“ยังต้องถามอีกเหรอ แน่นอนว่าต้องเป็นคุณที่นอนพื้น ส่วนผมนอนบนเตียงไง” เย่ซิวพูดอย่างเป็นธรรมชาติมากเสวี่ยเหมยแสร้งทำเป็นโกรธ เท้าเอวแล้วมองเขาอย่างโกรธเคือง "บ้าเอ๊ย คุณปล่อยให้ฉันที่เป็นผู้หญิงบอบบางแบบนี้นอนพื้นได้ลงคอเหรอ?แถมที่นี่ยังเป็นหุบเขาลึกและป่าโบราณ แถมตอนกลางคืนอากาศก็ชื้นมากด้วย!”เย่ซิวไม่ได้โต้เถียงกับเธอ ถอดรองเท้า แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงทันที พร้อมห่มผ้าห่มเขาอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกและป่าโบราณมาตั้งแต่เด็ก จึงใกล้ชิดกับสภาพแวดล้อมนี้เป็นพิเศษหวนนึกไปถึงฉากที่อยู่ด้วยกันกับอาจารย์คืนนี้ไม่บำเพ็ญตนแล้ว ผ่อนคลายสักครั้งก็แล้วกันเมื่อเห็นเย่ซิวปีนขึ้นเตียงแล้ว เสวี่ยเหมยก็กระทืบเท้าเบา ๆ ทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมลูกใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้ชื่นชมมันเธอมองไปที่เย่ซิว หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังจากนั้นยกมุมผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปเหมือนลูกแมวตัวน้อยหัวใจของเธอเต้นตึกตักอย่างแรง รู้สึกประหม่าเป็นอย่างมากเธอกลัวว่าเย่ซิวจะไล่เธอลงจากเตียง แบบนั้นตัวเองคงอับอายมากแต่หลังจากรอไประยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเย่ซิวไม่มีท่าทีจะไล่เ
เมื่อคืนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนได้ก้าวไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัยลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ แล้วใส่เสื้อผ้า เดินไปที่อ่างล้างหน้า และเริ่มแปรงฟันน้ำที่นี่ล้วนมาจากน้ำพุบนภูเขา น้ำจึงหวานมากเย่ซิวเองก็ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่งตัว นั่งขัดสมาธิ และเริ่มดูดซับพลังฟ้าดินเขาค้นพบมานานแล้วว่ายามเช้าตรู่มีพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดของวันการบำเพ็ญตนในเวลานี้จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นสองเท่าผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากเองก็เลือกบำเพ็ญตนในตอนเช้าตรู่เพื่อที่จะได้รับแสงแรกของวันเมื่อถึงเจ็ดโมงเช้า เย่ซิวก็ผลักเปิดประตูแล้วเดินออกไปเสวี่ยเหมยเพิ่งทำและกินอาหารเช้าไปเมื่อสักครู่แม้ว่าตอนนี้เขาจะกินหรือไม่กินอาหารก็ไม่สำคัญ แต่เย่ซิวก็ยังคงรักษานิสัยเดิมของตัวเองไว้เสมอถ้าไม่ทานอาหารบ่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเกิดความชินชาและไม่ถือว่าตัวเองเป็นมนุษย์อีก ซึ่งแบบนี้อันตรายมาก“เป็นยังไงบ้าง? เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือเปล่า?” จู่ ๆ ผู้อาวุโสที่ฟื้นตัวและย้อนวัยกลับมาหลายสิบปีก็เดินออกมาจากในห้อง ข้างหลังเธอมีลูกศิษย์ตามมาด้วยหลายคน“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านอาจารย์” เสวี่ยเหมยทักทายอย่างอ่อนหวาน จากนั้นเดินไปข้างหน้า
แม้ว่าเย่ซิวจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นสถานการณ์จริงภายในถ้ำเขาก็ยังตกใจอย่างหนักสิ่งแรกที่เห็นก็คือกล่องใส่เครื่องประดับและทองคำกล่องแล้วกล่องเล่า มีอย่างน้อยหลายร้อยกล่อง รวมกันแล้วน่าจะมากกว่าร้อยตันสมมติว่าทองทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของจริงยังมีเครื่องประดับเหล่านั้น แม้ว่าเย่ซิวจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ แต่ก็เห็นได้ว่ามีคุณค่าไม่น้อยแค่สิ่งของที่อยู่ชั้นนอกสุด เย่ซิวประมาณการคร่าว ๆ ว่าควรมีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านล้านบาทแล้วเดินลึกเข้าไปข้างใน มันคืออาวุธและชุดเกราะจำนวนมาก สามารถเห็นสัญญาณของการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่ยังคงขึ้นสนิมเข้าไปข้างในอีก มันคือชั้นหนังสือที่เรียงรายหนังสือข้างต้นทั้งหมดถูกเก็บไว้ในถุงสุญญากาศ นั่นคือตำราความรู้ลับของสำนักต่าง ๆ เดินลึกเข้าไปข้างในมากยิ่งขึ้น มีโต๊ะเล็กอยู่หนึ่งตัว ด้านบนวางป้ายวิญญาณที่สลักอักษรไม่กี่ตัวไว้ว่า ‘บรรพบุรุษตระกูลหลง’“รู้สึกตกใจใช่ไหมล่ะ?” ผู้อาวุโสหันมามองเย่ซิว "มองเห็นป้ายวิญญาณนี้เธอก็ควรจะเดาได้แล้ว ถูกต้อง ฉันเป็นลูกหลานของตระกูลหลง ซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ก่อนสิ่งของข้างในเหล่า
สิ่งของที่วางอยู่บนชั้นวางนี้แต่ละชิ้นดูเก่าแก่และโบราณมากมีกริช กระจกทองสัมฤทธิ์ กระถางธูป และอื่น ๆ อีกมากมายเหตุผลที่เขาหยุด เป็นเพราะกระบี่หงส์โบยบินในจุดตันเถียนของเขาจู่ ๆ ก็กระสับกระส่ายขึ้นมามันปล่อยคลื่นพลังที่แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการออกมากลืนบางสิ่งบางอย่างซึ่งวางอยู่บนชั้นวางนั้นเย่ซิวผู้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ย่อมไม่ยอมปล่อยให้กระบี่หงส์โบยบินทำเช่นนี้เขาจึงยื่นมือไปที่ชั้นวางแล้วลูบสิ่งของที่อยู่บนนั้นทีละชิ้น ๆเมื่อนิ้วแตะสัมผัสกับเตาหลอมเตาหนึ่ง กระบี่หงส์โบยบินก็มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดนี่คือเตาที่ภายนอกมีพื้นผิวเป็นสนิม เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนว่ามันจะทำขึ้นจากเหล็ก แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด จะพบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นสัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าเตานี้น่าจะเป็นสมบัติเวทมนตร์ที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่งอย่างไรก็ตามไม่สามารถทำการทดลองที่นี่ได้เขามองไปที่ผู้อาวุโส "ท่านอาจารย์ ผมเลือกอันนี้"ผู้อาวุโสสงสัย “เตานี้มีอะไรพิเศษเหรอ?”โดยพื้นฐานแล้วเธอได้ทำการศึกษาของทุกอย่างข้างในนี้แล้ว แต่ไม่พบอะไรที่พิเศษเย่ซิวส่ายหัว "ผมก็ดูไม่ออกว่ามันมีอะไรพิเศษ แค
เตาซึ่งแต่เดิมมีขนาดเท่าฝ่ามือ จู่ ๆ ขยายออกจนสูงเท่าคนหนึ่งคน สนิมบนพื้นผิวด้านนนอกหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยแสงสีแดงเพลิงออกมาเสียงแกร๊งดังก้องไปทั่ว ฝาถูกเปิดออก มังกรเพลิงซึ่งเกิดจากเปลวไฟที่ควบแน่นตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากข้างในนั้นพื้นที่โดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตามังกรเพลิงดูเหมือนจะมีชีวิต มันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและคำรามอยู่กลางอากาศ ระเบิดเสียงคำรามซึ่งเป็นของมังกรเสวี่ยเหมยที่กำลังแช่น้ำพุร้อน หันกลับมาและเห็นฉากตรงหน้านี้ ริมฝีปากสีแดงที่เย้ายวนของเธอก็อ้ากว้างจนกลายเป็นรูปตัวโอเย่ซิวขยับมือของเขา จากนั้นปลดปล่อยพลังวิญญาณแต่ละสายออกมาบังคับให้มังกรเพลิงกลับเข้าไปในเตาด้วยท่าทางที่อหังการ์มากเตาตกลงกับพื้น แสงที่ปลดปล่อยออกมาจากเตาก็ค่อย ๆ จางลง เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเตาพื้นผิวถูกแกะสลักด้วยลวดลายของสมุนไพรต่าง ๆ และลูกไฟ ทำให้ผู้คนรู้สึกเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยความมีระดับเย่ซิวเข้าใจวิธีใช้งานเตาหลอมนี้แล้ว มันเป็นเตาหลอมโอสถเตาหนึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากแม้จะอยู่ในยุคที่ผู้บำเพ็ญตนเฟื่องฟูที่สุดก็ตามพูดว่ามีค่าควรเมือง ก็ยั
พวกเขาทั้งสองเดินอยู่บนถนนที่พลุกพล่านของเมืองหลวง เสวี่ยเหมยมองไปที่เย่ซิวอย่างอาลัยอาวรณ์ "นี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้ายังไงมาค้างคืนที่บ้านของฉันดีไหม?"เย่ซิวเป็นเหมือนยาพิษร้าย ยิ่งอยู่กับเขาเป็นเวลานานก็จะยิ่งเสพติดเย่ซิวตบหน้าเธอเบา ๆ ทำให้สาวงามหน้าบูดบึ้งอยู่พักหนึ่ง "ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำ อย่าลืมข้อตกลงระหว่างเราล่ะ รีบโอนหุ้นมาอยู่ภายใต้ชื่อของผมโดยเร็วที่สุด"“ก็ได้” อารมณ์ของเธอไม่ค่อยจะสูงเท่าไหร่นักเย่ซิวลงมืออีกครั้งราวกับสายฟ้า ตบเธอเบา ๆ อีกทีและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "รีบบำเพ็ญตนสิ เมื่อคุณทะลวงไปถึงจอมยุทธ์ระดับเก้าแล้ว ถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะถูกผมกิน"เสวี่ยเหมยแลบลิ้นออกมา "นั่นจะยากเกินไปแล้วนะ อีกอย่างใครจะให้คุณกินกัน พวกชอบคิดเองเออเอง หึ!"พูดจบก็บิดสะโพกและแยกทางกับเย่ซิวเย่ซิวส่ายหัวและหัวเราะ ดูเหมือนว่าผู้หญิงไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ชอบที่จะปากไม่ตรงกับใจตัวเองเย่ซิวดูเวลา เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงแปดโมงเช้า ก็ครุ่นคิดสักครู่แล้วเตรียมไปยังบ้านเช่าของชูตงไม่ได้ฝึกอบรมสาวน้อยคนนี้มาหลายเดือน ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้ว…… “นางสารเลว ยังไม่รีบเปิดประตู
ตู้ม!ชายคนหนึ่งเตะประตูเหล็กอย่างแรง ทำให้ประตูเหล็กทั้งบานยุบลงไป บนกำแพงข้าง ๆ เองก็มีรอยแตกหลายรอยปรากฏขึ้นด้วย“ฉันจะถามเธออีกครั้ง จะเปิดประตูไหม ถ้าไม่เปิดจะงัดเข้าไปแล้วนะ”คนเหล่านี้เคยมาที่นี่สองสามครั้งแล้ว ความอดทนก็หมดไปนานแล้วเช่นกัน อีกอย่างพวกเขาอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าชูตงหน้าตาเป็นอย่างไรใช่แล้ว เนื่องจากพวกเขาไม่กล้าสร้างเรื่องในตอนกลางวัน เพราะตอนนั้นการออกลาดตระเวนของตำรวจค่อนข้างแน่นหนาปกติพวกเขาจึงมาในตอนเย็นเท่านั้น ดังนั้นจนถึงตอนนี้จึงไม่มีใครเคยเห็นหน้าชูตงมาก่อนถ้าพวกเขาได้เห็นรูปร่างหน้าตาของชูตง เกรงว่าคงอดใจไม่ไหวและถูกล่อลวงให้ทำเรื่องที่เลวร้ายได้หัวใจของชูตงสั่นสะท้านไปทั้งดวง วินาทีนี้เธอรู้สึกได้เลยว่าตัวเองตื่นตระหนกอย่างที่สุดเธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและก้มดูเวลา เธอแจ้งความไปแล้วแต่ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่ตำรวจจะมาถึงคราวนี้คนข้างนอกที่มาดุร้ายเป็นพิเศษ นี่ทำให้เธอซึ่งไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนรู้สึกหวาดกลัวโครม!เสียงกึกก้องดังขึ้นอีกครั้ง ประตูเหล็กถูกเตะจนเสียรูปอย่างหนัก ถ้ามีอีกครั้ง เช่นนั้นประตูบานนี้จะถูกพวก
เห็นเพียงว่ามือทั้งมือของเขาตอนนี้มันโชกเลือดทันใดนั้นไม่กี่คนก็หมุนตัวกลับมา แล้วเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจนไม่น่าจะหาเจอได้ในชีวิตจริงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง“ไอ้พวกขยะ แม้แต่ผู้หญิงที่ฉันต้องตาก็ยังกล้าแตะต้อง!”ร่างของเย่ซิวปลดปล่อยกลิ่นอายที่เย็นยะเยียบเและน่าสยดสยองออกมา ถ้าตัวเองมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เตาหลอมที่เขาหมายตาไว้นี้คงจะพังทลายไปแล้ว“ไอ้หนู แกเป็นใคร!”“รู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร!”เมื่อคนเหล่านี้เห็นว่าเย่ซิวมีเพียงคนเดียว ก็รู้สึกโกรธจัดและคิดที่จะพุ่งขึ้นไปเพื่อจัดการกับเขา“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกแกบ้าไปแล้วเหรอ!” ผู้ชายคนนั้นที่ถูกเย่ซิวทำร้ายผ่านอากาศมีเหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นเต็มหน้าผาก รีบตะโกนเพื่อควบคุมคนของตัวเองหลายคนลูกน้องไม่กี่คนไร้ตา แต่เขามีตาเย่ซิวสามารถทำให้มือของตัวเองได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้โดยที่ไม่ต้องใช้กำลังจากภายนอกใด ๆ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เดียวนั่นก็คือเขาเป็นจอมยุทธ์!ครั้งหนึ่งเขาเคยติดตามลูกพี่ใหญ่คนหนึ่ง จึงได้รู้และเห็นว่าจอมยุทธ์นั้นร้ายกาจมากแค่ไหน พวกเขาสามารถใช้กำลังภายในทำร้ายศัตรูจากระยะไกลได้ตัวตนแบบนั้นล้ว
เมื่ออ็อคเข้าใกล้ แรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำให้พูท พรีเอลล์ และเคย์ฟี่ถึงกับสะดุ้ง หายใจติดขัดราวกับต้องเผชิญหน้ากับศัตรูร้าย!"เย่ซิว! นายมาที่นี่ทำไม? ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายควรมา!"เสียงของอ็อคดังกึกก้อง ราวกับฟ้าร้อง"หลีกไป อย่ามาขวางทางฉัน"เย่ซิวพูดอย่างไม่ไว้หน้า ขณะที่ยังคงจับจ้องไปที่โซเฟียเขากำลังคาดเดาว่าเธออาจจะมาจากโลกภายนอกนี่เป็นความเป็นไปได้ที่เขาคิดว่าน่าเชื่อถือที่สุด"อวดดีนัก! อยากตายรึไง!""เย่ซิว! ที่นี่ไม่ใช่สำนักโอสถ และไม่ใช่ประเทศหลงเถิงด้วย! นายมาคนเดียว อย่าทำตัวอวดดีให้มากนัก!""ใช่! ไม่งั้นนายอาจจะไม่ได้กลับออกไปจากที่นี่!"……เหล่าผู้ติดตามของอ็อคต่างพากันล้อมเย่ซิว สีหน้าของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรและความเย็นชาถ้าเป็นเมื่อสัปดาห์ก่อน พวกเขาคงไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับเย่ซิวแต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วการปรากฏตัวของอ็อคทำให้พวกเขามั่นใจและกล้าแสดงออกมากขึ้นเพราะพวกเขาเคยเห็นฝีมือของอ็อคมาก่อน จึงรู้ว่าผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหนพวกเขามั่นใจ แม้แต่เย่ซิวมาเอง อย่างมากก็คงทำได้เพียงเสมอกันยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่
จากสีหน้าของสามีผู้หญิงคนนี้เมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเดาออก หรือไม่ก็รู้และปล่อยผ่านไปแล้วเรื่องแบบนี้คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในตระกูลใหญ่ มักจะมีเรื่องสกปรกแบบนี้อยู่เสมอบางครั้งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือเป้าหมายอื่น ๆการยอมสละภรรยาหรือแม้แต่ลูกสาวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเย่ซิวเองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเคย์ฟี่เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากเธอเป็นผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งวัยที่สุกงอมผู้หญิงแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นนักล่าผู้ชายโดยแท้แต่เย่ซิวกลับไม่รู้สึกสนใจเธอสักเท่าไรไม่ใช่เพราะว่าเขาสูงส่งอะไรนักหรอก แต่เพราะเขารู้สึกว่าเธอดูสกปรกเกินไปผู้หญิงที่ถูกนับไม่ถ้วนลิ้มรสแบบนี้ ต่อให้สวยแค่ไหน เย่ซิวก็ไม่มีทางสนใจดังนั้นไม่ว่าเคย์ฟี่จะพยายามยั่วยวนยังไง เย่ซิวก็ยังคงนิ่งเฉยทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยขณะที่พรีเอลล์ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นฉากนี้ สีหน้ากลับดูผ่อนคลายขึ้นมาในใจคิดว่าแม่ยังสู้ตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยตัวเองก็เคยทำสำเร็จมาก่อนผ่านไปห้าสิบกว่านาที พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางทันทีที่ลงจากรถ ก็สามารถมองเห็นกำแพงขนาดมหึมา ล้อมรอบซากโบราณสถานท
เย่ซิวเผาผลาญเลือดสดของตนเองไปหนึ่งเปอร์เซ็นต์ชั่วพริบตา พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนหากคำนวณเช่นนี้ ถ้าเขาเผาผลาญเลือดสดไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ถึงห้าเท่าในทันทีนี่เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนักทว่าทักษะลึกลับนี้ก็มีข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงนั่นคือหลังจากเผาผลาญเลือดสดแล้วจะต้องตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอเป็นเวลานานแต่เย่ซิวสามารถลดอันตรายจากข้อเสียนี้ให้เหลือน้อยที่สุดเพราะร่างกายของเขาตอนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าผู้ใดความสามารถในการสร้างเลือดของหัวใจนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งคนทั่วไปหากใช้วิชานี้ไปแล้วจะต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อฟื้นตัวแต่เย่ซิวไม่เหมือนคนทั่วไปเขาสามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ภายในสิบกว่านาทีหากมีพลังงานเสริมเพียงพอ เขาสามารถใช้วิชาผลาญโลหิตได้สิบกว่าครั้งรุ่งเช้าของวันถัดมาเย่ซิวเดินทางมาถึงตระกูลของพรีเอลล์ทันทีที่ลงจากรถ เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นพ่อแม่ของพรีเอลล์ คู่สามีภรรยาที่ดูยังหนุ่มสาวมาปรากฏตัวฝ่ายหญิงงดงามสง่า ฝ่ายชายมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาเบื้องหลังพวกเขายังมีเหล่าชายหญิงวัยหนุ่มสาวติดตามมาด้วย แต่ละคน
เย่ซิวคว้าคอของพรีเอลล์ไว้แน่น ก่อนจะปลดปล่อยวิชามารโลหิตออกมาอย่างไม่ลังเลสีหน้าของพรีเอลล์เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก เธอพยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ตอนนี้ พลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าเธอจะขัดขืนแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์พลังอันแข็งแกร่งที่แฝงอยู่ในเลือดของเธอถูกเย่ซิวดูดกลืนอย่างต่อเนื่องหลังจากดิ้นรนไปได้สักพัก ร่างกายของพรีเอลล์ก็ไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถขยับได้อีกต่อไปดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและวิงวอน ขณะที่จ้องมองไปที่เย่ซิวผิวพรรณของเธอซีดหมองราวกับแก่ลงไปสิบกว่าปีในพริบตาเมื่อดูดกลืนพลังในเลือดของเธอไปเกือบครึ่ง เย่ซิวจึงยอมปล่อยมือจากพรีเอลล์พรีเอลล์รีบถอยห่างออกจากเย่ซิวในทันที พลางหอบหายใจอย่างหนักเย่ซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ผมไม่อยากเห็นคุณใช้วิธีสกปรกแบบนี้จัดการผมอีก ถ้ามีครั้งหน้า ผมไม่รับประกันว่าคุณจะรอดไปได้”เมื่อครู่ กลิ่นที่พรีเอลล์ปล่อยออกมาจากร่างกายคือยาชนิดซีและดูเหมือนว่าจะเป็นสูตรใหม่ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน มีฤทธิ์รุนแรงมากถ้าหากเป็นช่วงที่เย่ซิวเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจินตาน มีโอกาสสูงที่เขาจะต้านทานมันไม่ไหวหากเป็นเช่นนั้น
เย่ซิวยอมไปกับพวกเขาโดยลำพัง แสดงว่าเขาต้องมีบางอย่างที่ทำให้สามารถเมินเฉยต่อพวกเธอได้ ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหลืออยู่ก็ถูกเก็บกลับไปที่จริงแล้ว จุดประสงค์ที่พวกเขามาหาเย่ซิวในครั้งนี้ ก็มีความคิดที่จะล่อเขาไปแล้วร่วมกันรุมโจมตีแต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะเป็นไปไม่ได้แล้วเมื่อเก็บงำความคิดที่วุ่นวายในใจลงไป พูทก็หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนไหล่ของเย่ซิวแต่เพียงแค่โดนสายตาของเย่ซิวจ้องกลับมา เขาก็รีบหดมือกลับไปอย่างขัดเขิน“เอ่อ งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ น้องเขยสุดที่รัก ขึ้นรถของฉันสิ นี่เป็นรถยนต์ลอยตัวรุ่นใหม่ล่าสุดที่ประเทศจ้านฉงตี้วิจัยขึ้นมา”“โอ้ งั้นเหรอ งั้นผมต้องลองดูหน่อยแล้ว” เย่ซิวเผยสีหน้าสนใจขึ้นมาไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ลักษณะภายนอกดูไม่ต่างจากรถสปอร์ตมากนักแต่เส้นสายของตัวรถดูโฉบเฉี่ยวกว่า ใหญ่กว่า และเต็มไปด้วยความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีพูทเป็นคนเปิดประตูรถก่อน แล้วทำท่าเชื้อเชิญให้เย่ซิวขึ้นไปเย่ซิวกับพรีเอลล์นั่งที่เบาะหลังส่วนพูทเป็นคนขับพูทกดปุ่มสตาร์ทรถ ทันใดนั้นล้อทั้งสี่ของรถก็ถูกพับเก็บเข้าไ
“น้องเขยที่รัก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงพี่เขยบ้างไหม?”พูทเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเย่ซิว ก่อนจะกางแขนออกแล้วพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วแต่กลับโดนเย่ซิวเตะออกไปเต็มแรงจนร่างทั้งร่างลอยหวือไปนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นพูทดีดตัวขึ้นมาทันทีแบบไม่เสียฟอร์ม กระโดดลุกขึ้นยืนได้อย่างคล่องแคล่วเขาเกาหลังหัวพลางหัวเราะแห้ง ๆ โดยไม่รู้สึกกระดากอายแม้แต่นิดเดียวถ้าใครคิดว่าพูทเป็นแค่ผู้ชายซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา ก็คงถูกเขาหลอกจนไม่เหลือกระดูกสักชิ้นพรีเอลล์ที่เห็นเย่ซิวอีกครั้ง สีหน้าของเธอดูซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกผู้ชายคนนี้เคยทำให้เธอเหมือนลอยอยู่บนฟ้า แต่ก็เคยทำให้เธอโมโหจนแทบอยากจะฆ่าเขาให้ตายเหมือนกัน“พวกนายมาทำอะไรที่นี่?” เย่ซิวถามเสียงเรียบ“แน่นอนว่ามาเพราะคิดถึงน้องเขยอย่างนายสิ” พูททำท่าจะพูดจากวน ๆ แต่พอเห็นสีหน้าของเย่ซิวที่ดูไม่เป็นมิตร ก็รีบเปลี่ยนคำพูดแทบไม่ทัน “เอ่อ คือ พรีเอลล์คิดถึงนายน่ะ ฉันก็เลยมาด้วย”พรีเอลล์กลอกตา “พี่ชาย เลิกพูดอะไรไร้สาระเถอะ ทุกคนไม่ได้โง่นะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”พูทเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “เย่ซิว นายไม่ได้อยากไปที่นั่นหรอกเหรอ? ถ้าจะไปก็ต้องรีบแล้วนะ ถ
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณไม่ต้องซ่อมถนนอีกแล้ว""ได้ เข้าใจแล้ว"หยางถิงถิงแสดงท่าทางสงบนิ่ง ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วหากเป็นเมื่อก่อน เมื่อได้ยินข่าวนี้ เธอคงจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ"แล้วฉันล่ะ" น่าอีชี้มาที่ตัวเอง ถามด้วยสายตาเว้าวอน"ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถสร้างคุณค่าให้ฉันได้มากแค่ไหน" เย่ซิวมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า "บอกเวทมนตร์ฉันมาอย่างหนึ่ง แล้วเธอจะได้รับอิสระสามวัน""ได้! ฉันบอกคุณสิบอย่างเลยตอนนี้"เธอก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว ในเมื่อทรยศไปแล้ว ก็ขอให้มันสุดทางมีเพียงการมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้เย่ซิวใช้พลังจิตตรวจสอบเธอ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอพูดเกี่ยวกับเวทมนตร์ไม่มีอะไรผิดพลาดผู้หญิงคนนี้ก็ฉลาดดี ไม่กล้าใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ว่าง่ายและบอกเวทมนตร์สิบชนิดออกมาอย่างไม่ปิดบังเย่ซิวจึงได้เพิ่มศาสตร์ที่รู้จักเข้าไปอีกสิบวิธีจากนั้น เขาก็ปล่อยให้เธอไปตามใจผู้หญิงคนนี้ยังมีมารยาท กล่าวขอบคุณเย่ซิวก่อนจากไป"พี่ชายเย่ สอนวิชาเวทย์ให้ฉันหน่อยสิ"เมื่อน่าอีจากไป หยางถิงถิงก็จับแขนของเย่ซิวแล้วออดอ้อนก่อนหน้านี้ที่เธอทำตัวสงบนิ่งนั้น มีส
ภายในห้องทดลองชีวภาพหมายเลขเก้าซึ่งเป็นห้องทดลองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจ้านฉงตี้จากข้างใน มีเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวดังออกมาเป็นระลอกราวกับสิ่งมีชีวิตโบราณที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกหมีสงครามทองคำตัวหนึ่ง สูงกว่าสิบเมตร ขนทั่วร่างเป็นสีทองอร่าม แม้แต่ดวงตาก็เป็นสีทองมันเงยหน้าคำราม เสียงกึกก้องแผ่กระจายออกไปจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าภายในห้องทดลอง นักวิทยาศาสตร์ในเสื้อกาวน์สีขาวต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจนแทบแสบแก้วหู“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดก็สำเร็จ!”“หมีสงครามทองคำ นี่คือสายเลือดที่สมบูรณ์แบบที่สุด”“พลังของมันตอนนี้ มากกว่าพูทถึงหนึ่งร้อยเท่า!”“หมีสงครามทองคำตัวนี้สามารถฉีกกระชากจักรกลมังกรดำได้อย่างง่ายดาย”“แล้วมันจะสู้กับเย่ซิวได้ไหม?”“คงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก… แต่ตอนนี้พลังของมันยังไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด มันยังต้องการสารอาหารอีกมหาศาล”“รีบรายงานองค์จักรพรรดิ ขออนุมัติสารอาหารเพิ่ม! ตามการคำนวณของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เมื่อมันดูดซับพลังงานได้มากพอ มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และจะแข็งแกร่งกว่าเย่ซิวอย่างแน่นอน”……เย่ซิวพาน่าอี
เขานึกถึงสถานที่ที่พรีเอลล์เคยพูดถึง สถานที่ที่แม้แต่การระเบิดของระเบิดเอชก็ไม่อาจทำลายได้คงต้องไปดูสักหน่อย ว่าจะมีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้างเย่ซิวละสายตากลับมา แล้วหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากแหวนผนึก ก่อนจะโยนให้น่าอีใส่เสื้อผ้าแล้วตามฉันกลับไปหญิงคนนี้พลังไม่นับว่าอ่อนแอ จะปล่อยไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้อีกทั้งบนตัวเธอยังมีสิ่งที่มีค่าอีกมากมายที่สามารถค่อย ๆ รีดเค้นออกมาได้น่าอีเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะสวมเสื้อผ้าเธอกะเผลกเดินกะเผลกมาหยุดอยู่ข้างเย่ซิว โดยไม่เอ่ยคำใดเย่ซิวยกแขนโอบรัดเอวเธอ ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้ากลับไปยังสำนักโอสถ......ภายในประเทศจ้านอิงตี้ เมื่อจักรพรรดิอินทรีครามได้รับรายงานจากผู้ช่วย ความโกรธก็ปะทุขึ้นจนเขาขว้างถ้วยในมือจนแตกกระจาย"เย่ซิว! เป็นเย่ซิวอีกแล้ว! ดาวเทียมลาดตระเวนที่ส่งขึ้นไปอย่างยากลำบาก กลับถูกเขาทำลายลงอีกครั้ง! พลังของมันพัฒนาไปถึงระดับไหนกันแน่!"ในฐานะบุคคลที่ครอบงำทั่วโลกมานานหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกจนปัญญาและอัดอั้นขนาดนี้ แถมยังเต็มไปด้วยโทสะอย่างลึกล้ำผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าแ