เมืองหลวง ในห้องขังแห่งหนึ่งเพียะ! เพียะ! เพียะ!ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดผู้คุม ใบหน้าโหดเหี้ยมและถือแส้ในมือ กำลังใช้แส้เฆี่ยนไป๋อวี้เจี๋ยไม่หยุดไป๋อวี้เจี๋ยถูกมัดอยู่ที่นั่น ไม่สามารถขยับตัวได้ตามเนื้อตัวมีรอยแผลเป็นมากมาย ผิวหนังปริแตก สามารถมองเห็นกระดูกได้ สภาพดูแล้วช่างน่ากลัว“ยังไม่สารภาพอีกเหรอ?”เสียงของผู้คุมหญิงดังก้อง น้ำเสียงนั้นเย็นชาและน่าตกใจในเวลานี้ไป๋อวี้เจี๋ยอ่อนแอมาก แต่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นยังคงจับนิ่งที่ใบหน้าของเธอ "เธอกล้าดียังไงถึงใช้อำนาจเกินขอบเขต!"ผู้คุมหญิงหัวเราะเยาะ "จัดการกับคนอย่างเธอ ก็ต้องใช้วิธีดั้งเดิมที่สุด ถ้ายังไม่ยอมรับผิดอีก ยังมีการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้รอเธออยู่!"เธอรูปร่างล่ำสัน ซึ่งดูเหมือนผู้ชายยิ่งกว่าผู้ชายด้วยซ้ำดังนั้นเมื่อเห็นผู้หญิงหน้าตาสวยและหุ่นร้อนแรงอย่างไป๋อวี้เจี๋ย จึงเป็นเรื่องปกติที่จะอิจฉาริษยา“ฝันไปเถอะ!” ดวงตาของไป่อวี้เจี๋ยเต็มไปด้วยความดื้อรั้น "เรื่องที่ไม่ได้ทำ ถึงตีให้ตายฉันก็ไม่ยอมรับผิดเด็ดขาด"“งั้นเหรอ?”ผู้คุมหญิงวางแส้ลง แล้วหยิบแท่งไม้หนา ๆ ออกมาจากโต๊ะด้านข้างมีชามใส่น้ำผสมพริกอยู่ด้วย
เหล่าผู้มีอำนาจที่มักจะมองว่าตนสูงส่ง เคยชี้เป็นชี้ตายชีวิตผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย เวลานี้เริ่มมีความกลัวอย่างมากเย่ซิวรีบพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็วตอนนี้เขาไม่มีเวลาหรืออารมณ์ที่จะชะลอความเคลื่อนไหวหูของเขานั้นไวเกินคนธรรมดา เขาได้ยินเสียงสบถสาปแช่งและเสียงกรีดร้องของลู่เสวี่ยเอ๋อร์กับหลิวอวิ้นที่อยู่ชั้นบนชายคนหนึ่งยืนขวางหน้าเย่ซิวไว้ซึ่งก็คือปรมาจารย์คนที่จับตัวลู่เสวี่ยเอ๋อร์สองครั้งเขามองไปที่เย่ซิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง "ยังมีคนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าเย่ขวงอีก เก็บไว้ไม่ได้!"เขารวบรวมกำลังภายในทั้งหมดไว้บนฝ่ามือทั้งสองข้าง ปล่อยเปลวไฟลุกโชน“วิชา… ฝ่ามือเพลิง!”เมื่อเห็นชายคนนี้ลงมือ ชนชั้นสูงของตระกูลเย่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของแต่ละคนอีกครั้ง“ฮึ่ม เกือบลืมไปว่าเรามีปรมาจารย์อยู่ด้วย!”“ถึงเด็กคนนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็คงเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีอะไรต้องกลัว”“อีกเดี๋ยวฉันจะให้คนมาผ่าร่างเขาออก ดูสิว่าโครงสร้างร่างกายเขาเป็นยังไง!”……คนเหล่านี้นั่งลงอีกครั้ง หยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมา เขย่าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เพล
เมื่อเห็นเย่ซิวบุกเข้ามา เย่ขวงก็หัวเราะอย่างเหิมเกริมอย่างยิ่ง “ฮ่า ๆ แกมาได้เวลาพอดีคอยดูฉันจะหักมือกับเท้าของแก ข่มขืนผู้หญิงของแกต่อหน้าแก!”ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ตื่นเต้นและกระปรี้กระเปร่ามากโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเย่ซิวสามารถเข้ามาได้อย่างไรขนาดถูกรายล้อมไปด้วยพวกระดับสูงมากมายจากด้านนอก“คุกเข่าซะ!”จากนั้นเย่ขวงงอนิ้วทั้งห้าขึ้นเป็นกรงเล็บ ภายใต้แสงไฟสะท้อนเงาวาววับขณะที่เขาโจมตีเย่ซิวท่ากรงเล็บเพชรอันทรงพลังของเขาได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดแล้วแม้จะสู้กับเสือที่โตเต็มวัย ก็ยังสามารถฆ่ามันได้เขามั่นใจว่าภายใต้กรงเล็บของเขา ถ้าศัตรูไม่ตายก็ต้องพิการแต่ครู่ต่อมา เย่ขวงก็โกรธจนตาแทบถลน รู้สึกถึงความน่ากลัวอย่างสุดซึ้งตอนแรกเขาปะทะกับเย่ซิวกำลังภายในอันหนักแน่นและไม่อาจต้านทานได้พุ่งเข้ามาจากหมัดของเย่ซิวกำลังภายในอันทรงพลังที่เขาภาคภูมิใจหนักหนา เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ซิวนั้นช่างเปราะบาง และสลายไปอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งก็ปะทุออกมาจากร่างกายของเย่ซิวความน่าเกรงขามของจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับเก้า ทำลายความภาคภูมิใจของเย่ขวงที่มีทั้งหม
เขาพยักหน้าหงึกหงัก "ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"เขาปีนขึ้นไปที่คอมพิวเตอร์ พลางเปิดเครื่อง พลางโทรหาผู้บริหารระดับสูงพร้อมกัน คำรามเหมือนฟ้าร้อง "มาที่วิลล่าของฉันพร้อมสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในนามของฉัน ถ้ามาไม่ถึงได้ภายในสิบนาทีนี้ ฉันจะฆ่าทั้งครอบครัวของพวกนาย!”หลังจากวางสายแล้ว เขาก็เริ่มทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ด้านนอกวิลล่า มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมแจ็กเกตหนังและกางเกงหนังสีดำเดินเข้ามาคะเนจากอายุแล้ว ดูเหมือนว่าจะอายุสามสิบปีโดยประมาณรูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้ง เรือนผมยาวสีแดงสะดุดตา รวบผมด้วยยางรัดผมแบบง่าย ๆ ทำให้ดูคล่องตัวและเรียบร้อยชื่อของเธอคือหงซิ่ว เป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับห้าเธอคอยคุ้มกันเสวี่ยเหมยมาตั้งแต่เด็กจนโตครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากเสวี่ยเหมย ให้มา 'เก็บศพ' ของเย่ซิวหงซิ่วกอดอก ทำให้ทรวงอกของเธอเผยให้เห็นส่วนโค้งที่น่าทึ่งริมฝีปากของเธอสีแดงมาก พอมองดูแวบแรกก็ทำให้คุณนึกถึงคำว่า ‘ริมฝีปากสีแดงเพลิง’ในตอนนี้เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ มองเข้าไปในวิลล่า "ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ตายแล้วเหรอ? มีความกล้าหาญน่ายกย่องทีเดียว กล้าบุกเข้าไปในบ้านตระกูลเย่เพียงลำพัง"ท่อ
ชายหัวโล้นสะพายกระเป๋า พลางวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในห้องแต่เมื่อเขามาถึงห้อง สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขาตกใจแทบตายหงซิ่วตามหลังมาติด ๆ และเห็นฉากนี้เช่นกันในหัวของเธอเต็มไปด้วยเสียงที่ดังวิ้งวิ้งริมฝีปากสีแดงอันแสนเย้ายวนอ้ากว้าง จนดูราวกับสามารถกลืนกำปั้นเข้าไปได้ทั้งสองคนเห็นอะไรน่ะเหรอ?เห็นคนที่มีอำนาจมากมาย สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และมีท่าทีที่หยิ่งผยองสูงส่งอย่างเช่นเย่ขวง กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าชายรูปหล่อคนหนึ่งชายหัวโล้นกับหงซิ่วต่างขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว สงสัยว่าตัวเองเห็นภาพหลอนไปเองหรือเปล่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทั้งสองจะขยี้ตามากแค่ไหน ทว่าความจริงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้วเมื่อเย่ขวงเห็นชายหัวโล้น เขาก็ตะโกนทันที "มัวยืนบื้ออะไรอยู่ เอาสัญญามาให้ฉัน!"ชายหัวโล้นสะดุ้ง รีบวิ่งไปคุกเข่าต่อหน้าเย่ขวง โดยไม่กล้ามองเย่ซิว และหยิบสัญญาหลายร้อยฉบับออกมาจากกระเป๋าหุ้นที่เย่ขวงครอบครองอยู่คิดเป็นส่วนหนึ่งในสิบของทั้งหมดในตระกูลเย่!แต่ในเมื่อเย่ซิวทำถึงขนาดนี้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต้องการเพียงส่วนนี้ของเย่ขวง เขาต้องการทรัพย์สินทั
“หืม? ปรมาจารย์สองท่าน?” เย่ซิวรู้สึกงุนงงหงซิ่วกล่าวว่า "แน่นอนว่าเป็นปรมาจารย์ที่ที่ช่วยคุณสังหารยอดฝีมือตระกูลเย่ทั้งหมดที่ด้านนอกนั่น หรือไม่ใช่สองท่าน แต่เป็นสามท่านงั้นเหรอ?!"ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึง ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายนอกนั้น จะเป็นฝีมือของเย่ซิวเพียงผู้เดียวเมื่อถูกหงซิ่วเข้าใจผิดแล้ว เย่ซิวก็ไม่คิดที่จะอธิบาย แค่พูดว่า "ถึงเวลาคุณก็จะรู้เอง"ถึงแม้หงซิ่วจะอยากสอดรู้สอดเห็นมากแค่ไหนแต่เย่ซิวไม่บอกเธอก็ไม่กล้าเซ้าซี้ เธอจึงเลือกที่จะจากไปหลังจากที่หงซิ่วออกจากวิลล่าตระกูลเย่ เดินมาไกลพอสมควร จู่ ๆ เธอก็สะดุ้งตกใจ ตบหัวตัวเอง "เกือบลืมรายงานแหนะ"จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาเสวี่ยเหมยมีเสียงรอสายดังขึ้นไม่กี่วินาที จากนั้นเสียงเศร้าเล็กน้อยของเสวี่ยเหมยก็ดังขึ้น "เอาศพของเขาออกมาแล้วเหรอ? หาที่ฝังดี ๆ ให้เขาเถอะ”“แล้วก็ฝากจุดธูปสามดอกให้เขาแทนฉันด้วย”หงซิ่วทำหน้าประหลาดใจ "คุณหนู นายน้อยเย่...ยังไม่ตาย"“โอ้ ยังไม่ตายสินะ งั้น...หืม? เธอว่าอะไรนะ!” ทันใดนั้นเสียงของเสวี่ยเหมยก็ดังขึ้น “เขายังไม่ตายได้ยังไง? หรือว่าเขาไม่ได้ไปตระกูลเย่?”หงซิ
หลิวอวิ้นมองไปที่โรงแรมเรืองแสงสีชมพูตรงหน้า ใบหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเขินอายว่า "พวกเรามาสถานที่แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมรึเปล่า?"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกประดักประเดิดเช่นกัน "ใช่ ถ้าเรามากันสองคนก็ไม่เป็นหรอก แต่แม่ของฉันก็อยู่ด้วย..."“ยัยตัวแสบ” หลิวอวิ้นหยิกเอวของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ แสร้งทำเป็นโกรธ "ทำไม เห็นแม่เป็นก้างขวางคอหรือไง?"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มเขิน ๆ "ใช่ค่ะ"หลิวอวิ้นชูกำปั้นเล็ก ๆ ทำท่าเหมือนจะตี "น่าตีจริง ๆ เลย"เย่ซิวหัวเราะพลางส่ายหัว "แถวนี้มีแค่โรงแรมนี้ พวกเราอดทนไปก่อนเถอะ"ทั้งสามมาที่ล็อบบี้ เย่ซิวขอสองห้องแคชเชียร์เป็นผู้หญิงอวบอ้วนในวัยสามสิบเศษหลังจากมองไปที่เย่ซิวทั้งสามคนแล้ว แสดงรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทันที "ขอโทษด้วยนะคะ โรงแรมของเราเหลือห้องเดียวเท่านั้น"สถานการณ์ประเภทนี้เธอเคยเจอมาหลายครั้งเหตุผลที่ธุรกิจของโรงแรมนี้ดีมาก ก็เพราะว่ามีพนักงานที่มีความละเอียดรอบคอบมากลู่เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแบบนี้ก็ก้มศีรษะลงเงียบ ๆขณะที่กำลังรู้สึกประดักประเดิด อีกใจหนึ่งก็รู้สึกแปลก ๆ ไปด้วยเย่ซิวไม่สนใจ ห้องเดียวก็ห้องเดียวหลังจากจองห้องพักแล้ว ก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้
จูบอันเร่าร้อนกินเวลานานหลายนาที หลิวอวิ้นที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี หลังจากจบลง ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถึงจำได้ว่าหลิวอวิ้นยังอยู่ข้าง ๆ ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก้มหน้างุดทันทีเย่ซิวกล่าวว่า “ตามเนื้อตัวพวกคุณสองคนมีแผลถลอกอยู่ไม่น้อย สามารถทาครีมนี้ได้”“ที่นี่มีเพียงพอให้พวกคุณใช้ไปได้หลายวัน ถ้าใช้หมดแล้วผมจะทำให้ใหม่”“นี่ก็ดึกแล้ว พวกคุณรีบเข้านอนเถอะ”หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนลู่เสวี่ยเอ๋อร์จับมือของเขาไว้ "นายจะไปไหนอีก?"“แน่นอนว่าต้องไปช่วยไป๋อวี้เจี๋ย ตอนนี้เธอยังอยู่ในคุกอยู่เลย”เย่ซิวยังไม่ลืมเธอเพียงแค่จัดลำดับความสำคัญของผู้หญิงทั้งสองในใจตนเท่านั้นลู่เสวี่ยเอ๋อร์ปล่อยเย่ซิว และพูดกำชับว่า "นายเองก็ต้องระวังตัวเองด้วยล่ะ"เย่ซิวยิ้มพูดว่า "ไม่ต้องห่วง"ทันทีที่เดินลงมาถึงหน้าโรงแรม เย่ขวงก็ลงจากรถ ค้อมตัวโค้งคำนับอย่างนอบน้อมยิ่ง "สิ่งที่คุณสั่งการ ผมได้ทำเรียบร้อยแล้ว โปรดให้ยาแก้พิษแก่ผมด้วย"เย่ซิวก้มดูเวลา เห็นว่ายังไม่ถึงสองชั่วโมง "ไปเถอะ ไปช่วยไป๋อวี้เจี๋ยออกมาก่อน"จู่ ๆ เย่ขวงก็ตัวสั่นทันทีก่อนหน้านี้เขาได้กำชับกั
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย