“ทำไม เจ็บใจแทนคนรักงั้นเหรอ? ฉันจะทำให้เธอเจ็บใจ!”เขาจับมือของลู่เสวี่ยเอ๋อร์จุ่มลงในชามซุปร้อน ๆ โดยตรงอุณหภูมิสูงทำให้ผิวขาวของลู่เสวี่ยเอ๋อร์เปลี่ยนไปจนดูน่ากลัวทันทีความเจ็บปวดนั้นเสมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเจาะทะลุเข้าไปในใจแต่เธอก็กัดฟันทน ไม่ปริปากร้องออกมาแม้เพียงคำเดียวเพียงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น“ว้าว เข้มแข็งดีนี่!” เย่ขวงเริ่มสนุกเพียะ!ตบหน้าลู่เสวี่ยเอ๋อร์ "ขอร้องสิ!"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปาก ไม่หือไม่อือแม้แต่น้อยหลิวอวิ้นทั้งกังวลทั้งโกรธ "ได้คนเดรัจฉาน ปล่อยลูกสาวฉันนะ!"เพียะ เพียะ เพียะ!เย่ขวงตบหน้าเธอทั้งซ้ายและขวา ตบมากกว่าสิบครั้งติดกันเลือดไหลออกมาจากมุมปากของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ แต่สายตายังคงดื้อดึงสิ่งนี้ทำให้เย่ขวงอับอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อเขาเดินไปหาหลิวอวิ้น แล้วคว้าคอของเธอ "บอกสิว่าเธอยอมแล้ว ไม่งั้นฉันจะข่มขืนเธอก่อน แล้วจากนั้นก็จะฆ่าเธอซะ!"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กังวล "ไอ้คนโรคจิต มีอะไรก็มาลงที่ฉัน อย่าทำร้ายแม่ฉันนะ!"เย่ขวงหัวเราะเสียงดัง สมาชิกในตระกูลเย่ทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา“นายน้อย แย่แล้ว!”ในขณะนี้ คนรับใช้
เมืองหลวง ในห้องขังแห่งหนึ่งเพียะ! เพียะ! เพียะ!ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดผู้คุม ใบหน้าโหดเหี้ยมและถือแส้ในมือ กำลังใช้แส้เฆี่ยนไป๋อวี้เจี๋ยไม่หยุดไป๋อวี้เจี๋ยถูกมัดอยู่ที่นั่น ไม่สามารถขยับตัวได้ตามเนื้อตัวมีรอยแผลเป็นมากมาย ผิวหนังปริแตก สามารถมองเห็นกระดูกได้ สภาพดูแล้วช่างน่ากลัว“ยังไม่สารภาพอีกเหรอ?”เสียงของผู้คุมหญิงดังก้อง น้ำเสียงนั้นเย็นชาและน่าตกใจในเวลานี้ไป๋อวี้เจี๋ยอ่อนแอมาก แต่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นยังคงจับนิ่งที่ใบหน้าของเธอ "เธอกล้าดียังไงถึงใช้อำนาจเกินขอบเขต!"ผู้คุมหญิงหัวเราะเยาะ "จัดการกับคนอย่างเธอ ก็ต้องใช้วิธีดั้งเดิมที่สุด ถ้ายังไม่ยอมรับผิดอีก ยังมีการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้รอเธออยู่!"เธอรูปร่างล่ำสัน ซึ่งดูเหมือนผู้ชายยิ่งกว่าผู้ชายด้วยซ้ำดังนั้นเมื่อเห็นผู้หญิงหน้าตาสวยและหุ่นร้อนแรงอย่างไป๋อวี้เจี๋ย จึงเป็นเรื่องปกติที่จะอิจฉาริษยา“ฝันไปเถอะ!” ดวงตาของไป่อวี้เจี๋ยเต็มไปด้วยความดื้อรั้น "เรื่องที่ไม่ได้ทำ ถึงตีให้ตายฉันก็ไม่ยอมรับผิดเด็ดขาด"“งั้นเหรอ?”ผู้คุมหญิงวางแส้ลง แล้วหยิบแท่งไม้หนา ๆ ออกมาจากโต๊ะด้านข้างมีชามใส่น้ำผสมพริกอยู่ด้วย
เหล่าผู้มีอำนาจที่มักจะมองว่าตนสูงส่ง เคยชี้เป็นชี้ตายชีวิตผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย เวลานี้เริ่มมีความกลัวอย่างมากเย่ซิวรีบพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็วตอนนี้เขาไม่มีเวลาหรืออารมณ์ที่จะชะลอความเคลื่อนไหวหูของเขานั้นไวเกินคนธรรมดา เขาได้ยินเสียงสบถสาปแช่งและเสียงกรีดร้องของลู่เสวี่ยเอ๋อร์กับหลิวอวิ้นที่อยู่ชั้นบนชายคนหนึ่งยืนขวางหน้าเย่ซิวไว้ซึ่งก็คือปรมาจารย์คนที่จับตัวลู่เสวี่ยเอ๋อร์สองครั้งเขามองไปที่เย่ซิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง "ยังมีคนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าเย่ขวงอีก เก็บไว้ไม่ได้!"เขารวบรวมกำลังภายในทั้งหมดไว้บนฝ่ามือทั้งสองข้าง ปล่อยเปลวไฟลุกโชน“วิชา… ฝ่ามือเพลิง!”เมื่อเห็นชายคนนี้ลงมือ ชนชั้นสูงของตระกูลเย่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของแต่ละคนอีกครั้ง“ฮึ่ม เกือบลืมไปว่าเรามีปรมาจารย์อยู่ด้วย!”“ถึงเด็กคนนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็คงเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีอะไรต้องกลัว”“อีกเดี๋ยวฉันจะให้คนมาผ่าร่างเขาออก ดูสิว่าโครงสร้างร่างกายเขาเป็นยังไง!”……คนเหล่านี้นั่งลงอีกครั้ง หยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมา เขย่าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เพล
เมื่อเห็นเย่ซิวบุกเข้ามา เย่ขวงก็หัวเราะอย่างเหิมเกริมอย่างยิ่ง “ฮ่า ๆ แกมาได้เวลาพอดีคอยดูฉันจะหักมือกับเท้าของแก ข่มขืนผู้หญิงของแกต่อหน้าแก!”ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ตื่นเต้นและกระปรี้กระเปร่ามากโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเย่ซิวสามารถเข้ามาได้อย่างไรขนาดถูกรายล้อมไปด้วยพวกระดับสูงมากมายจากด้านนอก“คุกเข่าซะ!”จากนั้นเย่ขวงงอนิ้วทั้งห้าขึ้นเป็นกรงเล็บ ภายใต้แสงไฟสะท้อนเงาวาววับขณะที่เขาโจมตีเย่ซิวท่ากรงเล็บเพชรอันทรงพลังของเขาได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดแล้วแม้จะสู้กับเสือที่โตเต็มวัย ก็ยังสามารถฆ่ามันได้เขามั่นใจว่าภายใต้กรงเล็บของเขา ถ้าศัตรูไม่ตายก็ต้องพิการแต่ครู่ต่อมา เย่ขวงก็โกรธจนตาแทบถลน รู้สึกถึงความน่ากลัวอย่างสุดซึ้งตอนแรกเขาปะทะกับเย่ซิวกำลังภายในอันหนักแน่นและไม่อาจต้านทานได้พุ่งเข้ามาจากหมัดของเย่ซิวกำลังภายในอันทรงพลังที่เขาภาคภูมิใจหนักหนา เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ซิวนั้นช่างเปราะบาง และสลายไปอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งก็ปะทุออกมาจากร่างกายของเย่ซิวความน่าเกรงขามของจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับเก้า ทำลายความภาคภูมิใจของเย่ขวงที่มีทั้งหม
เขาพยักหน้าหงึกหงัก "ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"เขาปีนขึ้นไปที่คอมพิวเตอร์ พลางเปิดเครื่อง พลางโทรหาผู้บริหารระดับสูงพร้อมกัน คำรามเหมือนฟ้าร้อง "มาที่วิลล่าของฉันพร้อมสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในนามของฉัน ถ้ามาไม่ถึงได้ภายในสิบนาทีนี้ ฉันจะฆ่าทั้งครอบครัวของพวกนาย!”หลังจากวางสายแล้ว เขาก็เริ่มทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ด้านนอกวิลล่า มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมแจ็กเกตหนังและกางเกงหนังสีดำเดินเข้ามาคะเนจากอายุแล้ว ดูเหมือนว่าจะอายุสามสิบปีโดยประมาณรูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้ง เรือนผมยาวสีแดงสะดุดตา รวบผมด้วยยางรัดผมแบบง่าย ๆ ทำให้ดูคล่องตัวและเรียบร้อยชื่อของเธอคือหงซิ่ว เป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับห้าเธอคอยคุ้มกันเสวี่ยเหมยมาตั้งแต่เด็กจนโตครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากเสวี่ยเหมย ให้มา 'เก็บศพ' ของเย่ซิวหงซิ่วกอดอก ทำให้ทรวงอกของเธอเผยให้เห็นส่วนโค้งที่น่าทึ่งริมฝีปากของเธอสีแดงมาก พอมองดูแวบแรกก็ทำให้คุณนึกถึงคำว่า ‘ริมฝีปากสีแดงเพลิง’ในตอนนี้เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ มองเข้าไปในวิลล่า "ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ตายแล้วเหรอ? มีความกล้าหาญน่ายกย่องทีเดียว กล้าบุกเข้าไปในบ้านตระกูลเย่เพียงลำพัง"ท่อ
ชายหัวโล้นสะพายกระเป๋า พลางวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในห้องแต่เมื่อเขามาถึงห้อง สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขาตกใจแทบตายหงซิ่วตามหลังมาติด ๆ และเห็นฉากนี้เช่นกันในหัวของเธอเต็มไปด้วยเสียงที่ดังวิ้งวิ้งริมฝีปากสีแดงอันแสนเย้ายวนอ้ากว้าง จนดูราวกับสามารถกลืนกำปั้นเข้าไปได้ทั้งสองคนเห็นอะไรน่ะเหรอ?เห็นคนที่มีอำนาจมากมาย สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และมีท่าทีที่หยิ่งผยองสูงส่งอย่างเช่นเย่ขวง กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าชายรูปหล่อคนหนึ่งชายหัวโล้นกับหงซิ่วต่างขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว สงสัยว่าตัวเองเห็นภาพหลอนไปเองหรือเปล่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทั้งสองจะขยี้ตามากแค่ไหน ทว่าความจริงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้วเมื่อเย่ขวงเห็นชายหัวโล้น เขาก็ตะโกนทันที "มัวยืนบื้ออะไรอยู่ เอาสัญญามาให้ฉัน!"ชายหัวโล้นสะดุ้ง รีบวิ่งไปคุกเข่าต่อหน้าเย่ขวง โดยไม่กล้ามองเย่ซิว และหยิบสัญญาหลายร้อยฉบับออกมาจากกระเป๋าหุ้นที่เย่ขวงครอบครองอยู่คิดเป็นส่วนหนึ่งในสิบของทั้งหมดในตระกูลเย่!แต่ในเมื่อเย่ซิวทำถึงขนาดนี้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต้องการเพียงส่วนนี้ของเย่ขวง เขาต้องการทรัพย์สินทั
“หืม? ปรมาจารย์สองท่าน?” เย่ซิวรู้สึกงุนงงหงซิ่วกล่าวว่า "แน่นอนว่าเป็นปรมาจารย์ที่ที่ช่วยคุณสังหารยอดฝีมือตระกูลเย่ทั้งหมดที่ด้านนอกนั่น หรือไม่ใช่สองท่าน แต่เป็นสามท่านงั้นเหรอ?!"ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึง ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายนอกนั้น จะเป็นฝีมือของเย่ซิวเพียงผู้เดียวเมื่อถูกหงซิ่วเข้าใจผิดแล้ว เย่ซิวก็ไม่คิดที่จะอธิบาย แค่พูดว่า "ถึงเวลาคุณก็จะรู้เอง"ถึงแม้หงซิ่วจะอยากสอดรู้สอดเห็นมากแค่ไหนแต่เย่ซิวไม่บอกเธอก็ไม่กล้าเซ้าซี้ เธอจึงเลือกที่จะจากไปหลังจากที่หงซิ่วออกจากวิลล่าตระกูลเย่ เดินมาไกลพอสมควร จู่ ๆ เธอก็สะดุ้งตกใจ ตบหัวตัวเอง "เกือบลืมรายงานแหนะ"จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาเสวี่ยเหมยมีเสียงรอสายดังขึ้นไม่กี่วินาที จากนั้นเสียงเศร้าเล็กน้อยของเสวี่ยเหมยก็ดังขึ้น "เอาศพของเขาออกมาแล้วเหรอ? หาที่ฝังดี ๆ ให้เขาเถอะ”“แล้วก็ฝากจุดธูปสามดอกให้เขาแทนฉันด้วย”หงซิ่วทำหน้าประหลาดใจ "คุณหนู นายน้อยเย่...ยังไม่ตาย"“โอ้ ยังไม่ตายสินะ งั้น...หืม? เธอว่าอะไรนะ!” ทันใดนั้นเสียงของเสวี่ยเหมยก็ดังขึ้น “เขายังไม่ตายได้ยังไง? หรือว่าเขาไม่ได้ไปตระกูลเย่?”หงซิ
หลิวอวิ้นมองไปที่โรงแรมเรืองแสงสีชมพูตรงหน้า ใบหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเขินอายว่า "พวกเรามาสถานที่แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมรึเปล่า?"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกประดักประเดิดเช่นกัน "ใช่ ถ้าเรามากันสองคนก็ไม่เป็นหรอก แต่แม่ของฉันก็อยู่ด้วย..."“ยัยตัวแสบ” หลิวอวิ้นหยิกเอวของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ แสร้งทำเป็นโกรธ "ทำไม เห็นแม่เป็นก้างขวางคอหรือไง?"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มเขิน ๆ "ใช่ค่ะ"หลิวอวิ้นชูกำปั้นเล็ก ๆ ทำท่าเหมือนจะตี "น่าตีจริง ๆ เลย"เย่ซิวหัวเราะพลางส่ายหัว "แถวนี้มีแค่โรงแรมนี้ พวกเราอดทนไปก่อนเถอะ"ทั้งสามมาที่ล็อบบี้ เย่ซิวขอสองห้องแคชเชียร์เป็นผู้หญิงอวบอ้วนในวัยสามสิบเศษหลังจากมองไปที่เย่ซิวทั้งสามคนแล้ว แสดงรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทันที "ขอโทษด้วยนะคะ โรงแรมของเราเหลือห้องเดียวเท่านั้น"สถานการณ์ประเภทนี้เธอเคยเจอมาหลายครั้งเหตุผลที่ธุรกิจของโรงแรมนี้ดีมาก ก็เพราะว่ามีพนักงานที่มีความละเอียดรอบคอบมากลู่เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแบบนี้ก็ก้มศีรษะลงเงียบ ๆขณะที่กำลังรู้สึกประดักประเดิด อีกใจหนึ่งก็รู้สึกแปลก ๆ ไปด้วยเย่ซิวไม่สนใจ ห้องเดียวก็ห้องเดียวหลังจากจองห้องพักแล้ว ก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน
เย่ซิวรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันทีพอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเสี่ยวไป๋ลอยอยู่กลางอากาศพลังวิญญาณในห้องถูกดูดเข้าไปหามันอย่างบ้าคลั่งไม่กี่วินาทีก็สูบพลังวิญญาณจนหมดทั้งห้องจากนั้นร่างของมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมขนาดใหญ่ แล้วค่อย ๆ ลอยลงสู่พื้นอย่างช้า ๆเย่ซิวยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เสี่ยวไป๋กำลังจะวิวัฒนาการอีกแล้วรอบที่แล้วเหมือนจะพัฒนาขึ้นไม่มากเท่าไหร่แต่สัญชาตญาณของเย่ซิวบอกว่ารอบนี้น่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียวเขารีบเอาน้ำพุวิญญาณที่เหลืออยู่เทราดลงไปบนรังไหมทันที ซึ่งมันก็ถูกดูดซึมหายไปอย่างรวดเร็วนี่อาจช่วยเร่งขั้นตอนวิวัฒนาการให้เร็วขึ้นได้เย่ซิวเดินไปอุ้มเจ้าเสี่ยวอวี่ที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมาเจ้าตัวนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ท้องของมันนี่เหมือนหลุมดำชัด ๆเย่ซิวเลยจัดเต็มอีกครั้ง เขากลั่นโอสถวิญญาณหยกมาอีกหมื่นเม็ดให้มันไว้กินเล่นทั้งสำนักอวิ้นหลิงคงไม่มีใครกล้าทำอะไรฟุ่มเฟือยอย่างเขาอีกแล้วล่ะในช่วงครึ่งเดือนหลังจากนั้น เย่ซิวก็หมกตัวอยู่แต่กับการกลั่นโอสถและฝึกฝนวิชาต่าง ๆข้างนอกเองก็เริ่มมีข่าวแพร่กระจายไปว่าเย่ซิวสามารถกลั่นโอสถวิญญาณหยกได้ควา
จากท่าทีและสีหน้าของทุกคน เย่ซิวก็พอเดาออกว่าโอสถนี่น่าจะหาได้ยากมากในตลาดไม่งั้นพวกเขาคงไม่แห่กันมาขอซื้อแบบนี้แน่เขาทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ผมก็อยากช่วยนะครับ แต่โอสถตัวนี้ตอนปรุงมันใช้พลังจิตเยอะมากวันหนึ่งผมปรุงได้ไม่กี่รอบเอง แถมวัตถุดิบก็หายากด้วย”ความหมายแฝงก็คือพวกคุณต้องเพิ่มเงินและเตรียมของมาเองซึ่งทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่และเข้าใจเจตนาของเขาทันที ก่อนจะรีบเสนอว่า“ถ้างั้นแบบนี้ดีไหม โอสถวิญญาณหยกหนึ่งเม็ด ฉันให้หนึ่งพันหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ส่วนวัตถุดิบเราจัดการเอง แบบนี้ตกลงไหม”เย่ซิวคำนวณในหัวอย่างไวต้นทุนของโอสถวิญญาณหยกต่อเม็ดอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งพันศิลาวิญญาณถึงจะรวมค่าแรงและพลังวิญญาณที่ใช้ก็ถือว่าต้นทุนต่ำมาก อย่างมากก็แค่เสียเวลาเฉย ๆเขาสามารถกลั่นได้เป็นหมื่นเม็ดในคราวเดียวถ้าขายให้คนพวกนี้หมื่นเม็ดก็เท่ากับว่าจะได้เงินถึงสิบกว่าล้านศิลาวิญญาณเลยทีเดียวกำไรขนาดนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่ากินขาดแต่เย่ซิวก็ยังไม่ตอบตกลงทันที และทำท่าลังเลอยู่รั่วอวิ๋นที่ยืนข้าง ๆ ตบไหล่เขาเสียงดัง “ยังจะลังเลอะไรอีกล่ะ?นี่มันโอกาสทองเลยนะ ได้ทั้งเงินได้ทั้งฝึกฝีมือ”เย่ซิวถ
แล้วทุกคนก็เห็นจ่าฝูงเดินตรงไปหาเย่ซิว จากนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาเลียหน้าของเขาเบา ๆ ด้วยแววตาประจบเอาใจสุด ๆทุกคนตกตะลึง “???”รั่วอวิ๋นถึงกับยืนนิ่งตัวแข็งเป็นหิน ตาถลน ปากอ้าค้างจากนั้นเธอก็ชี้ไปที่เย่ซิวอย่างโกรธจัด “นายยังจะกล้าบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ แล้วนี่มันอะไรกัน?!”แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ สิงโตหยกขาวอีกเจ็ดตัวก็วิ่งตามกันมาล้อมเย่ซิวไว้รอบด้าน แถมยังมองรั่วอวิ๋นด้วยสายตาแข็งกร้าวอย่างเต็มไปด้วยท่าทีคุกคามรั่วอวิ๋นเผลอก้าวถอยหลังไปด้วยสีหน้าซีดเผือดความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนใครสักคนมายึดบ้านไปคนอื่น ๆ เองก็จ้องมองเย่ซิวด้วยสายตาในแบบที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเหนือจริงเกินไปเย่ซิวทำหน้าใสซื่อ “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”รั่วอวิ๋นโกรธจนตัวสั่นสัตว์ที่เธอเลี้ยงมากับมือหลายปีดันพร้อมใจกันหักหลังเธอแบบนี้ ใครจะทนได้มันไม่ใช่แค่เรื่องทรัพยากร แต่ยังรวมถึงความรู้สึกที่ทุ่มเทไปทั้งหมดด้วย!“นายบอกว่าไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมพวกมันถึงพร้อมใจกันหักหลังฉัน อธิบายมาเดี๋ยวนี้!” รั่วอวิ๋นกัดฟันพูด สายตาที่มองเย่ซิวเต็มไปด้วยความคาดโทษถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่ให
ในใจรั่วอวิ๋นกำลังปลื้มเป็นที่สุดแต่ต่อหน้าคนอื่นเธอยังคงวางมาดสงบนิ่ง และพยักหน้าเบา ๆ แบบถ่อมตัวสุด ๆ“ก็ไม่เท่าไหร่นะ แค่สัตว์วิญญาณไม่กี่ตัว เอาไว้เฝ้าประตูเฉย ๆ”คำพูดโอ้อวดแบบถ่อมตัวเช่นนี้ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับกระตุกมุมปากกันเป็นแถบเธอคิดว่านี่คือผักกาดขาวหรือไงนี่มันสัตว์วิญญาณระดับจินตานตั้งแปดตัวเชียวนะถึงสายเลือดของพวกสิงโตหยกขาวจะไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่พวกชั้นต่ำ อยู่ระดับกลางค่อนไปทางดีเลยด้วยซ้ำถ้าเลี้ยงต่อไปดี ๆ รับรองว่าเก่งขึ้นได้อีกแน่นอนลองจินตนาการดูสิ สิงโตหยกขาวแปดตัวคำรามพร้อมกันจะอลังการแค่ไหน มันต้องเป็นภาพที่อลังการและน่าเกรงขามสุด ๆ“เย่ซิวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ภรรยาเจ้าสำนักทำทีเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นเขาเย่ซิวยิ้มพลางเอ่ย “ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน เจ้าสำนักและภรรยา ผมแค่มาให้อาหารพวกมันน่ะครับ”ทุกคนก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ไม่มีใครเชื่อมโยงได้ถึงเรื่องที่สัตว์วิญญาณเลื่อนระดับได้เพราะตัวเขาเลยแม้แต่น้อยไม่นานนัก สัตว์วิญญาณทั้งแปดตัวก็ค่อย ๆ สร้างตานปีศาจได้สำเร็จแทบจะพร้อมกันพลังที่ระเบิดออกมาทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่ไปทั
แม้ว่ารั่วอวิ๋นจะรู้ดีว่าความคิดแบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลยจริง ๆถ้าเย่ซิวแค่ลองกลั่นโอสถเป็นครั้งแรกก็เก่งกว่าเธอแบบไม่เห็นฝุ่น แบบนั้นมันก็เหมือนโดนตบหน้าแรง ๆ เข้าให้แล้วแบบนี้จะรักษาภาพลักษณ์ความเป็นอาจารย์ไว้ต่อหน้าเขาได้ยังไงกันล่ะเสียงโครมดังขึ้น ก่อนที่ฝาปิดเตาจะหลุดออกกลิ่นหอมของโอสถที่เข้มข้นจนถึงขีดสุดกระจายไปทั่วเย่ซิวถึงกับใจหล่นวูบ คิดในใจว่าแย่แล้วถึงเขาจะพยายามเก็บงำกลิ่นเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนแค่กลิ่นที่ลอยออกมาก็แรงกว่าโอสถของรั่วอวิ๋นเสียอีกรั่วอวิ๋นพยายามควบคุมสีหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปดูโอสถในเตาพอเห็นแล้วก็ถึงกับยืนช็อกไปทั้งตัวที่ก้นเตา โอสถจำนวนห้าสิบเม็ดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และแต่ละเม็ดก็ใสบริสุทธิ์ดูอัดแน่นไปด้วยพลังแต่สิ่งที่ทำให้เธอรับไม่ได้ที่สุดก็คือทุกเม็ดมีลวดลายโอสถปรากฏอยู่บนผิวของมัน หมายความว่าโอสถทั้งหมดนี้เป็นระดับสูงนี่มันไม่ใช่แค่โดนตบหน้าแล้ว แต่มันคือการโดนกดหัวลงพื้นแล้วลากไปเลยต่างหากเย่ซิวไอแห้ง ๆ หนึ่งทีและจงใจไม่เข้าไปดู แต่ทำท่าทางตื่นเต้นแล้วถามเธอด้วยสีหน้าลุ้น ๆ ว่า “ท่านอาจ
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ