองอ่อนหากมองใกล้ ๆ จะพบว่ามีพลังลี้ลับบ
ศาสตร์การบ่มเพาะกายของเผ่าวู อาจกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งใต้หล้าเย่ซิวสงบลงอย่างรวดเร็วสิ่งที่จารึกไว้บนนี้ยังไม่สมบูรณ์ มีเพียงสองระดับแรกเท่านั้นหลังจากจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้แล้ว เย่ซิวก็หันไปมองน่าอี “แล้วส่วนที่เหลือล่ะ?”ใบหน้าของน่าอีเต็มไปด้วยความสิ้นหวังนี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ แต่กลับถูกเย่ซิวพบเข้า ความรู้สึกอยากตายผุดขึ้นมาแน่นอนว่าความคิดนี้เพียงแวบผ่านไปเท่านั้นมาถึงตอนนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว“ฉันเจอมันในดินแดนบรรพชน ข้างในอันตรายมาก ฉันไม่กล้าเข้าไปลึกกว่านี้”เย่ซิวรับรู้ได้ว่าเธอไม่ได้โกหกเขาใช้นิ้วแตะจุดพลังบนร่างของน่าอีหลายครั้ง ผนึกระดับพลังของเธอไว้ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆตอนนี้เขากำลังจะเปลี่ยนมาฝึกฝนวิชาเก้าวัจนะลึกลับวิชานี้ทรงพลังยิ่งกว่าวิชาวัชระคงกระพันที่เขาเคยฝึกมานับไม่ถ้วนเท่าเหมือนกับความแตกต่างระหว่างมังกรแท้กับไส้เดือนเมื่อทบทวนเนื้อหาของวิชาเก้าวัจนะลึกลับในหัวเสร็จ เย่ซิวก็ใช้นิ้วแตะลงบนจุดชีพจรสิบแปดแห่งบนร่างกายตัวเองอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า“ตึก! ตึก! ตึก!”หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เลือดล
“ฉันบอกชื่อของมันไม่ได้…” น่าอีรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของเย่ซิวที่เข้มข้นขึ้นจึงรีบอธิบายทันที“สัตว์เทพนั้นไม่ธรรมดาเลยสักนิด ถ้ามีใครเอ่ยนามของมันออกมา มันจะรับรู้ได้ทันทีถ้าฉันพูดออกไป มันจะรู้ว่าฉันทรยศประเทศวูทันที ฉันต้องตายแน่”เย่ซิวรู้สึกแปลกใจบนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ขนาดนี้ด้วยเหรอ?ท่าทางของน่าอีดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกหก เย่ซิวจึงเปลี่ยนคำถาม “ในประเทศวูมีคนที่อยู่ระดับสร้างรากฐานปราณขึ้นไปกี่คน แล้วมีระดับจินตานไหม?”ส่วนระดับวิญญาณก่อกำเนิดน่ะไม่ต้องถามหรอกถ้ามีคนระดับนั้นจริง พวกเขาคงไม่ต้องเสียเวลาวางแผนอะไรให้ยุ่งยากและใช้พลังเข้าจัดการเย่ซิวโดยตรงไปแล้ว“เท่าที่ฉันรู้ ระดับสร้างรากฐานปราณมีมากกว่าสี่สิบคน ส่วนระดับจินตานมีหกคน”สีหน้านายเคร่งขรึมขึ้นมาทันที มีเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?!ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่?เย่ซิวจึงถามต่อ “พวกเขาทะลวงระดับกันตอนไหน?”“ส่วนใหญ่ก็ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี่แหละ”เย่ซิวเข้าใจได้ทันทีคงเป็นเพราะช่วงครึ่งปีมานี้มีรอยแยกของผนึกมากขึ้นเรื่อย ๆเลยทำให้คนสามารถทะลวงระดับได้มากขึ้นไปด้วยคนภายนอกจะมีใครรู้เรื่องนี้
คำพูดของเธอฟังดูมีเหตุมีผล ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อยถ้าเย่ซิวไม่ได้รับข่าวล่วงหน้ามาก่อน ก็คงอาจจะหลงเชื่อไปแล้วจริง ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาเล่นเกมจิตวิทยากับผู้หญิงคนนี้ จึงถามออกไปตรง ๆ “ประเทศวูของพวกเธอทำไมถึงต้องการเล่นงานฉัน ถึงขั้นให้นายพลในประเทศอวี้เจียวส่งขีปนาวุธมาโจมตี”ทันทีที่พูดจบ แววตาของน่าอีก็สั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่จิตใจของเธอแข็งแกร่งพอสมควรใช้เวลาแค่ครึ่งวินาทีเท่านั้น เธอก็เก็บอารมณ์ทั้งหมดจนสงบ จากนั้นก็ทำสีหน้าสับสนเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย “นายพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”“ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้หรอก นายพลคนนั้นเป็นพวกเดียวกับพวกเธอฉันจะบอกเธอให้รู้เอาไว้ ฉันก็มีสายลับของตัวเองในประเทศวูเหมือนกันฉันมาดักรอเธอที่นี่โดยเฉพาะ ถ้าเธอยอมให้ความร่วมมือดี ๆ ซะตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะยังมีชีวิตรอดได้”คราวนี้น่าอีช็อกหนักกว่าเดิมเธอไม่เข้าใจเลยว่าเย่ซิวรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?จนเธอเผลอหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “อย่าบอกนะว่านายใช้ศาสตร์พยากรณ์ได้?”“ศาสตร์พยากรณ์อะไร?”สีหน้าของน่าอีเปลี่ยนไปทันที เมื่อรู้ตัวว่าพลาดแล้วเธ